ขอถามโง่ภาค2"การถือหุ้นให้ทบต้นทำอย่างไร"

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุนหุ้น VI เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก
END
Verified User
โพสต์: 224
ผู้ติดตาม: 1

ขอถามโง่ภาค2"การถือหุ้นให้ทบต้นทำอย่างไร"

โพสต์ที่ 1

โพสต์

ถ้าหากผมซื้อหุ้นตัวนึงโดยใช้เงิน 1,000 บาทซื้อหุ้นราคา
1 บาทจำนวน 1,000 หุ้น หากใน 1 ปีหุ้นนั้นวิ่งไปที่ราคา
10 บาท และได้ปันผล 10% ( คิดจากราคา1บาท ) เท่ากับว่า
ผมได้กำไรส่วนต่าง 1000% และได้กำไรปันผล 10% เงิน
1,000 บาทของผมก็จะมีตัวเล่นสมมุติที่ 10,000 บาท
( เพราะยังไม่ได้ขาย ) และได้เงินจริงๆจากปันผล 100 บาท
ถามว่าแล้วมันจะทบต้นยังไง ถ้าเราไม่ขายหุ้นที่เราถืออยู่
แล้วเอากำไรตรงนั้นไปซื้อหุ้นต่อไป ??? งงกับคำถามไหม
ครับ ผมอ่านเองยัง งง เลย 555+

รบกวนด้วยนะครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
MYBIZ
Verified User
โพสต์: 888
ผู้ติดตาม: 0

ขอถามโง่ภาค2"การถือหุ้นให้ทบต้นทำอย่างไร"

โพสต์ที่ 2

โพสต์

ก็ถ้าหุ้นที่คุณ END ถืออยู่สิ้นปีบัญชีปิดที่10บาท หลังจากนั้นก็ยังไม่ขายถือต่อไปเรื่อยๆ จนสิ้นปีอีกถ้าราคาปิดสิ้นปีเท่ากับ15บาทก็แสดงว่ามูลค่าพอร์ตเพิ่มขึ้น การทบต้นก็เกิดขึ้นแล้ว แต่ถ้าสิ้นปีปิดราคา 5บาท มูลค่าพอร์ตลดลง การทบต้นก็ยิ่งน้อยลงด้วย อิอิๆๆ
จุดหมายปลายทาง อาจไม่ใช่ที่สุดของความงดงาม
END
Verified User
โพสต์: 224
ผู้ติดตาม: 1

ขอถามโง่ภาค2"การถือหุ้นให้ทบต้นทำอย่างไร"

โพสต์ที่ 3

โพสต์

ถ้าสินปีขึ้นไป 15 บาทก็เท่ากับผมมี ตัวเล่นสมมุติที่ 15,000
แล้วถ้าเรายังไม่ขายมันก็คือสิ่งสมมุติ แล้วถ้าเราขายเอาเงิน
15,000 มาชื้อเพิ่มจะดีกว่าไหมครับ ผมงง??
Boyadvance
Verified User
โพสต์: 495
ผู้ติดตาม: 0

ขอถามโง่ภาค2"การถือหุ้นให้ทบต้นทำอย่างไร"

โพสต์ที่ 4

โพสต์

END เขียน:ถ้าสินปีขึ้นไป 15 บาทก็เท่ากับผมมี ตัวเล่นสมมุติที่ 15,000
แล้วถ้าเรายังไม่ขายมันก็คือสิ่งสมมุติ แล้วถ้าเราขายเอาเงิน
15,000 มาชื้อเพิ่มจะดีกว่าไหมครับ ผมงง??
ทบต้น นี้อาจจะหมายถึง นำปันผล กลับมาลงทุนไม่ได้ใช้นะครับ

ส่วนที่ว่าขายแล้วเอากลับมาลงทุนดีกว่ามั้ยนั้น
ขึ้นอยู่กับว่า เราขายหุ้นเดิมที่มีอยู่แล้วไปซื้อ หุ้นใหม่ที่ undervalue มากกว่ามากๆ แบบนี้เป็นกรณีที่ดีครับ

แต่ถ้าเป็นกรณี ที่ ขายหุ้นเดิม  แล้ว กลับมาซื้อตัวเอง  จะดีก็ต่อเมื่อเราสามารถซื้อคืนได้ในราคาที่ถูกกว่าตอนขาย มากพอจะรับรองความเสี่ยงได้ว่ามันจะยังไปต่อไป
เด็กเลี้ยงไม้
Verified User
โพสต์: 993
ผู้ติดตาม: 0

ขอถามโง่ภาค2"การถือหุ้นให้ทบต้นทำอย่างไร"

โพสต์ที่ 5

โพสต์

ถ้าสินปีขึ้นไป 15 บาทก็เท่ากับผมมี ตัวเล่นสมมุติที่ 15,000
แล้วถ้าเรายังไม่ขายมันก็คือสิ่งสมมุติ แล้วถ้าเราขายเอาเงิน
15,000 มาชื้อเพิ่มจะดีกว่าไหมครับ ผมงง??

