Anti-Aging ศาสตร์ที่จะให้มนุษย์จะมีอายุขัยถึง 120 -150 ปี !

[leaderinshadow]

Anti-Aging ศาสตร์ที่จะให้มนุษย์จะมีอายุขัยถึง 120 -150 ปี !

วันนี้ขอเปิดประเด็นพูดถึงเรื่อง Anti-Aging หน่อยนะครับ
พอดีคิดว่าตัวนี้น่าจะเป็น 1 ใน Maga-Trends ตัวนึง
และสาเหตุที่แอบสนใจคือ เพราะคุณหมอพงศักดิ์ แนะนำเรื่องนี้ให้ ดร.นิเวศฟัง
(ทำให้คำๆนี้สะกิดใจมาหลายสัปดาห์)
เลยแอบไปหาข้อมูลเพิ่มเติม

หมายเหตุ : คือคุณหมอพงศักดิ์ แนะนำเรื่องคอร์ส Anti-Aging ของโรงพยาบาลแห่งหนึ่งให้ ดร.นิเวศ
ในใจก็แอบเชียร์ อยากให้ดร. ยอมจ่ายเงินเข้าคอร์สนี้จัง (แกไม่สน เพราะแพง อาจารย์ไพบูลย์ก็แซว ว่าราคาแค่นั้น ก็แค่เศษเงินแก :lol: )
จะได้สมชื่อเซียนเต่า (นัยยะคืออายุยืนยาว)
แล้วก็จะได้เป็นอาจารย์ของพวกเราจนอายุ 150 ปี

ปล. ขออนุญาตพาดพิงอาจารย์นะครับ

[leaderinshadow]

Anti-aging Medicine

แพทย์แห่งอนาคตเวชศาสตร์อายุรวัฒน์
Anti-aging Medicine ศาสตร์ใหม่ทางการแพทย์เพื่ออายุยืน 120 ปีอย่างไม่มีโรค

นพ.กฤษดา ศิรามพุช แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์อายุรวัฒน์

(American Board of Anti-aging Medicine)
อาจารย์นิสิตปริญญาเอกจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย



ถ้าคุณอยู่ในสังคมยุคข่าวสารนี้ คงเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่เคยได้ยินคำว่า Anti-aging medicine ที่ทุกสื่อพากันกล่าวถึงอยู่ทุกวัน บางท่านอาจเคยได้ยินแต่ไม่ทราบความหมายที่แท้จริงว่าคือ แพทย์เฉพาะทางสาขาหนึ่ง ที่ทำทุกวิถีทางเพื่อให้คุณมีอายุยืนถึง 120 ปีโดยมีสุขภาพดีด้วย หากผมกล่าวถึงเรื่อง สเต็มเซลล์(Stem cell) หรือการฉีดเซลล์ต้นกำเนิดเพื่อรักษาโรค หรือการรักษาโรคโดยการแก้ที่ยีนโดยตรง(Gene therapy), การค้นพบยีนอายุยืนในมนุษย์(Longevity gene) หลายท่านคงร้องอ๋อครางอือ นั่นแหละครับคือส่วนหนึ่งของ Anti-aging medicine

ทุกครั้งที่ถึงจุดเปลี่ยนของศตวรรษหรือสหัสวรรษ มักจะมีความเปลี่ยนแปลงใหญ่ๆเกิดขึ้นในโลกเสมอ ดังเช่น เมื่อต้นศตวรรษที่ 19 ได้มีการปฏิวัติอุตสาหกรรมขึ้นในกลุ่มประเทศยุโรปโดยมีการนำเครื่องจักรไอน้ำและเครื่องทอผ้าซึ่งผลิตได้เป็น mass production มาใช้ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของสังคมในทุกด้าน และต่อมาในต้นศตวรรษที่ 20 ได้มีการคิดค้นยาปฏิชีวนะขึ้นทำให้อัตราตายจากโรคติดเชื้อซึ่งเป็นสาเหตุการตายอันดับหนึ่งของคนในสมัยนั้นลดลงอย่างมาก

นับเป็นโอกาสอันน่าจดจำที่มนุษยชาติรุ่นเราได้อยู่มาจนถึงขึ้นศตวรรษใหม่และได้มีส่วนร่วมเห็นความเปลี่ยนแปลงซึ่งถือเป็นการปฏิวัติสู่ยุคใหม่ของวงการแพทย์ ซึ่งถือเป็นก้าวกระโดดที่ยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติเฉกเช่นเดียวกับการเหยียบลงบนดวงจันทร์ครั้งแรกของ นีล อาร์มสตรอง

นั่นคือศาสตร์แห่งการป้องกันโรคและทำให้อายุขัยของมนุษย์ยืนยาวขึ้น ที่เรียกว่า Anti-aging Medicine หรือ เวชศาสตร์อายุรวัฒน์ และ เวชศาสตร์นาโน (Nanomedicine) เนื่องจากมีการใช้เทคโนโลยีล่าสุดในทางการแพทย์เพื่อสนองความต้องการของผู้ที่ต้องการมีอายุถึง 120 ปีพร้อมกับสุขภาพที่เป็นเลิศด้วย เวชศาสตร์อายุรวัฒน์จึงเป็นสาขาแพทย์ที่เติบโตเร็วที่สุดในสหรัฐอเมริกาขณะนี้ แต่เป็นที่น่าเสียดายที่ในประเทศไทยมีแพทย์เฉพาะทางสาขา Anti-aging medicine นี้อยู่เพียงหลักสิบเท่านั้น แต่ผู้ทำงานด้านสื่อสารมวลชนของประเทศเรานั้นไวไม่น้อยหน้าใคร ดังจะสังเกตได้จากสื่อต่างๆ ที่เริ่มจับกระแส Anti-aging medicine มาเป็นประเด็นหลักหน้าหนึ่งในการนำเสนอ จะได้รับการตอบรับอย่างดีจากผู้บริโภคสื่อเสมอ เพราะเรามีจำนวนประชากรสูงวัยมาก ดังจะเห็นจากการที่สำนักงานสถิติแห่งชาติจัดให้ประเทศไทยเข้าสู่โครงสร้าง ประเทศสูงอายุ (Aging Society) เหมือนกับประเทศแถบยุโรปแล้วเนื่องจากมีประชากรที่อายุมากกว่า 60 ปี ถึงกว่า 10 % และประชากรวัยเด็กลดลงเหลือเพียง 20% สัดส่วนประชากรสูงอายุที่ว่านี้กำลังเติบโตขึ้นเรื่อยๆ

คำว่า Anti-aging medicine ของการแพทย์ตะวันตกนั้น มิใช่แต่เพียงให้อายุยืนอย่างเดียวหากแต่ต้องมีสุขภาพที่ดีด้วย ซึ่งตรงกับ ภาษาสันสกฤต ว่า อายุร (Sanskrit =Ayur= life) ซึ่งแปลว่าชีวิตหรือ life ซึ่งความหมายครอบคลุมมากกว่าคำว่า “วัย” และนำมาสมาสกับ “วัฒน” จึงได้ตรงกับของฝรั่งทั้งชื่อและความหมาย เป็น “เวชศาสตร์อายุรวัฒน์”

ณ เวลานี้ เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่จะกล่าวถึง ศาสตร์ที่สำคัญซึ่งถึงว่าเป็นศาสตร์แห่งโลกอนาคต เนื่องจากเราได้เข้าสู่สหัสวรรษมาแล้วและเวชศาสตร์อายุรวัฒน์เป็นสาขาเฉพาะทางของแพทย์ที่เติบโตเร็วที่สุดในขณะนี้ มีสมาชิกประกอบด้วยแพทย์จากทั่วโลกมาร่วมกันช่วยป้องกันและแก้ไขปัญหาที่เกิดจากความชราหรือความเสื่อมของสังขาร

ผู้ที่เริ่มมีปัญหาที่เกิดจากความเสื่อมของร่างกายในขณะนี้ส่วนใหญ่จะเป็นผู้ที่เกิดในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมาหรือที่ฝรั่งเรียกว่า กลุ่ม “Baby boomer” (ผู้ที่เกิดในช่วงระหว่าง ค.ศ. 1946 – 1964) ซึ่งถือได้อีกอย่างว่าเป็นผู้ที่เกิดในยุคใหม่แห่ง Anti-aging medicine ซึ่ง

รู้หรือไม่?



