ROE กับ PRICE มันไม่เกี่ยวกันเลยใช่หรือไม่
-
- Verified User
- โพสต์: 320
- ผู้ติดตาม: 0
ROE กับ PRICE มันไม่เกี่ยวกันเลยใช่หรือไม่
โพสต์ที่ 1
เห็นพี่ๆ หลายคน บอกว่า ให้เลือกบริษัทที่ ROE สูงๆ
แต่ที่เข้าใจคือ ตัว E มักจะไม่ค่อยเปลี่ยนแปลง
แต่ Profit มักเติบโตเรื่อยๆ ปีแล้วปีเล่า ดังนั้น ยิ่งบริษัทเก่าแก่ ROE ยิ่งสูงใช่หรือไม่ ??
แล้ว ROE สูงๆ ไม่ได้บอกว่า ราคาหุ้นถูกหรือแพงใช่หรือไม่
เพราะ มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับ price (ราคาหุ้น) เลย ??
ช่วยไข ข้อข้องใจด้วย
แต่ที่เข้าใจคือ ตัว E มักจะไม่ค่อยเปลี่ยนแปลง
แต่ Profit มักเติบโตเรื่อยๆ ปีแล้วปีเล่า ดังนั้น ยิ่งบริษัทเก่าแก่ ROE ยิ่งสูงใช่หรือไม่ ??
แล้ว ROE สูงๆ ไม่ได้บอกว่า ราคาหุ้นถูกหรือแพงใช่หรือไม่
เพราะ มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับ price (ราคาหุ้น) เลย ??
ช่วยไข ข้อข้องใจด้วย
-
- Verified User
- โพสต์: 760
- ผู้ติดตาม: 0
ROE กับ PRICE มันไม่เกี่ยวกันเลยใช่หรือไม่
โพสต์ที่ 3
ใช่แล้วครับ ROE ไม่ได้บอกว่าหุ้นถูกหรือแพงครับ แต่เป็นตัวบอกคุณภาพของบริษัทตัวหนึ่ง
ROE
-(กำไร / ส่วนของผู้ถือหุ้น) x 100 (หน่วยเป็น%)
มันจึงบอกถึงอัตราการทำกำไรจากเฉพาะส่วนของผู้ถือหุ้น
-ค่ายิ่งสูงยิ่งดี เสมือนกับว่าใช้เงินจากผู้ถือหุ้นน้อยแต่ไปทำกำไรได้คุ้มค่า
-ปกติค่าควรจะมากกว่า 10% หุ้นหรือบริษัทนั้น จึงค่อยน่าสนใจ
-แต่ค่าROE สูงจากหนี้สินมากได้จึงต้องระวัง
(อธิบายง่ายๆก็คือ ในบริษัทที่มีหนี้มาก กำไรที่ได้อาจไม่ต้องพึ่งพาเงินจากส่วนของผู้ถือหุ้น แต่อาศัยเงินกู้
หรือเงินจากหนี้สินมาลงทุนทำให้เกิดกำไรแทน จึงดูเหมือนว่าใช้เงินจากผู้ถือหุ้นน้อยแต่ได้กำไรมาก)
-ดังนั้นการดูคุณภาพของบริษัทว่ากิจการดีหรือไม่ จึงควรดูทั้ง ROE และ ROA ร่วมกัน และผลลัพธ์ค่าออกมาต้องสูงทั้งคู่ถึงจะดีจริง
(ปกติทั้ง ROEและROA ผลควรจะ>10% ทั้งคู่)
แต่การเลือกหุ้นต้องดูมากว่านี้อีกมากๆนะครับ เช่น ROE + ROA ต้องสูงติดต่อกันหลายปี และปัจจัยอื่นๆอีกมาก
ROE
-(กำไร / ส่วนของผู้ถือหุ้น) x 100 (หน่วยเป็น%)
มันจึงบอกถึงอัตราการทำกำไรจากเฉพาะส่วนของผู้ถือหุ้น
-ค่ายิ่งสูงยิ่งดี เสมือนกับว่าใช้เงินจากผู้ถือหุ้นน้อยแต่ไปทำกำไรได้คุ้มค่า
-ปกติค่าควรจะมากกว่า 10% หุ้นหรือบริษัทนั้น จึงค่อยน่าสนใจ
-แต่ค่าROE สูงจากหนี้สินมากได้จึงต้องระวัง
(อธิบายง่ายๆก็คือ ในบริษัทที่มีหนี้มาก กำไรที่ได้อาจไม่ต้องพึ่งพาเงินจากส่วนของผู้ถือหุ้น แต่อาศัยเงินกู้
หรือเงินจากหนี้สินมาลงทุนทำให้เกิดกำไรแทน จึงดูเหมือนว่าใช้เงินจากผู้ถือหุ้นน้อยแต่ได้กำไรมาก)
-ดังนั้นการดูคุณภาพของบริษัทว่ากิจการดีหรือไม่ จึงควรดูทั้ง ROE และ ROA ร่วมกัน และผลลัพธ์ค่าออกมาต้องสูงทั้งคู่ถึงจะดีจริง
(ปกติทั้ง ROEและROA ผลควรจะ>10% ทั้งคู่)
แต่การเลือกหุ้นต้องดูมากว่านี้อีกมากๆนะครับ เช่น ROE + ROA ต้องสูงติดต่อกันหลายปี และปัจจัยอื่นๆอีกมาก
- จุดแข็งทางธุรกิจที่เลียนแบบได้ยาก มักต้องใช้ระยะเวลายาวนานในการสร้างและเพาะบ่มเสมอ ไม่สามารถเนรมิตได้ด้วยเงิน (สุมาอี้)
- จะเก่ง จะรวยหุ้น ก็ต้องใช้เวลาเพาะบ่มเช่นกัน เป็นวีไอ ต้องมี ศรัทธา ขยัน ประหยัด และ อดทน ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ ย่อมไม่ได้มาง่ายๆ
- จะเก่ง จะรวยหุ้น ก็ต้องใช้เวลาเพาะบ่มเช่นกัน เป็นวีไอ ต้องมี ศรัทธา ขยัน ประหยัด และ อดทน ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ ย่อมไม่ได้มาง่ายๆ
- Goldenpig
- Verified User
- โพสต์: 79
- ผู้ติดตาม: 0
ROE กับ PRICE มันไม่เกี่ยวกันเลยใช่หรือไม่
โพสต์ที่ 4
E ไม่ค่อยเปลี่ยนแปลง
ยิ่งบริษัทเก่า ROE ยิ่งสูง
E-Equity ต้องรวมกำไรสะสมเ้ข้าไปด้วย
ดังนั้น E ก็เปลี่ยนแปลงไปเรือ่ยครับ
บริษัทยิ่งเก่า ถ้ามีกำไรสะสมเยอะ
E ก็เพิ่มตาม ฐานในการคิด ROE ก็สูงตามด้วย
ปล.คิดเอาเองทั้งหมด ผิดถูก ติได้เลยครับ
ยิ่งบริษัทเก่า ROE ยิ่งสูง
E-Equity ต้องรวมกำไรสะสมเ้ข้าไปด้วย
ดังนั้น E ก็เปลี่ยนแปลงไปเรือ่ยครับ
บริษัทยิ่งเก่า ถ้ามีกำไรสะสมเยอะ
E ก็เพิ่มตาม ฐานในการคิด ROE ก็สูงตามด้วย
ปล.คิดเอาเองทั้งหมด ผิดถูก ติได้เลยครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 760