ผมว่าคุณ ENDยึดติดไปรึป่าว ถ้าแบบนี้เราต้องการให้มัน real ขึ้นมา 1-2 ช่องก็ต้อง take profit แล้วสิครับ

ส่วนตัวผมพยามคิดว่าทุนนั้นคือราคาปัจจุบันเสมอ
แม้ความจริงถ้าเราขายทั้งหมดมูลค่าอาจจะลดลงอีกบ้างก็ตาม

ต่างคนต่างความคิดลองแลกเปลี่ยนกันนะครับ
เริ่มนับหนึ่ง...
END
Verified User
โพสต์: 224
ผู้ติดตาม: 1

ขอถามโง่ภาค2"การถือหุ้นให้ทบต้นทำอย่างไร"

โพสต์ที่ 6

โพสต์

ไม่ใช้เรื่องนั้นครับคุณ "เด็กเลี้ยงไม้"
ผมไม่เขาใจจริงๆ การทบต้นที่
ผมรู้จักเช่นทบต้นในรูปแบบดอกเบี้ย

เช่นเราฝากธนาคา 100 บาท เราได้
ดอกเบี้ย 2 บาท เราจะได้เงิน 102 บาท
ธนาคารก็จะเอา 102 บาท มาคิดดอกเบี้ยด้วย

แต่ถ้าเราถือ มันจะทบต้นยังไงครับ
งง ตอนแรกมีคนบอกผมแล้วแต่นาน
แล้ว พอผมลองมาคำนวน ผมเลยงง

เช่นเราซื้อที่ 1 บาท ราคาไปถึง 10บาท
เราได้กำไร 1000% มันก็คิดเฉพาะ 1000%
ถึงมันขึ้นไป 2000%  มันก็คิดจากเงิน 1000 บาทอยู่ดี

อันนี้ผมเข้าใจถูกไหมครับ พอจะมีสูตรคำนวนไหม
เด็กเลี้ยงไม้
Verified User
โพสต์: 993
ผู้ติดตาม: 0

ขอถามโง่ภาค2"การถือหุ้นให้ทบต้นทำอย่างไร"

โพสต์ที่ 7

โพสต์

ถ้าโตจาก cap gain
จาก1บาท ไป 2บาท ปีแรก
จาก2บาท ไป 3 บาท ปีที 2
ก็ทบต้นแล้วครับ ไม่ว่าจะเป็กรณีถือ บ.เดิม หรือย้ายไปหา บ.ใหม่ เพราะของเก่าเต็มมูลค่า

กรณีทีจะทำให้การทบต้นไม่ไปไหนหรือความสามารถลดลงก็คือ
ปีนั้นๆมูลค่าพอร์ตไม่เพิ่มและกลับลดลงนั่นเอง

ผมรู้สึกว่าคุณ END เหมือนจะข้าใจแล้ว แต่มีอะไรบังๆอยุ่นิดๆ
ผมคิดว่ามันเหมือนกับการคิดดอกเบี้ยทบต้นมั้งครับ เพียงแต่ว่าส่วน gain นั่น
คุณEND คิดว่ามันยังเป็นแค่เงินสมมุติมากกว่า

ส่วนเรืองดอกเบี้ย ก็คล้ายๆกับการที่เราเพิ่มเงินจากเงินเดือนเข้าไป
เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของการทบต้นให้คูณทวี
เริ่มนับหนึ่ง...
ภาพประจำตัวสมาชิก
นพพร
Verified User
โพสต์: 1039
ผู้ติดตาม: 0

ขอถามโง่ภาค2"การถือหุ้นให้ทบต้นทำอย่างไร"

โพสต์ที่ 8

โพสต์

ผมเข้าใจคำถามของ จขกท. นะแต่ผมก็ไม่ทราบคำตอบเหมือนกันว่ามันจะทบต้นไปได้อย่างไร ถ้ามองว่าแคปปิตอลเกนของตัวหุ้นนั้นมันไม่ได้เพิ่มไปมากขึ้นๆทุกๆปี (บางตัวก็นิ่งซะ) แต่ผมมองไปในมุมมองว่า การเอาปันผลที่ได้จากหุ้นนั้นเข้ามาหาจังหวะซื้อตัวหุ้นเดิมไปเรื่อยๆ แบบนี้แหล่ะครับที่ผมเรียกว่าทบต้น สาเหตุที่ไม่ขายเอาส่วนต่างมาซื้อไปเรื่อยๆปีต่อปี ก็เพราะต้นทุนเป็นหลัก ถ้าต้นทุนมันต่ำกว่าเดิมก็ดีไปครับ แต่ถ้าต้นทุนมันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ก็อาจจะมองว่าดี แต่ถ้าปีไหนสักปีมันดันตกลงมา เราจะบาดเจ็บได้ง่ายกว่าถือตอนต้นทุนต่ำครับ
ก้าวแรกที่เล็กๆ แต่เป็นก้าวที่ยิ่งใหญ่ของชีวิต
send
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 340
ผู้ติดตาม: 0

ขอถามโง่ภาค2"การถือหุ้นให้ทบต้นทำอย่างไร"

โพสต์ที่ 9

โพสต์

ผมขอเปลี่ยนตัวอย่างนิดนึงนะครับ

สมมติเราซื้ิหุ้นที่ 10 บาท หุ้นขึ้น 10% ทุกปีของปีก่อนหน้า
โดยไม่จ่ายปันผล และเราถือหุ้นเป็นเวลา 5 ปี

ราคาหุ้นแต่ละปีะเป็นดังนี้ครับ

10(ตอนซื้อ) 11,12.1,13.31,14.64,16.11

ถ้าเราไม่ขายเลย เราจะได้ผลตอบแทนทบต้นที่ 10% ต่อปี
หรือคิดเป็นผลตอบแทน 61.10%

ถ้ามีปันผลก็ต้องเอาปันผลซื้อคนกลับไปด้วย

สรุปหลักๆคือถ้าเราอยากได้ผลตอบแทนทบต้น
เช่นเราลงทุนได้ 15% ต่อปีทุกปี เราก็ต้องลงทุน
100% ตลอดเวลา หากได้ปันผลมาก็ต้องเอาไป
ลงทุน การจะขายหุ้นนั้นทำได้แต่ก็ต้องเอาเงินไป
ลงทุนให้มีการลงทุน 100% เหมือนเดิม

ไม่แน่ใจว่าตอบคำถามรึป่าว
การเปลี่ยนแปลง เริ่มต้นจากการยอมรับ
END
Verified User
โพสต์: 224
ผู้ติดตาม: 1

ขอถามโง่ภาค2"การถือหุ้นให้ทบต้นทำอย่างไร"