กระบวนการด้านการชะลออายุนั้นไม่ได้หยุดนิ่งหากแต่วิวัฒนาการมาเรื่อยๆ จนบางที เราอาจไม่ได้สังเกตว่า อายุขัยของมนุษย์เปลี่ยนไป

ในปี ค.ศ. 1796 อายุขัยเฉลี่ยของมนุษย์ เพียง 25 ปีเท่านั้น

ในปี ค.ศ. 1896 อายุขัยเฉลี่ยของมนุษย์เพิ่มขึ้นจนเกือบเป็นสองเท่า คือ 48 ปี ภายในเวลาหนึ่งร้อยปี

ในปี ค.ศ. 1996 อายุขัยเฉลี่ยเพิ่มขึ้นสูงถึง 70 ปี หรือเกือบ 80 ปี ในประเทศที่พัฒนาแล้วเช่นสหรัฐอเมริกา

ดังนั้นจะเห็นว่าอายุขัยมนุษย์เพิ่มขึ้นอย่างเด่นชัด จนผู้เชี่ยวชาญทางเวชศาสตร์อายุรวัฒน์สามารถทำนายได้ว่า มนุษย์จะมีอายุขัยถึง 120 -150 ปี ได้แน่ก่อนที่จะถึงปี ค.ศ. 2050

Anti-Aging madicineเป็นสาขาแพทย์เฉพาะทางที่รวมเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดเข้ามาใช้ในการยืดอายุชะลอความชรา ป้องกันโรค และที่เหนือไปกว่านั้นคือ โรคที่เกิดจากความเสื่อมที่เราเคยคิดว่ารักษาไม่ได้ ได้แต่ประคับประคองอาการกันไปและเป็นโรคที่คร่าชีวิตคนเช่น โรคหัวใจ, โรคมะเร็ง , โรคสมองเสื่อมอัลไซเมอร์ หรือโรคพาร์กินสัน สามารถรักษาได้

[leaderinshadow]

ข้างบน Credit :
http://www.student.chula.ac.th/~5137327 ... -aging.htm

อันนี้ขอเสริมนะครับ

หลักการง่ายๆ ของ Anti-Aging มีอยู่สามอย่าง
Healthy Weight, Healthy diet and Life style ,Healthy Mind


นายแพทย์กฤษดา ศิรามพุช ผู้อำนวยการสถาบันเวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ (International Anti-Aging Medicine Institute) ภายหลังจากจบแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้เดินทางไปศึกษาต่อด้านเวชศาสตร์อายุรวัฒน์ที่อเมริกา จนเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านนี้ บอกว่า ถ้าอยากมีชีวิตที่ดีต้องปฏิบัติด้วยตัวเอง ให้อยู่กับสิ่งที่เป็นธรรมชาติ

“มีเรื่องอะไรบ้างที่จะศึกษาได้ตั้งแต่หัวจรดเท้า กายจรดใจ และใจจรดจิตวิญญาณ ที่ผมเห็นก็เวชศาสตร์อายุรวัฒน์ (Anti-Aging Medicine) เป็นศาสตร์ที่สามารถศึกษาเรื่องพวกนี้ พอได้ไปศึกษาตำรา Anti-Aging ซึ่งเป็นเรื่องของการป้องกันโรค การส่งเสริมสุขภาพก่อนป่วย แต่ต้องเอามาปรับให้เข้ากับคนไทยถึงจะสมบูรณ์”

คุณหมอเล่าให้ฟังและบอกว่า ขณะที่การแพทย์แผนปัจจุบันเน้นการรักษาด้วยยา แต่ Anti-Aging ต้องปฏิบัติด้วยตัวเอง อย่างนอนดึกจะทำให้เราแก่เร็ว ก็ต้องออกกำลังกายกระตุ้นฮอร์โมนหนุ่มสาว

หลักการง่ายๆ ของ Anti-Aging มีอยู่สามอย่าง คือ

1. Healthy Weight

ถ้าไม่อยากแก่ต้องรักษาน้ำหนัก ไม่ให้อ้วนเกินไป จากปกติรับประทานอาหาร 100% ให้ตัดออก 40% เหลือ 60% อาจงดอาหารสักมื้อหนึ่ง อย่ารับประทานแป้งและน้ำตาลเยอะ อาหารทั้งสองอย่างเป็นสาเหตุทำให้แก่เร็ว แป้งไม่ได้มีอยู่ในข้าวอย่างเดียว ยังมีในอาหารชนิดอย่างอื่นด้วย อาทิเช่น ฟักทอง

"ข้าวเป็นอาหารของคนไทยมานาน จะให้เลิกกินไปเลยคงไม่ได้ เราควรเลือกกินข้าวซ้อมมือ ข้าวมันปู ข้าวโอ๊ต เพราะจะมีกากใยอาหาร ทำให้น้ำตาลไม่เข้าสู่เลือดเร็วเกินไป ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้แก่เร็ว ถ้าน้ำตาลเข้าไปจับกับโปรตีนเร็ว จะทำให้โปรตีนในตัวเราเสีย ซึ่งจะทำให้ปลายประสาทต่างๆ เสื่อมเร็วกว่าคนปกติ อย่างคนที่เป็นเบาหวาน ถ้าน้ำตาลไปจับที่ตา ตาก็จะเสื่อมเร็วกว่าปกติ

"พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า กินพอประมาณ ยามวิกาลโภชนา ท่านก็มิได้ให้ตัดเลยทีเดียว สามารถดื่มน้ำปานะได้ ซึ่งตะวันตกเพิ่งมาเรียนรู้ในเรื่องการจำกัดแคลอรี (Calorie Restriction) เราต้องกินสารอาหารให้เพียงพอแก่ร่างกาย" คุณหมอกล่าว

2. Healthy diet and Life style

โดยจะเริ่มที่ Healthy diet คือ อาหารสุขภาพ ไม่จำเป็นต้องเป็นอาหารเสริมราคาแพง อาหารจากธรรมชาติ พวกผักต่างๆ โดยเฉพาะคะน้า ซึ่งถือได้ว่าเป็นราชาแห่งผักเลยก็ว่าได้ แต่ที่สำคัญคือต้องรับประทานให้เหมาะสม ถ้าน้อยเกินไปก็ไม่เห็นผล บางคนชราภาพแล้วก็อาจจะไม่สะดวกในการกินผัก อาจกินอาหารเสริม

