ผลสำรวจเผย ซีโอทั่วโลกหวั่นปัญหาศก.
โพสต์แล้ว: พุธ ก.พ. 16, 2011 12:20 am
Credit ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
ผลสำรวจเผย ซีโอทั่วโลกหวั่นปัญหาศก. ชี้ปท.พัฒนาแล้วจะกลับมาน่าลงทุนอีกครั้งแบ่งปันข่าวนี้บน facebook Share
ผลการสำรวจความคิดเห็นประธานบริหาร 1,201 คนใน 69 ประเทศทั่วโลกของ PricewaterhouseCoopers (PwC) หรือ CEO Survey ครั้งที่ 14 ชี้ว่า ความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจตกต่ำยังคงเป็นปัญหาน่ากังวลสูงสุดเป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน ขณะที่ประเทศพัฒนาแล้วมีความน่าลงทุนมากขึ้น ส่วนความเชื่อมั่นโดยรวมขยับเข้าใกล้ระดับก่อนเกิดวิกฤตเศรษฐกิจโลก
แม้เศรษฐกิจโลกที่ทรุดหนักจากวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ซึ่งแผลงฤทธิ์มาตั้งแต่ปี 2551 จะเริ่มเห็นสัญญาณฟื้นตัวขึ้นมาบ้างแล้ว แต่ความเสี่ยงด้านสภาวะเศรษฐกิจยังเป็นปัญหาที่บรรดาซีอีโอให้ความสำคัญมากที่สุดเป็นปีที 3 ติดต่อกันนับจากปี 2552 ตามมาด้วยปัญหาหนี้สาธารณะซึ่งเพิ่งปรากฏในปีนี้เป็นครั้งแรก ส่วนอันดับ 3 เป็นเรื่องกฎเกณฑ์ที่เข้มงวดเกินไปของภาครัฐจนเป็นอุปสรรคต่อการทำธุรกิจ
ผู้เข้าร่วมการสำรวจชี้ว่าแนวโน้มที่สดใสของประเทศตลาดเกิดใหม่คือปัจจัยสำคัญที่ช่วยเพิ่มรายได้ของธุรกิจ แต่มองว่าการแข่งขันในตลาดดังกล่าวมีความดุเดือดมากขึ้น ขณะที่ประเทศพัฒนาแล้วที่เคยถูกเมินเมื่อปีก่อนก็กลับมาเป็นแหล่งดึงดูดเงินลงทุนอีกครั้ง
ประสัณห์ เชื้อพาณิช ประธานกรรมการบริหาร PwC ประเทศไทยอธิบายว่า "เป็นเพราะสินค้าที่ผู้บริโภคต้องการนั้นไม่ได้มีเฉพาะสินค้าราคาถูกซึ่งมีแหล่งผลิตอยู่ในตลาดเกิดใหม่เท่านั้น แต่ยังต้องการผลิตภัณฑ์คุณภาพสูงด้วย ซึ่งประเทศพัฒนาแล้วมีศักยภาพในการผลิตสินค้าที่ต้องอาศัยเทคโนโลยีระดับก้าวหน้า เช่น ไอที ทำให้บริษัทข้ามชาติต้องการเข้าไปลงทุนในประเทศอย่างสหรัฐหรือเยอรมนีมากขึ้น"
ซึ่งสอดคล้องกับเรื่องจุดเด่นของจีนและอินเดียเทียบกับประเทศพัฒนาแล้ว ที่ซีอีโอเห็นว่าอยู่ที่ต้นทุนต่ำแต่ยังอ่อนเรื่องคุณภาพและนวัตกรรม ซึ่งเป็นจุดแข็งของชาติที่มีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี
ด้านความเชื่อมั่นนั้น ผู้บริหารในทุกเซ็กเตอร์และทุกขนาดองค์กรมีระดับความมั่นใจในการสร้างรายได้ในอีก 12 เดือนข้างหน้าสูงขึ้นจาก 31% เมื่อปีกลายมาอยู่ที่ 48% ในปีนี้แต่ยังต่ำกว่าช่วงก่อนเกิดวิกฤตซึ่งอยู่ที่ 50-52% แต่ความเชื่อมั่นในระยะ 3 ปีถัดไปกลับสูงกว่าช่วงก่อนเกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ และคาดหมายว่าปีนี้เศรษฐกิจโลกจะโตไม่ต่ำกว่า 3%
การลงทุนส่วนใหญ่ยังมุ่งสู่เอเชีย ตามมาด้วยแอฟริกาและละตินอเมริกาที่อยู่ในระดับไล่เลี่ยกัน ส่วนภูมิภาคที่น่าลงทุนน้อยที่สุดคือยุโรปตะวันตกและอเมริกาเหนือ ทว่าบริษัทที่มีฐานอยู่ในยุโรปและอเมริกาเหนือเป็นองค์กรที่ออกไปลงทุนในพื้นที่ต่างๆ มากที่สุดโดยเฉพาะแถบที่อยู่ไกลจากบริษัทแม่ เนื่องจากมีประสบการณ์อันยาวนานและต้องการกระจายความเสี่ยง