โพสต์ที่ 10

โพสต์

ผมลองถามผู้รู้มาแต่ผมก็โง่อยู่ดีไม่เข้าใจที่เขาอธิบาย

ในความเข้าใจของผมถ้าเราได้ผลตอบแทนเดือนละ 6% แบบทบต้น

กรณีถือ(สมมุติได้กำไรแบบคงที่เดือนละ6%)

เดือนที่ 1 หุ้นขึ้น 6% เราก็จะได้กำไร 6% พอเดือนที่ 2 หุ้นขึ้นอีก 6% รวม
แล้วขึ้น 12% ( 6*2 ) เราก็จะได้กำไร 12% พอครบ 1 ปีเราก็จะได้กำไร 6*12
= 72%  ( ทั้งๆที่ตามสูตร 72 มันควรจะทบต้นเป็น 100% ) งงครับเพราะมันก็
คิดจากเงินต้นของเราอยู่ดี สมมุติซื้อหุ้น 100 บาทสิ้นปีเราก็จะได้เงิน 172 บาท
สรุปตลอดปีหุ้นตัวนี้ขึ้น 72% โดยขึ้นเดือนละ 6% เท่าๆกันทุกเดือน

กรณีที่ขายแล้วมาซื้อใหม่(สมมุติได้กำไรแบบคงที่เดือนละ6%)
เดือนที่ 1 เราซื้อ ไป 100 บาทได้กำไร 6% แล้วขาย เดือนนั้นเราก็จะมีเงิน
เพิ่มเป็น 106 บาทแล้วเดือนที่ 2 เราก็นำเงิน 106 บาทไปซื้อหุ้นอีกแล้วได้
กำไร 6% จาก 106 บาทก็จะเป็น 112.36 แล้วถ้าเราเอาเงิน 112.36 ไปซื้อ
หุ้นอีกแล้วได้กำไร 6% ก็จะกลายเป็น 119.1 แล้วถ้าเราทำแบบนี้ 1 ปี
เงิน 100 บาทจะเป็น 200

จากตัวอย่างที่ผมคิดถูกไหมครับ ถ้าหุ้นตัวนี้ขึ้นเดือนละ 6% คงที่ 1 ปีก็
ขึ้น72% ถ้าเราถือเราก็จะได้ 72% จากเงิน 100 บาทจะกลายเป็น 172 บาท

แต่ถ้าเราขายทุกสินเดือนแล้วซื้อทุกต้นเดือนแทนที่จะได้ 72% มันก็จะทบ
ต้นเป็น 100% สรุปสินปีแทนที่เราจะได้เงิน 172 บาท เราก็จะได้ 200 บาท
ถูกไหมครับ

*ไม่รู้ผมเข้าใจถูกไหมผมจึงขอตัดความเป็นจริงออกแล้วใส่ตัวเลขคงที่แทน
นะครับ ถ้าที่ผมคิดมันผิดช่วยอธิบายด้วยนะครับ เอาเป็นตัวเลขที่คงที่นะ
ครับผมจะได้เข้าใจง่าย
ขอบคุณครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
erickiros
Verified User
โพสต์: 415
ผู้ติดตาม: 0

ขอถามโง่ภาค2"การถือหุ้นให้ทบต้นทำอย่างไร"

โพสต์ที่ 11

โพสต์

วิธีที่ 1 เป็นการคิดผลตอบแทนแบบคงที่
แต่วิธีที่ 2 เป็นการคิดผลตอบแทนแบบทบต้น  

ซึ่งการถือหุ้นไว้เฉยๆแล้วราคาเพิ่ม 6% ทบต้นทุกเดือน เมื่อครบ 12 เดือนก็ได้จะเงินสองเท่าเหมือนกัน

ถ้าต้องการผลตอบแทน 6% ทบต้นทุกเดือน ราคาหุ้นตอนสิ้นเดือน 1-12 ต้องเป็นดังนี้

สิ้นเดือนที่ 1  =106
สิ้นเดือนที่ 2  =112.36
สิ้นเดือนที่ 3  =119.10
สิ้นเดือนที่ 4  =126.25
สิ้นเดือนที่ 5  =133.82
สิ้นเดือนที่ 6  =141.85
สิ้นเดือนที่ 7  =150.36
สิ้นเดือนที่ 8  =159.38
สิ้นเดือนที่ 9  =168.94
สิ้นเดือนที่ 10=179.08
สิ้นเดือนที่ 11=189.83
สิ้นเดือนที่ 12=201.22
END
Verified User
โพสต์: 224
ผู้ติดตาม: 1

ขอถามโง่ภาค2"การถือหุ้นให้ทบต้นทำอย่างไร"

โพสต์ที่ 12

โพสต์

[quote="erickiros"]
Jurist
Verified User
โพสต์: 11
ผู้ติดตาม: 0

ขอถามโง่ภาค2"การถือหุ้นให้ทบต้นทำอย่างไร"

โพสต์ที่ 13

โพสต์

ตอบแบบพยายามตอบ ไม่รู้จะถูกตรงตามที่ต้องการไหม แต่ผมคิดว่าน่าจะช่วยให้คิดต่อได้ง่ายขึ้นนะฮับ

คิดว่าเจ้าของกระทู้เห็นว่ามันแตกต่างเพราะ
ถ้าฝากธนาคาร 100 ได้ดอกร้อยละ 10 ทำให้ สิ้นปีจะมีเงินเป็น 110
ปีต่อมาถ้าดอกยังร้อยละ 10 แต่มันคำนวณจาก 110 บาท
สินปีจะได้เงิน 121 บาท เพราะคิดดอกจากเงินต้น 110 บาท
ทำให้เหมือนกับว่ามันได้ดอกเบี้ย 11 มาจาก 110 บาท
ทำให้มองว่านี่คือการเอาดอกในปีแรกมาทบต้นคิดเป็นเงินต้นเพื่อให้เกิดดอกเบี้ยทบต้นใช่ไหมครับ

