Thai Value Investor การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุน VI หุ้นวีไอ Webboard

สมมติว่าหุ้นที่เราซื้อมาแล้วถือมาระยะหนึ่ง ราคาเพิ่มขึ้นไป สมมติ 10%
เป็นท่านๆจะซื้อเพิ่มมั้ยครับ? เพราะอะไร?
แล้วถ้าไม่ซื้อ? เพราะอะไรครับ?

ความเห็นส่วนตัวนะครับ

การลงทุนในบริษัทใดๆก็ตามผมมักจะถือ Concept ที่ว่า เมื่อผมอายุ 80 ปี กิจการนั้นยังคงอยู่ และ ยังสามารถทำกำไรได้ (เพราะหลังจากผมอายุ 60 ปี เงินที่จะหาเลี้ยงผมจะมาจากธุรกิจที่ผมลงทุนในปัจจุบันนี้)
ดังนั้นมูลค่าที่ผมจะเข้าไปลงทุนจะมี Range ที่ยอมรับได้ กว้างพอประมาณด้าน +

1 บางครั้ง ณ ราคาปัจจุบันที่น่าลงทุนแต่ไม่มีคนขายเลย มันก็ไม่ Work เมื่อเทียบกับตอนที่มันราคาเพิ่มขึ้น 10 % อาจมี Volume มากพอสำหรับการลงทุนของผม
2 การเพิ่มขึ้นถ้ามั่นใจว่าเป็นการเพิ่มขึ้นจากผลดำเนินงานที่เริ่มแสดงชัดเจนขึ้น จากความมั่นใจของนักลงทุนที่เพิ่มมากขึ้น ไม่ใช่จากการเก็งกำไร หรือ ปั่นของใครบางคน ผมยังคงซื้อเพิ่มที่ระดับ 10% (เพราะธุรกิจที่ผมดูโดยส่วนใหญ่จะใช้เวลาน้อยกว่า 1 ปี ที่จะเพิ่มมูลค่าของตัวเอง + เงินปันผล ที่จะไปถึงจุดนั้น)
3 การได้กิจการที่ดี ที่มูลค่า Fair Value ดีกว่าได้กิจการธรรมดา ที่มูลค่า Under Value .....ลุง Buffett กล่าวไว้เสมอๆ

ขอให้เป็น Idea หนี่งใน Style ของผม ซี่งมันอาจไม่เหมาะกับคนอื่นๆก็ได้ครับ

งั้นถ้ามีตัวที่สนใจมากกว่า 1 ตัวหละครับและราคาขึ้นยกแผง(เป็น Base Case ที่เกิดอยู่ตอนนี้) เราควรจะเลือกตัวที่จะซื้อเพิ่มอย่างไรดี ตอนนี้ผมพิจารณา 3 อย่างคือ
1.Value ที่ประเมินได้
2.ตัวเร่งที่คิดว่าจะเกิด และระยะเวลาคาดหวังผลตอบแทน
3.ความเสี่ยงและความแน่นอนของกำไรที่ประเมินได้(หา Downside risk)
แต่บางทีคำตอบมันก็ยังไม่ชัดเจนพออะครับ เรียนถามพี่ๆว่ามีการให้น้ำหนักสัดส่วนพอร์ต และพิจารณาการซื้อกันอย่างไรบ้างครับ?

aonzzung เขียน:สมมติว่าหุ้นที่เราซื้อมาแล้วถือมาระยะหนึ่ง ราคาเพิ่มขึ้นไป สมมติ 10%
เป็นท่านๆจะซื้อเพิ่มมั้ยครับ? เพราะอะไร?
แล้วถ้าไม่ซื้อ? เพราะอะไรครับ?

จะซื้อหรือขายดูที่แนวโน้มกำไรของกิจการในอนาคตระยะยาวเปรียบเทียบกับมูลค่าหุ้นในปัจจุบันครับ
ราคาหุ้นจะ ขึ้น 10% หรือลง 10% ถ้าปัจจัยพื้นฐานและแนวโน้มในอนาคต ไม่เปลี่ยน ก็ไม่ใช่ปัจจัยในการตัดสินใจครับ

ถ้าซื้อเพราะราคาขึ้นมา 10 %
เราก็คงจะขายมันเพราะราคามันลดลง 10 % ด้วย
ใช่หรือเปล่า ?