ส่วนกลยุทธ์ในการสร้างความเติบโตให้ธุรกิจนั้น บริษัทต่างๆ เริ่มหันมาเน้นด้านนวัตกรรมมากขึ้น โดยแนวทางที่บรรดาซีอีโอเลือกใช้มากที่สุดคือ คิดค้นผลิตภัณฑ์ใหม่หรือพัฒนาบริการ 29% โดยครองที่ 1 ร่วมกับแชมป์เก่าปีที่แล้วอย่างลงทุนเพิ่มในตลาดเดิมที่รู้จักดีอยู่แล้ว ส่วนอันดับ 3 คือลงทุนในตลาดใหม่ๆ
พันธกิจหลักที่ประธานบริหารให้ความสำคัญ 3 อันดับแรกคือ ยึดผู้ผู้โภคเป็นศูนย์กลางในการสร้างสรรค์นวัตกรรม โดยเน้นผลิตสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและหาพันธมิตรร่วมลงทุนในด้านที่ตัวเองไม่ถนัด ด้านที่ 2 คือแก้ไขปัญหาขาดแคลนแรงงานที่มีทักษะ รักษาพนักงานให้อยู่กับบริษัทด้วยการเน้นให้รางวัลที่ไม่ใช่ตัวเงิน อาทิ การฝึกอบรม การไปฝึกงานยังต่างประเทศ นอกจากนี้ยังร่วมมมือกับภาครัฐในการผลิตบุคลากรที่ตรงกับความต้องการของตลาดแรงงาน ด้านสุดท้ายคือ จับมือกับภาครัฐในการแก้ไขปัญหาที่เป็นอุปสรรคต่อการทำธุรกิจทั้งด้านแรงงานและการปกป้องทรัพย์สินทางปัญญา
ที่น่ายินดีคือ ซีอีโอ 72% สนับสนุนนโยบายเติบโตอย่างยั่งยืนหรือ good growth ของภาครัฐ เพราะที่ผ่านมาแนวทางโลกาภิวัตน์แบบเดิมที่มุ่งแสวงหากำไรสูงสุดเพียงอย่างเดียวไม่ใช่คำตอบอีกต่อไป การเติบโตของธุรกิจนับจากนี้ต้องคำนึงถึงสังคม สิ่งแวดล้อมและผู้ที่ได้รับผลกระทบด้วย
ผลสำรวจเผย ซีโอทั่วโลกหวั่นปัญหาศก. ชี้ปท.พัฒนาแล้วจะกลับมาน่าลงทุนอีกครั้งแบ่งปันข่าวนี้บน facebook Share
ผลการสำรวจความคิดเห็นประธานบริหาร 1,201 คนใน 69 ประเทศทั่วโลกของ PricewaterhouseCoopers (PwC) หรือ CEO Survey ครั้งที่ 14 ชี้ว่า ความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจตกต่ำยังคงเป็นปัญหาน่ากังวลสูงสุดเป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน ขณะที่ประเทศพัฒนาแล้วมีความน่าลงทุนมากขึ้น ส่วนความเชื่อมั่นโดยรวมขยับเข้าใกล้ระดับก่อนเกิดวิกฤตเศรษฐกิจโลก
แม้เศรษฐกิจโลกที่ทรุดหนักจากวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ซึ่งแผลงฤทธิ์มาตั้งแต่ปี 2551 จะเริ่มเห็นสัญญาณฟื้นตัวขึ้นมาบ้างแล้ว แต่ความเสี่ยงด้านสภาวะเศรษฐกิจยังเป็นปัญหาที่บรรดาซีอีโอให้ความสำคัญมากที่สุดเป็นปีที 3 ติดต่อกันนับจากปี 2552 ตามมาด้วยปัญหาหนี้สาธารณะซึ่งเพิ่งปรากฏในปีนี้เป็นครั้งแรก ส่วนอันดับ 3 เป็นเรื่องกฎเกณฑ์ที่เข้มงวดเกินไปของภาครัฐจนเป็นอุปสรรคต่อการทำธุรกิจ
ผู้เข้าร่วมการสำรวจชี้ว่าแนวโน้มที่สดใสของประเทศตลาดเกิดใหม่คือปัจจัยสำคัญที่ช่วยเพิ่มรายได้ของธุรกิจ แต่มองว่าการแข่งขันในตลาดดังกล่าวมีความดุเดือดมากขึ้น ขณะที่ประเทศพัฒนาแล้วที่เคยถูกเมินเมื่อปีก่อนก็กลับมาเป็นแหล่งดึงดูดเงินลงทุนอีกครั้ง
