ตลาดหุ้นใน'มุมมองใหม่'ของ'เสือเก่า'('เสี่ยยักษ์' วิชัย วชิรพ
โพสต์แล้ว: พุธ ต.ค. 20, 2010 8:33 am
ทัศนะของเซียนหุ้น (ที่ไม่ได้รวยมาจาก VI ) ต่อ VI
http://www.bangkokbiznews.com/home/deta ... B8%B2.html
http://www.bangkokbiznews.com/home/deta ... อเก่า.html
ธุรกิจ : BizWeek
วันที่ 19 ตุลาคม 2553 01:00
ตลาดหุ้นใน 'มุมมองใหม่' ของ 'เสือเก่า'
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
ชีวิตในวัย 55 ปี ของ 'เสี่ยยักษ์' วิชัย วชิรพงศ์ เขาอาจเป็น 'เสือแก่' ในสายตาหลายคน แต่สัญชาตญาณของ 'เสือเก่า' ย่อมไม่มีวันทิ้ง 'ลาย'
เขาวิเคราะห์ทฤษฎีเล่นหุ้นบน 'สถานการณ์ใหม่'
แม้ความเป็น "นักฆ่า" ของ "เสี่ยยักษ์" วิชัย วชิรพงศ์ จะลดน้อยถอยลง นาทีนี้เจ้าตัวยอมรับว่าแนวทางของ "แวลูอินเวสเตอร์" (วีไอ) มาถูกทาง และเป็นกลุ่มที่ "ทรงพลัง" ในตลาดหุ้น สมัยก่อนกลุ่มวีไอยังเล็กแต่วันนี้ได้ขยายเป็นกลุ่มใหญ่มีเครือข่ายคนเล่นหุ้นในแนวทางนี้จำนวนมาก มีการทำคอมพานีวิสิท (เข้าพบผู้บริหาร) และเข้าถึงข้อมูลเชิงลึก
เซียนหุ้นพันล้าน บอกว่า แท้ที่จริงแล้วทฤษฎีการเล่นหุ้นไม่ได้เปลี่ยน สิ่งที่เปลี่ยนไปคือ "สถานการณ์"
"หุ้นตอนนี้ทุกคนก็รู้ว่าเงินต่างชาติไหลเข้ามา แต่คนเล่นหุ้นวิธีคิดมันเปลี่ยนอีกแล้วคือกองทุนรวมบ้านเราคุมตลาดอยู่หมด ทั้ง LTF, RMF เงินแต่ละปีไหลเข้าตลาดหุ้นเยอะมาก ฝรั่งขาย 60,000 ล้านหุ้นไม่ตกเยอะ ผมใช้ประสบการณ์ (เก่า) มองว่าตลาดหุ้นเละแน่ ที่ไหนได้กองทุนในประเทศรับแรงขายได้หมด"
ณ เวลานี้ที่เงินบาทแข็ง ยังมีเงินต่างชาติ (ฟันด์โฟลว์) ไหลเข้ามา สังเกตดูซิว่าหุ้นไม่ปรับตัวลงมาก เล่นหุ้นปีนี้คนที่ "ซื้อเก็บ" จะได้กำไรเยอะ แต่ใครที่ซื้อๆ ขายๆ กำไรไม่เยอะ ยิ่งมาเล่นหุ้นช่วงท้ายๆ ตอนที่หุ้นขึ้นมาเยอะแล้ว เล่นขาดทุนมากกว่ากำไร
"วิธีคิดมันต้องเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ต้องกลับมาทบทวนตัวเอง ผมยังยึดประสบการณ์และความเชื่อเดิมๆ มองตลาดผิดคิดว่าเสื้อเหลืองเสื้อแดงมันไม่จบ เมื่อเรามองตลาดไม่ดีก็ไม่เล่น มาเล่นตอนที่หุ้นขึ้นมาสูงแล้วก็มีกำไรแต่ไม่มาก ได้สัก 20% คนอื่นเขาได้ 100-200% ถ้าเล่นตัวเล็ก JAS, TRUE กำไรหลายเท่า พอกลับมาซื้อสไตล์ผมต้องซื้อหุ้นที่ "แลคการ์ด" (ยังขึ้นไม่มาก) ผมไปเต็ง BANPU แต่ขึ้นไม่เยอะ ชอบ PTT แต่ปัญหามาบตาพุดยังไม่จบ ราคาน้ำมันก็ไม่สูงเหมือนรอบโน้น หุ้นในดวงใจผมรอบนี้ PTTEP ก็เจอเรื่องจ่ายเงินชดเชยให้รัฐบาลอินโดนีเซียก็ยังไม่ชัด"
