ยุทธศาสตร์การลงทุนที่6:ซื้อหุ้นที่มูลค่าของมัน ...
โพสต์แล้ว: พุธ ก.พ. 16, 2011 11:13 pm
Value way
มนตรี นิพิฐวิทยา
ยุทธศาสตร์การลงทุน ที่6 : ซื้อหุ้นที่มูลค่าของมัน ไม่ใช่จากแนวโน้มตลาดหรือสภาพเศรษฐกิจ
เชื่อว่านักลงทุนทุกคนคงรู้ว่าตลาดหุ้นนั้นคือแหล่งที่เราสามารถเข้าไปซื้อหรือขายหุ้นกันได้ตามวันเวลาที่กำหนดไว้ ตลาดหุ้นคือที่รวมเอาหุ้นของหลายๆบริษัทเข้ามาซื้อขายกัน การขึ้นลงของตลาดหุ้นดูได้จากดัชนีตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งคือตัวเลขตัวเลขหนึ่งที่ใช้แสดงให้เห็นว่า ณ ขณะใดขณะหนึ่งนั้นหุ้นที่ซื้อขายกันอยู่มีราคาโดยเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักตามขนาดตลาด(กรณีดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย)ขึ้นหรือลง มากน้อยเท่าใด
การที่ดัชนีราคาตลาดหลักทรัพย์ปรับตัวเพิ่มขึ้น ไม่ได้หมายความว่าหุ้นทุกบริษัทมีราคาเพิ่มขึ้นทั้งหมด ในทางกลับกันเมื่อดัชนีราคาตลาดหลักทรัพย์ลดลง ก็ไม่ได้หมายความว่าหุ้นทุกบริษัทมีราคาลดลง แต่อาจเป็นเพราะมีหุ้นบางบริษัทมีราคาเปลี่ยนแปลง และหากเป็นหุ้นที่มีขนาดตามราคาตลาดสูงก็ยิ่งทำให้ดัชนีราคาตลาดฯเปลี่ยนแปลงไปตามนั้นได้มาก
เซอร์จอห์น เทมเพอร์ตัน ได้ยกประเด็นที่น่าสนใจขึ้นมาอย่างหนึ่งคือ “ดัชนีราคาตลาดหลักทรัพย์เปลี่ยนแปลง ส่งผลทำให้ราคาหุ้นของบริษัทเปลี่ยนแปลง หรือ ราคาหุ้นของบริษัทต่างเปลี่ยนแปลงจึงทำให้ดัชนีราคาหุ้นเปลี่ยนแปลง?” แม้จะเป็นคำถามแปลกๆที่เชื่อกันว่าหลายๆคนก็พอจะตอบกันได้ไม่ยาก แต่สำหรับผมแล้วน่าคิดครับ!!
ทำไมจึงน่าคิด? ก็ผมเห็นหลายต่อหลายคนสนใจดัชนีราคาตลาดกันทั้งนั้น ผมถูกถามว่า “ตลาดหุ้นตอนนี้ดีไหม? หุ้นจะลงไปถึงไหน?” แล้วท่านที่ถามผมนั้นก็ไม่ได้ซื้อหุ้นทั้งตลาดสักหน่อย แค่ซื้อหุ้นบางบริษัทเท่านั้น ทำไม่ต้องไปสนใจตลาดกันด้วย ดัชนีราคาตลาดลดลง หุ้นเราอาจจะขึ้นก็ได้ ไม่เห็นแปลกตรงไหน
แน่นอนว่าในช่วงที่ตลาดหุ้นมีสภาพดีๆเป็นตลาดกระทิง หุ้นหลายบริษัทมีราคาสูงขึ้น แต่จริงๆแล้วที่ตลาดมันดีเพราะหุ้นหลายๆบริษัทมันดีมีกำไรเพิ่มขึ้น ตลาดมันเลยขึ้น ไม่ใช่เพราะว่าตลาดมันดี หุ้นต่างๆมันจึงพากันขึ้น และในบางครั้งราคาหุ้นหลายๆบริษัทที่ถึงแม้จะยังดูดีมีกำไรอยู่ แต่ราคากลับลดลง ทั้งนี้อาจเป็นเพราะราคาหุ้นนั้นๆปรับขึ้นมาสูงเกินพื้นฐานแล้ว จึงมีคนขายกันออกมา แน่นอนมันก็ส่งผลไปที่ดัชนีราคาตลาดฯให้ลดลงเช่นกัน แม้ในบางครั้งอาจมีข่าวลือข่าวไม่เป็นมงคลเข้ามากระทบรบกวนความมั่นใจของนักลงทุนก็อาจจะพากันขายหุ้นโดยไม่สนใจว่าของดี ราคายังไม่แพงหรือไม่ ขอเอาตัวรอดก่อน เหล่านี้มีให้เห็นกันอยู่เนืองๆ
