เด็กใหม่ไฟแรง เขียน:พี่ๆน้องๆครับ
ผมมีความสงสัยอยู่นานแล้วว่า
สังคมโดยรวม ได้อะไรเพิ่มมากขึ้นจากการที่พวกเราเป็นนักลงทุนหุ้นแบบเน้นคุณค่า
นอกเหนือจากผลตอบแทนของเราเองที่ดูเหมือนกับว่าดีกว่าการลงทุนแบบอื่นๆ
แต่สังคมโดยรวมได้อะไรกับพวกเราด้วยหรือไม่ครับ
และถ้าได้ สังคมได้อะไรครับ?????
ดูเผินๆดูเหมือนว่าสังคมไม่ได้อะไรจากวีไอ
ยกเว้นความร่ำรวยของคนกลุ่มเล็กๆ
จากกำไรในตลาดหุ้น
สำหรับเมืองไทยคงยังไม่เห็นภาพชัด
ผมอยากยกตัวอย่างวอร์เรน บัฟเฟต
ผู้ถือว่าเป็นต้นแบบของการลงทุนแบบเน้นคุณค่า
จะเห็นได้ชัดเจนกว่ามาก
สังคมได้อะไรจากนักลงทุนแบบเน้นคุณค่าอย่างวอร์เรน บัฟเฟต
หนึ่ง ตัวอย่างการใช้ชีวิตที่สมถะ
บัฟเฟตแสดงให้เห็นว่าเงินไม่ใช่ทุกอย่างในชีวิต
คนส่วนใหญ่มองว่าคนรวยคือคนที่ขับรถเฟอรารี่
ใช้ชีวิตหรูหรา อยู่บ้านใหญ่ยังกับวัง
แต่บัฟเฟตอยู่บ้านหลังเดิมมากว่าสี่สิบปี
ขับรถเอง ใช้รถเก่าสิบปี
แต่เขาก็มีความสุข
ถ้าเป็นนักเก็งกำไรคงอยากแสดงให้คนอื่นเห็นว่าฉันรวย
สังเกตดูนักเก็งกำไรใช้รถเฟอรารี่ เบท์เล่ย์กันจนเป็นธรรมดา
แต่วีไอมองเห็นผลตอบแทนจากเงินลงทุน
เอาเงินไปลงทุนดีกว่า
วีไอส่วนใหญ่ไม่ค่อยอวดรวย
หลายคนมีเงินพอจะซื้อรถสปอร์ตได้
แต่ยังใช้รถธรรมดา (บางคันเก่าเป็นสิบปี)
อย่างท่านดร.นิเวศน์เรายังอยู่บ้านหลังเล็กๆเก่าๆ
ใช้รถโตโยต้า นั่งEconomy Classอยู่เลย
ถึงแม้จะมีพอร์ตเป็นพันล้าน
บัฟเฟตทำให้สังคมมองว่าคนรวยไม่จำเป็นต้องเว่อร์
ความสุขในชีวิตหลายอย่างไม่ต้องใช้เงิน
สอง การจ้างงาน
ในช่วงวิกฤติ
มีหลายบริษัทไม่สามารถกู้เงินได้
เพราะตลาดหุ้นและตลาดการเงินกำลังย่ำแย่
ไม่มีใครปล่อยกู้ให้กับธุรกิจที่ขาดสภาพคล่องแต่มีศักยภาพในอนาคต
ในช่วงเวลานั้นหลายโอกาส
บัฟเฟตใช้เงินลงทุนในบริษัทที่กำลังแย่เหล่านั้น
ให้รอดพ้นจากการล้มละลายหรือเทคโอเวอร์ได้
เช่น โกลแมนด์แซค ยิลเลต เอบีซี ๆลๆ
แน่นอนเขาทำกำไรได้มากจากดีลเหล่านี้
แต่ขณะเดียวกันเขาทำให้พนักงานในบริษัทเหล่านั้นยังคงมีงานทำต่อไป
เพราะบริษัทไม่ได้ปิดกิจการไป
หรือถูกเทคโอเวอร์ไปย่อยขายทรัพย์สินที่มี
นอกจากนั้นเขายังซื้อกิจการต่างๆอีกมาก
กลุ่มเบิร์คไชน์มีพนักงานมากกว่า 2 แสนคนทีเดียว
และบัฟเฟตไม่ยอมปิดกิจการหรือเลิกจ้างง่ายๆ
สาม สังคมรอบตัวที่ดี
บัฟเฟตใช้ชีวิตแบบสบายๆ
มีความสุขกับคนรอบข้าง
ไม่ว่าจะเป็นครอบครัว ญาติ เพื่อน หรือพนักงานของเขา
เหตุผลหนึ่งเพราะเขาไม่ได้โลภมากอยากได้ทุกอย่างจากคนอื่น
และเขาถือว่าการมีมิตรแท้นั้นสำคัญกว่ากำไรที่ได้
ผิดกับนักเก็งกำไรส่วนใหญ่ที่ทำทุกอย่างเพื่อกำไร
แม้แต่จะทำให้ความสัมพันธ์กับคนอื่นต้องแย่ลง
เช่น ซื้อก่อน ชวนคนอื่นซื้อแต่ขายก่อนไม่บอกใคร เป็นต้น
วีไอคิดเอง ลงทุนเองด้วยเหตุผลของตนเอง
เพราะถ้าซื้อขายตามคนอื่น
คงอยู่รอดได้ไม่นานนัก
การมีความสุขกับการลงทุน
ไม่ร้อนรน ไม่กลุ้มใจเวลาหุ้นตก
และมีความสุขกับคนรอบข้าง
ทำให้สังคมรอบตัวมีความสุขตามไปด้วย
สี่ มีคนสะกิดต่อมโลภ
ทุกครั้งก่อนเกิดวิกฤติ
บัฟเฟตจะออกมาเตือนนักลงทุนทุกครั้ง
ถึงสภาพตลาดหุ้นหรือตลาดการเงินที่กำลังฟองสบู่
ไม่ว่าจะเป็นแนสแดคหรือซัพไพร์ม
แต่ทุกครั้งบัฟเฟตจะถูกประนามทุกครั้งไป
เพราะไปขัดขวางการทำกำไรของฝูงชนจากความโลภที่กำลังบ้าคลั่ง
บางครั้งเขาถูกกล่าวหาว่าเป็น"ไดโนเสาร์"
เช่นไม่ยอมลงทุนในหุ้นเทคโนโลยี่ในช่วงปี 2000
สุดท้ายเวลาเท่านั้นที่จะพิสูจน์ว่าใครเป็น"ของจริง"
และบัฟเฟตก็เป็นของจริงทุกครั้ง
ห้า คืนกำไรสู่สังคม
ในข้อนี้ นักลงทุนไทยหรือแม้แต่คนไทยทำกันน้อยมาก
นั่นคือบริจาคเงินเพื่อการกุศล
บัฟเฟตบริจาคเงินของเขา 99% เข้ามูลนิธิ
เพื่อความก้าวหน้าและความกินดีอยู่ดีของสังคมโลก
ในเมืองไทยยังหาคนทำยาอย่างนี้ยาก
ทั้งหมดน่าจะทำให้มองเห็นภาพมากขึ้นว่า
วีไอก็ทำประโยชน์ให้กับสังคมได้เหมือนกัน(นะ)