เสี่ยยักษ์ยกตัวอย่างหุ้น CPF ของเจ้าสัวธนินท์ เจียรวนนท์ เป็นบทเรียนที่ล้ำค่ามากในรอบนี้ ผมไม่เล่นหุ้น "กลุ่มซีพี" เพราะมีความเชื่อมาตลอดว่าไอคิวเราสู้เจ้าสัวไม่ได้ ตรงนี้วิธีคิดมันเปลี่ยนอีกแล้วสมัยก่อนเจ้าสัวแก "ค้ากำไร" แต่สมัยนี้แกเปลี่ยนมา "ค้าหุ้น" พอกลุ่มซีพีเขาเปลี่ยนวิธีคิด ปีนี้ (2553) ฟอร์บส์จัดอันดับเจ้าสัวธนินท์รวยที่สุดในประเทศไทยเลยเห็นมั้ย (มูลค่าทรัพย์สิน 2.17 แสนล้านบาท) ตรงนี้ถือเป็นบทเรียนสอนตัวเองว่า "อย่ายึดติดไอเดียเดิมๆ"
"เจ้าสัวแกฉลาดรู้ว่าตลาดกำลังฮิตหุ้นโมเดิร์นเทรดก็หันมาทำตรงนี้ (CPF, CPALL) ปกติหุ้นซื้อขายพี/อี 8 เท่า พอเปลี่ยนมาเป็นหุ้นโมเดิร์นเทรดไปซื้อขายกันที่พี/อี 15-20 เท่า นี่เพราะว่าเขาเปลี่ยนวิธีคิด หุ้น CPF ขึ้นมา 5 เท่าตัว ผมไม่ได้เข้าตั้งแต่แรกจะให้มาซื้อตอนนี้ก็ไม่กล้าซื้อ จุดตรงนี้ที่ผมนำมาใช้เป็นอุทาหรณ์ ที่ไม่ซื้อเพราะความคิดของเรามันไม่เชื่อ ก็เสียโอกาส"
ที่จริงตอนหุ้น CPF อยู่แถวๆ 6-7 บาท ผู้บริหารซีพีเอฟไปนั่งบรีฟข้อมูลให้นักลงทุนรายใหญ่ฟังบางคนรวยเละแต่เสี่ยยักษ์ไม่ซื้อตาม "ใจผมมันไม่เชื่อ" อีกอย่างเที่ยวนี้เราเข้าทีหลัง (ต้นทุนสูง) เลยต้อง "ออกก่อน" ที่จริงมองตลาดผิดตั้งแต่ 600 กว่าจุดคิดว่ามันจะลง พอจะกลับมาซื้อหุ้นขึ้นไปเยอะแล้วก็ไม่กล้าบุก "สไตล์ผมถ้าเข้าทีหลังต้องรีบออกก่อนเพราะต้นทุนเราเสียเปรียบ" รอบนี้ถึงได้กำไรไม่เยอะ
"รอบนี้ เสี่ยปู่ (สมพงษ์ ชลคดีดำรงกุล) น่าจะได้กำไรเยอะเพราะรอบนี้เขา "ถือพอร์ต" ส่วน ทพ.ยรรยง พันธุ์วงศ์กล่อม (หมอยง) เท่าที่รู้เขาเล่นหุ้นน้อยลงแล้ว รายใหญ่คนอื่นๆ ตอนนี้ก็ถอยกันเยอะแล้วนะ"
เมื่อรู้ตัวว่า "ตกรถไฟ" เซียนหุ้นรายนี้ก็ไม่ดันทุรังจะเอาชนะเพราะนั่นคือหนทางนำไปสู่หายนะในอนาคต เพราะคุณไม่สามารถรบชนะทุกรอบในทุกสถานการณ์ ถ้ารู้ว่าเราพลาดต้อง "ตั้งรับ" ไม่ใช่เล่นเกม "บุก"
