Thai Value Investor การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุน VI หุ้นวีไอ Webboard

มาช่วยแชร์ไอเดียเกี่ยวกับการลงทุนกันหน่อยครับว่าในภาวะแบบนี้ แต่ละท่านมีกลยุทธการลงทุนอย่างไรกันบ้าง

สำหรับตัวผมเองนั้น รู้สึกว่าในภาวะแบบนี้มันแตกต่างจากเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมาราวฟ้ากับดิน ซึ่งเป็นช่วงตลาดขาขึ้น เลยอยากจะรู้ว่าเซียนๆทั้งหลายมีแนวคิดหรือกลยุทธการลงทุน หรือการเลือกหุ้นอย่างไรกันบ้าง

ถือหุ้นที่ถึงติดดอยก็มีปันผลแล้วก็มีแนวโน้มที่โตจะได้ไม่ติดดอยนานๆ

KriangL เขียน:ถือหุ้นที่ถึงติดดอยก็มีปันผลแล้วก็มีแนวโน้มที่โตจะได้ไม่ติดดอยนานๆ

555 ผมก็มีตัวนึงครับแบบนี้ 555

Port ผมมี PL TICON TK SC HANA (พึ่งเอาKGI ออก) คิดว่า ok ไหมครับสำหรับปีนี้
ขอความเห็นหน่อยครับ ขอบคุณครับ

เพิ่มเติมครับ คือผ่านมาเกือบ2เดือนรู้สึกว่ามันน่าจะไม่หมูสำหรับปีนี้เลยหาหุ้น
1ผลประกอบการปีนี้มีโอกาสโตหรืออย่างน้อยก็เท่าเดิม
2มีข้อมูลจากผู้บริหาร
3ปันผลสูงพอสมควรและเครดิตภาษีได้ ผมไม่มีรายได้อื่น
อ่านงบไม่เป็นครับ
ขอบคุณครับ

เหมือนๆเดิมครับ เลือกซื้อบ.ที่ดี ผู้บริหารที่ดี ในอุตสาหกรรมที่ดี

รอซื้อถูก รอขายแพง

กลยุทธ์ อยู่เฉยๆ

เหมือนขับรถตอนกลางวัน มาเจอตอนกลางคืน
ขับเร็วไม่ได้
ถ้าไม่ค่อยมั่นใจ จอดดูทางก่อนครับ ไม่เช่นนั้นอาจลงเหวได้ (เพราะตอนนี้อาจขับอยู่บนดอย )

นอนรอมานานแล้วครับ ช่วงนี้ง่วงอ่ะครับ

อ่านนิยายชุดยาว สักชุดแล้วค่อยมาว่ากันใหม่

สำหรับผมคงเป็นเข้าไพรรวมกำลัง...มั้ง

หาตัวที่เติบโตสูง มีความได้เปรียบในการแข่งขัน ผบหมีทีมงานที่แข็งแรง เข้าใจผู้ถือหุ้น และซื้อในราคาที่ถูก
ถ้าไม่เจอ ก็เก็บสะสมเงินก้อนใหม่ไปเรื่อยๆ จนกว่าเราจะเจอครับ

ไม่ได้เป็นเซียน

ตอนนี้ลงทุนแบบ ตกปลาน้ำลึกครับ โดยเลือกหุ้นที่ผลประกอบการดี มีเงินปันผล แล้วตั้งราคาซื้อไว้ต่ำกว่าราคาตลาดมากๆ ครับ

เพิ่มความระมัดระวังอย่างยิ่งยวดครับ...

พยายามมีสติ เวลามีโอกาสทางลงทุนที่เพื่อนๆ แนะนำเข้ามา... ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ แยกแยะให้ได้ว่ามันเป็นโอกาสในการลงทุน หรือว่าเป็นแค่การที่เราปรุงแต่งไปเองว่าเป็นโอกาสในการลงทุน

พยายามแยกแยะให้ได้ว่า โอกาสในการลงทุนที่เห็น เป็นไปตามอำนาจของกิเลส หรือว่า เป็นไปตามเหตุ-ปัจจัยจริงๆ

ผมเชื่อว่าขณะนี้เราอยู่ในสภาวะฟองสบู่... โดยเฉพาะฟองสบู่ของความโลภ... ซึ่งควรเพิ่มความระมัดระวังในการลงทุนเป็นอย่างยิ่ง อย่างไรก็ตามผมเชื่อว่าการที่ออกจากตลาดในช่วงฟองสบู่เป็นการเสียโอกาสเป็นอย่างยิ่ง เพราะ ช่วงฟองสบู่เนี่ยแหละ เป็นช่วงที่สามารถทำกำไรให้กับเรามากที่สุด แต่การจะอยู่กับฟองสบู่ได้ต้องมีกลยุทธในการออกจากฟองสบู่ ไม่อย่างงั้นอาจสำลักฟองสบู่ตายได้...

