Thai Value Investor การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุน VI หุ้นวีไอ Webboard

อยากรบกวนทราบความคิดเห็นแต่ละท่านว่า
หุ้นโตเร็วในสายตาท่านคือตัวไหนบ้าง
เป็นกลุ่ม หรือเป็น ตัวเลยได้ยิ่งดี

แล้วท่านใช้ เกณฑ์ เชิงคุณภาพ หรือเชิงปริมาณ

ขอบคุณคับ

เพื่อเป็นแนวทางในการพิจารณาว่า หุ้นนี้
ตอนนี้  เป็นหุ้นโตเร็ว

ส่วนความเสี่ยง ไม่เกี่ยงคับ เสี่ยงมากเสี่ยงน้อย
ในความเห็นท่านบอกด้วยได้ก็ดี ไม่บอกก็ไม่เป็นไร

กราบขอบพระคุณคับ

หุ้นที่เดิบโต อย่างเห็นได้ชัดคือ Modern Trade ครับ เช่น

1. CPALL  เปิดสาขาอย่างรวดเร็ว ปัจจุบันมี 5000 สาขา
และมีแผนที่จะเปิดได้อีกมากมาย ไปอ่านเพิ่มเติมที่ 100 คนร้อยหุ้น
2. HMPRO
-เติบโตจากเปิดสาขามากขึ้น
-ยอดขายจาก Event ต่างๆ
-ยอดขายต่อสาขาเพิ่มขึ้น
-ขายสินค้า House Brand มากขึ้น
-รายได้มาจาก 2 แหล่ง ขายสินค้าและให้เช่าพื้นที่ เช่น หัวหินวิลเลจ
3. BigC  คล้าย HMPRO แต่เป็นสินค้าทั่วไป มีคู่แข่งมากแต่ยังแข็งแกร่ง
4. Makro คล้าย BigC , HMPRO แต่เน้นขายส่งและขายสินค้าให้โชห่วย

ศึกษาเพิ่มเติมด้วยก่อนที่จะลงมือซื้อ จากที่ผมอ่านหนังสือของ Peter Lynch และหนังสือการลงทุน
สัจธรรมคือ บริษัทที่มีการเติบโต ท้ายที่สุดก็จะหยุด เพราะคู่แข่งก็จะมาแย่ง
ส่วนแบ่งตลาดไป สิ่งที่แยก SuperStock ออกจากบริษัททั่วไป คือ ความสามารถที่บริษัทอื่นๆ ไม่มี เช่น

- จำนวนสาขา
- การฝึกอบรมพนักงาน ที่สามารถให้บริการได้อย่างยอดเยี่ยม สร้างยอดขายได้มากๆ ต่อคน
- แหล่งที่มาของรายได้ มาจากหลากหลายแหล่ง
- การปรับเปลี่ยนกลยุทธ เพื่อที่จะัป้องกันไม่ให้คู่แช่งแย่งลูกค้า

อีกประเด็นที่ควรจะมองก่อนที่จะซื้อ Growth Stock คือ ราคาที่จ่ายนั้น
แพงไปหรือไม่ คิด Forward P/E แล้ว P/E มักจะสูงคือ ประมาณ 20 เท่าเป็นต้น

ก่อนที่จะซื้อให้คิดว่า เรามีโอกาสไม่มาก มีเงินน้อย มีเวลาน้อย จะทำให้
คิืดหลายๆ ครั้งก่อนซื้อ ช่วงหนึ่ง HMPRO เคยลงไปต่ำมาก ราคาเพียงแค่
2 บาทเศษ ทั้งที่ ผลกำไร ยังคงเติบโต นี่เป็นโอกาสที่ดี ในการซื้อ
หากรอได้ ก็ควรรอให้มีเหตุการณ์ เพื่อที่ว่าจะได้มี ส่วนต่าง หากคิดผิด

สุดยอดครับ

alucon swc ครับ เป็นความเห็นส่วนตัวนะครับ
ผมคิดว่าเป็นหุ้นเติบโต ที่อยู่ในอุตสาหกรรมที่ไม่ร้อนแรง
ที่อยู่ในอุตสาหกรรมที่ไม่เป็นที่นิยม
ลองศึกษาก่อนซื้อนะครับ

[quote="kanoon"]หุ้นที่เดิบโต อย่างเห็นได้ชัดคือ Modern Trade ครับ เช่น

1. CPALL

[quote="kanoon"]หุ้นที่เดิบโต อย่างเห็นได้ชัดคือ Modern Trade ครับ เช่น

1. CPALL

[quote="nut776"][quote="kanoon"]หุ้นที่เดิบโต อย่างเห็นได้ชัดคือ Modern Trade ครับ เช่น