คุณหมอ ย้ำเรื่อง ธรรมนูญอาหารเสริม 4 ประการ มีดังนี้

1.ให้เลือกกินอาหารธรรมชาติมากที่สุด ข้างฉลากกล่องจะเขียนว่า Natural และ BIOIDENTICAL (ใกล้เคียงธรรมชาติมากที่สุด)

2. ให้เลือกอาหารเสริมที่มีปริมาณมากพอ อย่างวิตามินซี ถ้าจะรับประทานควรประมาณ 500-1,000 มิลลิกรัม

3. อาหารเสริมที่ทานต้องจับคู่ให้ถูกต้อง ถ้าจะทานวิตามินเอ อย่างเดียวอาจไม่พอ ต้องมีวิตามินซีและวิตามินอีด้วย ถ้าจะกินแคลเซียมก็ต้องเลือกกินแมกนีเซียมด้วย เพราะแมกนีเซียมจะช่วยดึงแคลเซียมเข้าไปในกระดูก

และ 4. ราคาของอาหารเสริมไม่ควรถูกเกินไป ถ้าถูกเกินไปอาจเป็นวิตามินสังเคราะห์ ซึ่งอันตราย และไม่ควรเลือกแพงเกินไป และที่สำคัญก็คือ อย่าพึ่งพาอาหารเสริมอย่างเดียว ต้องมีอาหารธรรมชาติด้วย

ส่วนเรื่องไลฟ์สไตล์ อย่างการออกกำลังกายแบบ Interval Training ไม่ต้องใช้อุปกรณ์อะไรให้สิ้นเปลือง แค่การวิ่งสัก 2 นาทีสลับกับเดินอีก 2 นาที ปฏิบัติอย่างต่อเนื่องประมาณ 20 นาที เพื่อออกกำลังหัวใจและปอดโดยตรง และนี่เป็นการต้านความชรา

3. Healthy Mind
ออกกำลังใจ แบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือ

1. ออกกำลังสมอง มีวิธีการง่ายๆ ให้ลองหัดทำอะไรที่ไม่เคยทำ อย่างเคยเขียนหนังสือมือขวา ก็ลองเขียนมือซ้าย หัดแปรงฟันมือซ้าย หวีผมมือซ้าย หรือเล่นกีฬาที่เราไม่เคยเล่น ลองคบเพื่อนใหม่ เพื่อทำให้สมองอีกด้านที่ไม่ได้ใช้ได้ออกกำลัง

2. ออกกำลังใจ เป็นวิธีที่ดีที่สุดที่มีการวิจัยเพื่อทำให้อายุทางชีวภาพเด็กลง นั่นก็คือ ทำสมาธิ

คุณหมอแนะว่า บางคนอาจไม่เคยนั่งสมาธิมาก่อน จะทำได้ยาก หากทำสมาธิมาถึงจุดหนึ่งจะมีสารความสุขหลั่งออกมา ดร.ริชาร์ด เดวิดสัน (Dr.Richard Davidson) ที่สหรัฐอเมริกาเคยทำวิจัยพระในทิเบตที่นั่งสมาธิเปรียบเทียบกับคนธรรมดา แล้วเอามาสแกนสมอง ปรากฏว่าคนที่ทำสมาธิจะมีสมองที่ไวและหนุ่มกว่าอายุจริง เพราะหัวใจทำงานน้อยลง ไม่เหนื่อยง่าย

"ท่านใดไม่เคยฝึก ก็ลองทำสมาธิแบบง่ายๆ คือ การทำจิตให้อยู่กับปัจจุบัน ถ้ายังทำไม่ได้ ก็อาจหาหนังสือดีๆ มานั่งอ่านเป็นการฝึกจิตให้รู้จักการจดจ่อ หรือจะฟังเพลงก็ได้ อะไรที่ทำให้เราต้องจดจ่ออยู่กับจิต ไม่จำเป็นต้องนั่งสมาธิอย่างเดียว

"ถ้าได้ออกกำลังใจ สติปัญญาก็จะเกิด จะรู้จักคำว่า แก่ก่อนแก่ เจ็บก่อนเจ็บ ตายก่อนตาย แล้วเราจะไม่กลัวความตาย คนที่กลัวแก่กลัวเจ็บและกลัวตาย มักจะตายเร็ว แต่ถ้าเราไม่กลัวเราจะไม่แก่เร็ว ทำให้มีสุขภาพที่ดีด้วย อันนี้คือหลักสูตรของ Anti-Aging ที่ฝรั่งไม่เคยสอนเลย แต่พระพุทธเจ้าทรงสอน ทางสถาบันจะมีนโยบายหลักก็คือ Buddhalogy หรือเทคโนโลยีทางพุทธ เข้ามา ซึ่งทำให้ชีวิตสมบูรณ์” ผู้เชี่ยวชาญทางด้านเวชศาสตร์ กล่าว

Anti-Aging เป็นเรื่องที่คนทุกเพศทุกวัยสามารถทำได้ เพราะเชื่อว่า เราเป็นหมอให้ตัวเองได้

หมายเหตุ : สถาบันเวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ เบอร์ติดต่อโทร. 0-2276-2191 begin_of_the_skype_highlighting 0-2276-2191

http://www.nationejobs.com/content/tipt ... ?conno=424

[nut776]

คอนเฟิร์ม น้องชายไม่ได้หน้าแก่นะคับ

ไม่รู้ว่า มี hidden agenda ไหมที่ว่าสนใจหุ้น
แต่จริงๆสนใจอย่างอื่นหรือเปล่าเอ่ย

[leaderinshadow]

ทำไมถึงต้องพูดประเด็นนี้

ความจริงถ้าใครได้เคยอบรมเกี่ยวกับ Financial Planner
จะรู้ว่า การที่เราตายช้า คือ ความเสี่ยงอย่างนึง

ถ้าไม่จัดสรร หรือ วางแผนทางการเงินที่ดีพอ
จะเกิด ปัญหา เงินหมดก่อนตาย !

ตัวผมเอง เคยพูดเรื่องนี้กับเพื่อนเมื่อหลายปีก่อน ผมตัวผมจะเตรียมตัวสำหรับการมีอายุ อย่างน้อย 120 ปี
แล้วถูกล้อว่า บ้า
(อีกเรื่องที่ถูกล้อว่าบ้า คือ ตอนที่ผมยังเป็นเด็กจนๆ ต้องขอทุนมหาวิทยาลัย เงินกินข้าวยังไม่ค่อยมี และไปคุยเล่นๆกับเพื่อนว่า ผมวางแผนจะมีเงิน 1,000 ล้าน :lol: )

คนอะไรก็ไม่รู้ ซ่าแต่เด็ก :lol:
(ด่าตัวเองอีก อ้าวๆ)

ก็เลยอยากฝากถึงคนรุ่นใหม่ทุกคนนะครับ
ว่าอย่าประมาท ความก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์

ถ้าไม่วางแผนให้ดี จะเจอปัญหา เงินหมดก่อนตาย
ยังไง ก็อยากให้ ตายก่อนเงินหมดนะครับ
อ้าวๆๆ ไปแช่งคนอื่นเค้าอีก :lol:


ปล. ส่วนคิดว่า ผมไม่สามารถหาหุ้นที่จะเป็น next cycle หรือ super growth stock ได้ ผมจะสอยหุ้นกลุ่มโรงพยาบาล
(ต้องเพิ่มตรงนี้ เดี๋ยวจะหาว่าเป็นการคุยเรื่องสุขภาพ ไม่ใช่การลงทุน :lovl: )