...

กลยุทธที่เป็นรูปธรรมที่ผมใช้ในขณะนี้ ก็คือ พยายามคัดเลือกกิจการที่คุณภาพดีเยี่ยม มี DCA มีเสถียรภาพของรายได้และกำไรจริงๆ เก็บเอาไว้พิจารณา โดยตัดกิจการที่ได้รับผลประโยชน์ชั่วคราวจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ หรือ เหตุการณ์ หรือ รายการพิเศษ ออกไป แม้ว่าจะถูกขนาดไหนก็ตาม ... แล้วลงทุนกิจการที่มี DCA ในราคาที่สมเหตุผล ด้วยอัตราผลตอบแทนคาดหวังในระยะยาวที่ 10% ขึ้นไป

กลยุทธในทางการตอบสนองกับตลาด คือ ในระหว่างที่ราคาหุ้นยัง Undervalue จะยังไม่ให้ความสนใจกับราคาตลาดมากนัก แต่เมื่อราคาขึ้นไปถึงมูลค่ายุติธรรมกรณี Worst Case จะให้ความสำคัญกับตลาดมากขึ้น และให้ความสำคัญการสัญญาณทางเทคนิคมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อราคาไปถึง base case และถ้าราคาไปถึง best case จะให้ความสำคัญทางเทคนิคอย่างเดียว โดยพร้อมทิ้งทันทีหากเกิดเหตุอะไรขึ้นมา

ลงทุนด้วยวิธีเดิมครับ ไม่ว่าสภาพตลาดจะเป็นไง

จริงๆ set ที่หลัก 1000 มันก็เป็นเพียงแค่ตัวเลข นายตลาดอาจจะกลัวเลขนี้ เกิดอะไรขึ้นนิดหน่อยก็พากันหนีตาย แต่ในที่สุดแล้ว เงินมันไม่มีที่ลง ดอกเบี้ยเงินฝากยังต่ำติดดิน ยังไงก็ต้องกลับมาซื้อหุ้นครับ

หาหุ้น under value แล้วขายเมื่อเจอหุ้น under value กว่า ผมว่าใช้ได้ทุกสภาพตลาด

picatos เขียน: กลยุทธในทางการตอบสนองกับตลาด คือ ในระหว่างที่ราคาหุ้นยัง Undervalue จะยังไม่ให้ความสนใจกับราคาตลาดมากนัก แต่เมื่อราคาขึ้นไปถึงมูลค่ายุติธรรมกรณี Worst Case จะให้ความสำคัญกับตลาดมากขึ้น และให้ความสำคัญการสัญญาณทางเทคนิคมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อราคาไปถึง base case และถ้าราคาไปถึง best case จะให้ความสำคัญทางเทคนิคอย่างเดียว โดยพร้อมทิ้งทันทีหากเกิดเหตุอะไรขึ้นมา

ขอบคุณครับ

^
^
ขอบคุณครับ โดนใจมาก
กลยุทธย่อหน้าสุดท้ายอาจฟังแปร่งหู แต่ผมว่านั่นคือสภาำพความเป็นจริงในตลาด
เจอสถานการณ์แบบเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนบอกตัวเองว่า ถึงไม่รู้ ถึงไม่ถนัด ก็ต้องหัดฝึกฝน ติดไม้ติดมือเอาไว้กันเหนียว
บ่ายหน้าเข้าวัด ตามอ่านคัมภีร์เท่าที่หาได้ เสียดายหอคัมภีร์เก่าที่ถูกลั่นกุญแจ แต่ก็ต้องยอมรับและทำใจ

ในความรู้สึกของผู้ด้อยประสบการ์ณในการลงทุนของผมนั้น ผมมีความรู้สึกว่าตอนนี้ หาหุ้นที่มีมูลค่าถูกได้ยากมากขี้น และก่อนหน้านี้ที่เห็น volume trade ต่อวัน 4-5 หมื่นล้าน ยิ่งทำให้ผมคิดว่ามันได้เวลาของฟองสบู่หุ้นแล้วหรือ (เสี่ยงสูง)