ส่วนตัวถ้าจะซื้อหุ้นตัวเดิมเพิ่ม
ก็ต่อเมื่อการลงทุนในหุ้นเดิมตัวนั้น
ยังน่าสนใจกว่าทางเลือกอื่นที่ผมมี

ถ้าผลประกอบการมี growth ก็ซื้อครับ
แต่ถ้าผลประกอบการทรง ๆ มีแนวโน้มลดลง ก็ถือ หรือขาย

แต่อุตส่าห์เลือกหุ้นทั้งที
จะไม่เลือกตัวที่ดี ๆ ที่สามารถถือเก็บกินผลประโยชน์ไปเรื่อย ๆ บ้างหรือครับ

ขอบคุณสำหรับทุกแนวคิดนะครับ
สำหรับผมยังไม่ค่อยมั่นใจในสิ่งที่ตัวเองประเมิณสักเท่าไรครับ

ถ้าซื้อแล้วมันลงต้องห้ามเสียดายนะครับบางทีจังหวะก้อสำคัญ นะครับ
รออีกสักนิดอาจถูกลงอีก2%. แต่ก้อาจแพงอีก๒% ได้เช่นเดียวกัน

ส่วนผมช่วงนี้รอq1ครับ

ผมว่าต้อง "ลืมต้นทุน" ครับ

ซื้อหุ้นมาแล้ว ลืมต้นทุนไปเลยครับ สนใจแค่ว่าราคาหุ้น ณ ปัจจุบันเราจะซื้อหรือจะขาย

พูดง่ายครับแต่ทำยากมาก

Paul Octopus เขียน:ความเห็นส่วนตัวนะครับ

การลงทุนในบริษัทใดๆก็ตามผมมักจะถือ Concept ที่ว่า เมื่อผมอายุ 80 ปี กิจการนั้นยังคงอยู่ และ ยังสามารถทำกำไรได้ (เพราะหลังจากผมอายุ 60 ปี เงินที่จะหาเลี้ยงผมจะมาจากธุรกิจที่ผมลงทุนในปัจจุบันนี้)
ดังนั้นมูลค่าที่ผมจะเข้าไปลงทุนจะมี Range ที่ยอมรับได้ กว้างพอประมาณด้าน +

1 บางครั้ง ณ ราคาปัจจุบันที่น่าลงทุนแต่ไม่มีคนขายเลย มันก็ไม่ Work เมื่อเทียบกับตอนที่มันราคาเพิ่มขึ้น 10 % อาจมี Volume มากพอสำหรับการลงทุนของผม
2 การเพิ่มขึ้นถ้ามั่นใจว่าเป็นการเพิ่มขึ้นจากผลดำเนินงานที่เริ่มแสดงชัดเจนขึ้น จากความมั่นใจของนักลงทุนที่เพิ่มมากขึ้น ไม่ใช่จากการเก็งกำไร หรือ ปั่นของใครบางคน ผมยังคงซื้อเพิ่มที่ระดับ 10% (เพราะธุรกิจที่ผมดูโดยส่วนใหญ่จะใช้เวลาน้อยกว่า 1 ปี ที่จะเพิ่มมูลค่าของตัวเอง + เงินปันผล ที่จะไปถึงจุดนั้น)
3 การได้กิจการที่ดี ที่มูลค่า Fair Value ดีกว่าได้กิจการธรรมดา ที่มูลค่า Under Value .....ลุง Buffett กล่าวไว้เสมอๆ