ในขณะที่ถ้าเป็นหุ้น สมมตินำเงินทั้งหมดไปซื้อหุ้น 100 บาท แต่หุ้นมีราคาขึ้นเมื่อ ณ สิ้นปี และ ได้ปันผลด้วย ผมว่าต้องคิดนะว่ามันแตกต่างกันตรงที่
มันมีการเปลี่ยนแปลงของเงินต้นในที่นี่คือราคาหุ้น และมีปันผลของหุ้น
สมมติหุ้นละ 10 บาท 10 หน่วย ลงทุน 100 พอถึงสิ้นปีได้ปันผล 1 บาทต่อหุ้น ( เทียบได้กับร้อยละสิบของดอกเบี้ย ) สิ้นปีจะได้ปันผล 10 บาท
แต่ราคาหุ้นถ้าเกิดมีการปรับเพิ่มกลายเป็นหุ้นละ 11 บาท สิ้นปีจะมีเงิน 110  + 10 เท่ากับรวม 120 บาท ถ้าลองมองปีถัดมา บริษัทยังได้กำไรในปริมาณเท่าเดิมทำให้จ่ายปันผลได้เท่าเดิม คือ 1 บาทต่อหุ้นทำให้ ได้ปันผล 10 บาท แต่ปรากฏว่าราคาหุ้นลดลงไปเหลือสิบบาทเท่าเดิม ทำให้ปลายปีคุณจะได้แค่ 100 + 10 = 110 เท่านั้น แต่ถ้ามองเงินที่มีการได้รับมาในสองปีจริงๆ คุณจะมีปันผลอีก 10 บาทที่เคยได้เมื่อปีที่แล้วทำให้มูลค่าเงินมัน เท่ากับ 120

ดังนั้นผมว่าน่าจะลองมองว่ามันมีส่วนต่างที่สำคัญคือ ในการมองแบบฝากธนาคาร เงินต้นของคุณมันจะคงที่ ( ถ้าธนาคารไม่ล้มละลาย เขาก็ยังจะคงจ่ายเงินคืนต้นของคุณได้อยู่ที่ 100 )  และในส่วนของดอกเบี้ย เมื่อคุณได้มันมาแล้วมันจะอยู่ในบัญชีเดียวกัน ทำให้มันกลายเป็นเงินต้นไปโดยปริยาย

ปีแรก     เงินต้น 100 ได้ดอกเบี้ยร้อยละ 10 สิ้นปี 110
ปีที่สอง  ถ้าแยกสองก้อน เงินต้น 100 ได้ดอกเบี้ยละ 10 สิ้นปีได้ 110
            แต่มีดอกเบี้ยปีที่แล้วมาอีก 10 บาท ได้ดอกร้อยละ 10 สิ้นปีได้ 11
            รวมสองส่วนได้เป็น 121
ปีที่สาม  แยกสองส่วน ส่วนเงินต้นก็ยัง ได้เป็น 110  เมื่อสิ้นปีแต่ส่วน  ของดอกเบี้ยจะเปลี่ยนไป


ในขณะที่ถ้าคุณมองหุ้นความแตกต่างคือเงินต้นมันไม่แน่นอน เพราะตลาดมีการเปลี่ยนแปลงความต้องการทำให้ราคาต่าง และ เมื่อได้เงินปันผลมามันอยู่ในรูปเงิน ไม่ใช่รูปหุ้นที่จะไปก่อให้เกิดรายได้ต่อเนื่องได้โดยทันที คุณต้องลงทุนซ้ำโดยการนำเงินไปซื้อหุ้นอีกที

ปีที่แรก   ถ้าคุณซื้อหุ้นหุ้นละ 10 บาท 10 หุ้น ถ้าตลาดไม่มีความต้องการเพิ่มหรือลด ปลายปีมันก็ยังคงราคาเดิม คือ 110 แต่คุณจะได้ปันผล เท่ากับ 1 บาทต่อหุ้น ( เผื่อให้เทียบกับ กรณีเงินฝากได้ ) ทำให้ได้มาอีก 10 บาทความเป็นมูลค่ารวม 110 บาท
ปีที่สอง   ถ้าคุณไม่ทำอะไรเลยถือหุ้นเท่าเดิม และราคาไม่เปลี่ยน เงินต้นมันก็จะยังเท่ากับ 100 บาทและถ้าบริษัทมีกำไรเท่าเดิมจ่ายปันผลเท่าเดิม คุณจะได้ปันผลมาอีกหุ้นละ 1 บาท ทำให้ได้มาอีก 10 บาท รวมเป็น 110 เมื่อรวมกับปันผลในปีแรกที่อยู่ในบัญชีอื่นของคุณ 10 บาททำให้รวมได้เป็น 120 ดูแล้วเงินรวมน้อยลงเสียอีกใช่ไหมครับเมื่อเทียบกับการฝากธนาคารที่ได้ผลตอบแทนร้อยละ 10 เท่ากัน แต่แบบนั้นปลายปีที่สองคุณมี 121

ซึ่งมันเกิดจากการที่ไม่ได้เอาปันผลมาลงทุนต่อ ถ้าสมมติในปีที่สองของกรณีหุ้น ต้นปีคุณนำเงินปันผล 10 บาทที่ได้ไปซื้อหุ้นเพิ่มอีก 1 หน่วย ปลายปีคุณก็จะมีมูลค่าเงินรวมมาจาก หุ้น 11 หุ้นหุ้นละ 10 บาทเท่ากับ 110 บาทและปันผลจากหุ้นหุ้นละ 1 บาทเท่ากับ 11 บาทเมื่อรวมสองส่วนจะเท่ากับ 121 บาทซึ่งไปเท่ากับกรณีฝากเงินธนาคารที่คุณเข้าใจว่ามันคือการทบต้น โดยแบบหุ้นมันได้มาจาก การที่เงินต้นที่อยู่ในหุ้นคิดว่าราคาหุ้นเท่าเดิม และปันผลก็ได้เท่าเดิม เหมือนกรณีธนาคารรักษาเงินต้นให้คุณและจ่ายดอกเบี้ยในอัตราเดียวกับเงินปันผลที่ได้ แต่ทว่าหุ้นเองยุ่งยากตรงต้องนำเงินปันผลมาลงทุนซ้ำ และขณะเดียวกัน ราคาหุ้นต้องคงที่ และธุรกิจได้กำไรเท่าเดิมจ่ายปันผลเท่าเดิม มันก็จะได้ผลออกมาเท่ากับฝากธนาคาร  

