ใครยังไม่ได้อ่านก้อ่านซะ
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. มิ.ย. 26, 2003 12:44 pm
ผมว่าเป็นการเปรียบเทียบที่เห็นภาพและเตือนสติพวกเราได้เป็นอย่างดีครับ
นิทานอีสป โดย ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ตั้งแต่ต้นปีมาจนถึงวันศุกร์ที่ 20 มิถุนายน 2546 ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ได้ปรับตัวขึ้นประมาณ 27% แล้ว และตลาดหลักทรัพย์ในช่วงเดือนที่ผ่านมามีความคึกคักเหมือนกระทิงเปลี่ยว หุ้นขนาดใหญ่และหุ้นยอดนิยมทั้งหลายมีการปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็วจนหลายคน ขึ้นรถ แทบไม่ทัน
ในภาวะที่ตลาดหุ้นบูมนั้น จากการสังเกตของผมที่ผ่านมาหลายปี หุ้นที่เป็น Value Stock มักจะปรับตัวขึ้นช้า หุ้นหลายตัวกลับมีราคาลดลงสวนภาวะตลาด ทฤษฎีของผมก็คือคนขายหุ้นที่เป็น Value Stock เพื่อเอาเงินไปเล่นหุ้นที่กำลังวิ่ง
ถามว่า ในฐานะของ Value Investor เราควรทำอย่างไรเมื่อพบกับสถานการณ์แบบนี้?
โดยส่วนตัวผมไม่ทำอะไร ผมเคยทำอย่างไรผมก็ทำอย่างนั้น หลักการของ Value Investment ที่สำคัญมากข้อหนึ่งก็คือ ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ที่ขึ้นลงนั้นไม่ใช่เงื่อนไขหรือสัญญาณการซื้อหรือขายหุ้น
ถ้าถามต่อว่า การอยู่เฉย ๆ จะไม่ทำให้ผลตอบแทนการลงทุนแบบ Value Investment ด้อยลงในภาวะที่ตลาดหุ้นกำลังบูมหรือ? ทำไมไม่เปลี่ยนไปเล่นหุ้นเก็งกำไรชั่วคราวซึ่งเห็นชัดว่าจะได้กำไรอย่างรวดเร็วเป็นกอบเป็นกำแทนที่จะผูกติดกับหุ้นที่รอกินปันผลไม่กี่เปอร์เซ็นต์และต้องใช้เวลาอีกหลายเดือน
คำตอบของผมก็คือ ไม่มีใครรู้ว่าภาวะตลาดจะเป็นอย่างไรในวันพรุ่งนี้แม้ว่าหุ้นจะวิ่งมาเป็นเดือน เพราะฉะนั้นถ้าคุณไม่ใช่นักเก็งกำไร หรือไม่ได้เล่นแบบเก็งกำไรมาแต่แรกก็จงทำใจและยินดีกับคนที่เขาเล่นแบบนั้นมาตลอด สิ่งที่คุณควรจะหวังก็คือ หวังว่าในที่สุดหุ้น Value ของคุณก็จะขึ้นไปตามพื้นฐานของมัน หรือตามภาวะตลาดเมื่อหุ้นเก็งกำไรขึ้นกันไปหมดแล้ว
ในอีกด้านหนึ่ง ดัชนีตลาดหลักทรัพย์อาจจะผันผวนตกลงมาเมื่อไรก็ได้ เพราะเวลาหุ้นขึ้นก็ไม่เคยมีใครบอกว่ามันกำลังจะวิ่งแล้ว เพราะฉะนั้นการเล่นหุ้นโดยอิงภาวะตลาดนั้นเป็นเรื่องที่มีความเสี่ยงสูงและอาจจะเปลี่ยนชะตากรรมของคนที่เล่นได้ง่าย ๆ