ขอให้เป็น Idea หนี่งใน Style ของผม ซี่งมันอาจไม่เหมาะกับคนอื่นๆก็ได้ครับ

ชอบครับ +1

madpla เขียน:ขึ้นอยู่กับราคาที่เราประเมินครับ ยกตัวอย่างถ้าเรามองราคาที่เหมาะสมว่า
ควรจะขึ้นจากจุดที่เราซื้ออีก 100% ถ้าหากมันเริ่มขึ้นมาอีก 10% ก็ไม่เห็น
ต้องลำบากใจที่ต้องตามซื้ออีก เพราะว่ามันเหลืออีก 90% ให้ขึ้น
(ถ้าเราประเมินราคาที่เหมาะสมได้ถูก)

คิดเหมือนผมครับ

และผมแยกรายละเอียดกว่านั้น คือทำลงใน excel แยกการซื้อหุ้นแต่ละครั้ง จะไม่คิดว่าการซื้อครั้งใหม่ จะทำให้ต้นทุนแพงขึ้น

ผมจะถือว่าผลตอบแทน เป็นของการลงทุนครั้งใหม่ ก่อนหน้ากำไรบวกเท่าไหร่ก็บวกเท่านั้น ไม่มีวัน ที่การซื้อครั้งใหม่ จะทำให้กำไรซื้อครั้งก่อนลดลง
(แม้ผลงานโชว์ใน port จะเฉลี่ยออกมากับการซื้อก่อนหน้านี้ก็ตาม เนื่องจากการซื้อเป็นหุ้นตัวเดียวกัน)


ดังนั้น ในทางตรงข้ามก็เหมือนกัน ถ้าตลาดขาลง แล้วทำหุ้นตก มีโอกาสเข้าซื้อราคาที่ดีกว่า ต่ำกว่า ผมจะไม่คิดว่าการซื้อครั้งใหม่ จะเป็นการซื้อเฉลี่ยทำให้ต้นทุนถูกลง เพราะที่ลงทุนซื้อไปแล้ว มันไม่มีวันที่จะถูกลงจริงๆ ก็มันลงทุนไปแล้ว ขาดทุนเท่าไรก็ขาดทุนเท่านั้น

ถ้าเรามีเงินแล้วซื้อใหม่เอามาซื้อหุ้นตัวนี้ในราคาถูกกว่าเพียงเพื่อทำให้ดูดี แต่พร้อมกันนั้นพบว่ามีหุ้นกิจการอื่นที่ดีกว่า ทำกำไรให้มากกว่าก็ควรไปซื้อกิจการนั้น ไม่ควรเอามาทำให้เฉลี่ยหลอกตัวเอง

ทำเช่นนี้ เพื่อเตือนใจ ไม่ให้หลงทางแล้วเขว ปิดบังหรือหลอกตัวเองกับผลการลงทุนก่อนหน้่านี้ ว่าการซื้อใหม่ไม่ได้ช่วยแก้ไขการขาดทุนหรือกำไรในอดีตได้จริง

อีกตัวอย่าง ช่วงที่จีบ ROBINS ใหม่ๆ
จะได้เห็นภาพชัด

ดูกำไรในอนาคตเป็นหลักครับ
ถึงแม้ราคามันจะขึ้นมา 10% หรือ 100%
แต่ถ้าเทียบราคาต่อกำไรในอนาคตยังถูกอยู่ก็ซื้อครับ

ง่ายๆแค่นั้นแหละครับเรื่องราคาซื้อ
แต่ที่ยากคือ....
ทำความรู้จัก กับหุ้น และคำนวณกำไรอนาคตให้ออก

ผมดูupsideครับว่าเหลือเท่าไร ถ้ายังเยอะ ผลตอบแทนอยู่ในเกณที่ยังน่าพอใจก้อซื้อเลย

ปล.เคยมีปัญหาเดียวกับเจ้าของกระทู้เลยครับ แต่มานั่งคิดดีๆแล้วจึงยึดหลักดังที่กล่าวไป

ไม่ควรเอามาทำให้เฉลี่ยหลอกตัวเอง

อันนี้ผมขอจดไว้เตือนตัวเองเลยครับ ชอบติดนิสัยทั้งเฉลี่ยขาลงแบบไม่ยั้งเพราะคิดว่าจะช่วยลดต้นทุน(จนเกือบจะมากเกินไปในพอร์ต) และก็พลาดโอกาสดีๆเมื่อราคาขึ้นไปแล้ว ไม่คิดซื้อเพิ่มเพราะกลัวว่าจะ dilute กำไรให้ลดลง ทั้งๆที่มีแนวโน้มว่ามันยัง มี upside อีกพอสมควร