- ผู้ติดตาม: 0
ROE กับ PRICE มันไม่เกี่ยวกันเลยใช่หรือไม่
โพสต์ที่ 5
ตอบคุณ glodenpig
E เพิ่ม แต่ถ้ากำไรสุทธิ (net profit) ไม่เพิ่มตาม ROE ก็ตำได้ครับ
บริษัทยิ่งมีส่วนของผู้ถือหุ้นมากๆยิ่งต้องทำไรให้ได้มากๆตามจึงจะคงระดับ ROE ไว้ได้ครับ
E เพิ่ม แต่ถ้ากำไรสุทธิ (net profit) ไม่เพิ่มตาม ROE ก็ตำได้ครับ
บริษัทยิ่งมีส่วนของผู้ถือหุ้นมากๆยิ่งต้องทำไรให้ได้มากๆตามจึงจะคงระดับ ROE ไว้ได้ครับ
- จุดแข็งทางธุรกิจที่เลียนแบบได้ยาก มักต้องใช้ระยะเวลายาวนานในการสร้างและเพาะบ่มเสมอ ไม่สามารถเนรมิตได้ด้วยเงิน (สุมาอี้)
- จะเก่ง จะรวยหุ้น ก็ต้องใช้เวลาเพาะบ่มเช่นกัน เป็นวีไอ ต้องมี ศรัทธา ขยัน ประหยัด และ อดทน ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ ย่อมไม่ได้มาง่ายๆ
- จะเก่ง จะรวยหุ้น ก็ต้องใช้เวลาเพาะบ่มเช่นกัน เป็นวีไอ ต้องมี ศรัทธา ขยัน ประหยัด และ อดทน ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ ย่อมไม่ได้มาง่ายๆ
- sai
- Verified User
- โพสต์: 4090
- ผู้ติดตาม: 0
ROE กับ PRICE มันไม่เกี่ยวกันเลยใช่หรือไม่
โพสต์ที่ 6
เข้าใจว่าไม่ใช่นะครับ roe คือ กำไรต่อส่วนของผู้ถือหุ้นครับ หรือคือ กำไรสุทธิหารด้วยส่วนของผู้ถือหุ้น นั่นเองครับ ตัวเลขตัวนี้ค่อนข้างสำคัญมากกับนักลงทุนที่ลงทุนระยะยาว เพราะจะสะท้อนถึงการใช้เงินทุนของบริษัทครับว่ากำไรที่เก็บไว้สามารถนำไปต่อยอดได้ผลตอบแทนที่เท่าไรGoldenpig เขียน:E ไม่ค่อยเปลี่ยนแปลง
ยิ่งบริษัทเก่า ROE ยิ่งสูง
E-Equity ต้องรวมกำไรสะสมเ้ข้าไปด้วย
ดังนั้น E ก็เปลี่ยนแปลงไปเรือ่ยครับ
บริษัทยิ่งเก่า ถ้ามีกำไรสะสมเยอะ
E ก็เพิ่มตาม ฐานในการคิด ROE ก็สูงตามด้วย
ปล.คิดเอาเองทั้งหมด ผิดถูก ติได้เลยครับ
Small Details Make a Big Difference
-
- Verified User
- โพสต์: 760
- ผู้ติดตาม: 0
ROE กับ PRICE มันไม่เกี่ยวกันเลยใช่หรือไม่
โพสต์ที่ 8
ROE สูงขนาด 60% หาได้น้อยนะ มีหนี้มากแน่ๆ มั้ง ดูหนี้ก่อนนะครับก่อนซื้อ
- จุดแข็งทางธุรกิจที่เลียนแบบได้ยาก มักต้องใช้ระยะเวลายาวนานในการสร้างและเพาะบ่มเสมอ ไม่สามารถเนรมิตได้ด้วยเงิน (สุมาอี้)
- จะเก่ง จะรวยหุ้น ก็ต้องใช้เวลาเพาะบ่มเช่นกัน เป็นวีไอ ต้องมี ศรัทธา ขยัน ประหยัด และ อดทน ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ ย่อมไม่ได้มาง่ายๆ
- จะเก่ง จะรวยหุ้น ก็ต้องใช้เวลาเพาะบ่มเช่นกัน เป็นวีไอ ต้องมี ศรัทธา ขยัน ประหยัด และ อดทน ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ ย่อมไม่ได้มาง่ายๆ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1317
- ผู้ติดตาม: 0
My House
โพสต์ที่ 9
roe เป็นค่าที่ใช้ตรวจสอบคุณภาพของบริษัทในเรื่องการเติบโตของกำไรและอาจใช้ดูว่าบริษัทเขาจะมีการเพิ่มทุนในอนาคตหรือไม่
การเติบโตของกำไรที่บริษัททำได้ในระยะยาวจะเท่ากับค่า roe โดยบริษัทนั้นไม่จ่ายปันผลเลย
ดังนั้นหากบริษัทหนึ่งๆมี roe 20% ไม่จ่ายปันผลเลย แสดงว่าการเติบโตของกำไรของบริษัทนั้นจะเท่ากับ 20% ถ้าเราพบว่าการเติบโตของกำไรบริษัทนั้นทำได้น้อยกว่า 20% แสดงว่าบริษัทนำส่วนของทุนมาใช้ได้ไม่คุ้มค่า และถ้าบริษัทนั้นบอกคุณว่าเขาจะโต 25% ทั้งๆที่เขามี roe แค่ 20% แสดงว่าไม่ช้าไม่นานบริษัทนั้นเขาอาจจะมีการเพิ่มทุน!!!
ส่วน roe จะเกี่ยวกับเรื่องราคา หรือไม่นั้น คงเกี่ยวทางอ้อมครับ เพราะถ้าบริษัทมีค่า roe สูงติดต่อกันมาสัก 5 ปี (โดยไม่มีหนี้สิน) มันแสดงได้ว่า บริษัทเขามีการเติบโตของกำไรสูง!!ติดต่อกันทุกปี
การเติบโตของกำไรของบริษัทนั้นเป็นสิ่งที่นักลงทุนคาดหวังอยู่แล้ว และยิ่งมีการเติบโตที่สูงหรือสูงขึ้นทุกปีๆ มันเป็นสิ่งที่บอกได้ว่าราคาหุ้นของบริษัทนั้นๆน่าจะสูงขึ้นทุกปีๆ เช่นเดียวกัน
การเติบโตของกำไรที่บริษัททำได้ในระยะยาวจะเท่ากับค่า roe โดยบริษัทนั้นไม่จ่ายปันผลเลย
ดังนั้นหากบริษัทหนึ่งๆมี roe 20% ไม่จ่ายปันผลเลย แสดงว่าการเติบโตของกำไรของบริษัทนั้นจะเท่ากับ 20% ถ้าเราพบว่าการเติบโตของกำไรบริษัทนั้นทำได้น้อยกว่า 20% แสดงว่าบริษัทนำส่วนของทุนมาใช้ได้ไม่คุ้มค่า และถ้าบริษัทนั้นบอกคุณว่าเขาจะโต 25% ทั้งๆที่เขามี roe แค่ 20% แสดงว่าไม่ช้าไม่นานบริษัทนั้นเขาอาจจะมีการเพิ่มทุน!!!