1. CPALL

เติบโตดีแต่ราคาแพงมาก ในมุมมองของผม เลยไม่มี ตอนนั้น 10 บาท แพงไปวะ 20 แพงอยู่ดี 30 โคตรแพง แล้วก้อได้เห็น 40 บาท มะเข้าใจ

กำไรกำลังจะโต จาก เท่าไหร่ไม่รู้ตอนนี้ q ละ 39 สต ทั้งปีก้อ 1.60 แต่ราคา 37 บาท กับอีกตัว
พอมี growth บ้าง ตอนนี้กำไร 4.xx ต่อหุ้น แต่ราคา ยังไม่ถึง 40 เลย

ตอน ตัวเลย 10 บาท ตัวนี้ก้อ 36-38 ตอนนี้ ตัวนี้เท่าเดิม แต่ ตัว 10 บาท ไป 40 ละ(ตอนนี้ย่อลงมาหน่อยนึง)

มะเข้าใจจริง ๆ คงต้องกลับไปนับหนึ่งใหม่

[quote="GeneraX"][quote="nut776"][quote="kanoon"]หุ้นที่เดิบโต อย่างเห็นได้ชัดคือ Modern Trade ครับ เช่น

1. CPALL

หุ้นโตเร็ว ต้องมองให้ขาดครับ ถ้ามองพลาดนี่นรกชัดๆ ครับ เพราะราคาที่จ่ายโดยมากมันบวกอนาคตไปบางส่วนเป็นอย่างน้อยครับ

บางบริษัทเน้นแต่รายได้มากจนมองข้ามประสิทธิภาพในการใช้เงินทุน บางครั้งแย่จนเกิดอาการขาดทุนก็มีให้เห็นบ่อย

ผมว่าการมองหาหุ้น high growth ยากกว่าการมองหาหุ้น turnaround นะ ในความคิดส่วนตัวของผม

Wei Han เขียน:หุ้นโตเร็ว ต้องมองให้ขาดครับ ถ้ามองพลาดนี่นรกชัดๆ ครับ เพราะราคาที่จ่ายโดยมากมันบวกอนาคตไปบางส่วนเป็นอย่างน้อยครับ

บางบริษัทเน้นแต่รายได้มากจนมองข้ามประสิทธิภาพในการใช้เงินทุน บางครั้งแย่จนเกิดอาการขาดทุนก็มีให้เห็นบ่อย

ผมว่าการมองหาหุ้น high growth ยากกว่าการมองหาหุ้น turnaround นะ ในความคิดส่วนตัวของผม

ผมว่าหาง่าย แต่หุ้น high growth ที่ราคาถูกนี่สิหายาก

nuaythebest เขียน:

Wei Han เขียน:หุ้นโตเร็ว ต้องมองให้ขาดครับ ถ้ามองพลาดนี่นรกชัดๆ ครับ เพราะราคาที่จ่ายโดยมากมันบวกอนาคตไปบางส่วนเป็นอย่างน้อยครับ

บางบริษัทเน้นแต่รายได้มากจนมองข้ามประสิทธิภาพในการใช้เงินทุน บางครั้งแย่จนเกิดอาการขาดทุนก็มีให้เห็นบ่อย

ผมว่าการมองหาหุ้น high growth ยากกว่าการมองหาหุ้น turnaround นะ ในความคิดส่วนตัวของผม

ผมว่าหาง่าย แต่หุ้น high growth ที่ราคาถูกนี่สิหายาก

นั่นแหละครับที่หมายถึง เพราะบางทีไม่รู้ว่าจ่ายแพงกว่าที่ควรจะเป็นรึเปล่า และถ้าเกิดไม่ใช่อย่างที่คิด ก็เหวครับ

High Growth ที่มี MOS เยอะๆ หายากมากๆ ครับ

Wei Han เขียน:

nuaythebest เขียน:

Wei Han เขียน:หุ้นโตเร็ว ต้องมองให้ขาดครับ ถ้ามองพลาดนี่นรกชัดๆ ครับ เพราะราคาที่จ่ายโดยมากมันบวกอนาคตไปบางส่วนเป็นอย่างน้อยครับ

บางบริษัทเน้นแต่รายได้มากจนมองข้ามประสิทธิภาพในการใช้เงินทุน บางครั้งแย่จนเกิดอาการขาดทุนก็มีให้เห็นบ่อย

ผมว่าการมองหาหุ้น high growth ยากกว่าการมองหาหุ้น turnaround นะ ในความคิดส่วนตัวของผม