ด้วยเหตุผลที่กล่าวมาและเพื่อที่จะเป็นเครื่องเตือนใจนักลงทุนทั้งหลายทั้งปวง ผมจึงอยากที่จะเสนอนิทานอีสป 3 เรื่อง สำหรับคน 3 กลุ่มในตลาดหุ้นที่กำลังเริงรื่น หรือที่กำลังผิดหวังและสัปสนดังต่อไปนี้
สำหรับนักลงทุนกลุ่มแรกที่เป็นนักเก็งกำไรที่มีอยู่มากในตลาดหุ้นและกำลังมีความสุขจากผลตอบแทนที่ได้รับนั้น โดยส่วนตัวแล้วผมคิดว่าปีนี้จะเป็นปีที่ดีของพวกเขา แต่ในความรื่นเริงนี้ ควรจะคิดถึงนิทานเรื่องแมลงวันกับโถน้ำผึ้งซึ่งเล่ากันอย่างนี้ครับ:
แมลงวันฝูงหนึ่งพบโถน้ำผึ้งล้มตะแคงและมีน้ำผึ้งไหลออกจากปากโถนองอยู่บนพื้น ฝูงแมลงวันจึงพากันลงดูดกันด้วยความเอร็ดอร่อยแม้อิ่มแล้วก็ยังไม่ยอมบินจากไป คงเดินวนเวียนอยู่เช่นนั้นเพราะติดใจในรสชาดความหอมหวาน ทำให้ขาและปีกของพวกมันถูกน้ำผึ้งจับติดจนไม่อาจขยับตัวได้
โธ่เอ๋ยพวกเรา นี่เพราะความไม่รู้จักพอ หลงเพลิดเพลินในความสุขจึงทำให้ต้องพบกับเคราะห์กรรมเช่นนี้ แมลงวันทั้งหลายต่างพากันร้องคร่ำครวญ
นักลงทุนกลุ่มที่สองที่เป็น Value Investor แต่กำลังสับสนและอาจจะมีความโลภที่อยากจะได้ผลตตอบแทนที่ดีกว่าในภาวะที่ตลาดกำลังบูมอย่างแรง ก่อนที่จะคิดละทิ้งการลงทุนแบบ Value Investment ไปลองเสี่ยงกับการเก็งกำไร ควรที่จะฟังนิทานเรื่องสุนัขกับเงาครับ:
สุนัขตัวหนึ่งลักเนื้อจากตลาดคาบวิ่งข้ามสะพานมา ขณะอยู่บนสะพานมันเหลือบเห็นเงาของตังเองในน้ำ แต่เข้าใจว่าเป็นสุนัขอีกตัวหนึ่งซึ่งคาบเนื้อชิ้นใหญ่กว่า มันอ้าปากหมายจะงับแย่งชิ้นเนื้อจากสุนัขที่มองเห็นในน้ำ เนื้อในปากของมันจึงตกน้ำจมหายไป
สุนัขโง่ตัวนี้ต้องสูญเสียทั้งเนื้อของตนและเนื้อที่ตนคิดอยากจะได้
สำหรับนักลงทุนกลุ่มสุดท้ายที่ผมจะพูดถึงก็คือ Value Investor พันธุ์แท้ที่อาจจะกำลังหดหู่กับผลงานการลงทุนของตนเอง และอาจจะถูกเยาะเย้ยถากถางจากคนอื่นหรือบางทีอาจจะคิดไปเอง ผมคิดว่าไม่มีนิทานอีสปเรื่องไหนดีเท่ากับเรื่องนี้นั่นก็คือ กระต่ายกับเต่า:
กระต่ายตัวหนึ่งหลงทนงในฝีเท้าของตนว่าสามารถวิ่งได้รวดเร็วดุจสายลม วันหนึ่งพบเต่าคลานต้วมเตี้ยมผ่านหน้าไป กระต่ายจึงกล่าววาจาเยาะเย้ยด้วยความคึกคะนอง
มัวแต่คลานเชื่องช้าอยู่แบบนี้เมื่อไหร่จะไปถึงจุดหมายปลายทางเล่าเพื่อน อย่างนี้ข้าต่อให้คลานล่วงหน้าไปก่อนสักครึ่งวันก็คงวิ่งตามทัน
ไม่ต้องต่อให้ข้าหรอก เต่ารู้สึกไม่พอใจ กระต่ายขี้โม้อย่างเจ้าไม่เห็นว่าจะเก่งกาจตรงไหน ไม่เชื่อเรามาลองวิ่งแข่งกันก็ได้