ส่วน roe จะเกี่ยวกับเรื่องราคา หรือไม่นั้น คงเกี่ยวทางอ้อมครับ เพราะถ้าบริษัทมีค่า roe สูงติดต่อกันมาสัก 5 ปี (โดยไม่มีหนี้สิน) มันแสดงได้ว่า บริษัทเขามีการเติบโตของกำไรสูง!!ติดต่อกันทุกปี
การเติบโตของกำไรของบริษัทนั้นเป็นสิ่งที่นักลงทุนคาดหวังอยู่แล้ว และยิ่งมีการเติบโตที่สูงหรือสูงขึ้นทุกปีๆ มันเป็นสิ่งที่บอกได้ว่าราคาหุ้นของบริษัทนั้นๆน่าจะสูงขึ้นทุกปีๆ เช่นเดียวกัน
-
- Verified User
- โพสต์: 18364
- ผู้ติดตาม: 1
ROE กับ PRICE มันไม่เกี่ยวกันเลยใช่หรือไม่
โพสต์ที่ 10
ROE เป็นตัวที่ดูตัว การเจริญเติบโตของกิจการได้ตัวหนึ่งเลยอ่ะ
แต่ระวังเรื่องการใช้ตัว ROE ไว้หน่อยว่าต้องรู้ว่ากิจการนั้นมีการใช้แหล่งของเงินทุนอย่างไงประกอบด้วย
เดี๋ยวเจอว่า ROE มันสูงจังเลย แต่รู้ไหมว่า โครงสร้างที่สูงนั้นคือ
กิจการออกแนว โตแบบเดือดมากๆๆ หัวก้าวหน้า
แต่ระวังเรื่องการใช้ตัว ROE ไว้หน่อยว่าต้องรู้ว่ากิจการนั้นมีการใช้แหล่งของเงินทุนอย่างไงประกอบด้วย
เดี๋ยวเจอว่า ROE มันสูงจังเลย แต่รู้ไหมว่า โครงสร้างที่สูงนั้นคือ
กิจการออกแนว โตแบบเดือดมากๆๆ หัวก้าวหน้า
- SunShine@Night
- Verified User
- โพสต์: 2196
- ผู้ติดตาม: 0
ROE กับ PRICE มันไม่เกี่ยวกันเลยใช่หรือไม่
โพสต์ที่ 11
สำหรับผม
ต้องดู PB ประกอบด้วยครับ
ต้องดู PB ประกอบด้วยครับ
VI ฝึกหัด สำนักปีเตอร์ ลินช์
หวังผลต่อแทนทบต้นมากกว่า 15% ต่อปี
หวังผลต่อแทนทบต้นมากกว่า 15% ต่อปี
- kin
- Verified User
- โพสต์: 668
- ผู้ติดตาม: 0
ROE กับ PRICE มันไม่เกี่ยวกันเลยใช่หรือไม่
โพสต์ที่ 12
ผมเห็นด้วยครับ บางบริษัท ROE ต่ำ แต่จะสังเกตว่า p/b ก็ต่ำมาก ซึ่งเป็นไปได้ว่าบริษัทมีสินทรัพย์ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการดำเนินกิจการแฝงอยู่ ถ้าจะคิดให้ถูก ต้องลองตัดสินทรัพย์ส่วนนั้นออกไปก่อน ค่า ROE ที่แท้จริงของบริษัทอาจสูงกว่าที่เห็นมาก และถือเป็นโอกาสลงทุนของเรา เนื่องจากไม่ค่อยมีใครสังเกตSunShine@Night เขียน:สำหรับผม
ต้องดู PB ประกอบด้วยครับ
- aviruth
- Verified User
- โพสต์: 334
- ผู้ติดตาม: 0
ROE กับ PRICE มันไม่เกี่ยวกันเลยใช่หรือไม่
โพสต์ที่ 13
หากกำไรสูง ROE ก็สูงตามบางบริษัทมีการขายทรัพย์สินออกไป ROE ก็เลยสูง ต้องเข้าไปดูด้วยว่ากำไรมาจากใหน บางบริษัท ROE สูงแค่ชัวคราวในยามวัฐจักรขาขึ้น ต้องดูด้วยว่า ROE สม่ำเสมอเหรือไม่
อย่าคาดหวังผลลัพธ์ที่แตกต่างด้วยการทำแบบเดิม
-
- Verified User
- โพสต์: 480
- ผู้ติดตาม: 0
ROE กับ PRICE มันไม่เกี่ยวกันเลยใช่หรือไม่
โพสต์ที่ 14
การใช้ตัวเลข ROE ในการประเมินความน่าสนใจลงทุน ควรดูที่แนวโน้มและความสม่ำเสมอด้วยครับ ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญมากไม่แพ้ตัวเลขที่สูงหรือต่ำเพียงอย่างเดียว บริษัทที่สามารถรักษาระดับการเติบโตหรือคงระดับตัวเลขสูงไว้ได้ในระยะยาวจึงเป็นบริษัทที่น่าสนใจครับ
The miracle of compounding,
- yoyo
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 4833
- ผู้ติดตาม: 1
ROE กับ PRICE มันไม่เกี่ยวกันเลยใช่หรือไม่
โพสต์ที่ 15
เอามาให้ดูเล่นๆครับ หุ้น ppd ที่อเมริกา
roe ประมาณ 100% สม่ำเสมอ
กำไรสม่ำเสมอ หนี้ที่มีก็เป็นหนี้จากการดำเนินงานทั่วไป ไม่มีหนี้ที่มีดอกเบี้ย
บริษัทสร้างกระแสเงินสดได้ดีมาก จนปันผลออกมาเรื่อย ซื้อหุ้นคืนเรื่อยๆ จน equity ลดเอาๆ แต่ยังสร้างกำไรได้อย่างต่อเนื่อง
roe ประมาณ 100% สม่ำเสมอ
กำไรสม่ำเสมอ หนี้ที่มีก็เป็นหนี้จากการดำเนินงานทั่วไป ไม่มีหนี้ที่มีดอกเบี้ย
บริษัทสร้างกระแสเงินสดได้ดีมาก จนปันผลออกมาเรื่อย ซื้อหุ้นคืนเรื่อยๆ จน equity ลดเอาๆ แต่ยังสร้างกำไรได้อย่างต่อเนื่อง
การลงทุนที่มีค่าที่สุด คือการลงทุนในความรู้
http://www.yoyoway.com
http://www.yoyoway.com
- unnop.t
- Verified User
- โพสต์: 924
- ผู้ติดตาม: 1
ROE กับ PRICE มันไม่เกี่ยวกันเลยใช่หรือไม่
โพสต์ที่ 16
:shock:yoyo เขียน:เอามาให้ดูเล่นๆครับ หุ้น ppd ที่อเมริกา
roe ประมาณ 100% สม่ำเสมอ
กำไรสม่ำเสมอ หนี้ที่มีก็เป็นหนี้จากการดำเนินงานทั่วไป ไม่มีหนี้ที่มีดอกเบี้ย
บริษัทสร้างกระแสเงินสดได้ดีมาก จนปันผลออกมาเรื่อย ซื้อหุ้นคืนเรื่อยๆ จน equity ลดเอาๆ แต่ยังสร้างกำไรได้อย่างต่อเนื่อง
ไม่คิดว่าจะมีบริษัแบบนี้ในโลกเลย ทึ่งมาก ๆ แสดงว่าเป็นบริษัทที่เติบโตได้โดยแทบจะไม่ต้องการเงินทุนภายนอกเลย น่าแปลกใจตรงที่น่าจะมีคู่แข่งเข้ามาแย่งตลาดเพราะธุรกิจสร้างผลตอบแทนดีมาก ๆ หรือไม่ก็บริษัทแทบจะเป็น monopoly และมี DCA มาก ๆ
ตลาดหุ้นมักจะหลอกเราด้วย ความโลภ และความกลัว.....