ถ้าเป็นนักลงทุนคนอื่นเขาจะเล่นหุ้นแบบ "นักปีนเขา" หุ้นขึ้นก็ปีนขึ้น หุ้นขึ้นไปอีกก็ปีนขึ้นไปอีก แต่สำหรับผมเป็นพวก "แคมป์เปอร์" เราอยู่บนเขา..หุ้นอยู่บนที่สูง ผมจะกางเต็นท์นอนดูวิว ไม่รีบร้อน ผมเป็น "นักเดินทาง" ไม่ใช่นักปีนเขา การเป็นนักเดินทางเราต้องใจเย็นๆ
ในมุมมองของผมยังเหมือนเดิม การเป็นนักลงทุนที่ดี "คุณต้องรอจังหวะ" ไม่ว่าคุณจะเป็นวีไอ หรือนักเก็งกำไร ทุกอย่างมันมี Cycle (วงจร) ของมัน อย่างตอนนี้หุ้นอยู่บนที่สูงตามหลักการแล้ว "คุณต้องเล่นน้อย" ทุกคนบอกว่าหุ้นจะไป 1,000 จุด บอกตรงๆ ผมเองยังไม่รู้เลยว่าพรุ่งนี้หุ้นจะขึ้นหรือจะลง ที่อเมริกาแรงงาน 10 คนตกงาน 1 คน แต่หุ้นดาวโจนส์ก็ไม่ตกไม่รู้จะวิเคราะห์อะไร เพราะฟันด์โฟลว์มันเยอะเงินไม่มีที่ไปแต่ไม่มีใครบอกได้ว่าเงินพวกนี้มันจะออกไปวันไหน"
แต่บอกได้ว่า ณ เวลานี้เล่นหุ้นยาก ตัวเล็กๆ เริ่ม "กัด" รายใหญ่ "ล้างท่อ" หมดแล้ว หุ้นหลายๆ ตัวที่ถูกทุบลงมาราคามัน "ช้ำ" กลับขึ้นไป "ยาก"
สถานการณ์ใหม่อีกอย่างคือทุกวันนี้ "ราคาหุ้นมันนำความคิดคน" ไม่ใช่ความคิดนำราคาหุ้นเหมือนสมัยก่อน พอหุ้นขึ้นก็หา "ข้ออ้าง" ตามหลัง หุ้น PTTEP ที่มันขึ้นเพราะตกลงกับรัฐบาลอินโดนีเซียได้แล้ว พอหุ้นขึ้นอีกก็บอกว่าเห็นมั้ย! "จริงชัวร์" หรือพอหุ้นแพงก็อ้าง "ฟอร์เวิร์ดพี/อี เรโช" บอกว่ากำไร (อนาคต) มันจะโตเท่านั้นเท่านี้ แล้วสรุปว่า "ราคายังถูก..ซื้อได้" แต่วันหนึ่งมันอาจจะไม่ใช่ก็ได้ มุมมองแบบนี้บางสถานการณ์มันถูก แต่ไม่ใช่ในทุกสถานการณ์
เซียนหุ้นพันล้านกลับมาที่คำถามว่าแล้วทฤษฎีการเล่นหุ้นที่ดีที่สุดช่วงนี้เป็นอย่างไร คำตอบก็คือทฤษฎีไม่เคยล้าสมัย ที่ล้าสมัยคือ "ความคิดคน"
"สำหรับผมจุดมั่นใจที่สุด ก็คือ จุดที่อันตรายที่สุด และจุดอันตรายที่สุด ก็คือ จุดที่ปลอดภัยที่สุด ตอนนี้ที่ทุกคนมั่นใจก็คือ "จุดอันตราย" สำหรับผมยังเล่นหุ้น "เป็นรอบ" ผมจะบอกให้ว่าจุดที่อันตรายที่สุดช่วงหน้าสิ่วหน้าขวานตรงนั้นแหละ "น่าซื้อหุ้นที่สุด" ถ้าคุณรู้สึกว่าตอนไหนที่ "หุ้นแพง" คุณก็ต้อง "เล่นน้อย" นี่คือหลักการลงทุน (ที่ไม่เคยล้าสมัย)"
เขาสรุปว่า ช่วงที่เกิดวิกฤติ คือ ช่วงที่น่าซื้อหุ้นที่สุด ยกตัวอย่างการบินไทยตอน 7-8 บาท คนไม่มาเที่ยว อะไรก็แย่หมดประเทศนี้ไม่มีความหวังมีแต่ข่าวร้าย ที่ที่น่ากลัวที่สุดตรงนั้นแหละปลอดภัยที่สุด ถ้าจะมาถามหาหุ้นในดวงใจแถวดัชนีใกล้ๆ 1,000 จุด ตอนนี้จะไปหาอะไร เล่นหุ้นตอนนี้ต้อง "ซูเปอร์ ซีเล็คทีฟ" (เฟ้นหาสุดๆ) หุ้นแพงไม่แปลก แต่มันควรจะมีการปรับฐานบ้างที่ผ่านมามันลงน้อย ตรงนี้ที่ "ผมกลัว"