ผมว่าหาง่าย แต่หุ้น high growth ที่ราคาถูกนี่สิหายาก

นั่นแหละครับที่หมายถึง เพราะบางทีไม่รู้ว่าจ่ายแพงกว่าที่ควรจะเป็นรึเปล่า และถ้าเกิดไม่ใช่อย่างที่คิด ก็เหวครับ

High Growth ที่มี MOS เยอะๆ หายากมากๆ ครับ

แล้วอย่าง DSGT ถือเป็น Hi-growth ได้หรือเปล่าครับ PE แค่ 7 กว่าๆเอง

มาลอกการบ้านครับ

บางตัวมองไป 1-2 ปี p/e 3-4 ก็มีนะ

มาลอกการบ้านเช่นกันคับ :lol:

อ้อลืมเสนอ mint snc cpn tcap ofm(หวัง)

ถ้าความสามารถเราน้อย ยังมองธุรกิจไม่ขาด ลงทุนในหุ้น growth นี่อันตรายนะครับ เพราะถ้ามองพลาด พรีเมี่ยมที่เราจ่ายไปเพื่อการเติบโตจะย้อนกลับมาทำร้ายเราเอง

OFM ครับ
อดีต 7 ปีย้อนหลัง
รายได้ Growth เฉลี่ย 21.53%
คชจ. Growth เฉลี่ย   20.87%
กำไร Growth เฉลี่ย   76.24%

จาก OP DAY คุณวรวุฒิ ก็มั่นใจว่าขอโตแค่ปี ละ 20% ไปเรื่อยๆ ครับ  ซึ่งน่าจะไม่ใช่เรื่องยาก เพราะที่ผ่านมาก็ทำได้ในระดับนี้มาโดยตลอด ...




ปล.ไม่มีหุ้นนะครับ

ผมว่า จะมอง growth หรือไม่ คงต้องดู ที่
- business model ของธุรกิจนั้น
- แนวโน้ม Lifestyle ของกลุ่มคนจะไปทางไหนด้วย
- ความแปลกใหม่ หรือ การเปิดตัวของสินค้า หรือบริการ ว่า ตอบรับการแนวโน้ม lifestyle นั้นหรือไม่

- แนวการป้องกันของ ส/ค หรือบริการใหม่ พูดง่ายๆ ธุรกิจที่เราสนใจ มีคูเมือง ในการป้องกันการโจมตีจากข้าศึก หรือไม่
- มีอะไรที่จะสามารถทดแทนได้หรือไม่
- นโยบายการเติบโตของบริษัท หรือ ผู้บริหาร
เอาเท่าที่นึกออกไปก่อนนะครับ

สิ่งเหล่านี้จะมีผลในการเติบโต ของหุ้นเรา ในอนาคตด้วยครับ ว่าจะเป็น growth หรือไม่ แล้วจะ growth ได้อีกนานหรือไม่  :D

kcar,ifec ธุรกิจให้เช่า   เข้าใจง่ายดี

มองธุรกิจใกล้ตัวดูครับ
ใช้อยู่ทุกวัน ขาดไม่ได้
มีแนวโน้มต้องใช้มากขึ้นด้วย

dome@perth เขียน:มองธุรกิจใกล้ตัวดูครับ
ใช้อยู่ทุกวัน ขาดไม่ได้
มีแนวโน้มต้องใช้มากขึ้นด้วย

บางครั้งบริษัทเล็กๆก็มีอะไรดีกว่าที่คิดเยอะครับ กำไรเพิ่มช้าๆ 15-30% ทุกปี
บางบริษัทก็กำลังเข้าสู่ inflection point ที่อาจเป็นดาวรุ่งในอนาคต

Chochaiput เขียน:

dome@perth เขียน:มองธุรกิจใกล้ตัวดูครับ
ใช้อยู่ทุกวัน ขาดไม่ได้
มีแนวโน้มต้องใช้มากขึ้นด้วย

บางครั้งบริษัทเล็กๆก็มีอะไรดีกว่าที่คิดเยอะครับ กำไรเพิ่มช้าๆ 15-30% ทุกปี
บางบริษัทก็กำลังเข้าสู่ inflection point ที่อาจเป็นดาวรุ่งในอนาคต

เห็นด้วยครับ บางบริษัท มีเรื่องราวที่จะทำให้กำไรเพิ่มขึ้นได้ จากจำนวนสาขาที่เพิ่มมากขึ้น ในรูปแบบเดียวกับ Modern Trade
หรือ มีงานในมือจำนวนมากเช่น MCS เป็นต้น