-
- Verified User
- โพสต์: 1980
- ผู้ติดตาม: 0
ROE กับ PRICE มันไม่เกี่ยวกันเลยใช่หรือไม่
โพสต์ที่ 17
[quote="myway"]หาก ROE สูง 60% นี่
The mother of all evils is speculation, leverage debt. Bottom line, is borrowing to the hilt. And I hate to tell you this, but it's a bankrupt business model. It won't work. It's systemic, malignant, and it's global, like cancer.
-
- Verified User
- โพสต์: 108
- ผู้ติดตาม: 0
ROE กับ PRICE มันไม่เกี่ยวกันเลยใช่หรือไม่
โพสต์ที่ 20
ROE (ต่อ)
เมื่อบริษัทใดๆ ก็ตามทำธุรกิจมีกำไร บริษัทมีทางเลือกหลักอยู่ 4 ทางในการจัดสรรเงินดังกล่าว ได้แก่
1. เก็บเงินไว้ลงทุนต่อ - ถ้าบริษัทมีแผนในการลงทุนและคิดว่าการเก็บกำไรเอาไว้ลงทุนต่อจะทำให้บริษัทมีกำไรในอนาคตที่ดีขึ้นก็เป็นทางเลือกที่ดี
2. เก็บเงินไว้จ่ายคืนหนี้ - ถ้าบริษัทมีหนี้สินมากเกินไป หรือภาระดอกเบี้ยสูงซึ่งทำให้บริษัทความเสี่ยงมาก บริษัทก็ควรเก็บเงินบางส่วนไว้จ่ายคืนหนี้สินเพื่อลดภาระดอกเบี้ยและลดความเสี่ยง
3. จ่ายออกมาเป็นเงินปันผล - ถ้าบริษัทไม่มีแผนในการใช้เงินลงทุน การจ่ายเงินสดคืนออกมาให้กับผู้ถือหุ้นก็เป็นทางเลือกที่ดี เพราะการที่บริษัทเก็บเงินสดไว้กับบริษัทมากๆ โดยเอาเงินไปฝากธนาคารจะให้ผลตอบแทนที่ต่ำ สู้จ่ายออกมาเป็นเงินปันผล แล้วให้ผู้ถือหุ้นเอาเงินไปลงทุนต่อเองจะดีกว่า
4. ซื้อหุ้นคืน - กรณีที่บริษัทมีเงินสดเหลือและไม่มีแผนในการลงทุน พร้อมกับการที่ราคาหุ้นของบริษัทนั้นมีมูลค่าต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง บริษัทนั้นอาจจะกำไรที่เหลือมาซื้อหุ้นของบริษัทคืน เพื่อทำให้จำนวนหุ้นน้อยลง กำไรต่อหุ้นก็จะดีขึ้น รวมถึงปันผลในอนาคตก็จะสูงขึ้นเพราะตัวหารน้อยลง
ทางเลือกทั้ง 4 วิธีนั้นสามารถแสดงถึงวิธีการบริหารจัดการกับเงินของบริษัทได้เป็นอย่างดี และทางเลือกทั้ง 4 นั้นก็มีผลกระทบกับค่า ROE โดยแสดงเป็นตัวอย่างได้ดังนี้
บริษัท A - อยู่ในธุรกิจที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง บริษัทเห็นว่าการเก็บผลกำไรไว้ลงทุนต่อจะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า บริษัทจึงไม่จ่ายเงินปันผลออกมาและเก็บเงินไปลงทุนทั้งหมด ถ้าเราดูจาก ROE จะเห็นว่าค่า E จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆเพราะบริษัทกำไรจะไปทำให้ E เพิ่มขึ้น (เพราะบริษัทไม่ได้จ่ายเป็นเงินปันผลออกมา) แต่ในขณะเดียวกันเมื่อบริษัทลงทุนเพิ่มขึ้นรายได้ก็เพิ่มขึ้น กำไร (Return) ก็เพิ่มขึ้น เพราะฉะนั้น ROE ของบริษัท A จะยังคงสูงต่อไป ตราบใดก็ตามที่บริษัท A สามารถนำไปลงทุนได้อย่างเหมาะสม (สูงกว่าค่า ROE เดิมของบริษัท) หุ้น A จะถือว่าเป็นหุ้น Growth Stock ที่น่าลงทุนตัวหนึ่ง
บริษัท B - อยู่ในธุรกิจที่ผ่านช่วงลงทุนครั้งใหญ่มาไม่นาน ในอดีตบริษัทต้องลงทุนขยายกำลังการผลิตครั้งใหญ่เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการสินค้าของบริษัทจนทำให้ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาบริษัทต้องกู้หนี้ยืมสิ้นเป็นจำนวนมากทำให้อัตราส่วน D/E ของบริษัทเพิ่มสูงขึ้นถึง 2.5 เท่า บริษัทเห็นว่าการมีหนี้สินมากจะทำให้ความเสียงของบริษัทนั้นสูงเกินไป บริษัทจึงเก็บผลกำไรไว้คืนหนี้สิ้นเพื่อลด D/E ลงให้อยู่ในระดับที่ยอมรับได้ จะเห็นว่าทางเลือกนี้ทำให้ค่า E เพิ่มขึ้น (เพราะกำไรแล้วไม่จ่ายออกมาเป็นปันผล) แต่อย่างไรก็ ทั่วไปเมื่อบริษัทมีการลงทุนครั้งใหญ่แนวโน้มรายได้ของบริษัทมักจะอยู่ในช่วงขาขึ้น (ถ้าบริษัทคาดการณ์ถูก) ทำให้กำไรมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นค่า ROE ก็จะคงอยู่ในระดับสูง การคืนหนี้ก็จะทำให้บริษัทนั้นมีผลตอบแทนที่ดีในระดับความเสี่ยงที่ลดลงได้ บริษัท B นั้นจะเห็นตัวอย่างได้ชัดเจนจากหุ้น cycle ในช่วงต้อนๆของวงจรขาขึ้นบริษัทจะลงทุนเป็นจำนวนมาก แล้วค่อยมาคืนหนี้ทีหลัง ถ้าทุกอย่างเป็นไปตามที่คาดหุ้น B ก็น่าลงทุนไม่น้อยเหมือนกัน
บริษัท C - อยู่ในธุรกิจที่อิ่มตัวแล้ว แทบไม่มีการเติบโต รายได้และกำไรคงที่มาหลายปี แต่ในขณะเดียวกันเมื่อบริษัทไม่เห็นการเติบโตบริษัทจึงไม่จำเป็นต้องลงทุนเพิ่มเติมทำให้สามารถจ่ายปันผลได้ 100% ถึงแม้ว่ากำไรจะไม่เพิ่ม (R คงที่) แต่ค่า E ก็ไม่เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน (ได้กำไรมาเท่าไหร่ก็จ่ายปันผลหมด จึงไม่มีสะสมเป็นกำไร) ค่า ROE ก็จะคงที่ต่อไป ถ้า ROE ของบริษัทอยู่ในระดับสูงอย่างต่อเนื่องเช่น 15% ติดต่อกันนานๆ หุ้น C จะจัดได้ว่าเป็นหุ้นปันผลที่น่าลงทุนอีกตัวหนึ่ง
บริษัท D - เหมือนกับบริษัท C ทุกประการ แต่เนื่องจากผู้บริหารเห็นว่าหุ้น D ในกระดานนั้นมีราคาถูกมาก แทนที่บริษัทจะจ่ายออกมาเป็นเงินปันผล บริษัทจึงซื้อหุ้นคืนจากตลาดแทน การซื้อหุ้นคืนนั้นทำให้ส่วนทุนนั้นลดลง (ค่า E ลดลง) ถ้าบริษัทซื้อหุ้นคืนทุกปีโดยใช้เงินเท่ากับกำไรที่ทำได้ในแต่ละปีค่า E จะคงที่ไปเรื่อยๆ ถึงแม้ค่า R จะไม่เพิ่มขึ้น แต่ ROE ของบริษัทจะยังคงอยู่ในระดับเดิมได้ต่อไป
ถ้าหุ้นทั้ง 4 ตัวนั้นมีค่า ROE ที่สูงอยู่แล้ว และบริษัทสามารถใช้ทางเลือกทั้ง 4 ในการบริษัทเงินเพื่อทำให้ค่า ROE ไม่ลดต่ำลงจากเดิมได้ หุ้นทั้ง 4 ตัวนั้นจะจัดได้ว่าเป็นหุ้นที่น่าลงทุนได้ทั้งหมด
วันนี้ดูเรื่องจะค่อนข้างซับซ้อนหน่อยนะครับ ผมพยายามหาทางอธิบายให้ง่ายแล้วก็ยังทำได้เต็มที่แค่นี้ ถ้าให้พูดให้ฟังอาจจะเข้าใจง่ายกว่า พิมพ์เองมันช้า เอาว่าถ้าใครสงสัยส่วนไหนลองถามๆกันมาดูนะครับ
ROE กับ D/E
มีแถมให้อีกหน่อย เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของ ROE กับ D/E ซึ่งคงหาอ่านจากหนังสือทั่วไปไม่ได้นะครับ เพราะผมคิดของผมเอง ...
