Thai Value Investor การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุน VI หุ้นวีไอ Webboard

สวัสดีครับ มาขอถามหาความรู้หน่อยนะครับ ^^

คืออยากจะถามเรื่องตามหัวข้อเลยน่ะครับ เพราะว่าอยากจะถือยาวๆ แต่กำลังคิดอยู่ว่าจะเอายังไงดี ก็มีอยู่ 2 แบบน่ะครับ

ตามที่บัตเฟต์บอก << เอาชื่อมาเลย ขอโทษนะครับ อิอิ

"คิดว่าซื้อหุ้นเหมือนซื้อพัตธบัตร แต่สามารถเติบโตได้ด้วย " พูดประมาณนี้มั้ง

"คิดว่าเราซื้อกิจการ ไม่ใช่ซื้อหุ้น" อีกอันนึง

ผมเลยไปมองที่ P/E น่ะครับ ก็สรุปคร่าวๆว่า ถ้าpe = 5 แสดงว่า 5ปี ได้ทุนคืน หรือได้ปีละ 20% สำหรับ pe = 25 แสดงว่า 25ปี จะได้ทุนคืน หรือได้ปีละ 4%

ผมเลยสงสัยว่า ระหว่าง หุ้นที่ไม่เติบโตเท่าไร pe ต่ำๆ กับหุ้นที่เติบโตมากๆ peสูงๆ (คนรับรู้ไปแล้ว) อันไหนดีกว่าครับ

มารอฟังคำตอบด้วยคนครับ

ทำไมไม่เลือกหุ้นที่ปันผลเติบโตละครับ

คงตอบแบบฟันธงได้ยากนะครับ
เรื่อง High Dividend แต่ Low growth เทียบกับ Low Dividend แต่ High Growth เป็น สิ่งที่เราต้องขบคิดตลอดเวลา
สำหรับผมวันนี้ (วันหน้าอาจเปลี่ยนก็ได้ครับ) ผมจะดูเรื่องนี้ตอนท้ายๆ เพราะมันขึ้นอยู่กับ กลยุทธ ของบริษัทนั้นๆที่กำลังดำเนินการอยู่

ถ้ากลยุทธนั้นๆ ไม่อาจเลียนแบบได้ด้วยคู่แข่งขัน ไม่ว่าจะเติบโตได้อย่างรวดเร็ว (ต้องจ่าย Dividend ต่ำ) หรือ เติบโตได้ช้าเนื่องจากขีดจำกัดของตลาด และ ลูกค้า (กิจการสามารถจ่าย Dividend สูง) ผม OK ทั้งสองอย่าง

ถ้ากลยุทธนั้นๆ เลียนแบบได้ไม่ยากนักเช่น การเทคโอเวอร์คนอื่น การขยายตัวเร็วจะเพิ่ม Risk มากขึ้นแปรผันโดยตรงกับการเติบโต ผมไม่เอาครับ เพราะความเสี่ยงมันคำนวณได้ยากมาก

ผลเลือกหุ้นเติบโตที่ปันผลด้วยครับ

คือ ยังมีการเติบโตอยู่สม่ำเสมอ และปันผลในอัตราที่ผมพอใจ
ถ้าโตเร็วๆ ปันผลไม่ต้องมากนักก็ได้
ถ้าโตช้าหน่อย ปันผลก้ต้องมากนิดนึง

ผมเลือกหุ้นเติบโตครับ

เพราะจะได้ capital gain มากกว่าปันผลเยอะครับ

panwasit เขียน:...หุ้นที่ไม่เติบโตเท่าไร pe ต่ำๆ กับหุ้นที่เติบโตมากๆ peสูงๆ (คนรับรู้ไปแล้ว) อันไหนดีกว่าครับ

ถ้า MOS น้อย เรื่องอื่นก็ไม่สำคัญครับ ...