เซียนหุ้นพันล้านแนะนำว่า มือใหม่ต้องใช้จังหวะนี้อ่านหนังสือเยอะๆ ศึกษาข้อมูลให้มากๆ ศึกษาเทคนิเคิลเยอะๆ ไปฝึกวิธีคิดให้เก่งๆ เวลานี้เห็นเด็กหนุ่มมาเปิดบัญชีเล่นหุ้นเต็มไปหมด "ผมว่าน่าเป็นห่วงนะ" ช่วง 1-2 ปีนี้ (2552-2553) อาจจะดีสำหรับคุณหรือคุณเห็นว่าดี แต่ปีหน้า (2554) ไม่แน่ วันหนึ่งถ้าตลาดพังขึ้นมาคุณจะทำอย่างไร
"ชีวิตตอนนี้อะไรที่ทำแล้วมีความสุขผมจะทำ เป้าหมายของชีวิตคืออะไร สุดท้ายเราต้องขึ้นไปไหว้พระบนภูเขา คุณต้องตาย (เอาอะไรไปไม่ได้) คุณมีกระบุงใบหนึ่งแบกอยู่ข้างหลังเดินขึ้นเขา คุณจะเก็บดอกไม้ (หาความสุข) หรือจะเก็บหินใส่ (แบกทุกข์ขึ้นไป) มีเพื่อนรุ่นพี่ผมคนหนึ่งเขามีเงินเป็นพันล้าน เขาขายที่ดินมรดกที่ถนนเพลินจิตได้เงินมา 1,500 ล้านบาท มาถามผมจะเอาเงินไปลงทุนอะไรดี"
ผมบอกพี่..พี่สบายแล้วพี่ยังจะเก็บหินใส่หลังเดินขึ้นไปไหว้พระบนภูเขาอีกเหรอ ชีวิตมาขนาดนี้แล้วคุณจะเอาอะไรอีก แกซื้อรถสปอร์ต 3 คัน ผมบอกพี่พอแล้วไม่ควรซื้ออีกแล้ว แกมาชวนผมให้ลงทุนโน่นลงทุนนี่ ผมบอกว่าพี่นี่มันไม่ใช่แล้ว "พี่ผิดทางแล้วรู้มั้ย" ชีวิตผมปฏิญาณแล้วว่าจะไม่เป็นหนี้ ผมจะเก็บดอกไม้ ผมไม่เก็บหินใส่กระบุง"
ชีวิตของเซียนหุ้นรุ่นใหญ่วัย 55 ปี ไม่มีคนขับรถ ไม่มีมาด กินง่ายๆ มองจากการแต่งตัวเผินๆ (วันนั้น) สวมเสื้อเชิ้ตแขนยาวปล่อยชาย นุ่งกางเกงยีนส์ ใส่รองเท้ากีฬา ไม่ใส่เครื่องประดับ ถ้าเดินสวนกันแทบไม่มีใครรู้ว่าเขาคือ "เศรษฐีพันล้าน" มีทรัพย์สินมูลค่านับพันล้านบาทที่เป็น Net Asset โดยไม่มี "ตัวแดง" ในบัญชี
เซียนหุ้นพันล้าน สรุปว่า ชีวิตอย่างนี้ต่างหากที่โลก (คน) ต้องอิจฉา สมัยก่อนคนเลิกเล่นหุ้นได้มี 2 ประเภท คือ "ตาย" กับ หมดตัว แต่ผมจะเป็นคนแรกที่ทำให้เห็นว่าเลิกเล่นหุ้นเพราะ สมควรแก่เวลา ถึงตอนนี้จะหนีตลาดหุ้นไปไม่พ้นแต่ก็เล่นน้อยลงเยอะ
"ถ้าผมแน่จริงจะต้องกลับขึ้นไปมีพอร์ตเป็นพันล้านได้ ถ้ากลับไปไม่ได้ข้างหลังเรายังเหลืออีกเยอะ" เขาจบบทสนทนาก่อนเดินฝ่าเปลวฝนหิ้วขนมเค้กร้านอร่อยติดมือ เดินกึ่งวิ่งขึ้นคอนโดหรูริมถนนสาทรหายไปในเงามืด นี่คือบทสรุปของคนที่เรียกตัวเองว่า "นักเดินทาง" วิชัย วชิรพงศ์