ปกติผมจะชอบลงทุนในหุ้นที่มีค่า ROE อยู่ในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง เพราะอย่างที่กล่าวไปว่าค่า ROE ที่สูงสม่ำเสมอนั้นแสดงให้เห็นว่าบริษัทใช้เงินได้อย่างเหมาะสม แต่อย่างไรก็ตามอาจจะมีบางบริษัทที่สามารถทำให้ค่า ROE นั้นสูงได้โดยการกู้เงินมาลงทุนเยอะๆ การกู้เงินเยอะขึ้นจะทำให้ค่า D/E (dept/equity) สูงซึ่งค่า D/E นี้แสดงถึงความเสี่ยงทางการเงินของบริษัท เมื่อเข้ามาลงทุนหลายๆคนคงจะได้ยินที่เค้าบอกกันว่า "High Risk High Return" กันใช่ไหมครับ ในการวิเคราะห์บริษัทเองผมก็ให้ความสำคัญกับประโยคนี้เช่นกัน คือถ้าบริษัทมีค่า D/E ที่สูง บริษัทก็ควรจะมีค่า ROE ที่เพิ่มสูงขึ้นด้วย แต่ถ้าผมไปเจอบริษัทไหนที่มีแนวโน้มค่า D/E สูงขึ้นเรื่อยๆ แล้ว ROE นั้นไม่เพิ่มขึ้น (อาจจะคงที่หรือลดลง) ผมจะถือว่าเป็นหุ้นที่ควรระวัง เพราะค่า D/E ที่สูงแสดงว่า High Risk ถ้า ROE ไม่เพิ่มขึ้น แสดงว่า Low Return หุ้นแบบนี้หลีกเลี่ยงไว้ดีกว่า แต่ในทางกลับกันถ้าเจอหุ้นที่ D/E ลดลงแต่ ROE เพิ่มขึ้น แบบนี้ต้องรีบตระครุบเอาไว้เพราะเราจะได้หุ้น Low Risk High Return มาประดับ Port
ปล. ค่า ROE ในแต่ละปีอาจจะผันผวนได้พอสมควร เพราะฉะนั้นเราไม่ควรให้ค่า ROE รายปีมาหลอกเราได้ ควรจะตรวจสอบย้อนหลังไปหลายๆปีเพื่อให้เห็นแนวโน้มของมัน จะได้นำมาใช้ได้ถูกต้อง
:lol: เอาของพี่yoyo มาแบ่งกันอ่านครับ ลองเสริชดูในนี้ก็ได้ครับ อ่านดูครับ :lol:
เมื่อบริษัทใดๆ ก็ตามทำธุรกิจมีกำไร บริษัทมีทางเลือกหลักอยู่ 4 ทางในการจัดสรรเงินดังกล่าว ได้แก่
1. เก็บเงินไว้ลงทุนต่อ - ถ้าบริษัทมีแผนในการลงทุนและคิดว่าการเก็บกำไรเอาไว้ลงทุนต่อจะทำให้บริษัทมีกำไรในอนาคตที่ดีขึ้นก็เป็นทางเลือกที่ดี
2. เก็บเงินไว้จ่ายคืนหนี้ - ถ้าบริษัทมีหนี้สินมากเกินไป หรือภาระดอกเบี้ยสูงซึ่งทำให้บริษัทความเสี่ยงมาก บริษัทก็ควรเก็บเงินบางส่วนไว้จ่ายคืนหนี้สินเพื่อลดภาระดอกเบี้ยและลดความเสี่ยง
3. จ่ายออกมาเป็นเงินปันผล - ถ้าบริษัทไม่มีแผนในการใช้เงินลงทุน การจ่ายเงินสดคืนออกมาให้กับผู้ถือหุ้นก็เป็นทางเลือกที่ดี เพราะการที่บริษัทเก็บเงินสดไว้กับบริษัทมากๆ โดยเอาเงินไปฝากธนาคารจะให้ผลตอบแทนที่ต่ำ สู้จ่ายออกมาเป็นเงินปันผล แล้วให้ผู้ถือหุ้นเอาเงินไปลงทุนต่อเองจะดีกว่า
4. ซื้อหุ้นคืน - กรณีที่บริษัทมีเงินสดเหลือและไม่มีแผนในการลงทุน พร้อมกับการที่ราคาหุ้นของบริษัทนั้นมีมูลค่าต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง บริษัทนั้นอาจจะกำไรที่เหลือมาซื้อหุ้นของบริษัทคืน เพื่อทำให้จำนวนหุ้นน้อยลง กำไรต่อหุ้นก็จะดีขึ้น รวมถึงปันผลในอนาคตก็จะสูงขึ้นเพราะตัวหารน้อยลง
ทางเลือกทั้ง 4 วิธีนั้นสามารถแสดงถึงวิธีการบริหารจัดการกับเงินของบริษัทได้เป็นอย่างดี และทางเลือกทั้ง 4 นั้นก็มีผลกระทบกับค่า ROE โดยแสดงเป็นตัวอย่างได้ดังนี้
บริษัท A - อยู่ในธุรกิจที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง บริษัทเห็นว่าการเก็บผลกำไรไว้ลงทุนต่อจะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า บริษัทจึงไม่จ่ายเงินปันผลออกมาและเก็บเงินไปลงทุนทั้งหมด ถ้าเราดูจาก ROE จะเห็นว่าค่า E จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆเพราะบริษัทกำไรจะไปทำให้ E เพิ่มขึ้น (เพราะบริษัทไม่ได้จ่ายเป็นเงินปันผลออกมา) แต่ในขณะเดียวกันเมื่อบริษัทลงทุนเพิ่มขึ้นรายได้ก็เพิ่มขึ้น กำไร (Return) ก็เพิ่มขึ้น เพราะฉะนั้น ROE ของบริษัท A จะยังคงสูงต่อไป ตราบใดก็ตามที่บริษัท A สามารถนำไปลงทุนได้อย่างเหมาะสม (สูงกว่าค่า ROE เดิมของบริษัท) หุ้น A จะถือว่าเป็นหุ้น Growth Stock ที่น่าลงทุนตัวหนึ่ง
