Thai Value Investor การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุน VI หุ้นวีไอ Webboard

คือผมลองอ่านจากบทความหลายๆอันดูแล้ว ผมเข้าใจว่า เราจะวัดมูลค่าหุ้นจากการเทียบ PE ของหุ้นเทียบกัย PE ของตลาดใช่ใหมครับ เช่น สมมุตว่า หุ้นที่เราจะซื้อมี PE ที่ 10 แล้วตลาด มี PE ที่20 แบบนี้แสดงว่าหุ้นเราถูกใช่ใหมครับ
หรือ อย่างเช่น หุ้นที่เราจะซื้อมี PE 17 แล้วตลาดมี PE 20 ก็แสดงว่ายังถูกอยู่ใช่ใหมครับ

ผมเข้าใจถูกหรือเปล่าครับ

อ้อ เกือบลืมครับ เราหา PE ของตลาดได้จากที่ใหนเหรอครับ

อ้อ แล้ว สมมุตว่า หุ้นที่เราจะซื้อมี PE 25 แล้วตลาดมี PE 20 นี่แสดงว่าหุ้นเราแพงแล้วใช่ใหมครับ

http://marketdata.set.or.th/mkt/markets ... country=TH
อันนี้ PE ตลาดครับ

บงทีก็ใช้ PE กลุ่มอุตสาหกรรมมาเปรียบเทียบก็ได้ครับ แต่ต้องหาจากพวกหนังสือพิมพ์หุ้นครับ ไม่ก็ดูที่เว็บ settrade จะมีคอลัมอันดับในอุตสาหกรรมลองเข้าไปดูครับ

ถ้าประเมินด้วย PE ก็ถือว่าเข้าใจถูกต้องแล้วนะครับ แต่สำหรับธุรกิจพวกสินค้าโภคภัณฑ์ อาจใช้ PE ในการประเมินแล้วคลาดเคลื่อนได้ครับ ต้องใช้วิธีอื่นดูด้วย

อ่อ ในเว็บมีการสนทนาเกี่ยวกับ PE กันเยอะครับ ลองค้นหาดูก่อนจะได้ข้อมูลเพิ่มขึ้นมากมาย

อย่าอิงกับpeตลาดครับ ถ้าอิงอุตสาหกรรมเดียวกันพอไหว ที่สำคัญต้องเข้าใจว่าเป็นหุ้นประเภทไหนตามที่ปีเตอ ลินช์แบ่งครับ ระวังหุ้นวัฎจักรครับ ถ้าไม่เข้าใจcycleของธุรกิจอย่าพึ่งเข้าไปยุ่งกับหุ้นประเภทนี้

สิ่งสำคัญในการประเมินค่าพีอี น่าจะอยู่ที่โกรทของ บ. ทั้งด้านปริมาณและคุณภาพของโกรทนะครับ