http://www.bangkokbiznews.com/home/deta ... B8%B2.html
http://www.bangkokbiznews.com/home/deta ... อเก่า.html
ธุรกิจ : BizWeek
วันที่ 19 ตุลาคม 2553 01:00
ตลาดหุ้นใน 'มุมมองใหม่' ของ 'เสือเก่า'
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
ชีวิตในวัย 55 ปี ของ 'เสี่ยยักษ์' วิชัย วชิรพงศ์ เขาอาจเป็น 'เสือแก่' ในสายตาหลายคน แต่สัญชาตญาณของ 'เสือเก่า' ย่อมไม่มีวันทิ้ง 'ลาย'
เขาวิเคราะห์ทฤษฎีเล่นหุ้นบน 'สถานการณ์ใหม่'
แม้ความเป็น "นักฆ่า" ของ "เสี่ยยักษ์" วิชัย วชิรพงศ์ จะลดน้อยถอยลง นาทีนี้เจ้าตัวยอมรับว่าแนวทางของ "แวลูอินเวสเตอร์" (วีไอ) มาถูกทาง และเป็นกลุ่มที่ "ทรงพลัง" ในตลาดหุ้น สมัยก่อนกลุ่มวีไอยังเล็กแต่วันนี้ได้ขยายเป็นกลุ่มใหญ่มีเครือข่ายคนเล่นหุ้นในแนวทางนี้จำนวนมาก มีการทำคอมพานีวิสิท (เข้าพบผู้บริหาร) และเข้าถึงข้อมูลเชิงลึก
เซียนหุ้นพันล้าน บอกว่า แท้ที่จริงแล้วทฤษฎีการเล่นหุ้นไม่ได้เปลี่ยน สิ่งที่เปลี่ยนไปคือ "สถานการณ์"
"หุ้นตอนนี้ทุกคนก็รู้ว่าเงินต่างชาติไหลเข้ามา แต่คนเล่นหุ้นวิธีคิดมันเปลี่ยนอีกแล้วคือกองทุนรวมบ้านเราคุมตลาดอยู่หมด ทั้ง LTF, RMF เงินแต่ละปีไหลเข้าตลาดหุ้นเยอะมาก ฝรั่งขาย 60,000 ล้านหุ้นไม่ตกเยอะ ผมใช้ประสบการณ์ (เก่า) มองว่าตลาดหุ้นเละแน่ ที่ไหนได้กองทุนในประเทศรับแรงขายได้หมด"
ณ เวลานี้ที่เงินบาทแข็ง ยังมีเงินต่างชาติ (ฟันด์โฟลว์) ไหลเข้ามา สังเกตดูซิว่าหุ้นไม่ปรับตัวลงมาก เล่นหุ้นปีนี้คนที่ "ซื้อเก็บ" จะได้กำไรเยอะ แต่ใครที่ซื้อๆ ขายๆ กำไรไม่เยอะ ยิ่งมาเล่นหุ้นช่วงท้ายๆ ตอนที่หุ้นขึ้นมาเยอะแล้ว เล่นขาดทุนมากกว่ากำไร
"วิธีคิดมันต้องเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ต้องกลับมาทบทวนตัวเอง ผมยังยึดประสบการณ์และความเชื่อเดิมๆ มองตลาดผิดคิดว่าเสื้อเหลืองเสื้อแดงมันไม่จบ เมื่อเรามองตลาดไม่ดีก็ไม่เล่น มาเล่นตอนที่หุ้นขึ้นมาสูงแล้วก็มีกำไรแต่ไม่มาก ได้สัก 20% คนอื่นเขาได้ 100-200% ถ้าเล่นตัวเล็ก JAS, TRUE กำไรหลายเท่า พอกลับมาซื้อสไตล์ผมต้องซื้อหุ้นที่ "แลคการ์ด" (ยังขึ้นไม่มาก) ผมไปเต็ง BANPU แต่ขึ้นไม่เยอะ ชอบ PTT แต่ปัญหามาบตาพุดยังไม่จบ ราคาน้ำมันก็ไม่สูงเหมือนรอบโน้น หุ้นในดวงใจผมรอบนี้ PTTEP ก็เจอเรื่องจ่ายเงินชดเชยให้รัฐบาลอินโดนีเซียก็ยังไม่ชัด"