ว่าไงนะ กระต่ายแทบไม่เชื่อหูตัวเอง เจ้านะหรือกล้าท้าแข่งกับข้า ฮะฮะฮะ
เมื่อเริ่มการแข่งขัน กระต่ายวิ่งออกจากจุดเริ่มต้นสุดฝีเท้า ครั้นถึงครึ่งทางเหลียวกลับมาไม่พบแม้เงาของคู่แข่ง ก็ชะล่าใจ เข้านอนพักใต้ร่มไม้และเผลอหลับไป
เจ้ากระต่ายสะดุ้งตื่นขึ้นมาเมื่อได้ยินเสียงไชโยโห่ร้อง เห็นรอยเท้าสัตว์ต่าง ๆ มากมายบนทางที่ใช้แข่งขันรู้สึกผิดสังเกต มันรีบวิ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วและพบว่าเต่ากำลังวิ่งเข้าเส้นชัย เจ้ากระต่ายออกแรงวิ่งสุดฝีเท้าแต่ก็สายไปแล้ว พวกสัตว์ป่าต่างห้อมล้อมเข้าไปแสดงความยินดีกับเต่าตัวแรกที่สามารถเอาชนะกระต่ายได้ในการวิ่งแข่งขัน
สำหรับการลงทุนระยะยาวแล้ว ผมคิดว่าเต่าจะสามารถเอาชนะกระต่ายได้เสมอเพราะเป้าหมายการลงทุนระยะยาวนั้น มักจะต้องผ่านอุปสรรคมากมายเปรียบเสมือนหนองน้ำป่าเขา และทุ่งหญ้าที่เต็มไปด้วยงูพิษ เต่าที่สามารถเดินทางได้ในทุกสภาพภูมิประเทศและมีเกราะป้องกันตัวอย่างดี ย่อมสามารถไปถึงจุดมุ่งหมายที่อยู่ไกลออกไปในขณะที่กระต่ายนั้นไม่สามารถฝ่าอุปสรรคที่โหดร้ายและสุดท้ายก็อาจจะตกเป็นเหยื่อของงูและสัตว์กินเนื้ออื่น ๆ
นิทานอีสปทั้ง 3 เรื่องนี้ถูกเล่าขานต่อกันมาช้านาน ว่ากันว่าอีสปมีชีวิตอยู่เมื่อกว่า 2500 ปีมาแล้ว ถึงวันนี้ผมคิดว่าข้อคิดข้อเตือนใจของอีสปก็ยังทันสมัยอยู่เสมอและน่าจะเป็นเครื่องเตือนใจให้กับนักลงทุนไทยในภาวะเช่นนี้ได้ดีกว่าสุภาษิตใด ๆ
นิทานอีสป โดย ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ตั้งแต่ต้นปีมาจนถึงวันศุกร์ที่ 20 มิถุนายน 2546 ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ได้ปรับตัวขึ้นประมาณ 27% แล้ว และตลาดหลักทรัพย์ในช่วงเดือนที่ผ่านมามีความคึกคักเหมือนกระทิงเปลี่ยว หุ้นขนาดใหญ่และหุ้นยอดนิยมทั้งหลายมีการปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็วจนหลายคน ขึ้นรถ แทบไม่ทัน
ในภาวะที่ตลาดหุ้นบูมนั้น จากการสังเกตของผมที่ผ่านมาหลายปี หุ้นที่เป็น Value Stock มักจะปรับตัวขึ้นช้า หุ้นหลายตัวกลับมีราคาลดลงสวนภาวะตลาด ทฤษฎีของผมก็คือคนขายหุ้นที่เป็น Value Stock เพื่อเอาเงินไปเล่นหุ้นที่กำลังวิ่ง
ถามว่า ในฐานะของ Value Investor เราควรทำอย่างไรเมื่อพบกับสถานการณ์แบบนี้?
