Thai Value Investor การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุน VI หุ้นวีไอ Webboard

(ทราบดีครับว่าถ้าจะให้ดีควรจะดูเป็นเองจะดีกว่า
ผมพูดถึงมือใหม่กำลังศึกษา แต่ยังไม่มั่นใจในตัวเองครับ)

สมมุติในหุ้น xxx ราคาปัจจุบัน เท่ากับ  5
มีโบรค 5 เจ้า ที่วิเคราะห์ราคาไว้ ดังนี้  
โบรค 1ให้  ราคาเป้าหมายที่ 7
โบรค 2ให้  ราคาเป้าหมายที่ 9
โบรค 3ให้  ราคาเป้าหมายที่ 8
โบรค 4ให้  ราคาเป้าหมายที่ 8.5
โบรค 5ให้  ราคาเป้าหมายที่ 7.5

ลองคิดง่ายๆ ขำๆ จับราคามา บวก แล้ว หาร 5 ได้ ราคาเป้าหมายเฉลี่ย 8

ถ้้าซื้อที่ ราคา 5 บาท แนวโน้มที่จะได้กำไรน่าจะมีใช่ไม๊ครับ
แล้วยิ่งถ้ามีสัก 10 โบรค  ให้ราคาเป้าหมายไว้ใกล้เคียงกัน ยิ่งดี (หรือเปล่าครับ?)

สงสัยว่าวิธีนี้จะเอามาผสมกับดูกราฟและดูงบบริษัทจะดีไม๊ครับ

ขอบคุณสำหรับ คห ครับ

meemaree เขียน:ลองคิดง่ายๆ ขำๆ จับราคามา บวก แล้ว หาร 5 ได้ ราคาเป้าหมายเฉลี่ย 8

สงสัยว่าวิธีนี้จะเอามาผสมกับดูกราฟและดูงบบริษัทจะดีไม๊ครับ

ขอบคุณสำหรับ คห ครับ

พี่ยังบอกเลยว่าขำๆ แล้วจะใช้ดีไหมอะครับ
ราคาเป้าหมายที่โบรกให้ผมดูให้ชื่นใจเฉยๆ ดูที่เนื้อหาดีกว่าครับ

ราคาเป้าหมายที่เขาให้มา คือ ราคาในอีก 1 ปี นะครับ
ก็คือเดานั่นแหละ แต่เป็นการเดาแบบมีข้อมูล เพราะมักจะออกบทวิเคราะห์ หลังจากได้ไป visit บริษัทหรือคุยกับผู้บริหารมาแล้ว จึงพอจะคาดเดาแนวโน้มอนาคตได้
ซึ่งถ้าเป็นบทวิเคราะห์แบบนี้ (ซึ่งตามปกติจะออกมาประมาณ ปีละ 4 ครั้ง .. คือช่วงแถวๆก่อนหรือหลังงบไตรมาสออกแล้ว) ก็พอน่าที่จะเอาสาระมาพิจารณาต่อยอดได้
แต่ที่ผมว่าน่ากลัวก็คือ บทวิเคราะห์ที่นั่งเทียน หรือนักวิเคราะห์มือไม่ถึงมากกว่า
เพราะอาจจะให้ราคาที่สูงมากๆ (หลอกให้คิดว่ายังมี MOS เหลืออยู่เยอะ) หรือราคาต่ำแบบสุดๆ (หลอกให้คนมีหุ้นแล้วไม่รู้มูลค่าที่แท้จริงของหุ้นตัวเองขายหมู)
เจอบ่อยๆครับ ประเภทให้ราคาเป้าหมาย 1 ปีข้างหน้าไว้แล้ว
พออีกอาทิตย์กว่า ราคาหุ้นปรับขึ้นเร็วมาก
นักวิเคราะห์เล่นปรับราคาเป้าหมายขึ้นตามไปเลย โดยไม่ได้วิเคราะห์ว่ามีปัจจัยอะไรใหม่
อ้างอิงข้อมูลเดิม  แต่เล่นปรับเพิ่มค่า PE ให้เฉยๆ ยังงั้นแหละ
Earning เท่าเดิม แต่ราคาสูงขึ้น .. เหอ เหอ
ดังนั้น เห็นด้วยกับคุณ ดลม. ครับ
ให้ดูที่สาระ ว่าสมเหตุสมผล น่าเชื่อถือได้หรือไม่
ส่วนราคา หาเอาเองครับ

การลงทุนคือความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาก่อนตัดสินใจ

ดังนั้น พี่ควรศึกษาเนื้อหาที่เขาวิเคราะห์จะดีกว่า สนใจเพียงตัวเลขประมาณการครับ

หากหลายสำนักให้ข้อมูลใกล้เคียงกัน แนวโน้มของราคาก็น่าจะไม่ผิดพลาดเท่าใดนัก แต่หากมีข้อมูลขัดแย้งกันบ้าง อันนี้คงต้องชั่งน้ำหนักให้มากขึ้น ก่อนตัดสินใจลงทุน