เสี่ยยักษ์ยกตัวอย่างหุ้น CPF ของเจ้าสัวธนินท์ เจียรวนนท์ เป็นบทเรียนที่ล้ำค่ามากในรอบนี้ ผมไม่เล่นหุ้น "กลุ่มซีพี" เพราะมีความเชื่อมาตลอดว่าไอคิวเราสู้เจ้าสัวไม่ได้ ตรงนี้วิธีคิดมันเปลี่ยนอีกแล้วสมัยก่อนเจ้าสัวแก "ค้ากำไร" แต่สมัยนี้แกเปลี่ยนมา "ค้าหุ้น" พอกลุ่มซีพีเขาเปลี่ยนวิธีคิด ปีนี้ (2553) ฟอร์บส์จัดอันดับเจ้าสัวธนินท์รวยที่สุดในประเทศไทยเลยเห็นมั้ย (มูลค่าทรัพย์สิน 2.17 แสนล้านบาท) ตรงนี้ถือเป็นบทเรียนสอนตัวเองว่า "อย่ายึดติดไอเดียเดิมๆ"
"เจ้าสัวแกฉลาดรู้ว่าตลาดกำลังฮิตหุ้นโมเดิร์นเทรดก็หันมาทำตรงนี้ (CPF, CPALL) ปกติหุ้นซื้อขายพี/อี 8 เท่า พอเปลี่ยนมาเป็นหุ้นโมเดิร์นเทรดไปซื้อขายกันที่พี/อี 15-20 เท่า นี่เพราะว่าเขาเปลี่ยนวิธีคิด หุ้น CPF ขึ้นมา 5 เท่าตัว ผมไม่ได้เข้าตั้งแต่แรกจะให้มาซื้อตอนนี้ก็ไม่กล้าซื้อ จุดตรงนี้ที่ผมนำมาใช้เป็นอุทาหรณ์ ที่ไม่ซื้อเพราะความคิดของเรามันไม่เชื่อ ก็เสียโอกาส"
ที่จริงตอนหุ้น CPF อยู่แถวๆ 6-7 บาท ผู้บริหารซีพีเอฟไปนั่งบรีฟข้อมูลให้นักลงทุนรายใหญ่ฟังบางคนรวยเละแต่เสี่ยยักษ์ไม่ซื้อตาม "ใจผมมันไม่เชื่อ" อีกอย่างเที่ยวนี้เราเข้าทีหลัง (ต้นทุนสูง) เลยต้อง "ออกก่อน" ที่จริงมองตลาดผิดตั้งแต่ 600 กว่าจุดคิดว่ามันจะลง พอจะกลับมาซื้อหุ้นขึ้นไปเยอะแล้วก็ไม่กล้าบุก "สไตล์ผมถ้าเข้าทีหลังต้องรีบออกก่อนเพราะต้นทุนเราเสียเปรียบ" รอบนี้ถึงได้กำไรไม่เยอะ
"รอบนี้ เสี่ยปู่ (สมพงษ์ ชลคดีดำรงกุล) น่าจะได้กำไรเยอะเพราะรอบนี้เขา "ถือพอร์ต" ส่วน ทพ.ยรรยง พันธุ์วงศ์กล่อม (หมอยง) เท่าที่รู้เขาเล่นหุ้นน้อยลงแล้ว รายใหญ่คนอื่นๆ ตอนนี้ก็ถอยกันเยอะแล้วนะ"
เมื่อรู้ตัวว่า "ตกรถไฟ" เซียนหุ้นรายนี้ก็ไม่ดันทุรังจะเอาชนะเพราะนั่นคือหนทางนำไปสู่หายนะในอนาคต เพราะคุณไม่สามารถรบชนะทุกรอบในทุกสถานการณ์ ถ้ารู้ว่าเราพลาดต้อง "ตั้งรับ" ไม่ใช่เล่นเกม "บุก"
ถ้าเป็นนักลงทุนคนอื่นเขาจะเล่นหุ้นแบบ "นักปีนเขา" หุ้นขึ้นก็ปีนขึ้น หุ้นขึ้นไปอีกก็ปีนขึ้นไปอีก แต่สำหรับผมเป็นพวก "แคมป์เปอร์" เราอยู่บนเขา..หุ้นอยู่บนที่สูง ผมจะกางเต็นท์นอนดูวิว ไม่รีบร้อน ผมเป็น "นักเดินทาง" ไม่ใช่นักปีนเขา การเป็นนักเดินทางเราต้องใจเย็นๆ