ผมว่า PE นี่แหละถือว่าเป็นศิลปะในการประเมินมูลค่าที่แท้จริงของหุ้น เพราะมัน dynamic ไปตามเหตุการณ์และสภาวะแวดล้อมของบริษัท ความเข้มแข็งของบริษัท ความสามารถในการทำกำไร ผู้บริหาร อุตสาหกรรมที่บริษัทนั้นๆสังกัด เพราะเท่าที่ผมดูมันไม่มีกฎแน่นอนแบบเป๊ะว่า PE เท่าไหร่เหมาะสมในแต่ละบริษัท แต่สามารถเทียบได้คร่าวๆ กับ PE เฉลี่ยของอุตสาหกรรมนั้นๆ ซึ่งอาจกำหนดเป็นช่วง หรือแม้กระทั่งเทียบกับ PE ในอดีตของตัวบริษัทเอง ผมว่าความยากก็อยู่ตรงที่ว่าจะกำหนด PE ที่เหมาะสมสำหรับบริษัทนั้นๆอย่างไร เพราะสิบคนก็จะให้ค่าออกมาต่างๆกัน แม้แต่ในอุตสาหกรรมเดียวกันก็มีความเหมาะสมของ PE ต่างกัน เช่น PE ของ Cpall ไม่เท่ากับ PE ของ Singer เป็นต้น ขึ้นอยู่กับว่าผลการดำเนินงานที่ผ่านมาของบริษัทและความมั่นใจที่คนในตลาดมีต่อกิจการนั้นๆว่าจะให้ premium กับบริษัทนั้นอย่างไร เป็นศิลปะจริงๆ เพราะเห็นท่านผู้รู้หลายๆท่านบอกว่า หุ้นที่มี PE 20 อาจจะถูกกว่าหุ้นที่มี PE 10 ก็ได้ ความหมายคือ หุ้นที่มี PE 20 อาจจะมีอัตราการเติบโตต่อไปได้อีกมาก เช่น ณ ราคาวันนั้นเป็น 100 บาท (eps = 5 บาท) ถ้าปีต่อมา EPS = 7.5 บาทและคนให้ premium บริษัทเท่าเดิมราคาหุ้นก็อาจจะเป็น 150 บาทได้ในเวลาปีหรือสองปี ในขณะที่หุ้นที่มี PE 10 เท่า สมมติราคา ปัจจุบัน 10 บาท (eps = 1) อาจจะแพงก็ได้ ถือบริษัททำกำไรแบบทรงๆเช่นปีต่อมาได้ EPS = 1.05 บาท (5% Growth)/yr) ราคาหุ้นก็อาจจะวิ่งไปได้ไม่เกิน 5% หรือต่ำกว่าเช่นไปอยู่ที่ราคา 10.5 บาท แบบนี้เป็นต้น สำหรับส่วนตัวผมเองก็พยายามฝึกดู ฝึกสังเกต การให้ PE เหมือนกันครับ คิดว่าต้องใช้เวลาและประสบการณ์อีกมากทีเดียวสำหรับตัวผมเอง

ผมเองก็มือใหม่ครับ

ค่า PE ในเว็บของ set นี่จะคำนวนอัตโนมัตทุกครั้งที่ราคาหุ้นเปลี่ยนหรือๆไม่ครับ

sarawut_p เขียน:ค่า PE ในเว็บของ set นี่จะคำนวนอัตโนมัตทุกครั้งที่ราคาหุ้นเปลี่ยนหรือๆไม่ครับ

เท่าที่ผมสังเกตมาเข้าใจว่า PE จะถูกคำนวณในวันทำการโดยใช้ราคาปิดของวันก่อนหน้านั้น เช่นถ้าดูวันอังคารก็จะเห็น PE ที่คำนวณจากราคาปิดวันจันทร์ครับผม

murder_doll เขียน:http://marketdata.set.or.th/mkt/markets ... country=TH
อันนี้ PE ตลาดครับ

บงทีก็ใช้ PE กลุ่มอุตสาหกรรมมาเปรียบเทียบก็ได้ครับ แต่ต้องหาจากพวกหนังสือพิมพ์หุ้นครับ ไม่ก็ดูที่เว็บ settrade จะมีคอลัมอันดับในอุตสาหกรรมลองเข้าไปดูครับ

ถ้าประเมินด้วย PE ก็ถือว่าเข้าใจถูกต้องแล้วนะครับ แต่สำหรับธุรกิจพวกสินค้าโภคภัณฑ์ อาจใช้ PE ในการประเมินแล้วคลาดเคลื่อนได้ครับ ต้องใช้วิธีอื่นดูด้วย

อ่อ ในเว็บมีการสนทนาเกี่ยวกับ PE กันเยอะครับ ลองค้นหาดูก่อนจะได้ข้อมูลเพิ่มขึ้นมากมาย

รบกวน ลิงค์ให้หน่อยได้ไหมคับ หามานานแล้วไอ้ที่คำนวณ pe แต่ละอุตสาหกรรมให้
พร้อมทั้งแจกแจงของสมาชิกแต่ละตัวว่า pe เท่าไหร่

ผมคิดว่าควรเปรียบเทียบอัตรากำไรสุทธิ และความสามารถในการทำกำไรเทียบกับอุตสาหกรรมก่อนด้วยนะครับ ก่อนที่จะคิดว่า PE ของบริษัทควรเท่ากับ PE ของอุตสาหกรรมเพราะ PE ของอุตสาหกรรมก็คิดเฉลี่ยมาจากทุกบริษัทรวมกัน ดังนั้นบริษัทที่ควรมี PE ดีกว่าอุตสาหกรรมก็ควรจะต้องมีอัตรากำไรสุทธิ หรือความสามารถในการทำกำไรสูงกว่าอุตสาหกรรมด้วย ดังนั้นถึงมีการย้ำในหลักการว่าควรที่จะดูคุณภาพของกิจการก่อนที่จะคิดว่าราคาที่ซื้อเหมาะสมหรือไม่ โดยปกติเราก็ควรเทียบ ROA ROE อัตรากำไรสุทธิ EBITDA/รายได้ เป็นต้นครับ