โดยส่วนตัวผมไม่ทำอะไร ผมเคยทำอย่างไรผมก็ทำอย่างนั้น หลักการของ Value Investment ที่สำคัญมากข้อหนึ่งก็คือ ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ที่ขึ้นลงนั้นไม่ใช่เงื่อนไขหรือสัญญาณการซื้อหรือขายหุ้น
ถ้าถามต่อว่า การอยู่เฉย ๆ จะไม่ทำให้ผลตอบแทนการลงทุนแบบ Value Investment ด้อยลงในภาวะที่ตลาดหุ้นกำลังบูมหรือ? ทำไมไม่เปลี่ยนไปเล่นหุ้นเก็งกำไรชั่วคราวซึ่งเห็นชัดว่าจะได้กำไรอย่างรวดเร็วเป็นกอบเป็นกำแทนที่จะผูกติดกับหุ้นที่รอกินปันผลไม่กี่เปอร์เซ็นต์และต้องใช้เวลาอีกหลายเดือน
คำตอบของผมก็คือ ไม่มีใครรู้ว่าภาวะตลาดจะเป็นอย่างไรในวันพรุ่งนี้แม้ว่าหุ้นจะวิ่งมาเป็นเดือน เพราะฉะนั้นถ้าคุณไม่ใช่นักเก็งกำไร หรือไม่ได้เล่นแบบเก็งกำไรมาแต่แรกก็จงทำใจและยินดีกับคนที่เขาเล่นแบบนั้นมาตลอด สิ่งที่คุณควรจะหวังก็คือ หวังว่าในที่สุดหุ้น Value ของคุณก็จะขึ้นไปตามพื้นฐานของมัน หรือตามภาวะตลาดเมื่อหุ้นเก็งกำไรขึ้นกันไปหมดแล้ว
ในอีกด้านหนึ่ง ดัชนีตลาดหลักทรัพย์อาจจะผันผวนตกลงมาเมื่อไรก็ได้ เพราะเวลาหุ้นขึ้นก็ไม่เคยมีใครบอกว่ามันกำลังจะวิ่งแล้ว เพราะฉะนั้นการเล่นหุ้นโดยอิงภาวะตลาดนั้นเป็นเรื่องที่มีความเสี่ยงสูงและอาจจะเปลี่ยนชะตากรรมของคนที่เล่นได้ง่าย ๆ
ด้วยเหตุผลที่กล่าวมาและเพื่อที่จะเป็นเครื่องเตือนใจนักลงทุนทั้งหลายทั้งปวง ผมจึงอยากที่จะเสนอนิทานอีสป 3 เรื่อง สำหรับคน 3 กลุ่มในตลาดหุ้นที่กำลังเริงรื่น หรือที่กำลังผิดหวังและสัปสนดังต่อไปนี้
สำหรับนักลงทุนกลุ่มแรกที่เป็นนักเก็งกำไรที่มีอยู่มากในตลาดหุ้นและกำลังมีความสุขจากผลตอบแทนที่ได้รับนั้น โดยส่วนตัวแล้วผมคิดว่าปีนี้จะเป็นปีที่ดีของพวกเขา แต่ในความรื่นเริงนี้ ควรจะคิดถึงนิทานเรื่องแมลงวันกับโถน้ำผึ้งซึ่งเล่ากันอย่างนี้ครับ:
แมลงวันฝูงหนึ่งพบโถน้ำผึ้งล้มตะแคงและมีน้ำผึ้งไหลออกจากปากโถนองอยู่บนพื้น ฝูงแมลงวันจึงพากันลงดูดกันด้วยความเอร็ดอร่อยแม้อิ่มแล้วก็ยังไม่ยอมบินจากไป คงเดินวนเวียนอยู่เช่นนั้นเพราะติดใจในรสชาดความหอมหวาน ทำให้ขาและปีกของพวกมันถูกน้ำผึ้งจับติดจนไม่อาจขยับตัวได้
โธ่เอ๋ยพวกเรา นี่เพราะความไม่รู้จักพอ หลงเพลิดเพลินในความสุขจึงทำให้ต้องพบกับเคราะห์กรรมเช่นนี้ แมลงวันทั้งหลายต่างพากันร้องคร่ำครวญ
นักลงทุนกลุ่มที่สองที่เป็น Value Investor แต่กำลังสับสนและอาจจะมีความโลภที่อยากจะได้ผลตตอบแทนที่ดีกว่าในภาวะที่ตลาดกำลังบูมอย่างแรง ก่อนที่จะคิดละทิ้งการลงทุนแบบ Value Investment ไปลองเสี่ยงกับการเก็งกำไร ควรที่จะฟังนิทานเรื่องสุนัขกับเงาครับ:
สุนัขตัวหนึ่งลักเนื้อจากตลาดคาบวิ่งข้ามสะพานมา ขณะอยู่บนสะพานมันเหลือบเห็นเงาของตังเองในน้ำ แต่เข้าใจว่าเป็นสุนัขอีกตัวหนึ่งซึ่งคาบเนื้อชิ้นใหญ่กว่า มันอ้าปากหมายจะงับแย่งชิ้นเนื้อจากสุนัขที่มองเห็นในน้ำ เนื้อในปากของมันจึงตกน้ำจมหายไป
สุนัขโง่ตัวนี้ต้องสูญเสียทั้งเนื้อของตนและเนื้อที่ตนคิดอยากจะได้
สำหรับนักลงทุนกลุ่มสุดท้ายที่ผมจะพูดถึงก็คือ Value Investor พันธุ์แท้ที่อาจจะกำลังหดหู่กับผลงานการลงทุนของตนเอง และอาจจะถูกเยาะเย้ยถากถางจากคนอื่นหรือบางทีอาจจะคิดไปเอง ผมคิดว่าไม่มีนิทานอีสปเรื่องไหนดีเท่ากับเรื่องนี้นั่นก็คือ กระต่ายกับเต่า:
กระต่ายตัวหนึ่งหลงทนงในฝีเท้าของตนว่าสามารถวิ่งได้รวดเร็วดุจสายลม วันหนึ่งพบเต่าคลานต้วมเตี้ยมผ่านหน้าไป กระต่ายจึงกล่าววาจาเยาะเย้ยด้วยความคึกคะนอง
มัวแต่คลานเชื่องช้าอยู่แบบนี้เมื่อไหร่จะไปถึงจุดหมายปลายทางเล่าเพื่อน อย่างนี้ข้าต่อให้คลานล่วงหน้าไปก่อนสักครึ่งวันก็คงวิ่งตามทัน
ไม่ต้องต่อให้ข้าหรอก เต่ารู้สึกไม่พอใจ กระต่ายขี้โม้อย่างเจ้าไม่เห็นว่าจะเก่งกาจตรงไหน ไม่เชื่อเรามาลองวิ่งแข่งกันก็ได้
ว่าไงนะ กระต่ายแทบไม่เชื่อหูตัวเอง เจ้านะหรือกล้าท้าแข่งกับข้า ฮะฮะฮะ
เมื่อเริ่มการแข่งขัน กระต่ายวิ่งออกจากจุดเริ่มต้นสุดฝีเท้า ครั้นถึงครึ่งทางเหลียวกลับมาไม่พบแม้เงาของคู่แข่ง ก็ชะล่าใจ เข้านอนพักใต้ร่มไม้และเผลอหลับไป
เจ้ากระต่ายสะดุ้งตื่นขึ้นมาเมื่อได้ยินเสียงไชโยโห่ร้อง เห็นรอยเท้าสัตว์ต่าง ๆ มากมายบนทางที่ใช้แข่งขันรู้สึกผิดสังเกต มันรีบวิ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วและพบว่าเต่ากำลังวิ่งเข้าเส้นชัย เจ้ากระต่ายออกแรงวิ่งสุดฝีเท้าแต่ก็สายไปแล้ว พวกสัตว์ป่าต่างห้อมล้อมเข้าไปแสดงความยินดีกับเต่าตัวแรกที่สามารถเอาชนะกระต่ายได้ในการวิ่งแข่งขัน
สำหรับการลงทุนระยะยาวแล้ว ผมคิดว่าเต่าจะสามารถเอาชนะกระต่ายได้เสมอเพราะเป้าหมายการลงทุนระยะยาวนั้น มักจะต้องผ่านอุปสรรคมากมายเปรียบเสมือนหนองน้ำป่าเขา และทุ่งหญ้าที่เต็มไปด้วยงูพิษ เต่าที่สามารถเดินทางได้ในทุกสภาพภูมิประเทศและมีเกราะป้องกันตัวอย่างดี ย่อมสามารถไปถึงจุดมุ่งหมายที่อยู่ไกลออกไปในขณะที่กระต่ายนั้นไม่สามารถฝ่าอุปสรรคที่โหดร้ายและสุดท้ายก็อาจจะตกเป็นเหยื่อของงูและสัตว์กินเนื้ออื่น ๆ
นิทานอีสปทั้ง 3 เรื่องนี้ถูกเล่าขานต่อกันมาช้านาน ว่ากันว่าอีสปมีชีวิตอยู่เมื่อกว่า 2500 ปีมาแล้ว ถึงวันนี้ผมคิดว่าข้อคิดข้อเตือนใจของอีสปก็ยังทันสมัยอยู่เสมอและน่าจะเป็นเครื่องเตือนใจให้กับนักลงทุนไทยในภาวะเช่นนี้ได้ดีกว่าสุภาษิตใด ๆ