ในมุมมองของผมยังเหมือนเดิม การเป็นนักลงทุนที่ดี "คุณต้องรอจังหวะ" ไม่ว่าคุณจะเป็นวีไอ หรือนักเก็งกำไร ทุกอย่างมันมี Cycle (วงจร) ของมัน อย่างตอนนี้หุ้นอยู่บนที่สูงตามหลักการแล้ว "คุณต้องเล่นน้อย" ทุกคนบอกว่าหุ้นจะไป 1,000 จุด บอกตรงๆ ผมเองยังไม่รู้เลยว่าพรุ่งนี้หุ้นจะขึ้นหรือจะลง ที่อเมริกาแรงงาน 10 คนตกงาน 1 คน แต่หุ้นดาวโจนส์ก็ไม่ตกไม่รู้จะวิเคราะห์อะไร เพราะฟันด์โฟลว์มันเยอะเงินไม่มีที่ไปแต่ไม่มีใครบอกได้ว่าเงินพวกนี้มันจะออกไปวันไหน"
แต่บอกได้ว่า ณ เวลานี้เล่นหุ้นยาก ตัวเล็กๆ เริ่ม "กัด" รายใหญ่ "ล้างท่อ" หมดแล้ว หุ้นหลายๆ ตัวที่ถูกทุบลงมาราคามัน "ช้ำ" กลับขึ้นไป "ยาก"
สถานการณ์ใหม่อีกอย่างคือทุกวันนี้ "ราคาหุ้นมันนำความคิดคน" ไม่ใช่ความคิดนำราคาหุ้นเหมือนสมัยก่อน พอหุ้นขึ้นก็หา "ข้ออ้าง" ตามหลัง หุ้น PTTEP ที่มันขึ้นเพราะตกลงกับรัฐบาลอินโดนีเซียได้แล้ว พอหุ้นขึ้นอีกก็บอกว่าเห็นมั้ย! "จริงชัวร์" หรือพอหุ้นแพงก็อ้าง "ฟอร์เวิร์ดพี/อี เรโช" บอกว่ากำไร (อนาคต) มันจะโตเท่านั้นเท่านี้ แล้วสรุปว่า "ราคายังถูก..ซื้อได้" แต่วันหนึ่งมันอาจจะไม่ใช่ก็ได้ มุมมองแบบนี้บางสถานการณ์มันถูก แต่ไม่ใช่ในทุกสถานการณ์
เซียนหุ้นพันล้านกลับมาที่คำถามว่าแล้วทฤษฎีการเล่นหุ้นที่ดีที่สุดช่วงนี้เป็นอย่างไร คำตอบก็คือทฤษฎีไม่เคยล้าสมัย ที่ล้าสมัยคือ "ความคิดคน"
"สำหรับผมจุดมั่นใจที่สุด ก็คือ จุดที่อันตรายที่สุด และจุดอันตรายที่สุด ก็คือ จุดที่ปลอดภัยที่สุด ตอนนี้ที่ทุกคนมั่นใจก็คือ "จุดอันตราย" สำหรับผมยังเล่นหุ้น "เป็นรอบ" ผมจะบอกให้ว่าจุดที่อันตรายที่สุดช่วงหน้าสิ่วหน้าขวานตรงนั้นแหละ "น่าซื้อหุ้นที่สุด" ถ้าคุณรู้สึกว่าตอนไหนที่ "หุ้นแพง" คุณก็ต้อง "เล่นน้อย" นี่คือหลักการลงทุน (ที่ไม่เคยล้าสมัย)"
เขาสรุปว่า ช่วงที่เกิดวิกฤติ คือ ช่วงที่น่าซื้อหุ้นที่สุด ยกตัวอย่างการบินไทยตอน 7-8 บาท คนไม่มาเที่ยว อะไรก็แย่หมดประเทศนี้ไม่มีความหวังมีแต่ข่าวร้าย ที่ที่น่ากลัวที่สุดตรงนั้นแหละปลอดภัยที่สุด ถ้าจะมาถามหาหุ้นในดวงใจแถวดัชนีใกล้ๆ 1,000 จุด ตอนนี้จะไปหาอะไร เล่นหุ้นตอนนี้ต้อง "ซูเปอร์ ซีเล็คทีฟ" (เฟ้นหาสุดๆ) หุ้นแพงไม่แปลก แต่มันควรจะมีการปรับฐานบ้างที่ผ่านมามันลงน้อย ตรงนี้ที่ "ผมกลัว"