[leaderinshadow]

คอนเฟิร์ม น้องชายไม่ได้หน้าแก่นะคับ

ไม่รู้ว่า มี hidden agenda ไหมที่ว่าสนใจหุ้น
แต่จริงๆสนใจอย่างอื่นหรือเปล่าเอ่ย

:lol:


ส่วนใหญ่ ปรัชญาการใช้ชีวิตและการลงทุน ของผม
จะเน้นไปที่การสร้างสมดุล อะครับพี่นัท
พอดีว่าออกแนว เต๋า

ชีวิตนี้ตั้งใจนะ balance หลายๆสิ่ง หลายๆอย่าง
มีเงินมากไป แต่ไม่มีสุข สุขภาพแย่ ก็ไม่รู้จะมีเงินไปทำไม
เห็นผู้ใหญ่หลายคน ตั้งหน้าตั้งตา ทำงานเคร่งเครียด เพื่อที่จะมีเงิน
สุดท้าย พอมีเงิน เงินที่อุตส่าห์ ทำงานมาทั้งชีวิต ก็ต้องเอาไปให้หมอ
เพราะเป็น ความดัน มะเร็ง หัวใจ บลาๆๆ

การรักษาสุขภาพ ตัวผมเองถือว่าเป็นการลงทุนที่สำคัญอย่างหนึ่ง
เพราะ ความไม่โรคโรค เป็นลาภ อันประเสริฐ สุดๆครับ

ส่วนเรื่อง การสร้างสมดุล เมื่อเพิ่งคุยเรื่องนี้นิดหน่อย ตอนงาน Meeting เด็ก NIP
มองว่า ทุกอย่างในโลก หรือ ในจักรวาล นี้ ต้องปรับเข้าหาจุดสมดุลเสมอ
เสื่อยถอม แล้วจึงรุ่งเรื่อง รุ่งเรื่องแล้วเสื่อมถอย

ระบบทุนนิยม ก็ยังเป็นอะไรที่แปลก เป็นระบบที่มักทำลายตัวเอง
และก็ฟื้นฟูตัวเองได้ และหลังการฟื้นฟู ระบบก็จะดียิ่งขึ้น อย่างกะนก Pheonix

ตัวผมเอง เป็นนักลงทุนตัวเล็กๆคนนึ่ง ปรัชญาการลงทุน
ผมจะไม่ฝืนกระแสนี้ สิ่งที่ผมทำ คือ การเข้าไปเป็น และเสริมกลไก ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
และสิ่งที่ได้ตอบแทน ก็คือ ความมั่งคั่ง

อะไรก็ตาม ที่เป็นประโยชน์กับระบบ ก็จะสร้างผลตอบแทนมาก
อะไรก็ตาม ที่ไม่เป็นประโยชน์ ก็สร้างผลตอบแทนนี้

นึกถึง Google หรือ ไมโครซอฟ เพราะ มีไมโครซอฟ ทำให้การใช้คอมพิวเตอร์เป็นเรื่องง่าย
เพราะมี Google ทำให้การหาข้อมูล เป็นเรื่องง่ายและมีประสิทธิ

เรื่องสิ่งง่ายๆ สองสิ่ง ที่สองบริษัทนี้ สร้างให้กับโลก มีมูลค่ามหาศาล
ธุรกิจของทั้งสอง จึงได้ใหญ่ และสร้างผลตอบแทนที่สูง จนคาดไม่ถึง

[leaderinshadow]

สำหรับ hidden agenda เดี๋ยวจะ open ให้เลยครับ

1. ตั้งกระทู้นี้ขึ้นมา เผื่อ อาจารย์นิเวศจะเข้ามาอ่านครับ
เพราะแอบเชียร์ให้อาจารย์เข้าคอร์ส Anti-Aging ครับ
อยากให้อาจารย์นิเวศมีอายุ เกิน 100 ปี จะได้สมฉายาเซียนเต่า
ด้วยความเป็นห่วง จากลูกศิษย์อาจารย์คนหนึ่งครับ ^^

2. ด้วยความที่ผมเป็นเด็กที่มีนิสัย แก่แดดๆ :lol:
มักจะคิดอะไรที่เกินวัย ทำให้มักโดนเพื่อนๆมองว่าเป็นคนแปลกๆมาเสมอ ในหลายๆเรื่อง
แต่อาจจะเป็นเพราะสิ่งนี้ด้วยกระมัง ที่อาจจะทำให้ตัวเองเกิดปมในใจขึ้นมาอยู่ลึกๆ และต้องการพิสูจน์ตัวเอง
(พอดีว่าจบมาทางจิตวิทยาอะครับ เลยติดนิสัยชอบวิเคราะห์ตัวเอง )

แต่ตัวผมเองก็ไม่ใส่ใจครับ เพราะรู้ว่า มันไม่ใช่สิ่งเด็กวัยนั้นๆ เค้าคิดกัน แต่ผมจะกระทำ และจะให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจนืเสมอ

ลองคิดว่า ถ้าเด็ก 5 ขวบ ตระหนักถึงเรื่องการเก็บออมด้วยตนเอง
แล้วไปคุยเรื่องนี้กับเพื่อนในห้อง จะเกิดอะไรขึ้น

เด็กอายุ 12 สนใจเรื่องการลงทุน แล้วไปคุยเรื่องนี้กับเพื่อนวัยเดียวกัน
เพื่อนในห้อง จะมองอย่างไร

เด็กอายุ 17 เริ่มลงทุนในหุ้น ไปคุยกับผู้ใหญ่ หรือเพื่อนอายุรุ่นราวคราวเดี่ยวกัน.......
What happen ?

เด็กจนๆอายุ 18 พูดถึงเรื่องแผนการเกษียณ ตอนอายุ 120 กับเป้าหมายการมีเงิน 1000 ล้าน

เป็นใครๆก็คงคิดว่า "มันบ้า"

แต่ผมจะรอเวลา และโอกาสเสมอครับ
รอวันที่จะกลับมาพูดในสิ่งที่ผมเคยได้พูดไปแล้ว

บางเรื่องได้พูดไปแล้วในรายการ Money talk ของอาจารย์ไพบูลย์
(พอดี ได้รับโอกาสจากอาจารย์ ให้เด็กบ้าๆบอๆ คนนึงได้พูดออกรายการ ขอขอบคุณอาจารย์มากนะครับ ตอนแรกก็กลัวว่าจะทำให้รายการของอาจารย์ออกมาไม่ดี)

ส่วนสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ผมเตรียมที่จะพูดเหมือนกัน แต่ยังไม่ได้พูดในรายการ (แต่ความจริงๆก็หวั่นนะ ถ้าพูดไปเดี๋ยวจะโดนหาว่าบ้า :lol: )

การวางแผนเกษียณสำหรับการมีอายุ 120-150 ปี
ผมว่า เป็นอะไรที่ใหม่มาก และน้อยคนที่จะกล้าพูดถึงสิ่งนี้
แต่ผมเลือกที่เปิดประเด็นนี้ครับ อีก 10 ปี 20 ปี ข้างหน้า หรือแม้กระทั่ง 100 ปี ข้างหน้า(ถ้ายังไม่ตายก่อน :lol: )
ผมก็จะพูดเรื่องนี้กับคนใกล้ตัวทุกคนครับ จะหาว่าบ้า ผมก็ไม่สนใจ (โดนมาตั้งแต่เด็กแล้ว 55)