วิเคราะห์เองเถอะครับ

[quote="meemaree"](ทราบดีครับว่าถ้าจะให้ดีควรจะดูเป็นเองจะดีกว่า
ผมพูดถึงมือใหม่กำลังศึกษา แต่ยังไม่มั่นใจในตัวเองครับ)

สมมุติในหุ้น xxx ราคาปัจจุบัน เท่ากับ

อ้าว... ลืมอีกข้อครับ

[quote="meemaree

สงสัยว่าวิธีนี้จะเอามาผสมกับดูกราฟและดูงบบริษัทจะดีไม๊ครับ

วิธีใด ๆ ก็สุดแล้วแต่ความเชื่อของนักลงทุนแต่ละท่านครับ แต่ผมคิดว่าถ้าเรารักจะลงทุนแบบ vi แล้วเราต้องหามูลค่าให้ได้ครับ ถ้าหามูลค่าที่ซ่อนอยู่ไม่ได้เราก็ไม่ควรแม้แต่นิดที่จะเข้าไปลงทุนในบริษัทนั้น ๆ ครับ

ขอบคุณสำหรับ คห ครับ[/quote]

บางทีที่เห็นราคาเป้าหมายใกล้ๆกันอาจจะลอกการบ้านกันมาก็ได้นะครับ

ยังไม่พอครับ พอได้8 แล้ว

ให้คูณด้วย2 แล้วหารด้วย3 นั่นคือราคาเป้าที่แท้จริงครับ ถ้าซื้อเกินนั้นก็ตัวใครตัวมันครับ โอกาสตายมีสูง

ถ้าซื้อต่ำกว่านั้น ก็ไม่แน่ว่าจะรอด แค่เซฟกว่านิดหน่อย

วิเคราะห์เองดีกว่าครับ อย่างต้นปีที่แล้ว ตอนที่ SCC ราคา 90 ปลายๆ เค้าก็ให้ราคาเป้าหมาย SCC กันแถว 80 บาท ใครเชื่อขายก็      

ขอบคุณทุก คห ครับ

แสดงว่านักวิเคราะห์ตามโบรค เชื่อถือไม่ได้เหรอครับ ?

ลองอ่านดูดี ๆ นะครับ เขาไม่ได้บอกว่าเชื่อไม่ได้ เพียงแต่ราคาเป็นเรื่องสมมติครับ มูลค่าคือเรื่องจริง ที่พี่ถามมาถามเรื่องราคาอย่างเดียวเลยใช่ไหมครับ คำตอบที่เขาตอบกันเขาก็ต้องตอบเรื่องราคาละครับ จริง ๆ แล้ว broker นั้นแต่ละที่ก็มีข้อมูลที่ไม่เท่ากัน เพราะฉะนั้นก่อนที่เราจะดูราคาเราควรดูข้อมูลที่เขาเสนอเราก่อนจะได้ประโยชน์กว่าดูราคาไหมครับ แล้วจากนั้นเราก็เอาข้อมูลที่ได้มาแปลงเป็นข้อมูลที่เราต้องการเช่นกำไร หรือค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้น แล้วหามูลค่าออกมาด้วยตัวเอง ผมว่าเราทำแบบนี้จะเป็นเหตุผลกว่านะครับ เพราะการที่ broke เขาให้ราคาเขาก็คิดของเขา ลองคิดดูครับ DCF นี่ถ้าหาผิดนี่ราคาคนละโลกเลยนะครับ สมมติตัวแปรต่างกันนิดเดียว หรือจะเป็น PE ก็ไม่เหมือนกันอีก กำไรเท่ากัน แต่ ratio ที่ให้ไม่เท่ากัน ราคาก็ต่างกันอีก แล้วอย่างนี้ผมถามว่าเราควรเชื่อ broke หรือ เชื่อตัวเราเองดีครับ โชคดีในการลงทุนครับ

ผมจะมาเฉลยตรงนี้เลยนะครับ ว่าโบรคเขาคิดราคาเป้ากันยังไง

โบรค รับเงินจากการซื้อขายหุ้นนะครับ เขาต้องออกบทวิเคราะห์ให้คนซื้อขายกันเยอะๆ

เขาจะดูหุ้นที่คนนิยม หรือพอมีสภาพคล่องก่อน จากนั้นก็ดูกราฟ ถ้ามันขึ้น
เขาจะเอาราคาปัจจุบัน คูณ 1.5 ไปเลยครับ แล้วออกบทวิเคราะห์ซี้ซั้ว เอาข้อมูลอะไรมาแปะๆ เข้าไป

ถ้าราคาไหลลง ผมไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่ทั่วไป

คือ เอาเป้ามาก่อน แล้วหาหลักฐานมา ถ้าวิ่งแรงมาก ก็เอาเป้าสูงหน่อย แต่ไม่พ้นคูณ 1.5 เท่าไรหรอก

meemaree เขียน:ขอบคุณทุก คห ครับ

แสดงว่านักวิเคราะห์ตามโบรค เชื่อถือไม่ได้เหรอครับ ?