บริษัท B - อยู่ในธุรกิจที่ผ่านช่วงลงทุนครั้งใหญ่มาไม่นาน ในอดีตบริษัทต้องลงทุนขยายกำลังการผลิตครั้งใหญ่เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการสินค้าของบริษัทจนทำให้ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาบริษัทต้องกู้หนี้ยืมสิ้นเป็นจำนวนมากทำให้อัตราส่วน D/E ของบริษัทเพิ่มสูงขึ้นถึง 2.5 เท่า บริษัทเห็นว่าการมีหนี้สินมากจะทำให้ความเสียงของบริษัทนั้นสูงเกินไป บริษัทจึงเก็บผลกำไรไว้คืนหนี้สิ้นเพื่อลด D/E ลงให้อยู่ในระดับที่ยอมรับได้ จะเห็นว่าทางเลือกนี้ทำให้ค่า E เพิ่มขึ้น (เพราะกำไรแล้วไม่จ่ายออกมาเป็นปันผล) แต่อย่างไรก็ ทั่วไปเมื่อบริษัทมีการลงทุนครั้งใหญ่แนวโน้มรายได้ของบริษัทมักจะอยู่ในช่วงขาขึ้น (ถ้าบริษัทคาดการณ์ถูก) ทำให้กำไรมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นค่า ROE ก็จะคงอยู่ในระดับสูง การคืนหนี้ก็จะทำให้บริษัทนั้นมีผลตอบแทนที่ดีในระดับความเสี่ยงที่ลดลงได้ บริษัท B นั้นจะเห็นตัวอย่างได้ชัดเจนจากหุ้น cycle ในช่วงต้อนๆของวงจรขาขึ้นบริษัทจะลงทุนเป็นจำนวนมาก แล้วค่อยมาคืนหนี้ทีหลัง ถ้าทุกอย่างเป็นไปตามที่คาดหุ้น B ก็น่าลงทุนไม่น้อยเหมือนกัน
บริษัท C - อยู่ในธุรกิจที่อิ่มตัวแล้ว แทบไม่มีการเติบโต รายได้และกำไรคงที่มาหลายปี แต่ในขณะเดียวกันเมื่อบริษัทไม่เห็นการเติบโตบริษัทจึงไม่จำเป็นต้องลงทุนเพิ่มเติมทำให้สามารถจ่ายปันผลได้ 100% ถึงแม้ว่ากำไรจะไม่เพิ่ม (R คงที่) แต่ค่า E ก็ไม่เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน (ได้กำไรมาเท่าไหร่ก็จ่ายปันผลหมด จึงไม่มีสะสมเป็นกำไร) ค่า ROE ก็จะคงที่ต่อไป ถ้า ROE ของบริษัทอยู่ในระดับสูงอย่างต่อเนื่องเช่น 15% ติดต่อกันนานๆ หุ้น C จะจัดได้ว่าเป็นหุ้นปันผลที่น่าลงทุนอีกตัวหนึ่ง
บริษัท D - เหมือนกับบริษัท C ทุกประการ แต่เนื่องจากผู้บริหารเห็นว่าหุ้น D ในกระดานนั้นมีราคาถูกมาก แทนที่บริษัทจะจ่ายออกมาเป็นเงินปันผล บริษัทจึงซื้อหุ้นคืนจากตลาดแทน การซื้อหุ้นคืนนั้นทำให้ส่วนทุนนั้นลดลง (ค่า E ลดลง) ถ้าบริษัทซื้อหุ้นคืนทุกปีโดยใช้เงินเท่ากับกำไรที่ทำได้ในแต่ละปีค่า E จะคงที่ไปเรื่อยๆ ถึงแม้ค่า R จะไม่เพิ่มขึ้น แต่ ROE ของบริษัทจะยังคงอยู่ในระดับเดิมได้ต่อไป
ถ้าหุ้นทั้ง 4 ตัวนั้นมีค่า ROE ที่สูงอยู่แล้ว และบริษัทสามารถใช้ทางเลือกทั้ง 4 ในการบริษัทเงินเพื่อทำให้ค่า ROE ไม่ลดต่ำลงจากเดิมได้ หุ้นทั้ง 4 ตัวนั้นจะจัดได้ว่าเป็นหุ้นที่น่าลงทุนได้ทั้งหมด
วันนี้ดูเรื่องจะค่อนข้างซับซ้อนหน่อยนะครับ ผมพยายามหาทางอธิบายให้ง่ายแล้วก็ยังทำได้เต็มที่แค่นี้ ถ้าให้พูดให้ฟังอาจจะเข้าใจง่ายกว่า พิมพ์เองมันช้า เอาว่าถ้าใครสงสัยส่วนไหนลองถามๆกันมาดูนะครับ
ROE กับ D/E
มีแถมให้อีกหน่อย เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของ ROE กับ D/E ซึ่งคงหาอ่านจากหนังสือทั่วไปไม่ได้นะครับ เพราะผมคิดของผมเอง ...