กำไรในอนาคต

การประเมิณอันกำไรในอนาคตว่ายากแล้ว การที่จะทำให้มันใจในสิ่งที่ตัวเองประเมิณนั้นยากยิ่งกว่า

ชอบไอเดีย ทำเป็นไฟล์ excel มากเลย ถ้าขยันจะลองทำมั่งดีก่า

จะซื้อหุ้น ไม่เคยคิดถึงราคาเลยครับ ว่ามันเคยถูกกว่านี้ เคยแพงกว่านี้ ถ้ามีอนาคต ราคาวันนี้ถูกเกินกว่าที่ควรจะเป็น ก็ซื้อ แค่นั้นเองครับ

ถ้าตอบแบบ Peter Lynch คือหุ้น forty-bagger (สมมติว่าจาก $2 ไป $80) ถึงไปซื้อตอนที่มันไป four-bagger ไปแล้ว คือไปซื้อที่ $8 ตอนที่มันไป $80 ก็ยังเป็น ten-bagger สำหรับพอร์ตของคุณอยู่ดีครับ

ผมว่ามันเป็นศาสตร์ที่ละเีอียดอ่อนพอตัวนะ
เพราะมันมีทั้ง pure vi hybridd vi

ถ้า pure คงมองเรื่อง อัพไซด์ ที่คงเหลือ กับ จำนวนเงินที่ีมี เพื่อลงในหุ้นตลอดเวลา
แต่ถ้าสาย hybrid ผมว่าเค้ามอง timing and momentum ด้วยล่ะมั้ง

เข้าใจว่า จขกท น่าจะมีความเชื่อเรื่อง ซื้อหุ้นขาขึ้นปลอดภัยกว่า เพราะถ้ามันขึ้นไปมากๆในเวลาเร็วๆขายไปก็ได้กำไร แต่ถ้าหุ้นลง อย่างมากก็ขายไปเท่าราคาต้นทุนที่ซื้อเพราะมันเป็นเทรนด์ขาขึ้น แต่ถ้าซื้อขายลง มันไม่มีจุด stop loss ที่ชัดเจนหมือนตอนขาขึ้น ยิ่งถัว ยิ่งweight น้ำหนักขาดทุนในพอร์ท(ผมอ้างอิง จากคุณสุมาอี้นะ)

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจริงคือ มันต้องค่อยๆเรียนรู้ไปมั้งคับ เพราะ บางคนชอบต่อราคา ไม่แดงไม่ซื้อ ก็ไม่ใช่ว่าจะผิด

แต่ไม่ว่าซื้อขาขึ้น หรือ ขาลง ทุกอย่างจะถูกลดความสำคัญลง ในสองกรอบ
คือ โมเดลธุรกิจต้องดี และ ถือให้นานพอ เพราะระยะยาวทุกอย่างก็คงลู่เข้ามูลค่าแท้จริงในอนาคต

ผิดถูก ตกหล่นอะไรตรงไหน รบกวนขอคำชี้แนะด้วยคับ

แต่ถ้าส่วนตัว หุ้นที่ผมถือ ผมรู้ว่าแต่ละตัวผมถือเพราะเหตุผลอะไร
เช่น ผมต้องการเล่นรอบ หรือ ผมกะเก็บสะสมจริงๆ หรือ รอวัฏจักร
ถ้าเล่นรอบ ผมอาจจะขายมากกว่าซื้อ
ก็คงแล้วแต่กลยุทธ์ด้วยมั้งคับ
พอร์ทผมเลยไม่ค่อยโต แหะๆๆ
เพราะผมชอบrealize profit เป็นเงินสด มากกว่าให้มันบินผ่านหูผ่านตา
แต่ตอนนี้มีกลยุทธที่ชัดเจนแล้ว มอง megatrend อย่างเดียวเลย

aonzzung เขียน:

กำไรในอนาคต

การประเมิณอันกำไรในอนาคตว่ายากแล้ว การที่จะทำให้มันใจในสิ่งที่ตัวเองประเมิณนั้นยากยิ่งกว่า

จากที่ผมตามศึกษาหลายๆคน บางคนก็ให้น้ำหนักการประเมินเป็น certain number ไม่มาก
บางคนถึงกับออกปากว่าไม่เป็น หรือ บางคนฟังผ่านๆ ทำผ่านๆ

ซึ่งตรงนี้ส่วนตัวผมมองว่า มันถูก subsidize ได้ด้วยการ มองรูปแบบธุรกิจ หรือ ตัวธุรกิจ
เพราะ
1 การประเมินเป็น certain number มีปัจจัยที่ไม่แน่นอนสูง ตัวเลขเพี้ยนได้เยอะ
2 ถ้ามองโมเดลธุรกิจ หรือตัวธุรกิจ ตราบเท่าที่มันยังโตอยู่ในอัตตราที่เหมาะสม ก็หมายถึง
upside infinity ใน 5-10 ปี
จะลดปัณหา การขายหมู ลงไปได้พอควร และระหว่างทาง เราอาจทำคลายเครียดเรโชไปได้ด้วยหรือจะเล่นรอบ บนต้นทุนที่ต่ำก็ยังได้ถ้า market timing skill ดีพอ

ซึ่งการมองธุรกิจ ผมว่า อ่าน สนใจ ติดตามบ้าง มันเข้าใจได้ง่ายกว่าเยอะัมาก(ตรงนี่ที่ผมมองว่า
core ความคิด ของ ดร. นิเวศน์ กับ คุณสุมาอี้ มันตรงกันโดยบังเอิญ แม้ตัวหุ้นหรือวิธีพูดอธิบายจะคนละแบบกัน)

ถ้าหุ้นที่ซื้อราคาขึ้นไปแล้ว ไม่ควรซื้อเพิ่มครับ
ผมจะรอดูผลประกอบการก่อนว่าเป็นไปตามที่คิดไหม
แล้วค่อยตัดสินใจอีกที

เวลาผมจะลงทุนในหุ้นตัวหนึ่ง จะมองกรอบการลงทุนมากกว่า 3 ปีขึ้นไป ดังนั้นผมจะให้น้ำหนักความสำคัญข้อมูลเชิงคุณภาพมากกว่า

70% เช่นตัว biz model กลยุทธการเติบโต ส่วนที่เหลือคือข้อมูลเชิงปริมาณ เช่น การประเมินมูลค่า ข้อมูลงบการเงิน สัดส่วนการเงิน เป็นต้น

พอตอนที่เราตัดสินใจลงทุนในหุ้นตัวนั้นแล้ว สมมุติว่าราคามันเพิ่มขึ้นอีก ผมจะมองดูว่าตัวธุรกิจยังเป็นเหมือนเดิม ดีขึ้น หรือแย่ลงกว่าที่

ประเมินไว้หรือเปล่า ถ้าเหมือนเดิม หรือดีขึ้น ผมอาจจะลงทุนซื้อเพิ่มถ้าดูแล้วว่ายังไม่มีตัวไหนที่น่าสนใจกว่า และมั่นใจว่าตัวเดิมที่เราลง

ทุนอยู่เดิม บางตัวที่ขึ้นมามากกว่า 50% ผมยังซื้อเพิ่มเลยครับ เพราะผมมองว่าอนาคตอีก 5 ข้างหน้ายังน่าจะดีกว่านี้

ในทางกลับกันหุ้นบางตัวลดลงมา 30% ผมยังไม่กล้าซื้อเพิ่ม เพราะผมไม่แน่ใจว่าผมประเมินอะไรผิดหรือเปล่า ไม่รู้ว่าจะเฉลี่ยต้นทุนทำไม