เซียนหุ้นพันล้านแนะนำว่า มือใหม่ต้องใช้จังหวะนี้อ่านหนังสือเยอะๆ ศึกษาข้อมูลให้มากๆ ศึกษาเทคนิเคิลเยอะๆ ไปฝึกวิธีคิดให้เก่งๆ เวลานี้เห็นเด็กหนุ่มมาเปิดบัญชีเล่นหุ้นเต็มไปหมด "ผมว่าน่าเป็นห่วงนะ" ช่วง 1-2 ปีนี้ (2552-2553) อาจจะดีสำหรับคุณหรือคุณเห็นว่าดี แต่ปีหน้า (2554) ไม่แน่ วันหนึ่งถ้าตลาดพังขึ้นมาคุณจะทำอย่างไร
"ชีวิตตอนนี้อะไรที่ทำแล้วมีความสุขผมจะทำ เป้าหมายของชีวิตคืออะไร สุดท้ายเราต้องขึ้นไปไหว้พระบนภูเขา คุณต้องตาย (เอาอะไรไปไม่ได้) คุณมีกระบุงใบหนึ่งแบกอยู่ข้างหลังเดินขึ้นเขา คุณจะเก็บดอกไม้ (หาความสุข) หรือจะเก็บหินใส่ (แบกทุกข์ขึ้นไป) มีเพื่อนรุ่นพี่ผมคนหนึ่งเขามีเงินเป็นพันล้าน เขาขายที่ดินมรดกที่ถนนเพลินจิตได้เงินมา 1,500 ล้านบาท มาถามผมจะเอาเงินไปลงทุนอะไรดี"
ผมบอกพี่..พี่สบายแล้วพี่ยังจะเก็บหินใส่หลังเดินขึ้นไปไหว้พระบนภูเขาอีกเหรอ ชีวิตมาขนาดนี้แล้วคุณจะเอาอะไรอีก แกซื้อรถสปอร์ต 3 คัน ผมบอกพี่พอแล้วไม่ควรซื้ออีกแล้ว แกมาชวนผมให้ลงทุนโน่นลงทุนนี่ ผมบอกว่าพี่นี่มันไม่ใช่แล้ว "พี่ผิดทางแล้วรู้มั้ย" ชีวิตผมปฏิญาณแล้วว่าจะไม่เป็นหนี้ ผมจะเก็บดอกไม้ ผมไม่เก็บหินใส่กระบุง"
ชีวิตของเซียนหุ้นรุ่นใหญ่วัย 55 ปี ไม่มีคนขับรถ ไม่มีมาด กินง่ายๆ มองจากการแต่งตัวเผินๆ (วันนั้น) สวมเสื้อเชิ้ตแขนยาวปล่อยชาย นุ่งกางเกงยีนส์ ใส่รองเท้ากีฬา ไม่ใส่เครื่องประดับ ถ้าเดินสวนกันแทบไม่มีใครรู้ว่าเขาคือ "เศรษฐีพันล้าน" มีทรัพย์สินมูลค่านับพันล้านบาทที่เป็น Net Asset โดยไม่มี "ตัวแดง" ในบัญชี
เซียนหุ้นพันล้าน สรุปว่า ชีวิตอย่างนี้ต่างหากที่โลก (คน) ต้องอิจฉา สมัยก่อนคนเลิกเล่นหุ้นได้มี 2 ประเภท คือ "ตาย" กับ หมดตัว แต่ผมจะเป็นคนแรกที่ทำให้เห็นว่าเลิกเล่นหุ้นเพราะ สมควรแก่เวลา ถึงตอนนี้จะหนีตลาดหุ้นไปไม่พ้นแต่ก็เล่นน้อยลงเยอะ
"ถ้าผมแน่จริงจะต้องกลับขึ้นไปมีพอร์ตเป็นพันล้านได้ ถ้ากลับไปไม่ได้ข้างหลังเรายังเหลืออีกเยอะ" เขาจบบทสนทนาก่อนเดินฝ่าเปลวฝนหิ้วขนมเค้กร้านอร่อยติดมือ เดินกึ่งวิ่งขึ้นคอนโดหรูริมถนนสาทรหายไปในเงามืด นี่คือบทสรุปของคนที่เรียกตัวเองว่า "นักเดินทาง" วิชัย วชิรพงศ์