เช่นนี้แล้ว เมื่อจะลงทุนก็ให้เลือกลงทุนในหุ้นที่มีมูลค่าสูงกว่าราคา เพราะในบางครั้งแล้วหุ้นบางบริษัทอาจขึ้นในช่วงเวลาที่ตลาดโดยรวมย่ำแย่ และแน่นอนหุ้นบางบริษัทก็อาจลงในช่วงที่ตลาดรุ่งเรื่องได้เช่นกัน การตัดสินใจลงทุนโดยดูที่สภาพตลาดนั้นไม่ต่างไปจากการเดินในที่มืดโดยไม่มีไฟฉายส่องนำทางนั่นเอง ในที่สุดก็อาจพลาดได้
อีกประเด็นหนึ่งที่เซอร์จอห์น เทมเพอร์ตัน กล่าวถึง คือ “ภาพรวมเศรษฐกิจ” ตลาดหุ้นอาจไม่ได้มีทิศทางสอดคล้องไปทางเดียวกับสภาพเศรษฐกิจเสมอไปทุกครั้ง สภาพตลาดหุ้นที่ย่ำแย่ไม่ได้หมายถึงการที่ “เศรษฐกิจถดถอย” เศรษฐกิจยังคงเติบโตได้ดีแต่ดัชนีราคาหุ้นก็อาจลดลงได้เช่นกัน ที่เป็นเช่นนี้เพราะว่าการซื้อขายหุ้นนั้น คือการซื้อหรือขายโดยอาศัยความคาดหวังอนาคต ไม่ใช่เรื่องของอดีตหรือปัจจุบัน ในช่วงที่เศรษฐกิจกำลังจะตกต่ำถึงขีดสุด เราอาจเห็นว่าตลาดหุ้นกำลังเริ่มปรับตัวขึ้น และหากเศรษฐกิจกำลังร้อนแรงถึงขีดสุด เราอาจได้เห็นตลาดหุ้นปรับตัวลงอย่างรวดเร็วและรุนแรง
เรื่องทั้งหมดนี้ ไม่ว่าความคาดหวังจากดัชนีตลาดฯหรือจากสภาพเศรษฐกิจ ล้วนส่งผลกระทบต่อราคาหุ้นทั้งสิ้น มันจะทำให้ตลาดมีความผันผวน มีความไม่แน่นอน คาดการกันไปต่างๆนาๆ จนกระทั่งภาพต่างๆที่เป็นสภาพจริงเริ่มปรากฏชัดเจนขึ้น ตลาดจะขึ้นหรือลงอย่างชัดเจน
และความไม่แน่นอน ความไม่ชัดเจนนี่เองคือ “เพื่อนแท้” ของนักลงทุนผู้ชาญฉลาด เขาเหล่านั่นมักใช้ประโยชน์ตอนที่ตลาดหุ้นตกต่ำถึงขีดสุด และความไม่แน่นอนยังมีอยู่สูง เข้าซื้อหุ้นโดยพิจารณาจากมูลค่า และใช้ประโยชน์จากความผันผวนนั้น ซื้อหุ้นได้ในราคาส่วนลดมากๆ ซึ่งแน่นอนว่าความเสี่ยงนั้นต่ำกว่าแน่นอน และคนกลุ่มเดียวกันนี่เองที่มักใช้โอกาสตอนตลาดดีๆ ขายหุ้นที่มีราคาปรับขึ้นสูงเกินมูลค่าแล้วออกไปในราคาที่น่าพอใจ ลองสังเกตุให้ดีครับว่า ก่อนที่ท่านจะกล้าเข้าซื้อหุ้นนั้น มีคนซื้อมาก่อนท่านแล้ว และตอนที่ท่านเห็นมันกำลังขึ้น แล้วท่านเข้าไล่ซื้อเพิ่ม เพราะหวังว่ามันจะยังขึ้นได้อีกนั้น มีใครขายให้ท่าน และขายออกมามากไหม...อาจเป็นพวกเขาเหล่านั้นก็ได้ ใครจะไปรู้?
คำส่งท้ายของ เซอร์ จอห์น เทมเพอร์ตัน คือ “ซื้อหุ้นเพราะมูลค่าสูงกว่าราคา ไม่ใช่เพราะแนวโน้มตลาดหรือสภาพเศรษฐกิจ” แล้วท่านจะเป็นผู้ชนะในระยะยาว