ปกติผมจะชอบลงทุนในหุ้นที่มีค่า ROE อยู่ในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง เพราะอย่างที่กล่าวไปว่าค่า ROE ที่สูงสม่ำเสมอนั้นแสดงให้เห็นว่าบริษัทใช้เงินได้อย่างเหมาะสม แต่อย่างไรก็ตามอาจจะมีบางบริษัทที่สามารถทำให้ค่า ROE นั้นสูงได้โดยการกู้เงินมาลงทุนเยอะๆ การกู้เงินเยอะขึ้นจะทำให้ค่า D/E (dept/equity) สูงซึ่งค่า D/E นี้แสดงถึงความเสี่ยงทางการเงินของบริษัท เมื่อเข้ามาลงทุนหลายๆคนคงจะได้ยินที่เค้าบอกกันว่า "High Risk High Return" กันใช่ไหมครับ ในการวิเคราะห์บริษัทเองผมก็ให้ความสำคัญกับประโยคนี้เช่นกัน คือถ้าบริษัทมีค่า D/E ที่สูง บริษัทก็ควรจะมีค่า ROE ที่เพิ่มสูงขึ้นด้วย แต่ถ้าผมไปเจอบริษัทไหนที่มีแนวโน้มค่า D/E สูงขึ้นเรื่อยๆ แล้ว ROE นั้นไม่เพิ่มขึ้น (อาจจะคงที่หรือลดลง) ผมจะถือว่าเป็นหุ้นที่ควรระวัง เพราะค่า D/E ที่สูงแสดงว่า High Risk ถ้า ROE ไม่เพิ่มขึ้น แสดงว่า Low Return หุ้นแบบนี้หลีกเลี่ยงไว้ดีกว่า แต่ในทางกลับกันถ้าเจอหุ้นที่ D/E ลดลงแต่ ROE เพิ่มขึ้น แบบนี้ต้องรีบตระครุบเอาไว้เพราะเราจะได้หุ้น Low Risk High Return มาประดับ Port
ปล. ค่า ROE ในแต่ละปีอาจจะผันผวนได้พอสมควร เพราะฉะนั้นเราไม่ควรให้ค่า ROE รายปีมาหลอกเราได้ ควรจะตรวจสอบย้อนหลังไปหลายๆปีเพื่อให้เห็นแนวโน้มของมัน จะได้นำมาใช้ได้ถูกต้อง
:lol: เอาของพี่yoyo มาแบ่งกันอ่านครับ ลองเสริชดูในนี้ก็ได้ครับ อ่านดูครับ :lol:
-
- Verified User
- โพสต์: 33
- ผู้ติดตาม: 0
ROE กับ PRICE มันไม่เกี่ยวกันเลยใช่หรือไม่
โพสต์ที่ 21
จริงๆ คุณภาพของการทำกำไร ของบริษัท น่าจะสังเกตุผ่าน ROA และตามด้วยการดูสัดส่วนของ D/E
แล้วเหตุใดจึงมีการพูดกันเฉพาะในส่วนของ ROE ครับ ทั้งๆที่ EQUITY อย่างเดียว ไม่สามารถทำกำไรให้กับบริษัทได้
เปรีบเทียบบริษัทเกือบทั้งร้อยในตลาดหลักทรัพย์ ทุนในทั้งส่วนของ E and D ก็เปรียบเสมือนขา 2 ข้าง ของคนๆ(บริษัทๆ) หนึ่งในสนามฟุตบอล หากไม่มีขาหนึ่งหยั่งไว้กับพื้น ขาอีกข้างก็ยากจะเหนี่ยวทำผลงานได้
ดังนั้นทั้ง E and D จึงเป็นสัดส่วนสำคัญที่สร้างสมดุลความสามารถให้กับบริษัทนั้น
ผมก็เลยงงว่าเฉพาะการดู ROE จะบอกคุณภาพของการทำกำไรของบริษัทได้จริงหรือ โดยเฉพาะเมื่อเกิดการเปรียบเทียบระหว่างปี และสัดส่วนของ D/E เปลี่ยนไป
แล้วเหตุใดจึงมีการพูดกันเฉพาะในส่วนของ ROE ครับ ทั้งๆที่ EQUITY อย่างเดียว ไม่สามารถทำกำไรให้กับบริษัทได้
เปรีบเทียบบริษัทเกือบทั้งร้อยในตลาดหลักทรัพย์ ทุนในทั้งส่วนของ E and D ก็เปรียบเสมือนขา 2 ข้าง ของคนๆ(บริษัทๆ) หนึ่งในสนามฟุตบอล หากไม่มีขาหนึ่งหยั่งไว้กับพื้น ขาอีกข้างก็ยากจะเหนี่ยวทำผลงานได้
ดังนั้นทั้ง E and D จึงเป็นสัดส่วนสำคัญที่สร้างสมดุลความสามารถให้กับบริษัทนั้น
ผมก็เลยงงว่าเฉพาะการดู ROE จะบอกคุณภาพของการทำกำไรของบริษัทได้จริงหรือ โดยเฉพาะเมื่อเกิดการเปรียบเทียบระหว่างปี และสัดส่วนของ D/E เปลี่ยนไป
จากดักแด้ ----->
-
- Verified User
- โพสต์: 57
- ผู้ติดตาม: 0
roe กับ price
โพสต์ที่ 23
หาผลตอบแทนการลงทุน ROE หาร price/BV ก็จะรู้ว่าหุ้น แพงไม่แพง
ตัวอย่าง hmpro กับ oishi ตัวใหนถูกกว่า สมมุติฐาน ที่กำไรโตคงที่ในอนาคต
hmpro
ROE = 26.8, P/BV =7.43
จะได้ผลตอบแทนต่อการลงทุน 26.8/7.43 = 3.6 เปอร์เซนต์ต่อปี
Oishi
ROE = 37.65, P/BV =5.59
จะได้ผลตอบแทนต่อการลงทุน 37.65/5.59 = 6.73 เปอร์เซนต์ต่อปี
แสดงว่า โออิชิให้ผลตอบแทนการลงทุนมากกว่า ดังนั้น ก็ซื้อโออิชิเลย
:D
ตัวอย่าง hmpro กับ oishi ตัวใหนถูกกว่า สมมุติฐาน ที่กำไรโตคงที่ในอนาคต
hmpro
ROE = 26.8, P/BV =7.43
จะได้ผลตอบแทนต่อการลงทุน 26.8/7.43 = 3.6 เปอร์เซนต์ต่อปี
Oishi
ROE = 37.65, P/BV =5.59
จะได้ผลตอบแทนต่อการลงทุน 37.65/5.59 = 6.73 เปอร์เซนต์ต่อปี
แสดงว่า โออิชิให้ผลตอบแทนการลงทุนมากกว่า ดังนั้น ก็ซื้อโออิชิเลย
:D
- kin
- Verified User
- โพสต์: 668
- ผู้ติดตาม: 0
Re: roe กับ price
โพสต์ที่ 25
[quote="nuttagan"]หาผลตอบแทนการลงทุน ROE หาร price/BV ก็จะรู้ว่าหุ้น แพงไม่แพง
ตัวอย่าง hmpro กับ oishi ตัวใหนถูกกว่า สมมุติฐาน ที่กำไรโตคงที่ในอนาคต
hmpro
ROE = 26.8, P/BV =7.43
จะได้ผลตอบแทนต่อการลงทุน 26.8/7.43 = 3.6 เปอร์เซนต์ต่อปี
Oishi
ROE = 37.65, P/BV =5.59
จะได้ผลตอบแทนต่อการลงทุน 37.65/5.59 = 6.73 เปอร์เซนต์ต่อปี
แสดงว่า โออิชิให้ผลตอบแทนการลงทุนมากกว่า ดังนั้น ก็ซื้อโออิชิเลย
ตัวอย่าง hmpro กับ oishi ตัวใหนถูกกว่า สมมุติฐาน ที่กำไรโตคงที่ในอนาคต
hmpro
ROE = 26.8, P/BV =7.43
จะได้ผลตอบแทนต่อการลงทุน 26.8/7.43 = 3.6 เปอร์เซนต์ต่อปี
Oishi
ROE = 37.65, P/BV =5.59
จะได้ผลตอบแทนต่อการลงทุน 37.65/5.59 = 6.73 เปอร์เซนต์ต่อปี
แสดงว่า โออิชิให้ผลตอบแทนการลงทุนมากกว่า ดังนั้น ก็ซื้อโออิชิเลย