แต่คนที่ลงทุนในหุ้น ต้องคำนึงถึงว่ามีโอกาสจากทั้งการเปลี่ยนแปลงของราคาหุ้น และการดำเนินกิจการทำให้ปันผลเปลี่ยนไป และเมื่อได้ปันผลคุณอาจเลือกไปลงทุนในหุ้นอื่นแทน ที่จะลงทุนซ้ำในหุ้นตัวเดิม ในขณะที่ถ้าฝากธนาคาร มันออโต้ในตัวมันเอง ดอกเบี้ยรู้ล่วงหน้า ดอกเบี้ยได้มามันก็อยู่ในบัญชีเดิมลงทุนซ้ำโดยออโต้ ซึ่งถ้ามองว่าคุณขยันหาธนาคารใหม่ให้ได้อัตราดอกเบี้ยแตกต่างมันก็อาจจะมองได้ว่าเหมือนมองหาหุ้นใหม่เผื่อผลประกอบการใหม่ให้ได้ปันผลดีขึ้น หรือไม่เปลี่ยนธนาคารแต่เอาเฉพาะดอกเบี้ยไปฝากในธนาคารอื่นเพื่อให้ผลตอบแทนแตกต่าง

ปล.อาจจะยาวไปบ้างและอาจจะไม่ตรงกับที่เจ้าของกระทู้ต้องการแต่ผมว่าน่าจะช่วยสร้างความเข้าใจได้นะครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
erickiros
Verified User
โพสต์: 415
ผู้ติดตาม: 0

ขอถามโง่ภาค2"การถือหุ้นให้ทบต้นทำอย่างไร"

โพสต์ที่ 14

โพสต์

เดือนแรกราคาเริ่มต้น 100 บาท ถ้าราคาเพิ่ม 6%
เดือนที่ 1  100*1.06=106 บาท

เดือน 2 ราคากลายเป็น 106 บาท ถ้าต้องการจะเพิ่มอีก 6%
เดือนที่ 2  106*1.06=112.36 บาท

เดือน 3 ราคากลายเป็น 112.36 บาท ถ้าต้องการจะเพิ่มอีก 6%
เดือนที่ 3  112.36*1.06=119.10 บาท

เราไม่ได้ใส่เงินเพิ่มแต่ราคาหุ้นมันเพิ่มไงครับ สิ้นเดือนแรกก็เพิ่ม 6 บาท สิ้นเดือนที่ 2 ก็เพิ่มอีก 6.36 บาท

ถอนออกแล้วมาซื้อใหม่ เราต้องทำผลตอบแทนมากกว่า 6% เสียอีก เพราะต้องเสียค่าคอมมิชชั่นในการซื้อ/ขาย
END
Verified User
โพสต์: 224
ผู้ติดตาม: 1

ขอถามโง่ภาค2"การถือหุ้นให้ทบต้นทำอย่างไร"

โพสต์ที่ 15

โพสต์

ขอบคุณทุกท่านที่ช่วยกันอธิบายนะครับ
อาจจะดูน่ารำคาญ แต่ต้องยอมรับตาม
ตรงว่าผมไม่เข้าใจจริงๆ
เดือน 2 ราคากลายเป็น 106 บาท ถ้าต้องการจะเพิ่มอีก 6%
เดือนที่ 2  106*1.06=112.36 บาท
ขออนุญาตถามเพื่อให้กระจ่างนะครับ

ราคาหุ้น 10 บาท เดือนแรกหุ้นขึ้น 6% เดือนแรกราคาหุ้นเท่ากับ 10.6
เดือนที่ 2 ราคาหุ้นขึ้นอีก 6% เราก็ต้องคิดจากราคาเดิมมันไม่ใช้หรือครับ
มันไม่ได้เพิ่มจาก 106 บาทนะครับ แต่มันเพิ่มจาก 100 บาทเพราะเราไม่ได้ลง
เงินเพิ่ม และเรายังไม่ได้ขายหุ้น ฉะนั้นกำไรมันก็คงที่อยู่ 6% พอเดือนต่อมา
หุ้นตัวนี้ขึ้นอีก 6% มันก็จะรวมกับกำไรเดิมอีก 6% เป็น 12% 12% นี้ก็ต้อง
คิดจากเงิน 100 บาทไม่ใช้ 106 บาทเพราะเรายังไม่ได้ขายนิครับ งงต่อ
งงจนเครียดเลย  :cry:
ภาพประจำตัวสมาชิก
erickiros
Verified User
โพสต์: 415
ผู้ติดตาม: 0

ขอถามโง่ภาค2"การถือหุ้นให้ทบต้นทำอย่างไร"

โพสต์ที่ 16

โพสต์

ก็สิ้นเดือนแรก ราคาหุ้นมันขึ้นมาเป็น 10.6 แล้วไงครับ ฉะนั้นเดือนต่อไปเราต้องเอาราคาสิ้นเดือนแรกมาคิด
END
Verified User
โพสต์: 224
ผู้ติดตาม: 1

ขอถามโง่ภาค2"การถือหุ้นให้ทบต้นทำอย่างไร"

โพสต์ที่ 17

โพสต์

erickiros เขียน:ก็สิ้นเดือนแรก ราคาหุ้นมันขึ้นมาเป็น 10.6 แล้วไงครับ ฉะนั้นเดือนต่อไปเราต้องเอาราคาสิ้นเดือนแรกมาคิด
ก็เท่ากับว่าแทนที่มันจะขึ้นจาก 6% ของ 10 บาท
มันต้องขึ้น 6% ของ 10.6 ใช้ไหมครับ