และทำให้ผมย้อนคิดกลับไปว่า การลงทุนนั้นมีความเสี่ยง ความคุ้มค่าของการลงทุนที่ดีนั้นประเมินจากผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับเปรียบเทียบกับความเสี่ยง แต่ก็นั้นแหล่ะครับ ก็ต้องขี้นอยู่กับมุมมองของแต่ละคนด้วย (แต่ละคนประเมินสิ่งเดียวกันได้แตกต่างกัน) คนที่มีความเชี่ยวชาญมาก มีประสบการ์ณเยอะก็อาจจะมีความได้เปรียบในการเลือกวิธีการที่ดีในการลงทุน (เขาเลือกกิจการที่เสียงต่ำ ผลตอบแทนสูง หรือ พูดอีกอย่างคือมีโอกาสได้มากกว่าเสีย) แล้วเพื่อนท่านอื่นมีวิธีการอย่างไรมานำเสนอแลกเปลี่ยนความคิดกันบ้างครับเพื่อหลีกเลี่ยงกับความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้น (ซึ่งไม่มีใครรู้จริงๆหรอกจนกว่ามันจะผ่านไปแล้ว)

green-orange เขียน: และทำให้ผมย้อนคิดกลับไปว่า การลงทุนนั้นมีความเสี่ยง ความคุ้มค่าของการลงทุนที่ดีนั้นประเมินจากผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับเปรียบเทียบกับความเสี่ยง แต่ก็นั้นแหล่ะครับ ก็ต้องขี้นอยู่กับมุมมองของแต่ละคนด้วย

นอกจากนั้นสิ่งที่สำคัญกว่า ที่อาจจะยังไม่ได้ยกมาพูดถึง คือความสำคัญของเงินทุนที่เรานำมาเสี่ยงครับ ว่าเงินก้อนนี้เป็นอะไรที่เราทนแรงกระแทกได้แค่ไหน ถ้าเกิดว่าการเสี่ยงของเราไม่ได้ทำให้เกิดผลลัพธ์อย่างที่คิด

อีกทั้งยังระยะเวลาที่เรารออยู่ในเกมส์นี้ได้อีก ที่จะเป็นปัจจัยในการประเมินสถานการณ์
ว่าเราเป็นพวกซื้อแล้วต้องขึ้นภายในห้านาที
หรือว่าเย็นเจี๊ยบขนาดถือรอได้ สิบยี่สิบปี ถ้าพื้นฐานบริษัทไม่เปลี่ยน (แต่ราคาอาจจะเปลี่ยนไปในทางลง)

555555555

อื่นๆอีกมากมายครับ

แต่ที่อันตรายที่สุดคือ การคิดไปเองว่า วีไอแล้วไม่เีสี่ยง อันนี้อันตรายครับ

naris เขียน:เหมือนๆเดิมครับ เลือกซื้อบ.ที่ดี ผู้บริหารที่ดี ในอุตสาหกรรมที่ดี

แลกเปลี่ยนกันนะครับ เห็นต่างแย้งได้นะ นี่คือสิ่งที่ปรับในพอร์ทจากเมื่อต้นปี

ราคาเกินเป้าหมายในใจแล้ว ที่ผ่านมาได้ลองปล่อยให้มันวิ่งเล่น
--> ขายออกจากพอร์ท ได้มาขนาดนี้ก็พอใจแล้ว

ราคายังไม่ถึงเป้าในใจ แต่อัพไซด์เหลือน้อยกว่า 10% ขณะที่ดาวน์ไซด์อาจจะ 20-30% อาจเป็นพวกที่ตลาดให้พรีเมี่ยม ในภาวะตลาดระเริง ยังน่าจะได้พรีเมี่ยมมากกว่านี้
--> ตัดใจยอมขายหมู