-
- Verified User
- โพสต์: 57
- ผู้ติดตาม: 0
มั่วเอา
โพสต์ที่ 26
ใช่ครับคุณ kin 55+ ขอโทษที่ทำให้สับสน
e/p คือ ผลตอบแทนการลงทุน
p/e คือ ระยะเวลาการคืนทุน
ROE = e/BV ประสิทธิภาพการทำกำไรของบริษัท ถ้าค่านี้สูงดีเพราะ บอกความสารมารถในการใช้เงินลงทุนสร้างกำไรได้มาก แต่ต้องพิจารณา ร่วมกับ ROA เพราะ จะมีเรื่องของหนี้สินเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
บางครั้ง ROE สูงแต่ ราคาซื้อขายหุ้นก็สูงก็ต้อง มาพิจารณา ความสัมพันธ์ ระหว่าง p กับ e ด้วย
แต่สิ่งที่สำคัญ คือการคาดการณ์ การเติบโตกำไรในอนาคต
ยกตัวอย่าง พวกธุรกิจ เกี่ยวกับการสร้างคอนโด ค่าพวกนี้อาจจะสูง แต่แค่ไม่กี่ปี p/e ก็ไม่เพียงพอในการพิจารณาการซื้อหุ้นได้
e/p คือ ผลตอบแทนการลงทุน
p/e คือ ระยะเวลาการคืนทุน
ROE = e/BV ประสิทธิภาพการทำกำไรของบริษัท ถ้าค่านี้สูงดีเพราะ บอกความสารมารถในการใช้เงินลงทุนสร้างกำไรได้มาก แต่ต้องพิจารณา ร่วมกับ ROA เพราะ จะมีเรื่องของหนี้สินเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
บางครั้ง ROE สูงแต่ ราคาซื้อขายหุ้นก็สูงก็ต้อง มาพิจารณา ความสัมพันธ์ ระหว่าง p กับ e ด้วย
แต่สิ่งที่สำคัญ คือการคาดการณ์ การเติบโตกำไรในอนาคต
ยกตัวอย่าง พวกธุรกิจ เกี่ยวกับการสร้างคอนโด ค่าพวกนี้อาจจะสูง แต่แค่ไม่กี่ปี p/e ก็ไม่เพียงพอในการพิจารณาการซื้อหุ้นได้
- thaloengsak
- Verified User
- โพสต์: 2716
- ผู้ติดตาม: 1
ROE กับ PRICE มันไม่เกี่ยวกันเลยใช่หรือไม่
โพสต์ที่ 27
กระทู้นี้เยี่ยมมากครับ
ปักหมุดเลยครับ
ปักหมุดเลยครับ
ลงทุนเพื่อชีวิต
- kin
- Verified User
- โพสต์: 668
- ผู้ติดตาม: 0
ROE กับ PRICE มันไม่เกี่ยวกันเลยใช่หรือไม่
โพสต์ที่ 28
ผมว่ายังไงคงต้องดูอย่างอื่นประกอบด้วยอีกเยอะเลยนะ
บางธุรกิจ ROE มักจะสูงโดยธรรมชาติ เช่น ธุรกิจบริการ เนื่องจากผลผลิตส่วนใหญ่เกิดจากพนักงาน ใช้คนสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ ซึ่งตัวพนักงานไม่ถูกรวมอยู่ใน asset ทำให้ equity ของธุรกิจแบบนี้จะไม่สูง แต่จะสังเกตว่า p/b ของธุรกิจพวกนี้ก็จะสูงไปด้วย ทั้งที่ p/e ก็ยังปกติ
แต่บางธุรกิจที่เป็น asset play มักจะมี ROE ต่ำโดยธรรมชาติ เนื่องจากมีทรัพย์สินที่ไม่เกี่ยวกับการดำเนินงานแฝงอยู่ ทำให้ asset เยอะกว่าการใช้งาน จะสังเกตว่า p/b มักต่ำมาก ทั้งที่ p/e ก็ยังปกติ
สองธุรกิจนี้อาจมี p/e พอๆ กัน และได้ return ที่ไม่ต่างกันนัก และถามว่าตัวไหนแพงกว่า ก็ตอบได้ยาก ดังนั้นจึงต้องดูอย่างอื่นประกอบอีกมาก ถ้าดูแต่ ROE อาจทำให้เราพลาดธุรกิจประเภทหลัง และเสียโอกาสในการค้นหาหุ้นน่ะครับ
บางธุรกิจ ROE มักจะสูงโดยธรรมชาติ เช่น ธุรกิจบริการ เนื่องจากผลผลิตส่วนใหญ่เกิดจากพนักงาน ใช้คนสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ ซึ่งตัวพนักงานไม่ถูกรวมอยู่ใน asset ทำให้ equity ของธุรกิจแบบนี้จะไม่สูง แต่จะสังเกตว่า p/b ของธุรกิจพวกนี้ก็จะสูงไปด้วย ทั้งที่ p/e ก็ยังปกติ
แต่บางธุรกิจที่เป็น asset play มักจะมี ROE ต่ำโดยธรรมชาติ เนื่องจากมีทรัพย์สินที่ไม่เกี่ยวกับการดำเนินงานแฝงอยู่ ทำให้ asset เยอะกว่าการใช้งาน จะสังเกตว่า p/b มักต่ำมาก ทั้งที่ p/e ก็ยังปกติ
สองธุรกิจนี้อาจมี p/e พอๆ กัน และได้ return ที่ไม่ต่างกันนัก และถามว่าตัวไหนแพงกว่า ก็ตอบได้ยาก ดังนั้นจึงต้องดูอย่างอื่นประกอบอีกมาก ถ้าดูแต่ ROE อาจทำให้เราพลาดธุรกิจประเภทหลัง และเสียโอกาสในการค้นหาหุ้นน่ะครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 91
- ผู้ติดตาม: 0
ROE กับ PRICE มันไม่เกี่ยวกันเลยใช่หรือไม่
โพสต์ที่ 30
หุ้น Asset Play มี ROE ค่อนข้างต่ำ แสดงถึงความสามารถในการนำสินทรัพย์มาทำกำไรได้ต่ำ ถ้าเป็นเช่นนี้ ไปเรื่อย ๆ บริษัทก็ไม่น่าสนใจหรอกครับ แสดงให้เห็นความไม่สามารถในการทำกำไรของบริษัท รวมทั้งแนวโน้มการเติบโตของกำไรก็ต่ำและแทบไม่เติบโตเลยด้วย เพราะไม่สามารถสร้างกำไรจากสินทรัพย์ได้ เช่น บริษัทเทพธานีกรีฑา ที่เป็นเจ้าของสนามกอล์ฟ ในอดีต มี Price/Book ต่ำมาก RoE ก็ต่ำ ราคาหุ้นในอดีตก็ไม่ไปไหน
ในขณะที่ธุรกิจบริการที่มี ROE สูงแสดงถึงความสามารถในการสร้างกำไรจากเงินทุนที่สูง เพราะก็มีธุรกิจบริการบางบริษัทมี ROE ต่ำเช่นกัน
ดังนั้น ROE สูงหรือต่ำ น่าจะสื่อถึงความน่าลงทุนในบริษัทนั้น ๆ ได้มากพอสมควร ไม่น่าจะเกี่ยวกับลักษณะโดยทั่วไปของธุรกิจที่อยู่ในอุตสาหกรรมนั้น ๆ ขอบคุณครับ
ในขณะที่ธุรกิจบริการที่มี ROE สูงแสดงถึงความสามารถในการสร้างกำไรจากเงินทุนที่สูง เพราะก็มีธุรกิจบริการบางบริษัทมี ROE ต่ำเช่นกัน
ดังนั้น ROE สูงหรือต่ำ น่าจะสื่อถึงความน่าลงทุนในบริษัทนั้น ๆ ได้มากพอสมควร ไม่น่าจะเกี่ยวกับลักษณะโดยทั่วไปของธุรกิจที่อยู่ในอุตสาหกรรมนั้น ๆ ขอบคุณครับ