แต่ผมเชื่อมั่นอย่างยิ่งว่า สิ่งนี้จะต้องเกิดในไม่ช้า ผมจะไม่รอให้มันเกิด แล้วพูดครับ
แต่ถ้าจะพูด เพื่อให้คนที่ผมรู้จัก จะได้ตระหนัก เพื่อเตรียมรับมือกับมัน ก่อนที่มันจะเกิด
โดยเฉพาะเด็กรุ่นใหม่ หลายๆคนที่ยังเชื่อว่า ตนเองจะมีอายุแค่ 60-70 ปี

ปล. ความจริงตัวผมเอง ชอบคิดเรื่องอะไรๆที่หลุดโลกแบบนี้อยู่เรื่อยๆ แต่บางเรื่องขอไม่พูดตอนนี้ดีกว่า ขอรออีกซัก 5 ปี
พูดตอนนี้ มันเร็วเกินไป เดี๋ยวจะมีคนหาว่า โคตรบ้าๆๆๆๆๆๆ :lovl:

[Pn3um0n1a]

อายุเฉลี่ย 120-150 ผมเดาๆ ว่าไม่น่าจะเกิดในชีวิตผม

ถ้าอนาคตจะเกิดขึ้นจริง ก็ขอยินดีล่วงหน้าเอาไว้ก่อน

การพยายามเพิ่มอายุขัยตัวเอง ด้วยวิธีอย่างที่ว่ามา มันก็ดีครับ
หลักๆ เป็นการรักษาสุขภาพฟังแล้วดูดี เริ่มทำได้ตั้งแต่วันนี้เลย

แต่1 สิ่งทีว่ามา มันก็เป็นวิถีชีวิตของคนในอดีตบางกลุ่ม ก็อาจจะมีบ้างที่เกิน 100

แ่ต่2 ต่อให้ทำได้ครบ 100% ก็แก้ไขโรคที่เกิดจากพฤติกรรมบางส่วน แต่ก็ยังมีโรคอีกแยะที่ยังแก้ไขไม่ได้ เช่น มะเร็ง สมองเสื่อม หลอดเลือดเสื่อมตามธรรมชาติอยู่แล้ว (เมื่อสักทศวรรษ ที่ผ่านมา พวกยากลุ่มลดความดัน ลดไขมัน ยาเบาหวาน บางตัว พูดกันถึงกับว่าเป็นยาอายุวัฒนะเลย แต่ก็ ไม่เห็นจะจริงสักเท่าไหร่ เพราะำพฤติกรรมคนต่างหากเล่าที่เป็นต้นเหตุ และ แก้ยากยิ่งกว่าการกินยา)

แต่3 ผมเชื่อลึกๆ ว่าธรรมชาติ จะไม่ปล่อยให้เกิดขึ้นในเร็วๆนี้
ถ้าเกิดขึ้นจริง โลกปั่นป่วนแน่ เพราะทรัพยากรธรรมชาติ จะไม่พอต่อความต้องการ
และจะต้องเกิดการคัดเลือกผู้อยู่รอด ด้วยวิธีการใดวิธีการหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นสงคราม หรือสันติวิธีใดๆ (ที่ปนความโหดเหี้ยมเอาไว้)

ในแง่การลงทุน จากข้อมูลที่โพสมา มันไม่ได้จำเป็นต้องไป รพ. เลยครับ
ทำเองตั้งแต่วันนี้ได้เลย
ถ้าเหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นจริงใน 2050 นี้ สิ่งที่ผมจะทำตอนนี้ ไม่ใช่ลงทุนใน รพ.
แต่ลงทุนกลุ่มอาหาร และ ที่ดินที่ให้ผลิตผลทางอาหารได้

ปล. ลดความหวังในการมีอายุยืนนาน กลับมาอยู่อย่างมีสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดีจนวันตาย
เตรียมพร้อมในความตายที่จะเกิด มีมรณสติ น่าจะดีกว่ามั้งครับ
สิ่งที่เป็นความจริง คือ เราไม่สามารถหลบเลี่ยง สัจธรรมข้อนี้ได้เลย เมื่อมี 80 อยากได้ 120 อยากได้ 150 อยากได้.... ไปเรื่อยๆ จะยิ่งเป็นทุกข์เอา

[ซากคน]

สนับสนุนให้พี่หลีด แชร์เรื่องราวเหล่านี้มากขึ้นกว่านี้ครับ

+1

[Pn3um0n1a]

ผมอ่าน ข้อความอาจารย์ LIS ไม่ครบครับ
ขอโทษทีครับ
น่าจะเข้าใจเจตนาผิด
แต่ยังไง ผมก็เชื่อว่า ถ้าผมวางแผนการเงิน ตอนเกษียณ ไม่ว่าจะอายุเท่าไหร่ จะต้องพอสำหรับ นิรันดร์
คืออายุถึงเท่าไหร่ก็ เพียงพอ ไม่แพ้เงินเฟ้อ ไม่รู้จะทำได้ไหม

แต่ที่ โพสไปเป็นความเห็นของผมจริงครับ แม้จะนอกประเด็นไปหน่อย

ปล. ขอให้อาจารย์ในที่นี้ทั้งหมดอายุยืนๆมากๆนะครับ จะได้สอนรุ่นหลังๆได้เรื่อยๆ

[leaderinshadow]

ไม่เป็นไรครับ

แลกเปลี่ยนกันเยอะๆ เป็นอะไรที่ดีมากๆครับ
จะได้เปิดมุมมองให้กว้างขึ้น

ส่วนเรื่องการคัดเลือกผู้อยู่รอด ผมมองว่า
ใครมีเงินมาก ก็มีโอกาสเข้าถึงวิทยาการเหล่านี้ได้มากกว่า
(อย่ามาหาว่าผมเห็นแก่เงินนะครับ ผมแค่มองตามที่เห็นจริงเท่านั้น)
ใครที่ไม่มีเงิน ก็คงไม่สามารถหาซื้อสิ่งเหล่านี้ได้ อายุก็มีแนวโน้วจะสั้นกว่าคนที่มีเงิน
โดยเฉพาะการเข้าถึงเทคโนโลยี stem sell

ขนาด course Anti aging ของโรงพยายาลชื่อดังแห่งหนึ่ง ราคาก็เกือบๆล้านแล้ว (เอามาจากต่างประเทศ)
และเท่าที่รู้มา ใครที่ใครคอร์สนี้ อายุไม่ต่ำกว่าร้อยปีครับ (คุณหมอเค้าเล่ามาอย่างนั้น)
แถมยังอยู่แบบแข็งแรงด้วย เพียงแค่อาจจะไม่คล่องแคล่วเหมือนเหมือนหนุ่มๆ :lol:

[กาละมัง]

ทั้งที่รู้ว่าอายุสั้น คน(ใช่คน ?)กลุ่มหนึ่งยังเห็นแก่ตัวแก่ได้ขนาดนี้ ถ้ารู้ว่าอายุยาวไม่รู้ว่าจะเป็นถึงขนาดไหน

[avatar2009]