ลองคิดเล่นๆใน ex cell ดูล่ะ ช่วงแรก หุ้นปันผลนำโด่ง แต่ซัก10-20ปี หุ้นเติบโต นำแทนเลย น่าสนใจดี

ว่าไป ถ้ามี MOS มากๆ แล้วก็มี "การแข่งขันที่ยั่นยืน" ก็ok ทั้งคู่อ่ะนะ

ส่วนเรื่อง Cap. ผมว่า ถ้าเอาปันผลมาคิดด้วย ก็สู้กันได้อยู่นะครับ

ยังอ่อนด้อยอยู่ ได้โปรดกรุณาด้วยนะครับ ^^

ผมชอบหุ้นเติบโตพอประมาณ ที่มีพื้นฐานแข็งแกร่งรองรับการเติบโตต่อเนื่องได้
โดยมีการบริหารความเสี่ยงที่เหมาะสม ผลงานสม่ำเสมอ ผู้บริหารเก่งและเชื่อถือได้
ส่วนแนวหุ้นที่เน้นปันผลเนื่องจากเป็นธุรกิจที่มีความสม่ำเสมอรายได้เป็นหลักก็พอมี ไว้ตั้งรับเน้นกระแสเงินสดเข้าพอร์ต
ที่สำคัญ ผมชอบดูว่าคนกำลังกลัวอะไรกันเป็นหลัก
ความกลัวย่อมส่งผลต่อราคา
เนื่องจากมีความไม่แน่นอนสูง โอกาสทางกำไรก็ยิ่งเพิ่มขึ้น
หากเราเข้าใจกิจการ วิเคราะห์ปัจจัยต่างๆอย่างเป็นกลาง และมองไกลกว่าคนทั่วไปสักหน่อย
ก็น่าจะพอเห็นโอกาส เข้าไปซื้อของดีราคาถูกได้

ถ้าเจอเคสนี้แล้วตัดสินใจไม่ถูก
ผมเลือกตัวที่ DCA สูงกว่าครับ

ส.สลึง เขียน:

panwasit เขียน:...หุ้นที่ไม่เติบโตเท่าไร pe ต่ำๆ กับหุ้นที่เติบโตมากๆ peสูงๆ (คนรับรู้ไปแล้ว) อันไหนดีกว่าครับ

ถ้า MOS น้อย เรื่องอื่นก็ไม่สำคัญครับ ...

พี่ ส สลึง พูดโดนใจอีกแล้วครับ
สำคัญที่ MOS ไม่ใช่PE
PE สูงขึ้นได้ ก็ต่ำลงได้ ตามกำไร และ ราคา
ไม่อยากอธิบายเพิ่ม แต่อยากให้ลองเอาไปคิดอีก จะต่อยอดได้อีกเยอะครับ คุณ panwasit

ผมใช้วิธีกำเงินไว้แน่นๆ ถ้าเป็นวีไอแท้ นานแค่ไหนก็ต้องรอได้ ศึกษาหุ้นที่ทั้งโกรท ทั้งปันผลในตัวเีดียวกัน เก็บไว้ใน Watching List แล้วเมื่อถึงวันที่ตลาด crash หนักๆ ค่อยๆทยอยเก็บ
ซัก 2-5 ตัว ขบวนการนี้แน่นอนว่าจะไม่ได้ในราคาต่ำสุด และ อาจต้องใช้เวลายาวนาน กว่าจะได้หุ้นครบ แต่เมื่อได้มาแล้ว ผลที่ได้จะคุ้มค่า และ ถือได้ยาวโดยไม่ต้องหวั่นไหวตราบที่มันยังโกรทอยู่ แถมมีปันผลเป็นตัวหล่อเลี้ยงให้เย็นใจได้อีก

ส่วนใหญ่หุ้น Growth มันจะ Growth ตอนที่ยังไม่มีใครรู้
ตอนที่คนทั้งบ้านทั้งเมืองยอมรับว่ามันเป็นหุ้น Growth มันดันไม่ค่อย Growth

ผมเลือกหุ้น p/e ต่ำ ๆ แต่ต้องไม่ใช้หุ้น วัฐจักร คือ pe ต่ำ สมำเสมอ

ซึ้งส่วนใหญ่จะเป็นหุ้นที่คนทั้วไป กองทุน ไม่ค่อยสนใจ

วัน ๆ ซื้อขายกัน 4-5 แสนบาท มีอยู่เยอะครับในตลาด MAI

หุ้นปันผลดี ควรจะมีการเติบโตด้วย เพราะจะทำให้เราได้ปันผลมากขึ้นทุกปี

wpong เขียน:ส่วนใหญ่หุ้น Growth มันจะ Growth ตอนที่ยังไม่มีใครรู้
ตอนที่คนทั้งบ้านทั้งเมืองยอมรับว่ามันเป็นหุ้น Growth มันดันไม่ค่อย Growth

+1 ครับ

พอชาวบ้านรู้เมื่อไหร่
จากที่ Trade กับแบบหุ้นไม่ Growth (P/E ต่ำเตี้ย)
ก็จะได้ส่วน gain จะการที่ชาวบ้านมองว่าเป็นหุ้น Growth ด้วย (P/E กระโดดขึ้น)