ถ้าเราไม่มั่นใจจริง ๆ

unnop.t เขียน:เวลาผมจะลงทุนในหุ้นตัวหนึ่ง จะมองกรอบการลงทุนมากกว่า 3 ปีขึ้นไป ดังนั้นผมจะให้น้ำหนักความสำคัญข้อมูลเชิงคุณภาพมากกว่า

70% เช่นตัว biz model กลยุทธการเติบโต ส่วนที่เหลือคือข้อมูลเชิงปริมาณ เช่น การประเมินมูลค่า ข้อมูลงบการเงิน สัดส่วนการเงิน เป็นต้น

พอตอนที่เราตัดสินใจลงทุนในหุ้นตัวนั้นแล้ว สมมุติว่าราคามันเพิ่มขึ้นอีก ผมจะมองดูว่าตัวธุรกิจยังเป็นเหมือนเดิม ดีขึ้น หรือแย่ลงกว่าที่

ประเมินไว้หรือเปล่า ถ้าเหมือนเดิม หรือดีขึ้น ผมอาจจะลงทุนซื้อเพิ่มถ้าดูแล้วว่ายังไม่มีตัวไหนที่น่าสนใจกว่า และมั่นใจว่าตัวเดิมที่เราลง

ทุนอยู่เดิม บางตัวที่ขึ้นมามากกว่า 50% ผมยังซื้อเพิ่มเลยครับ เพราะผมมองว่าอนาคตอีก 5 ข้างหน้ายังน่าจะดีกว่านี้

ในทางกลับกันหุ้นบางตัวลดลงมา 30% ผมยังไม่กล้าซื้อเพิ่ม เพราะผมไม่แน่ใจว่าผมประเมินอะไรผิดหรือเปล่า ไม่รู้ว่าจะเฉลี่ยต้นทุนทำไม

ถ้าเราไม่มั่นใจจริง ๆ

กำลังมีปัญหาเรื่องนี้เหมือนกัน ชอบคำตอบนี้ครับ

Ii'8N เขียน:

madpla เขียน:ขึ้นอยู่กับราคาที่เราประเมินครับ ยกตัวอย่างถ้าเรามองราคาที่เหมาะสมว่า
ควรจะขึ้นจากจุดที่เราซื้ออีก 100% ถ้าหากมันเริ่มขึ้นมาอีก 10% ก็ไม่เห็น
ต้องลำบากใจที่ต้องตามซื้ออีก เพราะว่ามันเหลืออีก 90% ให้ขึ้น
(ถ้าเราประเมินราคาที่เหมาะสมได้ถูก)

คิดเหมือนผมครับ

และผมแยกรายละเอียดกว่านั้น คือทำลงใน excel แยกการซื้อหุ้นแต่ละครั้ง จะไม่คิดว่าการซื้อครั้งใหม่ จะทำให้ต้นทุนแพงขึ้น

ผมจะถือว่าผลตอบแทน เป็นของการลงทุนครั้งใหม่ ก่อนหน้ากำไรบวกเท่าไหร่ก็บวกเท่านั้น ไม่มีวัน ที่การซื้อครั้งใหม่ จะทำให้กำไรซื้อครั้งก่อนลดลง
(แม้ผลงานโชว์ใน port จะเฉลี่ยออกมากับการซื้อก่อนหน้านี้ก็ตาม เนื่องจากการซื้อเป็นหุ้นตัวเดียวกัน)


ดังนั้น ในทางตรงข้ามก็เหมือนกัน ถ้าตลาดขาลง แล้วทำหุ้นตก มีโอกาสเข้าซื้อราคาที่ดีกว่า ต่ำกว่า ผมจะไม่คิดว่าการซื้อครั้งใหม่ จะเป็นการซื้อเฉลี่ยทำให้ต้นทุนถูกลง เพราะที่ลงทุนซื้อไปแล้ว มันไม่มีวันที่จะถูกลงจริงๆ ก็มันลงทุนไปแล้ว ขาดทุนเท่าไรก็ขาดทุนเท่านั้น