ประสัณห์ เชื้อพาณิช ประธานกรรมการบริหาร PwC ประเทศไทยอธิบายว่า "เป็นเพราะสินค้าที่ผู้บริโภคต้องการนั้นไม่ได้มีเฉพาะสินค้าราคาถูกซึ่งมีแหล่งผลิตอยู่ในตลาดเกิดใหม่เท่านั้น แต่ยังต้องการผลิตภัณฑ์คุณภาพสูงด้วย ซึ่งประเทศพัฒนาแล้วมีศักยภาพในการผลิตสินค้าที่ต้องอาศัยเทคโนโลยีระดับก้าวหน้า เช่น ไอที ทำให้บริษัทข้ามชาติต้องการเข้าไปลงทุนในประเทศอย่างสหรัฐหรือเยอรมนีมากขึ้น"
ซึ่งสอดคล้องกับเรื่องจุดเด่นของจีนและอินเดียเทียบกับประเทศพัฒนาแล้ว ที่ซีอีโอเห็นว่าอยู่ที่ต้นทุนต่ำแต่ยังอ่อนเรื่องคุณภาพและนวัตกรรม ซึ่งเป็นจุดแข็งของชาติที่มีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี
ด้านความเชื่อมั่นนั้น ผู้บริหารในทุกเซ็กเตอร์และทุกขนาดองค์กรมีระดับความมั่นใจในการสร้างรายได้ในอีก 12 เดือนข้างหน้าสูงขึ้นจาก 31% เมื่อปีกลายมาอยู่ที่ 48% ในปีนี้แต่ยังต่ำกว่าช่วงก่อนเกิดวิกฤตซึ่งอยู่ที่ 50-52% แต่ความเชื่อมั่นในระยะ 3 ปีถัดไปกลับสูงกว่าช่วงก่อนเกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ และคาดหมายว่าปีนี้เศรษฐกิจโลกจะโตไม่ต่ำกว่า 3%
การลงทุนส่วนใหญ่ยังมุ่งสู่เอเชีย ตามมาด้วยแอฟริกาและละตินอเมริกาที่อยู่ในระดับไล่เลี่ยกัน ส่วนภูมิภาคที่น่าลงทุนน้อยที่สุดคือยุโรปตะวันตกและอเมริกาเหนือ ทว่าบริษัทที่มีฐานอยู่ในยุโรปและอเมริกาเหนือเป็นองค์กรที่ออกไปลงทุนในพื้นที่ต่างๆ มากที่สุดโดยเฉพาะแถบที่อยู่ไกลจากบริษัทแม่ เนื่องจากมีประสบการณ์อันยาวนานและต้องการกระจายความเสี่ยง
ส่วนกลยุทธ์ในการสร้างความเติบโตให้ธุรกิจนั้น บริษัทต่างๆ เริ่มหันมาเน้นด้านนวัตกรรมมากขึ้น โดยแนวทางที่บรรดาซีอีโอเลือกใช้มากที่สุดคือ คิดค้นผลิตภัณฑ์ใหม่หรือพัฒนาบริการ 29% โดยครองที่ 1 ร่วมกับแชมป์เก่าปีที่แล้วอย่างลงทุนเพิ่มในตลาดเดิมที่รู้จักดีอยู่แล้ว ส่วนอันดับ 3 คือลงทุนในตลาดใหม่ๆ
พันธกิจหลักที่ประธานบริหารให้ความสำคัญ 3 อันดับแรกคือ ยึดผู้ผู้โภคเป็นศูนย์กลางในการสร้างสรรค์นวัตกรรม โดยเน้นผลิตสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและหาพันธมิตรร่วมลงทุนในด้านที่ตัวเองไม่ถนัด ด้านที่ 2 คือแก้ไขปัญหาขาดแคลนแรงงานที่มีทักษะ รักษาพนักงานให้อยู่กับบริษัทด้วยการเน้นให้รางวัลที่ไม่ใช่ตัวเงิน อาทิ การฝึกอบรม การไปฝึกงานยังต่างประเทศ นอกจากนี้ยังร่วมมมือกับภาครัฐในการผลิตบุคลากรที่ตรงกับความต้องการของตลาดแรงงาน ด้านสุดท้ายคือ จับมือกับภาครัฐในการแก้ไขปัญหาที่เป็นอุปสรรคต่อการทำธุรกิจทั้งด้านแรงงานและการปกป้องทรัพย์สินทางปัญญา
ที่น่ายินดีคือ ซีอีโอ 72% สนับสนุนนโยบายเติบโตอย่างยั่งยืนหรือ good growth ของภาครัฐ เพราะที่ผ่านมาแนวทางโลกาภิวัตน์แบบเดิมที่มุ่งแสวงหากำไรสูงสุดเพียงอย่างเดียวไม่ใช่คำตอบอีกต่อไป การเติบโตของธุรกิจนับจากนี้ต้องคำนึงถึงสังคม สิ่งแวดล้อมและผู้ที่ได้รับผลกระทบด้วย