ถ้าเจอหุ้นแบบนี้แล้วมั่นใจ ต้องรีบตระครุบ
อ่ออย่าลืม PM มาบอกผมด้วยนะครับ
ขอบคุณครับ

kabu เขียน:

wpong เขียน:ส่วนใหญ่หุ้น Growth มันจะ Growth ตอนที่ยังไม่มีใครรู้
ตอนที่คนทั้งบ้านทั้งเมืองยอมรับว่ามันเป็นหุ้น Growth มันดันไม่ค่อย Growth

+1 ครับ

พอชาวบ้านรู้เมื่อไหร่
จากที่ Trade กับแบบหุ้นไม่ Growth (P/E ต่ำเตี้ย)
ก็จะได้ส่วน gain จะการที่ชาวบ้านมองว่าเป็นหุ้น Growth ด้วย (P/E กระโดดขึ้น)

ถ้าเจอหุ้นแบบนี้แล้วมั่นใจ ต้องรีบตระครุบ
อ่ออย่าลืม PM มาบอกผมด้วยนะครับ
ขอบคุณครับ

อันที่จริงมันก็หุ้นตัวเดียวกันนี่แหละครับ

ช่วงแรกๆก็ต้องลงทุนก่อน รายได้ยังไม่ค่อยมี ค่าใช้จ่ายเยอะ งบไม่สวย เป็นลูกเป็ดขี้เหร่
ต่อมามันก็มีกำไร จากที่ไม่เคยมี ก็ Growth ซะ
ตอนที่ Growth ก็ต้องเพิ่มงบลงทุน เพิ่ม Working Capital เงินสดก็ไม่ค่อยเหลือ ก็เลยไม่ค่อยปันผล ก็เป็นคุณสาวแรกรุ่นใช้จ่ายสะพัด แต่งดงามบาดตา
พอต่อมาก็รู้สึกพอ อยู่เท่านี้ก็ดีอยุ่แล้ว จะเสี่ยงขยาย บ. ต่อไปทำไม ความเสี่ยงเยอะ ก็เลยไม่ลงทุนเพิ่ม กำไรไม่เพิ่ม แต่เงินสดเหลือเยอะ ปันผลดีกว่า ก็เป็นคุณพี่รถไฟฟ้ามาหานะเธอ นั่งรอรถไฟฟ้ามาเกย

แต่ว่าพวกพี่สาวสองพันปีก็มีเหมือนกัน พวกนี้ยิ่งโตยิ่งเพิ่ม DCA แต่ผมคบไม่ไหว ค่าตัวแพงเหลือเกิน

ขอบคุณมากนะครับ ทุกความคิดเห็น อยากกด like จริงๆ

ก็ผมคงต้องทำการบ้านให้หนักๆอีกหน่อยล่ะ

ว่าแต่ DCA นี่ อะไรอ่า (แสดงเขาให้ทุกท่านเลยกันเลย)

panwasit เขียน:ขอบคุณมากนะครับ ทุกความคิดเห็น อยากกด like จริงๆ

ก็ผมคงต้องทำการบ้านให้หนักๆอีกหน่อยล่ะ

ว่าแต่ DCA นี่ อะไรอ่า (แสดงเขาให้ทุกท่านเลยกันเลย)

Durable Competitive Advantage (DCA) หรือ "ความได้เปรียบในการแข่งขันที่ยั่งยืน”

บัฟเฟตต์ให้ความสำคัญมากครับ

ดิฉันเลือกหุ้นเติบโตค่ะ

แต่คุณจะต้องจ่ายเท่าไหร่ สำหรับการเติบโตนั้น คุณต้องไปทำการบ้านมาค่ะ
ไม่ใช่ว่าเห็นหุ้นเติบโตก็น่าซื้อไปซะหมด

panwasit เขียน:
ผมเลยไปมองที่ P/E น่ะครับ ก็สรุปคร่าวๆว่า ถ้าpe = 5 แสดงว่า 5ปี ได้ทุนคืน หรือได้ปีละ 20% สำหรับ pe = 25 แสดงว่า 25ปี จะได้ทุนคืน หรือได้ปีละ 4%

ผมเลยสงสัยว่า ระหว่าง หุ้นที่ไม่เติบโตเท่าไร pe ต่ำๆ กับหุ้นที่เติบโตมากๆ peสูงๆ (คนรับรู้ไปแล้ว) อันไหนดีกว่าครับ