ถ้าเรามีเงินแล้วซื้อใหม่เอามาซื้อหุ้นตัวนี้ในราคาถูกกว่าเพียงเพื่อทำให้ดูดี แต่พร้อมกันนั้นพบว่ามีหุ้นกิจการอื่นที่ดีกว่า ทำกำไรให้มากกว่าก็ควรไปซื้อกิจการนั้น ไม่ควรเอามาทำให้เฉลี่ยหลอกตัวเอง

ทำเช่นนี้ เพื่อเตือนใจ ไม่ให้หลงทางแล้วเขว ปิดบังหรือหลอกตัวเองกับผลการลงทุนก่อนหน้่านี้ ว่าการซื้อใหม่ไม่ได้ช่วยแก้ไขการขาดทุนหรือกำไรในอดีตได้จริง

ชอบไอเดียนี้ครับ เด๋วทำมั่ง
ขอบคุณสำหรับความรู้ครับ

สำหรับผม... เมื่อผมซื้อหุ้นผมพยายามจะไม่จำ หรือ สนใจต้นทุน เพราะ ผมเชื่อว่าต้นทุนมันทำให้มีอคติในการลงทุน...

เมื่อเราลืมต้นทุน ลืมอดีตไป เราก็จะไม่รู้ว่าหุ้นมันขึ้นหรือลง... มันจะเหลือแค่ราคา ณ ปัจจุบัน กับ มูลค่าที่ประเมินได้... ถ้า MOS มี Upside มันมากพอ แล้วคิดว่าอยากจะเพิ่มสัดส่วนในพอร์ต ก็ลุย...


แต่ปัจจุบันผมติดปัญหาอยู่เรื่องนึง... คือ การประเมินมูลค่า และ กำหนดสัดส่วนการถือหุ้นที่มี DCA ในระยะยาวในช่วงที่ยังมี Growth อยู่

ปัญหาของการประเมินมูลค่าหุ้นประเภทนี้ คือ ผมสามารถหามูลค่า Conservative ได้ แต่ผมไม่สามารถหา Base Case และ Best Case ได้

ตอนซื้อนี่ง่าย... ซื้อตอนที่มี MOS จาก Conservative Value แต่ตอนขายนี่... คิดไม่ออกขายยังไงดี... คุณ hongvalue ได้ถามคำถามนี้กับเหล่าเซียนในงานเฮฮาครั้งล่าสุด แต่ก็ไม่ได้คำตอบ...

ล่าสุดผมได้ไอเดียนึงมาจากเทพท่านนึง... คือ เทพท่านนี้จะขายตอนที่ Growth เริ่มลดลง หรือ เริ่มเห็นสัญญาณการอิ่มตัวของตลาด (ตลาดนี่หมายถึงตลาดของสินค้าและบริการของกิจการนะครับ)

ในขณะที่ศาสดาของเราเลือกที่จะถือมันไปเรื่อยๆ ลงทุนแบบที่เป็นเจ้าของกิจการ

เพื่อนๆ มีความเห็นยังไงบ้างครับ... ขายหุ้น growth นี่ขายตอนไหนดี?

ปล. ขอโทษทีนะครับที่พาออกนอกประเด็น

ขายเมื่อเจอตัวที่ดีกว่า หรือไม่ก็ขายเมื่อพอใจจะขายแล้ว ไม่ต้องคิดมาก

picatos เขียน: เพื่อนๆ มีความเห็นยังไงบ้างครับ... ขายหุ้น growth นี่ขายตอนไหนดี?

ผมขายตอนGPมันมันแสดงอาการลดต่ำลงทั้งๆที่ยอดขายเพิ่มขึ้นท่ามกลางจำนวนคู้แข่งขันที่สูงขึ้น
แต่ส่วนใหญ่มักขายแล้ว ราคายังวิ่งต่อไปนะ มีบางหนที่ฟลุ๊ค ขายได้ใกล้ยอดดอย

picatos เขียน:สำหรับผม... เมื่อผมซื้อหุ้นผมพยายามจะไม่จำ หรือ สนใจต้นทุน เพราะ ผมเชื่อว่าต้นทุนมันทำให้มีอคติในการลงทุน...