คนเรามีอายุขัยเป็นตัวกำหนดอีกด้วยครับ

ผมก็เป็นคนหนึ่งที่ตั้งเป้าอายุไว้ 120 ปีมานานแล้วครับ

เลยเตรียมทำสวนสุขภาพไว้มีอาหารธรรมชาติที่ปลูกเองไว้บริโภค

กินให้น้อย ใช้ให้น้อย บำรุงธรรมชาติให้มากๆ

เงินคงไม่ใช่ทางออกทางเดียว

เขาว่ากันว่า ในยุคพระศรีอารย์ คนที่เกิดในยุคนั้นจะมีอายุยาว 80000 ปีเชียวน่ะครับ

[nut776]

น้องชายคับ
ระบบทุนนิยมมันเกิดมาแค่200ปี
เทียบไม่ได้กับ monarchyแน่นอน

ส่วนเรื่องanti aging
อยากให้ฟังหูไว้หู เพราะ ขนาด stem cell
ปุัจุบันยังสังเคราะห์ได้ไม่ทุกชนิดCจELLเลย

[nut776]

แต่ถ้าคิดในแง่ดีคนปุัจุบันเทียบกับ 50 100 200 300 ปีก่อน
อายุขัยเฉลี่ยก็เพิ่มขัึ้พอควร
อนาคต100ปี คงเปนไปได้แต่ผมคงไม่ทัน

[leaderinshadow]

ดีครับ ที่ได้แลกเปลี่ยน ^^

อยากฟังมุมมองที่คิดต่าง
เต็มที่เลยนะครับ

อยากให้เต็มที่ โดยเฉพาะด้านลบยิ่งดีครับ
ตัวผมเอง มีแรงปรารถนาอย่างนึง คือ อยากรู้ ในสิ่งตนยังไม่รู้
จะได้เอากะลาออกจากหัวตัวเองครับ :lol:

[leaderinshadow]

สำหรับคำถามเชิงจิตวิทยา
ผมเคยถูกถามตอนที่เรียนจิตวิทยา ว่า "คุณมีชีวิตอยู่ทำไม"

ผมตอบกลับไปว่า
"ผมยังไม่พร้อม ที่จะตายครับ :lol:

มีบางสิ่ง ถ้าผมยังไม่ได้ทำ และผมเอง ก็ไม่แน่ใจว่าจะทำมันได้
หรือจะต้องยอมรับความตายซะก่อน ที่จะทำมันสำเร็จ"

โดนส่วนตัว ชีวิตผมเหมือนตายไป 3 ครั้งแล้ว
คนรอบตัวผม หลายคนตายไปเรื่อยๆ แม้กระทั่งชีวิตผม ก็เฉียดตายมา 3 ครั้ง
การที่ความตายมาอยู่ต่อหน้าเรา สิ่งอื่นๆ มันช่างเล็กน้อยครับ
แต่ทุกครั้งที่ผมรอดตาย เป็นเพราะจิตใจผมยืนหยัดที่สู้ต่อครับ
ชีวิตผมไม่เคยหมดกำลังใจ แม้ต่อให้ความตายอยู่ตรงหน้า

3 เหตุการณ์ที่ ที่ผมรอดตาย มีหลายปัจจัยที่ทำให้รอด ไม่ว่าจะเป็นดวง กำลังใจ สัญชาติญาณการเอาตัวรอด
ทั้งจาก อุบัติเหตุ โรคภัย และ คนที่ประสงค์ร้ายต่อเรา

[jantanee]

Stem Cell เท่าที่ทราบ เพราะเคยทำงาน medical representative อยู่พักหนึ่ง
ผลทาง Anti-Aging ตอนนี้มีแค่ เป็นโปรตีนอย่างหนึ่งค่ะ
แต่เป็นโปรตีนโมเลกุลขนาดเล็กมาก ร่างกายรับสารอาหารได้ง่าย
และสดมาก สกัดจากรกแกะ ต้องเก็บไว้ในที่ที่มีอุณหภูมติดลบ
เหมือนที่พวกเรารู้อยู่แล้วว่าโปรตีนมีหน้าที่ช่วยการเจริญเติบโตในเด็ก และซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอในผู้ใหญ่
เจ้าของผลิตภัณฑ์เป็นคนบอกเองว่า มันให้ผลไม่ต่างจากกินแบรนด์ซุปไก่ 6--
(แต่เวลาเสนอขาย แน่นอนว่าเราไม่บอกแบบนี้)

แต่เราเห็นด้วยกับคุณ leaderinshadow ค่ะ ว่าสุขภาพสำคัญที่สุด
ส่วนเรื่องเงิน สำหรับเราชีวิตจะตายวันตายพรุ่งก็ไม่รู้ ขอแค่มีเงินใช้ไปวันๆ ก็พอใจแล้วค่ะ
แต่ต้องลงทุนเพราะ จะได้มีใช้ในทุกๆวัน
ส่วนเรื่อง Stem Cell อยากให้เพื่อนๆลองหาข้อมูลเพิ่มค่ะ
ส่วนตัวเรามองว่า มัน overvalue ค่ะ และอย่าลืมว่า โรงพยาบาลก็เป็นพาณิชย์อย่างหนึ่งค่ะ

[นักดูดาว]

คนอายุยืนๆ เค้าไม่เครียด เค้าไม่เล่น social media ไม่ว่าจะเป็น BB, iphone, webboard, facebook, twitter นะครับ ส่วนใหญ่อยู่กับธรรมชาติ

[unnop.t]

ตอนผมประเมินเงินตอนเกษียณ ตั้งเป้ามีอายุถึงแค่ 80 ปีเอง :lol:

ไม่รู้ตอนนั้นเทคโนโลยีจะก้าวหน้าทำได้ถึงไหน แต่มาคิด ๆดูก็ไม่รู้จะมีอายุยืนขนาด 120-150 ปีไปทำไม

ถ้าชีวิตเราได้ทำในสิ่งที่ต้องการจนครบแล้ว มีความสุขอยู่ทุก ๆวันตามอัตภาพ สำหรับผมอายุไม่ยืนก็ไม่เป็นไร

บางทีก็เศร้านะครับ ตอนที่อายุมากๆขึ้นเรื่อย ๆแล้วคนรอบข้างเราล้มหายตายจากทีละคน เคยดูหนังเรื่อง A.I.

เมื่อหลายปีก่อนชอบมาก เห็นสัจธรรมการมีชีวิตอยู่ที่ยืนยาวจริง ๆ

รู้สึกว่าไม่ค่อยเกี่ยวกับการลงทุนเท่าไหร่เลย

[นักดูดาว]

คุณ leaderindark พูดเรื่องเกษียณมา ก็นึกขึ้นได้ ว่าตอนนี้ในต่างประเทศ มีแรงงานสูงอายุเป็นจำนวนมากที่ต้องทำงานอยู่ เห็นได้ทุกสาขาอาชีพ ไม่ว่าจะเป็นระดับแรงงานจนถึงระดับสูง

ผมเข้าใจว่าวิกฤติที่ผ่านมา ทำเอาเงินของใครหลายคนละลายหายไปกับตลาด คนที่วางมือไปแล้วก็ต้องกลับมาทำงานอีก อาจจะเป็นงานระดับแรงงานที่ไม่ต้องใช้ทักษะมาก อย่างงานเสมียน งาน รปภ. ฯลฯ รวมทั้งมีงานวิจัย งานประดิษฐ์ ที่ช่วยให้ผู้สูงอายุทำงานได้มากขึ้น เรียกว่าทำงานกันจนหมดลมเลยทีเดียว