จากข้อมูลด้านบน มีความเห็นส่วนตัวตามนี้

หุ้น PE 25 อาจจะคืนทุนได้เร็วกว่า หุ้น PE 5 ก็ได้

หรือ หุ้น PE 25 อาจเป็นหุ้นเน่า หรือหุ้นปั่นก็เป็นไปได้อีก

ส่วนหุ้น PE 5 ก็เป็นไปได้ว่า การเติบโตจะเริ่มน้อยลงเรื่อย ๆ หรืออาจเป็นพวกหุ้นวัฎจักร ตลาดจึงให้ PE ต่ำ

สำหรับพวกหุ้นวัฎจักร PE 5 อาจนะไม่ได้หมายถึงหุ้นที่มีราคาถูกก็ได้คับ

ทั้งนี้ ควรต้องดู คุณภาพของกิจการ รวมถึง Downside หรือความเสี่ยงประกอบด้วยคับ ไม่ควรดู PE อย่างเดียว

McDonald เขียน:

panwasit เขียน:
ผมเลยไปมองที่ P/E น่ะครับ ก็สรุปคร่าวๆว่า ถ้าpe = 5 แสดงว่า 5ปี ได้ทุนคืน หรือได้ปีละ 20% สำหรับ pe = 25 แสดงว่า 25ปี จะได้ทุนคืน หรือได้ปีละ 4%

ผมเลยสงสัยว่า ระหว่าง หุ้นที่ไม่เติบโตเท่าไร pe ต่ำๆ กับหุ้นที่เติบโตมากๆ peสูงๆ (คนรับรู้ไปแล้ว) อันไหนดีกว่าครับ

จากข้อมูลด้านบน มีความเห็นส่วนตัวตามนี้

หุ้น PE 25 อาจจะคืนทุนได้เร็วกว่า หุ้น PE 5 ก็ได้

หรือ หุ้น PE 25 อาจเป็นหุ้นเน่า หรือหุ้นปั่นก็เป็นไปได้อีก

ส่วนหุ้น PE 5 ก็เป็นไปได้ว่า การเติบโตจะเริ่มน้อยลงเรื่อย ๆ หรืออาจเป็นพวกหุ้นวัฎจักร ตลาดจึงให้ PE ต่ำ

สำหรับพวกหุ้นวัฎจักร PE 5 อาจนะไม่ได้หมายถึงหุ้นที่มีราคาถูกก็ได้คับ

ทั้งนี้ ควรต้องดู คุณภาพของกิจการ รวมถึง Downside หรือความเสี่ยงประกอบด้วยคับ ไม่ควรดู PE อย่างเดียว

หุ้น PE 5 ที่คนให้เพราะเข้าใจผิดว่าเป็นหุ้นวัฎจักรที่ผันผวนมาก ก็มีนะครับ

ยิ่งรู้ยิ่งโง่ เมื่อโง่ ก็ต้องยิ่งรู้เข้าไปอีก เป็นงูกินหาง

สรุป ผมโง่ อิอิ

ขอบคุณมากครับ

เเค่รู้ตัวว่าโง่ รู้จักหาความรู้ ถามใหัถูกกลุ่ม ความสําเร็จมาสักวัน

ผมว่าต้องมองสองอย่างควบคู่กันไปครับ บางบริษัทปันผลดีมากแต่ไม่เติบโตแล้วหรือถ้าในเคสที่แย่ธุรกิจขาลงทำให้กำไรน้อยลง ปันผลที่มองตอนแรกว่ามาก อาจจะเหลือน้อยลงเรื่อยๆ ก้อได้ครับ ส่วนที่ปันผลน้อยหน่อยแต่มีpotentialในการเติบโต ก้ออาจจะจ่ายปันผลอย่างงามได้ใอนาคตก้อได้นะครับ ต้องมองสองอย่างประกอบกันครับ

เน้นปันผลลดเติบโต เน้นเติบโตฉุดปันผล
เนื้อทนถือเลือกเติบผล เน้นเลี้ยงตนกินผลโต

panwasit เขียน:ยิ่งรู้ยิ่งโง่ เมื่อโง่ ก็ต้องยิ่งรู้เข้าไปอีก เป็นงูกินหาง

สรุป ผมโง่ อิอิ

ขอบคุณมากครับ

ผมว่าไม่มีใครโง่นะครับ มีแค่รู้กับไม่รู้

ทีแรก ผมก็ไม่รู้ด้วยซ้ำครับ ว่า วีไอ หมายถึงอะไร

ผมรู้จักกับคำนี้ ก็คงเป็นเพราะบุญพาวาสนาส่ง(พูดเหมือนละครน้ำเน่าเลย)