แต่เรากำหนดว่า 1 ปีต้องขึ้น 72% นิครับ แต่ถ้าคิดแบบนี้
พอครบ 1 ปีมันก็ต้องขึ้นมากกว่า 72% ซิครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
erickiros
Verified User
โพสต์: 415
ผู้ติดตาม: 0

ขอถามโง่ภาค2"การถือหุ้นให้ทบต้นทำอย่างไร"

โพสต์ที่ 18

โพสต์

เมื่อราคามันเป็น 10.6 ถ้าเราต้องการผลตอบแทน 6% ราคาต้องขยับเป็น 10.1236 เราถึงจะได้ผลตอบแทนในการถือหุ้นเป็น 6% ทบต้น

แต่ในชีวิตจริง หุ้นตัวเดิมมันผันผวนคงไม่ขึ้นทบต้นไปเรื่อยๆหรอกครับ การขายแล้วมาหาหุ้นใหม่มันทำผลตอบแทนทบต้นง่ายกว่า(ในบางครั้ง)
END
Verified User
โพสต์: 224
ผู้ติดตาม: 1

ขอถามโง่ภาค2"การถือหุ้นให้ทบต้นทำอย่างไร"

โพสต์ที่ 19

โพสต์

erickiros เขียน:เมื่อราคามันเป็น 10.6 ถ้าเราต้องการผลตอบแทน 6% ราคาต้องขยับเป็น 10.1236 เราถึงจะได้ผลตอบแทนในการถือหุ้นเป็น 6% ทบต้น

แต่ในชีวิตจริง หุ้นตัวเดิมมันผันผวนคงไม่ขึ้นทบต้นไปเรื่อยๆหรอกครับ การขายแล้วมาหาหุ้นใหม่มันทำผลตอบแทนทบต้นง่ายกว่า(ในบางครั้ง)
ขอบคุณมากนะครับที่มาให้ความรู้ผม แล้วที่ ดร ถือหุ้นคำนวนยังงไง
ครับเงินท่านถึงเพิ่มรวดเร็วแบบนั้น  :shock:
ภาพประจำตัวสมาชิก
erickiros
Verified User
โพสต์: 415
ผู้ติดตาม: 0

ขอถามโง่ภาค2"การถือหุ้นให้ทบต้นทำอย่างไร"

โพสต์ที่ 20

โพสต์

แบบที่น้อง END ว่าได้ 72% เป็นการกำหนดผลตอบแทนเฉลี่ยคงที่จากเงินต้นครับ

ถ้าจะคิดแบบทบต้นก็อย่างที่พี่อธิบายไปครับ
END
Verified User
โพสต์: 224
ผู้ติดตาม: 1

ขอถามโง่ภาค2"การถือหุ้นให้ทบต้นทำอย่างไร"

โพสต์ที่ 21

โพสต์

erickiros เขียน:แบบที่น้อง END ว่าได้ 72% เป็นการกำหนดผลตอบแทนเฉลี่ยคงที่จากเงินต้นครับ
ถ้าจะคิดแบบทบต้นก็อย่างที่พี่อธิบายไปครับ
รับทราบครับ

ถ้าแบบถือให้มันทบต้น ก็ยากกว่าการซื้อๆขายๆซิครับ
เพราะว่ากรณีถือ หุ้นตัวนั้นต้องขึ้นถึง 100% จึงจะทบต้นได้
แต่ถ้าซื้อๆขายๆหุ้นตัวนั้นขึ้นแค่ 72% ก็ทบต้นแล้วผมเข้าใจถูกไหม
firstee
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1741
ผู้ติดตาม: 1

ขอถามโง่ภาค2"การถือหุ้นให้ทบต้นทำอย่างไร"

โพสต์ที่ 22

โพสต์

แล้วเวลาคิดนี้เราจะคิดตอนสิ้นปีใช่มั้ยครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
erickiros
Verified User
โพสต์: 415
ผู้ติดตาม: 0

ขอถามโง่ภาค2"การถือหุ้นให้ทบต้นทำอย่างไร"

โพสต์ที่ 23

โพสต์

ยากเท่ากันครับแถมแบบซื้อๆขายๆยากกว่าด้วยเพราะเสียค่าคอมบ่อยกว่า

เงิน 100 บาทเพิ่มเป็น 106 ถอนมาซื้อใหม่เสียค่าคอม 0.15%
ซื้อใหม่เสียค่าคอมอีก 0.15% ต้องทำผลตอบแทนให้ได้ 6.3% นะครับ
Boyadvance
Verified User
โพสต์: 495
ผู้ติดตาม: 0

ขอถามโง่ภาค2"การถือหุ้นให้ทบต้นทำอย่างไร"

โพสต์ที่ 24

โพสต์

จากประสบการณ์ของผมนะ
ซื้อๆขายๆ ในได้ 72% ยาก กว่า ถือไว้เฉยๆ แล้วได้ 100 % นะครับ
เพราะเวลาหุ้นขึ้นก็จะขึ้นไปเรื่อยๆ สลับกับลงและพัก  
วันที่ลงกับคงที่ เราไม่รู้ว่ามันเกิดวันไหน
การซื้อขายบ่อยจะทำให้เราสูญเสีย ช่วงราคาที่ผันผวนอาจจะทำให้ต้องซื้อ แพงกว่าที่ขายบ่อยครั้ง

ยิ่งถ้ามีเงินเยอะๆ การซื้อขายบ่อยๆ ในหุ้นตัวเดิม อาจจะเป็นการไล่ราคาไปในตัว ไม่ได้ขึ้นเพราะตลาด