[ซากคน]

3 เหตุการณ์ที่ ที่ผมรอดตาย มีหลายปัจจัยที่ทำให้รอด ไม่ว่าจะเป็นดวง กำลังใจ สัญชาติญาณการเอาตัวรอด
ทั้งจาก อุบัติเหตุ โรคภัย และ คนที่ประสงค์ร้ายต่อเรา

ผมเจอมาครั้งเดียว หลังจากนั้นก็บอกกับตัวเองตลอดว่า ทุกครั้งที่เจออะไร / มีอะไรผิดสังเกตเข้ามาเราจะไม่พาใจ พาตัวไปสู่สถานการณ์ที่ไม่รู้ที่มา ที่ไป โดยไม่จำเป็นครับ

สาเหตุครั้งนั้นเป็น อุบัติเหตุทางรถยนต์ เพียงเพราะ ชั่ววูบ ผมอยากเป็น ทาคูมิ พระเอก Initial D เกือบตายครับ

[leaderinshadow]

เฉียดตายครั้งแรก ของผมเป็นตอนเด็กๆ ที่คุณแม่พาเที่ยวที่กรุงเทพครับ
วันนั้นกลับดึก ผมง่วงจัด แต่กลับๆรถเมล์

ผมไปยืนตรงทางออก แต่ด้วยความที่ง่วงมาก ผมหล่นไปก่อนที่รถจะจอดที่ป้ายครับ
เว็บนั้น เหมือนทุกอย่างหยุดนิ่ง โลกหยุดหมุน กลิ้งไปกี่ตลบผมไม่รู้

เว็บอีกทีที่รู้สึก คือ ผมเห็นล้อรถเมล์อยู่ตรงหน้าผมครับ :lol:
ผมรอดตาย เพราะคุณแม่กรี๊ดๆ ตอนที่ผมตรงลงไป และคนขับเหยียบเบรกได้อย่างเส้นยาแดงผ่าแปด
ถ้าหยีบช้ากว่านั้นแค่ 0.1 วินาที ผมคงชะตาขาด
แต่เหตุการณ์นั้น แม้จะยังเด็ก แต่ความรู้สึก มันยังตราตรึงใจมาถึงทุกวันนี้ครับ

บทเรียนนี้สอนให้รู้ว่า อย่าฝืนทำอะไรเกินตัว
ถ้าง่วง ก็ไปนอน อย่าสะเออะไปยืนหน้าประตูลงรถ :lol:

สำหรับเรื่องการมีชีวิตอยู่เกิน 100 ปี
คนที่จะอยู่ได้ คือ คนที่รู้ว่าตัวเองจะอยู่ไปทำไม

คำถามนี้ ไม่มีใครตอบได้ ยกเว้น ตัวเราเอง
สำหรับผม ผมมีคำตอบในเรื่องนี้อยู่แล้วครับ

คำถามนี้ ก็คงคล้ายๆกับ คำถามที่ถามนักลงทุนระยะยาว ว่า จะลงทุนไปทำไม
ในเมื่อมีทุกอย่างแล้ว
คำตอบก็คือ ก็เพราะพวกเขารักการลงทุน พวกเขาคงจะลงทุนไปเรื่อยๆ จนกระทั่งพวกเขาสิ้นลมหายใจ
และความมั่งคั่งที่พวกเขาทำไว้ สุดท้ายจะคืนสู่สังคม และยิ่งพวกเขาอยู่นานเท่าไหร่
ทรัพย์สินทุกอย่างที่ถูกสร้างไว้ ก็จะกลับคืนสู่สังคมมากขึ้นเท่านั้น
รวบทั้งวิชาความรู้ของพวกเขา จะถ่ายทอด จากรุ่นสู่รุ่น

และผมเชื่อว่า การที่เรามีชีวิตอยู่อยู่ทุกวันนี้ ก็เพราะมนุษย์เรามีความฝัน และความหวัง
ตราบใดที่มนุษย์ไม่ละทิ้งความฝัน และความหวัง ที่มีอยู่ในหัวใจ

มนุษย์จะยังคงมีชีวิตอยู่สืบไป ต่อให้ตัวตาย แต่จิตวิญญาณดังกล่าว จะสืบทอดต่อไป จากรุ่นสู่รุ่น
เพราะสิ่งนี้ คือ วิถีของการอยู่รอดของมนุษย์ ที่ดำเนินนานมาหลาย หมื่นปี

[unnop.t]

คุณ leaderindark พูดเรื่องเกษียณมา ก็นึกขึ้นได้ ว่าตอนนี้ในต่างประเทศ มีแรงงานสูงอายุเป็นจำนวนมากที่ต้องทำงานอยู่ เห็นได้ทุกสาขาอาชีพ ไม่ว่าจะเป็นระดับแรงงานจนถึงระดับสูง

ผมเข้าใจว่าวิกฤติที่ผ่านมา ทำเอาเงินของใครหลายคนละลายหายไปกับตลาด คนที่วางมือไปแล้วก็ต้องกลับมาทำงานอีก อาจจะเป็นงานระดับแรงงานที่ไม่ต้องใช้ทักษะมาก อย่างงานเสมียน งาน รปภ. ฯลฯ รวมทั้งมีงานวิจัย งานประดิษฐ์ ที่ช่วยให้ผู้สูงอายุทำงานได้มากขึ้น เรียกว่าทำงานกันจนหมดลมเลยทีเดียว

อเมริกันชนที่คาดหวังชีวิตหลังเกษียณจากกองทุน 401(k) ต้องเริ่มกันใหม่อีกครั้ง

ถ้าจำไม่ผิด Robert เคยพูดถึงเรื่อง 401(k) ในหนังสือของเค้าว่าคนอเมริกันส่วนมากตั้งความหวังการใช้ชีวิตหลังเกษียณด้วยกองทุนนี้

ซึ่งเป็นความคิดที่ผิดอย่างมาก น่าจะเป็นจริงแล้วหล่ะตอนนี้

[Pn3um0n1a]

Once you learn how to die, you learn how to live.

[leaderinshadow]

อยู่กับปัจจุบัน และ เห็นความสำคัญของมันอย่างถึงที่สุด
อย่ามองข้ามความสำคัญ ของทุกสิ่งที่อยู่รอบตัวเรา นี้คือสิ่งที่ผมได้เรียนรู้ หลังจากผ่านมันมา


แม้กระทั่งลมหายใจ มันช่างมีค่าเหลือเกิน
ตอนนี้หัวใจผมยังคงเต้น สมองผมยังคิด จิตผมยังคงเคลื่อนไหว

มันช่างดีเหลือเกิน หากเราตื่นขึ้นมา แล้วพบว่า เรายังมีชีวิตอยู่ หัวใจยังคงเต้นทุกๆวินาที
เรายังคงมีความรู้สึกสัมผัส รูป รส กลิ่น เสียง
เรายังมองเห็น เรายังได้พูดคุยและพบกับคนที่เรารัก
เรายังเห็นความก้าวหน้า เรายังเห็นอนาคต
นี่คือสิ่งที่เรียกว่าอยู่กับปัจจุบัน