เมื่อเราลืมต้นทุน ลืมอดีตไป เราก็จะไม่รู้ว่าหุ้นมันขึ้นหรือลง... มันจะเหลือแค่ราคา ณ ปัจจุบัน กับ มูลค่าที่ประเมินได้... ถ้า MOS มี Upside มันมากพอ แล้วคิดว่าอยากจะเพิ่มสัดส่วนในพอร์ต ก็ลุย...


แต่ปัจจุบันผมติดปัญหาอยู่เรื่องนึง... คือ การประเมินมูลค่า และ กำหนดสัดส่วนการถือหุ้นที่มี DCA ในระยะยาวในช่วงที่ยังมี Growth อยู่

ปัญหาของการประเมินมูลค่าหุ้นประเภทนี้ คือ ผมสามารถหามูลค่า Conservative ได้ แต่ผมไม่สามารถหา Base Case และ Best Case ได้

ตอนซื้อนี่ง่าย... ซื้อตอนที่มี MOS จาก Conservative Value แต่ตอนขายนี่... คิดไม่ออกขายยังไงดี... คุณ hongvalue ได้ถามคำถามนี้กับเหล่าเซียนในงานเฮฮาครั้งล่าสุด แต่ก็ไม่ได้คำตอบ...

ล่าสุดผมได้ไอเดียนึงมาจากเทพท่านนึง... คือ เทพท่านนี้จะขายตอนที่ Growth เริ่มลดลง หรือ เริ่มเห็นสัญญาณการอิ่มตัวของตลาด (ตลาดนี่หมายถึงตลาดของสินค้าและบริการของกิจการนะครับ)

ในขณะที่ศาสดาของเราเลือกที่จะถือมันไปเรื่อยๆ ลงทุนแบบที่เป็นเจ้าของกิจการ

เพื่อนๆ มีความเห็นยังไงบ้างครับ... ขายหุ้น growth นี่ขายตอนไหนดี?

ปล. ขอโทษทีนะครับที่พาออกนอกประเด็น

ถ้าเราเอาหลักในการดูคุณภาพของกำไร (เคยเจอในเวปนี้นั่นอหล่ะ) ก็น่าสนใจ
หนึ่ง ตลาดโต
สอง ส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้น
สาม มารจิ้นเพิ่ม
ถ้า สองในสามข้อเกิดอยู่นิ่ง ๆ ซักพัก ก็น่าเป็นสัญญาณได้ไหมนะ

เป็น คำถามที่พบกับตัวบ่อยมากๆ
สำหรับผม เล่นหุ้นอย่างไร ก็หวัง capital gain (แบบระยะยาว)
-------------------

ขอแชร์ความเห็นนะครับ
ไม่มีผิดถูกนะครับ

หุ้นบางตัวราคา มันขึ้นไปเรื่อยๆ(แบบไม่หวือหวา) จะมีย่อลงมาบ้าง แต่ไม่นานและมักจะตั้งซื้อไม่ได้
ดังนั้น เราตั้งใจสะสมจำนวนหุ้น(ตริตรองดีแล้วว่า เป็นหุ้นที่ดี เข้าตำรา)

ผมทำสามแบบครับ

แบบแรก ทะยอยสะสม แบบนี้ จะค่อยๆซื้อทีละน้อยๆ
แบบที่สองคือ DCA แบบนี้ ไม่ต้องสนใจราคา
แบบที่สาม เฝ้ารออย่างอดทน จนวันที่ตลาดตกใจ ลดราคามากๆ อัดเต็มที่

โดยส่วนตัว แบบแรก สบายใจสุด ซื้อขาขึ้น ตามไปเรื่อย
แบบที่สาม น่ากลัวสุด เพราะซื้อแล้วมักลงต่อ แต่ถ้า เรามั่นใจจริง สุดท้ายมันจะกลับมา และได้ ผลตอบแทนดีสุดครับ
ส่วนแบบที่สาม ผมใช้ซื้อหุ้นประเภทที่ หุ้นราคาต่อหุ้นสูงมากๆ พวกบลูชิพ ครับ

----------------------------