ที่ได้ไปทำธุรกิจขายตรงอยู่ บ. หนึ่ง แล้วพี่ ๆ แม่ทีม แนะนำให้อ่านหนังสือของ โรเบิร์ต(พ่อรวยสอนลูก)

และ คิดใหญ่ไม่คิดเล็ก(ซึ่ง ดร.นิเวศน์) เป็นคนแปล หลังจากนั้น ผมก็มุ่งหาอิสรภาพทางการเงิน

มาตลอด ตั้งแต่สมัยที่ยังทำงานอยู่ และชื่อของ ดร.นิเวศน์ ก็ติดอยู่ในหัวผมตลอดว่า ท่านผู้นี้คือใคร

และก็เหมือนบุญพา อีกเหมือนกัน เมื่อทำให้ผมได้มาอ่านหนังสือ ตีแตก ของ ดร. และทำให้ผมรู้สึก

อยากศึกษามากขึ้น และก็ติดตามอ่าน บทความของ ดร.มาตลอด และ ในบทความ ของดร. มักจะกล่าว

ถึงนักลงทุนเอกของโลกอยู่เสมอ ๆ เช่น เกรแฮม, ฟิชเชอร์, บัฟเฟตต์, ลินซ์ ,จอร์นเนฟ, เซอร์จอร์น ฯลฯ

ผมก็จะหาหนังสือเกี่ยวกับ บุคคลเหล่านี้มาอ่านเพิ่มเติม และเข้ามาศึกษาที่เวปนี้ จนพอรู้เรื่อง กับ เค้าบ้าง

ว่า วีไอ หมายถึงอะไร แต่ก็เพิ่งเริ่มต้น ยังต้องศึกษาจากพี่ ๆ ที่เก่ง ๆ อีกหลายคนครับ

KGYF เขียน:

panwasit เขียน:ขอบคุณมากนะครับ ทุกความคิดเห็น อยากกด like จริงๆ

ก็ผมคงต้องทำการบ้านให้หนักๆอีกหน่อยล่ะ

ว่าแต่ DCA นี่ อะไรอ่า (แสดงเขาให้ทุกท่านเลยกันเลย)

Durable Competitive Advantage (DCA) หรือ "ความได้เปรียบในการแข่งขันที่ยั่งยืน”

บัฟเฟตต์ให้ความสำคัญมากครับ

การได้เปรียบที่ยั่งยืนของกิจการครับ กิจการจะต้องเป็นเบอร์1หรือ2 ที่ขนาดใหญ่กว่ารายเล็กมากๆๆ

ธุรกิจจะต้องเลียนแบบได้ยาก จะต้องควบคุมการขึ้นของราคาสินค้าได้เองครับ


หรือ เป็นธุรกิจใหม่ที่ยังไม่มีใครทำและเป็นที่ต้องการครับ เช่น ผลิตยาโรคเอดส์ โรคมะเร็ง

ยารักษาโรคจิตเวท แบบให้ผลเร็ว

ถ้าถามผมว่า จะเลือกหุ้นปันผลดีหรือเติบโตดี

ผมตอบได้เพียงแค่ ผมเลือกเฉพาะกิจการที่ดูดี มีอนาคตครับ

หากคิดจะมี MOS เยอะ เราก้ต้องเลือกกิจการที่กำลังจะโตครับ

เหมือนเด็กที่รอวันโตครับ เด็กที่ไม่โตก้จะแคระแกรน เด็กที่โตเกินตัวก้จะอายุไม่ยืน

เด็กที่โตตามปรกติ และมีการโตขึ้นในอนาคต ย่อมเป็นที่หมายปองของ Value Investor


อย่างที่ อาจารย์ ดร นิเวศน์เคยกล่าวไว้ อย่าสนใจว่าหุ้นจะเคยราคาเท่าไหร่ในอดีต

อดีตเป็นแค่พื้นหลัง อนาคตกิจการสำคัญกว่าครับ

หุ้นเติบโต ปันผลน้อย
หุ้นปันผลมาก มักไม่เติบโต

เป็นสูตรสำเร็จ เป็นความเชื่อ หรือ มีกรณียกเว้น