อัพไซด์สูง ขณะที่ดาวน์ไซด์ต่ำ เพราะราคาถูกกดดัน โดยมีเงื่อนไขว่า เห็นแนวโน้มชัดเจนว่าในอนาคตอย่างน้อยอีกหนึ่งปี จะมีเหตุการณ์อะไรมาเพิ่มกำไรให้บริษัทได้บ้าง ข่าวดียังมีมากเมื่อเทียบกับข่าวร้าย
--> ถ้าถือมากพอแล้วก็ถือต่อ ถ้าจะซื้อ ก็จะขอต่อราคา ไม่ถูกจริงไม่เอา ตกรถก็ยอม สมมติเกิดพลิกผัน ราคาหล่นจนถล่มทลายก็จะยอมติดหุ้น รอวันมันกลับมา

อัพไซด์สูง แต่ดาวน์ไซด์ก็สูงด้วย ประเภทคิดถูกก็เฮ คิดผิดก็จุก
--> ขายลดสัดส่วนในพอร์ทลง เหลือเท่าที่คิดว่าถ้ามันลง x% มูลค่าพอร์ทโดยรวมจะลดลงเท่าไหร่ แล้วยังพอกล้ำกลืนได้ ถ้าลงถึง x% จริงๆ ก็โยนทิ้งทั้งหมด

เห็นว่าขายออกซะเป็นส่วนใหญ่ แต่ผมไม่ได้มองว่าตลาดมันแย่นะ แค่รู้สึกว่ามันยากขึ้น เพราะเดี๋ยวขึ้นเดี๋ยวลง เอาแน่เอานอนไม่ได้ สรุปว่า ขอพยายามรักษามูลค่าพอร์ทเป็นหลักก่อน เสียดายตัวเลขครับ

มอง dowside เป็นหลักเลยครับ
เป็นปีที่ต้องให้น้ำหนักกับคำว่า อย่าขาดทุน ให้มากๆ

ลงทุนกับตัวที่คิดว่าเวลาเรานอนหลับแล้วฝันดีอ่ะครับ
ไม่ฟุ่งซ้านกับราคา ยึดถือกับกิจการเป็นหลัก
มือใหม่น่ะครับ

มองการลงทุนให้ยาวขึ้น
เลือกกิจการที่มีโอกาสเติบโตในระยะยาว และ มี DCA
ส่วนตัวมอง Technical ประกอบโดยดู Downside ในแง่ Technical ด้วย พวกสัญญาณเทคนิคเป็น Oversoldแล้วมี P/E ต่ำ มักทนทานสภาพตลาดปรับตัวลง หรือ Panic ได้ดี ยิ่งถ้ามี Story ด้านการเติบโตช่วยแบ็คอัพด้วยยิ่งดีใหญ่

เลือกตัวผู้เล่นที่เป็นได้ทั้ง DF และ Striker ครับ

ใช้กลยุทธในการลงทุนที่อยู่ได้ทุกสภาวะตลาดครับ
คิดว่ากลยุทธของ Buffet น่าจะใช้ได้หากไม่เกิดสงครามโลกซะก่อน

เป็นตอนนี้คือ
Wait and See
มองมหภาคเป็นหลักว่า ใครทำอะไรที่ไหนอย่างไงบ้าง
เอาความรู้ที่เรียนมาผนวกกับของจริงเลย
เหมือน เราเดินตามหลังผู้ที่ผ่านโลกมาก่อน
ดูว่าใช่ในสิ่งเหล่านั้นหรือเปล่า

ตอนนี้ความคิดบ้างครั้ง ต้องเปลี่ยนแปลงไปตามระยะเวลาบ้าง
เพราะ ได้ความรู้ ฉลาดมากขึ้น เปิดกว้างมากขึ้นกว่าเดิม

คนที่ผ่านวิกฤติ แฮมเบอร์เกอร์ ไครซิส แล้วกัดฟันถือหุ้น 100% ไม่ขายไม่ทำอะไร
แล้วผ่านมาได้ ถือว่าเยี่ยมมาก แต่วิกฤติมันเกิดได้เสมอ
เฝ้้ารอหาเพชรในตมของโคลนที่ดำสนิท ขอแ่ค่ปีละเม็ดก็เพียงพอแล้ว

อ่านกระทู้ร้อยคนร้อยหุ้นทุกวัน
scan ชื่อเซียนดังๆ ว่าได้ post ความเห็นที่หุ้นตัวใดบ้าง แล้วจดชื่อนั้นเอาไว้

ผมกล้ารับประกัน ว่าร้อยละ 60 ทำแบบนี้กันทั้งนั้น

ไปลงทุนที่อียิปต์แทนครับ
หุหุฮิฮิ55

เน้นปันผลครับ