สำหรับอนาคต

มนุษย์เรายังคงแบกรับ ความหวัง และความฝัน ของคนรุ่นก่อน ที่จากโลกนี้ไปแล้ว
คนที่ไม่มีชีวิตอยู่ ก็ไม่สามารถทำสิ่งที่พวกเขาใฝ่ฝันได้ แต่...
สิ่งเหล่านี้ มันถ่ายทอดมาทางสายเลือด ครึ่งนึง อยู่ที่คุณ
หากเรารับรู้มัน เราจะรู้ว่า ความจริงแล้ว คนที่จากโลกนี้ไป จากไปเพียงร่างกาย

แค่ความหวัง ยังคงอยู่ อยู่ในหัวใจและในส่วนที่อยู่ลึกภายในนั้น
จิตวิญญาณของพวกเค้า ยังอยู่ในทุกอณูของคุณ และคอยกระซิบว่า
จงก้าวเดินต่อไป หากตั้งใจและเงี่ยหูฟัง คุณจะได้ยินเสียงเหล่านี้
เสี่ยงจากบุคคลที่เรารัก แต่จากโลกนี้ไปแล้ว ลองตั้งสมาธิให้ดี
แล้วคุณจะได้ยินมัน

หากพรุ่งนี้ เราต้องตาย โดยที่ไม่ได้ทำความฝันของตน และความหวังของคนที่เคยอยู่บนโลกใบนี้ได้สำเร็จ
คุณจะบอกกับพวกเค้าอย่างไร
หากคุณต้องไปเจอกับพวกเขา
ซึ่งซักวันหนึ่ง คุณต้องไป
เพียงแต่...

ยังไม่ใช่ตอนนี้....

[nut776]

stem cell
cytocline

น่าจะเป็นเรื่องของอนาคต ที่มาพร้อมกับเรื่อง cloning นะคับ

stem cell ก็คือ cell แม่แหละ
คนเราเกิดมาจากcell cell เีดียว
แล้วก็แบ่งตัว ดัดแปลงรูปร่าง จนกลายเป็น อวัยวะต่างๆ
แต่ร่างกายมนุษย์ ก็มีอายุการใช้งาน
ไม่เหมือนเครื่องจักรที่เอาอะไหล่มาเปลี่ยนได้
stem cell ก็เหมือน อะไหล่
แต่ปัจจุบัน มันทำได้แค่ไม่กี่ที่ เช่น เม็ดเลือด ตับ ตับอ่อน(ล่าสุดมั้ง)
ดังนั้น เรื่องพวก anti aging ก็ลองคิดแบบพื้น
จะเสียตังเป็นล้าน แลกกับ อะไร ต้องลองคิดหนักๆนะ

[leaderinshadow]

อันนี้อาจะเวอร์นะครับ
แต่ผมมองว่า ในอนาคตที่ไกลๆ มนุษย์เราอาจจะอยู่ได้ ตราบเท่าที่ยังมีตังจ่าย

โรงพยาบาลจะเป็นที่ตัดสินความเป็นตายของมนุษย์
ตราบใดที่คุณมีตัง คุณก็มีโอกาสรอด และมีอายุยืนยาวกว่า และสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ดีกว่า

จะว่าไป สมัยนี้ ก็เริ่มเป็นอย่างนั้น ทีละเล็กทีละน้อย
ตัวผมเองคงไม่หวังพึ่งสวัสดิการภาครัฐ และไม่ต้องการเป็นภาระของสังคมและลูกหลาน
ยังไงก็อยากจัดเตรียมแผนสำหรับอนาคตไว้แต่เนินๆ

อีกอย่างพอเห็นตัวอย่างที่เมกา ก็ต้องแอบมองย้อนถึงเมืองไทยครับ

คนรุ่นผมเนี่ยหละ ที่อาจจะต้องแบกรับภาระภาษีมหาศาล
จากการที่คนไทยจำนวนมาก ที่ยังไม่ได้วางแผนการเกษียณที่ดีพอ
สุดท้าย ภาระก็ย่อมตกสู่ภาครัฐ และภาครัฐก็ต้องมาไล่บี้ภาษีจากคนรุ่นต่อไปอย่างพวกผม
ที่มีจำนวนน้อยลงเรื่อยๆ

[นักดูดาว]

กระทู้นี้หากผมเปิดประ้เด็นคุยเรื่องรัฐสวัสดิการคงไม่เข้าเรื่อง
ขอรอแจมกระทู้อื่นหรือรอให้เนื้อหามาถึุงก็แล้วกันครับ

[mike9]

ผมว่าเป็นการยากมากที่จะทำให้มีอายุไขเฉลี่ยถึงอายุ 120-150 ปี เหราะทุกวันนี้สิ่งมีชีวิตแต่ละชนิด จะมีโปรแกรม cell death ที่แตกต่างกัน (apotosis) และป็นการยากมากหรือแทบเป็นไปไม่ได้ ที่จะหยุดขบวนการ apotosis นี้ เท่าที่สังเกตุ ในกลุ่มคนกลุ่มอายุ 80-90 ที่ไม่ป่วยแลยหรือป่วยน้อยมากและแข็งแรงดีอย่างน้อย จะมีต้องภาวะเสื่อมแน่นอนเช่น เข่าเสื่อม กระดูกสันหลังเสื่อม สมองเสื่อม หัวใจเสื่อม ซึ่งความเสื่อมหรือความชราปัจจุบันยังไม่มีทางแก้ไขได้ได้ ส่วนจิตใจเสื่อมเมื่อไรก็ได้ :lol: อันนี้ไม่เกี่ยวกับวัยครับ แตในความเป็นจริงคนกลุ่มนี้น้อยมาก นอกจากดูแลสุขภาพตัวเองดีเยื่ยมแล้วจะต้องมีโครงสร้าง gene ที่ดีมากด้วย

เพราะในความจริง ผู้คนส่วนใหญ่มักจะป่วยอย่างน้อยโรคใดโรคหนึ่ง คือเป็น เบาหวาน ความดัน ไขมันสูง โรคหัวใจ (ลองสังเกตุชาว VI ที่อายุมากกว่า 40-45 ปีดูนะ) หรือบุคคลรอบ ๆ ข้างที่อายุมาก ไม่นับโรคมะเร็ง นะครับและ โรคเหล่านี้เองนอกจากความชราภาพ มักจะเป็นปลวกกัดกินสุขภาพจนทำให้เสียชีวิต

ส่วน Stem cell ปัจจุบันนี้ เท่าที่ทราบยังไม่มีงานวิจัยที่ชัดเจนที่พิสูจน์ ที่จะชลอความแก่หรือรักษาโรคต่าง ๆ ได้ นอกจากคำโฆษณาตามคลินิกหรือโรงพยาบาลบางแห่ง โดยอาศัยกิเลส มนุษย์เป็นเครื่องมือ ยกเว้นโรคเลือด หรือมะเร็งเม็ดเลือดบางชนิดที่อาจรักษาได้

ส่วนคนเงินน้อย และควรใช้น้อยด้วยนะ ถ้าดูแลตัวเองดีก็อายุยืนได้ ลองสังเกตุคนต่างจังหวัดที่อยู่ในสิ่งแวดล้อมธรรมชาติดูครับ ชาวนา ชาวสวน บางคนอายุยืน 90 กว่าปีก็มี คนในเมืองเสียอีกบางคนนอนดึก (เล่น net :lol: ) สูบบุหรี่ กินเหล้า กินอาหารมาก สูดควันพิษตามถนน ไม่ออกกำลังกาย เครียด ตายไวกว่าคนต่างจังหวัดอีก