http://www.settrade.com
-ในช่องค้นหาข้อมูลหลักทรัพย์พิมพ์ชื่อย่อของหุ้นลงไป
-เข้าtab ที่เขียนว่าอันดับในอุตสาหกรรม
-สามารถเรียงตาม market cap pe bv dvd yield volume value ของหุ้นในกลุ่มที่เราเลือกในช่องค้นหาครับ

แต่ PE อุตสาหกรรมไม่มีนะครับ มีแต่รายตัวหุ้นในกลุ่มนั้นๆ อาจต้องมาหาเฉลี่ยเอาเองอีกทีครับ

ขอบคุณทุกคำตอบมากเลยครับ

ใช้เป็นแล้วคับ ขอบคุณมาก ปกติเข้า set.or.th อย่างเดียว เหมือนได้ยังไม่ค่อยครบ

ในการเปรียบเทียบ P/E
1.เปรียบเทียบกับผู้อื่น เช่น อุตสาหกรรมเดียวกัน หรือ บริษัทที่ทำธุรกิจคล้ายคลึงกัน
โดย ความเห็นผมควรเปรียบเทียบกับบริษัทที่ทำธรุกิจคล้ายคลึงกันมากกว่า
2.เปรียบเทียบกันตนเองในอดีต วิธีนี้ ให้หาค่าเฉลี่ยของ P/E ในอดีต แล้วดูว่าตอนนี้สูงกว่าหรือไม่

ข้อเสียของ P/E
1.คือใช้ Earning โดย Earning นั้นเป็นตัวที่สามารถตกแต่งได้ง่ายที่สุด
สำหรับคนที่ซื้อหุ้นเพราะ P/E ต่ำผมแนะนำว่าให้ดูงบดีๆ ส่วนใหญ่แล้วจะเจอกำไรหรือรายได้บางอย่างที่ไม่ได้มาจาก การดำเนินธุรกิจจริงๆ เช่น กำไรจากการขายที่ดิน การเปลี่ยนนโยบายบัญชี
2.ไม่ได้คำนึงถึง Growth ของกำไร
เนื่องจากในบางครั้ง P/E สูงนั้นอาจเหมาะสมอยู่แล้ว เนื่องจากบริษัทมี growth ที่คาดในอนาคตที่สูง ซึ่งในกรณีอาจแก้ปัญหาโดยใช้ PEG (คือ P/E หารด้วย Growth อีกที) โดยถ้าผมจำไม่ผิดถ้าต่ำกว่า 1 จะถือว่าถูก (ลองหาหนังสือ one up wall street มาอ่านดูนะครับ)
3.P/E นั้นไม่ได้คำนึงถึงความเสี่ยง

ข้อเสียของการใช้อัตราส่วนทางการเงิน(Relative Valuation) เช่น P/E,P/B
1.มันบอกได้แค่ว่า หุ้นตัวนี้ถูกกว่าหรือแพงกว่าอีกตัวแต่ไม่สามารถบอกได้ว่าน่าลงทุนหรือไม่น่าลงทุน
(บางครั้งการที่ถูกกว่าก็อาจจะไม่น่าลงทุนก็ได้)
2.อันนี้มาจาก ดร.นิเวศน์ นะครับ ท่านบอกว่าอัตราส่วนการเงินเหมาะที่จะใช้กับธุรกิจที่กำไรมั่นคงเท่านั้น

เพิ่มอีกนิดครับ เกี่ยวกับประเภทของ P/E

P/E นั้นมีสองประเภทนะครับ
1.Trailing P/E ใช้ ราคาหุ้นหารด้วยกำไร 4 ไตรมาสที่ผ่านมาล่าสุด
2.Leading P/E ใช้ ราคาหุ้นหารด้วยกำไร 4 ในอนาคต

โดยปกติในเวบต่างๆจะใช้ Trailing P/E แต่กรณีใช้จริง ผมคิดว่าใช้ Leading P/E จะเหมาะสมกว่า