NBC
HITECH

บริษัทที่รับทำบัญชีให้บริษัทครับ

ที่ประเทศไทยมีบริษัทรับทำบัญชี ที่จดทะเบียนใน ตลท หรือไม่ล่ะนี่
ผมว่าจาก มาตรฐานการบัญชีที่ออกมาใหม่ ทำให้บริษัทผู้จัดทำบัญชี และผู้ตรวจสอบบัญชีน่าจะรายได้ดีมากๆ รับงานทั้งปีทำกันไม่ทันเลยทีเดียว
แล้วเดี๋ยวอีก4-5ปีก็มีมาตรฐานบัญชีใหม่ๆมาให้บริษัทหาเงินเพิ่มอีก
หากมีบริษัทใน ตลท ที่ทำธุรกิจนี้บอกด้วยนะครับ

หาหุ้นโตที่ว่ายากแล้ว แต่หาหุ้นที่โตสูงๆต่อเนื่องติดต่อหลายๆปีน่าจะยากกว่านะครับ ฐานโตขึ้นด้วย..

ฉญโ ครับ

แค่ขายเกี๊ยวให้คนทั้งโลกคนละกระป๋องต่อปี 6,000 ล้านคน x 50 = 360,000 ล้านบาท รายได้ก็เพิ่มมากกว่ารายได้ทั้งปีแล้ว

ถ้าคิดว่าทำไม่ได้ ก็ขายเกี๊ยว + ไส้กรอก ให้คนครึ่งหนึ่งของโลก

ถ้ายังคิดว่ายากไป ก็ขายเกี๊ยว + ไส้กรอก + ไก่ + ไข่ ให้คน 1 ใน 4 ของโลก ซึ่งก็คือส่วนหนึ่งของคนจีนทั้งประเทศ ส่วนหนึ่งของคนอินเดีย ส่วนหนึ่งของคนเอเซีย อีกส่วนของคนที่เหลือทั้งหมดในโลก

Tao_PK เขียน:หาหุ้นโตที่ว่ายากแล้ว แต่หาหุ้นที่โตสูงๆต่อเนื่องติดต่อหลายๆปีน่าจะยากกว่านะครับ ฐานโตขึ้นด้วย..

เห็นด้วยอย่างยิ่งครับ ลองกลับมาดูคำจำกัดความหุ้นโตเร็วของท่านเกรแฮมหน่อยไหมครับ ท่านกล่าวว่า "หุ้นโตเร็ว ควรจะมีผลกำไรต่อหุ้นเพิ่มขึ้น 2 เท่าในระยะเวลา 10 ปี ซึ่งก็คือเพิ่มขึ้นด้วยอัตราทบต้นต่อปีมากกว่า 7.1% ในการนี้ยอดขายของหุ้นโตเร็วควรเพิ่มสูงขึ้นกว่ายอดขายปีก่อนอย่างต่อเนื่อง"
ถ้าวัดด้วยนิยามนี้ผมไม่คิดว่า หุ้นอย่างMINT คือหุ้นโตเร็ว

หุ้นที่โตเร็ว  ก็ต้องควรระวังนะครับว่า  โตคับตลาดแล้วหรือยัง  ถ้าคับแล้วก็ต้องปรับลดเพิ่มความเสี่ยงขึ้นบ้างละครับ

สัญญาณที่คับตลาดแล้วก็เช่น  ต้องขยายไปยังภูมิศาสตร์ที่ต่างออกไป  เช่น  

เคยขายแต่ในกรุงเทพ  ก็ต้องเริ่มไปขายต่างจังหวัด  เคยขายแต่ในประเทศไทย  ก็ต้องเริ่มออกไปต่างประเทศ  ก็ออกไปจากสภาพตลาดที่คุ้นเคย  ถึงแม้จะเป็นการขยายโอกาส  แต่ก็เพิ่มความเสี่ยงขึ้นอีกมาก  สินค้าบางประเภทขายได้แต่ในกรุงเทพ  ไปต่างจังหวัดอาจจะไม่ดีเท่า  ต่างประเทศก็เช่นกัน  ในไทยอาจเป็นเบอร์หนึ่ง  แต่ไปต่างประเทศก็อีกเรื่องหนึ่ง  ล้มเหลวกลับมาก็ไม่น้อย

อีกสัญญาณที่เด่นชัด  ก็คือ  แตกแขนงออกจากสินค้าเดิมๆ  เช่น  เคยเป็นเบอร์หนึ่งในการขายชาเขียว  แต่ขยายไปเครื่องดื่มชนิดอื่นก็ไม่แน่ว่าจะประสบความสำเร็จ

การที่ต้องไปขายในภูมิศาสตร์ที่แปลกออกไป  หรือขายสินค้าที่แตกต่างจากเดิม  ย่อมไม่ง่ายเหมือนขายสินค้าเดิมๆในที่เดิมๆซึ่งเป็นเบอร์หนึ่งอยู่แล้ว  จริงไหม