แต่การซื้อขายบ่อยๆจะเหมาะกับ ในช่วงที่ ราคา เกิด swing ไปมา หลายรอบ ไม่มี new high และ  new low ในกรณีนี้ การถือไว้เฉยๆ ทั้งปีจะได้ผลตอบแทนที่น้อยกว่า
ภาพประจำตัวสมาชิก
picklife
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 2567
ผู้ติดตาม: 0

ขอถามโง่ภาค2"การถือหุ้นให้ทบต้นทำอย่างไร"

โพสต์ที่ 25

โพสต์

ขอถามคุณendกลับว่าคุณเอ็นเข้าใจเรื่อง เงินกับเวลายังครับ
net present value เข้าใจดอกเบี้ยทบต้นยังครับ
รู้จักสูตร F=P*(1+i)^n ไหมครับ
จำเป็นต้องเข้าใจตรงนี้ก่อนนะครับ ถ้าเข้าใจแล้วผลตอบแทนที่ได้จากการลงทุนในตลาดหุ้นก็เปรียบเทียบกับตัวนี้ โดยใช้สูตรและหลักเกณฑ์เดียวกันครับ :D
เม่าน้อยคลำทางหาแสงไฟ
ภาพประจำตัวสมาชิก
picklife
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 2567
ผู้ติดตาม: 0

ขอถามโง่ภาค2"การถือหุ้นให้ทบต้นทำอย่างไร"

โพสต์ที่ 26

โพสต์

END เขียน:
erickiros เขียน:แบบที่น้อง END ว่าได้ 72% เป็นการกำหนดผลตอบแทนเฉลี่ยคงที่จากเงินต้นครับ
ถ้าจะคิดแบบทบต้นก็อย่างที่พี่อธิบายไปครับ
รับทราบครับ

ถ้าแบบถือให้มันทบต้น ก็ยากกว่าการซื้อๆขายๆซิครับ
เพราะว่ากรณีถือ หุ้นตัวนั้นต้องขึ้นถึง 100% จึงจะทบต้นได้
แต่ถ้าซื้อๆขายๆหุ้นตัวนั้นขึ้นแค่ 72% ก็ทบต้นแล้วผมเข้าใจถูกไหม
ทบต้นไม่ได้เกี่ยวกับการซื้อๆขายๆหรือถือยาวครับ คนละเรื่องกันครับ

ผมตอบแทนก็แล้วแต่ว่าเราจะคิดเป็นต่อวัน ต่อเดือน หรือต่อปี แต่ที่นิยมกันคือต่อปีครับ

ส่วนทบต้นก็แล้วแต่ว่าเราจะคิดทบต้นต่อวัน  ต่อเดือน  หรือต่อปี
สำหรับดอกธนาคารเขาคิดทบต้นกันต่อวันครับ
แต่สำหรับการลงทุนในหุ้นมักจะคิดกันง่ายๆเป็นทบต้นต่อปีครับ
เม่าน้อยคลำทางหาแสงไฟ
ภาพประจำตัวสมาชิก
picklife
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 2567
ผู้ติดตาม: 0

ขอถามโง่ภาค2"การถือหุ้นให้ทบต้นทำอย่างไร"

โพสต์ที่ 27

โพสต์

แล้วคิดทบต้นกับคิดปกติต่างกันอย่างไร?

ปีที่1ขาดทุน50%  ปีที่2กำไร100%
ถ้าไม่คิดแบบทบต้นจะได้75%ซึ่งจะเป็นค่าหลอกๆ
แต่คิดแบบทบต้นจะได้0%ซึ่งตรงกับค่าความเป็นจริง
เม่าน้อยคลำทางหาแสงไฟ
ภาพประจำตัวสมาชิก
PrasertsakK
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 292
ผู้ติดตาม: 0

ขอถามโง่ภาค2"การถือหุ้นให้ทบต้นทำอย่างไร"

โพสต์ที่ 28

โพสต์

อ่านแล้วงงกันคำถามน้อง END ครับ

ในความคิดของผม ผมว่าน้องEND คงสับสนนิดหน่อยเกี่ยวกับการทบต้นกับการทำกำไรจากตลาดหุ้น  

การคิดทบต้นเป็นการคำนวนว่าในแต่ละปีโดยเฉลี่ยแล้วเราสามารถได้กำไรจริง ๆ เท่าไร เช่น เราซื้อหุ้น A  10 บาท เราขายได้ 20 บาท เราบอกว่าเราได้กำไร 100% ก็ดูเหมือนเยอะใช่ไหมครับ แต่ปัญหาคือเราขายเมื่อไร ถ้าเราซื้อและขายได้ภายใน 1 ปี มันก็เยอะ แต่ถ้าเป็น 10 ปี มันก็อาจจะไม่เยอะ(หรือเยอะสำหรับบางคน)  ตามสูตรที่คุณ picklife ให้การก็จะได้ประมาณ 7 % กว่า ๆ

ในความคิดผม การคิดแบบทบต้นทำให้เราสามารถเลือกว่าเราจะกระจายการลงทุนอย่างไร เพราะผลตอบแทนแต่ละอย่างไม่เท่ากัน และเป็นการสะท้อนภาพการลงทุนของเราว่ามีประสิทธิภาพแค่ไหน สุดท้ายก็คือเป็นการเตือนสติเราว่าเราไม่ควรที่จะหวังผลตอบแทนที่มากเกินไป เพราะแค่ 20% ผ่านไป20ปีเราก็คงมีกำไรพออยู่ได้แล้วครับ

กลับมาที่คำถามของน้อง END "การถือหุ้นให้ทบต้นทำอย่างไร ?" ก็คงต้องตอบว่าทำอย่างไรก็ทบต้นครับ แต่จะมากหรือน้อย ก็คงแล้วแต่ฝีมือและโชคชะตาแล้วครับ
Yaiba123
Verified User
โพสต์: 423
ผู้ติดตาม: 0

ขอถามโง่ภาค2"การถือหุ้นให้ทบต้นทำอย่างไร"