คืออย่างนี้ครับ ข้อมูลจากบทวิเคระห์ที่มันเป้น "fact" มีประโยชน์ครับ
ราคาเป้าหมายนั้นถ้าเราหามาได้เองจะทำให้เรามั่นใจกว่า(ดูวิธีคิดของโบรกก็ดีครับ)
บางที่ปรับเป้าหมายกันบ่อยๆ เดี๋ยวให้ขาย เดี่ยวให้ถือ เอ้าตูขายไปแล้วจะเอาที่ไหนมาถือฟ่ะ

วิธีคิดหามูลค่าหุ้นก็มีหลายแบบ หลายคนก็คิดได้ไม่เท่ากัน

ขอบคุณทุกท่านอีกครั้งครับ ยังเป็นมือใหม่
บางคำถามอาจจะดูง่ายๆสำหรับบางท่าน
คนใกล้ตัวผมไม่มีใครจะปรึกษาได้เลยครับ เลยอาจจะค่อยๆรู้ไปทีละอย่าง

ลองหาบทวิเคราะห์เก่าๆดูสิครับ ก่อนวิกฤติ ยังมี upside กันอยู่เลย พอตก หายจ้อยหมดเลย ไม่เชื่อเอาใกล้ดว่านีดนึง ตอนหุ้น....(ละไว้เอง)ขึ้นจากสามบาทกว่าๆเป็นสิบบาทต้นๆ มีกี่โบรกให้ซื้อต่อ เห็นมีแต่ให้ขาย ตอนนี้ยีสิบกว่าแล้ว ฉะนั้นคิดก่อนว่าหุ้นเราควรเป็นราคาไหน แล้วอ่านบทวิเคราะห์ทีหลังเผื่อมีอะไรที่เราไม่รู้ ส่วนราคา คิดเองแม่นกว่าเยอะ นะครับ ถ้าข้อมูลคุณแน่นพอ

meemaree เขียน:ขอบคุณทุก คห ครับ

แสดงว่านักวิเคราะห์ตามโบรค เชื่อถือไม่ได้เหรอครับ ?

ในเรื่องของราคาเป้าหมายโบรคอาจจะไม่ตรงเป๊ะหรอกครับ
      ผมว่าเราควรใช้ข้อมูลตรง คาดการ รายได้ กำไร และ EPS มาใช้ในการวิเคราะห์หุ้นน่าจะดีกว่า เพราะโบรคค่อนข้างจะเข้าถึงข้อมูลตรงนี้มากกว่าเรา
ที่สำคัญดูที่อัตราการเติบโตของเงินปันผลครับ(มันเป็นสิ่งที่จับต้องได้ครับ)ไม่ใช่ราคาหุ้นเป็นหลัก
      ผมคิดอย่างนี้ครับ สมมติซื้อหุ้น xxx ปันผล 40% ของกำไร เมื่อปี 2551 ราคา 10 บ. จำนวน 100,000 หุ้น EPS =2.5 จะได้ปันผล 1 บาท (=10% ของราคาซื้อ)
                                                                                                  ปี2552 ไม่ได้ซื้อหุ้นมาเพิ่ม EPS =3 จะได้ปันผล 1.2 บาท (=12% ของราคาตอนซื้อ)
                                                                                                  ปี2553 ไม่ได้ซื้อหุ้นมาเพิ่ม EPS =4 จะได้ปันผล 1.6 บาท (=16% ของราคาตอนซื้อ)
                                                                                                   ปี2554 ไม่ได้ซื้อหุ้นมาเพิ่ม EPS =5 จะได้ปันผล 2 บาท (=20% ของราคาตอนซื้อ)
                                                                                                   ปี2555 ไม่ได้ซื้อหุ้นมาเพิ่ม EPS =6 จะได้ปันผล 2.4 บาท (=24% ของราคาตอนซื้อ)
                                                                                                    ปี2555 ไม่ได้ซื้อหุ้นมาเพิ่ม EPS =7 จะได้ปันผล 2.8 บาท (=28% ของราคาตอนซื้อ)

ต้องคิดที่เงินทุนเราครับ หากเงินปันผล 2.8 บาทคิดกลับไปแล้วราคาหุ้นควรอยู่เท่าไหร่ถ้าต่ำกว่าที่ตั้งไว้ก็ควรซื้อเพิ่มใช่หรีอเปล่าครับ

ปล.เป็นสูตรส่วนตัวมั่วๆที่ใช้อยู่เป็นประจำ ผิดถูกขอให้ท่านผู้รู้โปรดชี้แนะ