โพสต์ที่ 29

โพสต์

ผมว่าประเด็นของคุณ END คือการเข้าใจทฤษฎี ที่ไม่ตรงกันนะ ยกตัวอย่างเช่น ท่าน ดร.นิเวศน์ กล่าวว่า การถือหุ้นระยะยาวให้ผลตอบแทนโดยเฉลี่ยดีกว่า การซื้อๆขายๆ และถ้าให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุดคือ การไม่นำเงินออกมาใช้และปล่อยให้เงินเกิดการ"ทบต้น"ไปเรื่อยๆ

ประโยคนี้ ผมว่า อาจารย์ก็ได้ขยายความถึงคำว่าทบต้นไว้ชัดเจนแล้วครับ การทบต้นของเงินที่ใช้ลงทุน จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อคุณไม่นำเงินที่ได้กำไรจากการลงทุนออกมาใช้ แถมยังนำเงินปันผลที่ได้นำไปลงทุนต่อ สิ่งนี้ก็จะทำให้เกิดการทบต้นไปในตัวแล้วครับ มันไม่เกี่ยวกับการที่จะซื้อๆขายๆ หรือจะถือยาว การถือยาว หากคุณได้เงินมา แต่คุณไม่ได้เอาไปลงทุนต่อ แบบนี้ตามความเข้าใจผมมันก็ไม่ถือว่าเกิดการทบต้นนะ เช่นปีแรกลงทุน100บาท ได้กำไรมา 10บาทจากcap. gain และอีก 10บาทจากปันผล(รวมๆก็ 20%) หากปีต่อไป เราลงทุนแค่100บาทเท่าเดิม แบบนี้มันก็ไม่ได้เกิดการทบต้นอ่ะครับ เปลี่ยนใหม่เป็น เราไม่นำเงินออกมาเลย แล้วพอเริ่มปีที่2 เราเจอหุ้นที่น่าสนใจกว่า เราคำนวณแล้วว่าผลตอบแทนดีกว่าหุ้นตัวแรกของเรา(เช่นหุ้นเดิมที่ถืออยู่ตอนนี้เกือบจะเต็มมูลค่าที่คำนวณไว้แล้ว เต็มที่ก็เพิ่มได้อีกแค่10% แต่ตัวที่2 น่าจะมีup sideเหลืออีก20%) เราจัดการขายทั้งหมด รวมทั้งเงินปันผลไปซื้อหุ้นตัวใหม่ จำนวนเงินคือ 120บาท ปรากฏว่าปีนั้นหุ้นตัวที่2 ทำผลตอบแทนได้20%จริงๆ เราก็ควรจะมีเงินประมาณ 120+24บาท แบบนี้ก็เท่ากับเกิดการทบต้นในตัวแล้ว

ส่วนการซื้อๆขายๆนั้น ก็ไม่ได้จะหมายความว่าจะเกิดการทบต้นได้เสมอไป เช่น ซื้อหุ้นวันนี้ มะรืนขายได้กำไร เอากำไรที่ได้ทั้งหมด ไปซื้อ iphone ฉลอง แล้วก็เหลือเงินลงทุนไว้เท่าเดิม แบบนี้ก็จะไม่เกิดการทบต้น

ส่วนประเด็นที่บอกว่า การซื้อๆขายๆจะทบต้นง่ายกว่า การถือยาว อันนี้น่าจะแยกเป็นคนละประเด็นครับ
ถ้าอ้างตามทฤษฎีการลงทุนแบบเน้นคุณค่า ที่ท่านอาจารย์และเหล่าเซียนๆหลายๆคนยึดปฏิบัติ
ประเด็นแรกคือ การลงทุนระยะยาวมักจะได้ผลตอบแทนโดยเฉลี่ยดีกว่าการลงทุนแบบซื้อๆขายๆหรือแบบเก็งกำไร
ประเด็นที่2คือ การลงทุนเพื่ออนาคตที่แท้จริง ไม่ควรนำเงินที่ได้กำไรออกมาใช้ก่อนจะถึงเป้าหมายที่วางไว้(เช่นมีอิสระภาพทางการเงิน) เพื่อให้เงินลงทุนนั้น เกิดการ"ทบต้น"ไปเรื่อยๆครับ

หวังว่าจะพอช่วยไขความกระจ่างได้นะครับ
สิ่งที่สำคัญที่สุดในการเดินทางสายนี้คือ จิตใจที่มั่นคงและแน่วแน่.....ส่วนความรู้เป็นสิ่งที่สามารถไขว่คว้าเพื่อตามให้ทันผู้อื่นได้ สู้ต่อไป...
Yaiba123
Verified User
โพสต์: 423
ผู้ติดตาม: 0

ขอถามโง่ภาค2"การถือหุ้นให้ทบต้นทำอย่างไร"

โพสต์ที่ 30

โพสต์

ขออนุญาตขยาความเพิ่มอีกนิดครับ
[quote="END"]ผมลองถามผู้รู้มาแต่ผมก็โง่อยู่ดีไม่เข้าใจที่เขาอธิบาย

ในความเข้าใจของผมถ้าเราได้ผลตอบแทนเดือนละ 6% แบบทบต้น

กรณีถือ(สมมุติได้กำไรแบบคงที่เดือนละ6%)

เดือนที่ 1 หุ้นขึ้น 6% เราก็จะได้กำไร 6% พอเดือนที่ 2 หุ้นขึ้นอีก 6% รวม
แล้วขึ้น 12% ( 6*2 ) เราก็จะได้กำไร 12% พอครบ 1 ปีเราก็จะได้กำไร 6*12
= 72%
สิ่งที่สำคัญที่สุดในการเดินทางสายนี้คือ จิตใจที่มั่นคงและแน่วแน่.....ส่วนความรู้เป็นสิ่งที่สามารถไขว่คว้าเพื่อตามให้ทันผู้อื่นได้ สู้ต่อไป...
โพสต์โพสต์