เงิน..ผู้ภักดี
-
- Verified User
- โพสต์: 432
- ผู้ติดตาม: 0
เงิน..ผู้ภักดี
โพสต์ที่ 1
เงิน...ผู้ภักดี
อยากได้อ่ะ จะซื้อ
จงตื่นเถิด เปิดตา หาความรู้ เรียนคำครู คำพระเจ้า เฝ้าขยัน จะอุดม สมบัติ ปัจจุบัน แต่สวรรค์ ดีกว่า เราอย่าลืม
ตอนเด็กๆ ตั้งแต่เริ่มจำความได้ ผมจะได้ค่าขนมทุกครั้งหลังอาหาร เช้า กลางวัน คราวละ 5 บาท ทุกครั้งที่ถึงเวลาอาหารก็จะรีบๆกินให้หมด พร้อมกับความคิดในใจที่ว่ากินเร็วๆ เดี๋ยวรีบไปเอาตัง แล้วไปซื้ออะไรดีนะ พอกินเสร็จก็รีบวิ่งไปหา ป๊า(พ่อ) หรือ ม้า(แม่) ขอตังหน่อย 5 บาท กินข้าวเสร็จแล้ว และก็จะได้เงินมาก็จะวิ่งต่อไปที่ร้านขายขนมซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก และก็ออกจากร้านพร้อมขนม แบบว่าเงินหมดทุกครั้ง ว้าเสียใจจังเงินหมดแล้ว ไม่เป็นไรเดี๋ยวรอ เงินหลังมื้อกลางวันอีก 5 บาท ฮาฮ่า และก็เป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนวันที่มาเจอสติ๊กเกอร์ที่แถมอยู่ในขนม โดเรมอนไม่รู้ว่าจะรู้จักกันบ้างมั้ย (มันเป็นกล่องสี่เหลี่ยมผืนผ้าไม่ใหญ่นัก ข้างในจะมีขนมช็อกโกแลตเม็ดกลมๆอยู่ห่อหนึ่งกินไม่กี่คำก็หมดแต่อร่อยมากนะสำหรับผม และก็จะมีซองใส่สติ๊กเกอร์อยู่ ประมาณ 8 แผ่นมั้งนะจำไม่ค่อยได้จะเป็นรูปให้สะสมของเรื่อง ดรากอนบอล และการ์ตูนเรื่องอื่นๆ ประมาณนั้น และก็จะมีขายสมุดไว้แปะรูปตามเบอร์ของรูปนั้นๆ) และแถมเพื่อนๆก็เอาสติ๊กเกอร์พวกนี้ มาเขี่ย(แบบว่าใช้สติ๊กเกอร์ 2 ใบ มาวาง แล้วใช้สติ๊กเกอร์ในมือเป็นเครื่องมือเขี่ย เริ่มที่วางด้านหน้าทับกัน ซึ่งต่างก็มีเทคนิคการวาง แล้วเขี่ยให้เป็นด้านหน้าทับด้านหลังถ้าใครทำได้ก็ชนะได้ไพ่นั้นไป จริงๆดูก็เหมือนการพนันนะ แต่พอผมเล่นกับเพื่อนจะประมาณแบ่งสติ๊กเกอร์ให้เท่าๆกัน แล้วตอนจบมาดูว่าใครมีมากกว่าชนะประมาณนั้นพอ ไม่ชอบการพนันเพราะเค้าว่าเป็นสิ่งไม่ได้) ความต้องการสติ๊กเกอร์จึงเริ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งสะสมในสมุด พอใบไหนซ้ำ(แปะในสมุดไปแล้วยังมีใบนั้นอีก)ก็เอามาเล่นได้ อะไรจะดีจะสนุกขนาดนี้ ฮาฮ่า เอ่ แต่ถ้าเราได้เงินวันละ 2 ครั้งครั้งละ 5 บาท และขนมโดเรมอนนี้ราคากล่องละ 5 บาทแปลว่าวันนึงเราจะได้ 2 กล่องเท่านั้นเองได้สติ๊กเกอร์ 16 ใบ โห่น้อยชะมัด ทำไงดีน๊า อืมเครียด ฮาฮ่า นึกออกแล้วงั้นเอางี้ดีกว่า เรามีน้องนี่นา น้องก็ได้เงินเท่าเรา งั้นเราให้เค้าลองกินขนมช้อกโกแลตในโดเรมอนดีกว่า จัดการซะอืม น้องเราชอบอ่ะแถมชอบมากด้วย เข้าทาง ฮาฮ่า อืมงั้นเรามาตกลงกัน เดี๋ยวพี่ และน้องต่างซื้อโดเรมอน และพี่จะให้ขนมน้องไปรวมน้องได้ 2 ห่อรวมวันละ 4ห่อ แล้วน้องให้ สติ๊กเกอร์พี่ รวมได้วันละ 4 ห่อ 32 ใบ ok ป่ะ เวิรค์มากๆ ได้ winwin สติ๊กเกอร์เพิ่มขึ้นเท่าตัว แต่ทุกๆครั้งที่เห็นน้องกินขนม ผมก็จะนั่งมองด้วยความอยากกินมากมาย หลายๆครั้งขอน้องขอกิน 2 เม็ดได้ป่ะฮาฮ่าน้องก็ให้ ได้สติ๊กเกอร์แถมได้ขนมเล็กน้อยอีกใครจะไม่เอาเนอะ ก็ประมาณนี้ แต่ทุกครั้งที่ออกจากร้านขายขนม เงินผมจะหมด
ผมเลยมามองย้อนกลับไปดู ผมก็ได้เห็นสัญชาตญาณเริ่มต้นในตัวผมเอง ผมได้เงินมาผมก็เอาไปใช้หมดทันที แถมเวลาที่อยากได้มากกว่ากำลังที่ตัวเองจะซื้อ ก็ทำข้อตกลงเพื่อให้ได้มากขึ้นโดยมีข้อแลกเปลี่ยนเพื่อการไม่เอาเปรียบ และที่สำคัญผมใช้เงินจนหมดทุกครั้งเลย (แต่ตอนนั้นผมไม่รู้จริงๆว่าถ้าไม่ใช้เงินจะเอาเงินไปทำอะไร ยังมีอีกนะพอมีเงิน แต่ร้านขนมร้านใกล้บ้านไม่มีอะไรให้ซื้อ ก็ยังพยายามเดินไกลขึ้นเรื่อยตามร้านขายขนมและก็ใช้เงินหมดในที่สุด ช่างมีความสุขเหลือเกิน ฮาฮ่า)
ครั้นต่อมา ซึ่งตอนสมัยนั้นส่วนใหญ่เวลาที่ผมอยากได้ของเล่นต่างๆ ผมจะมักเรียกร้องให้ อากง(ปู่) ป๊า ม้า ซื้อให้ ขออากงง่ายสุด ป๊า ม้า นี่ ค่อนข้างจะหิน(ขอยาก)อยู่ ก็เลยขออากงซะบ่อย บ่อยขึ้น จนวันนึง ไปเจอของเล่นชิ้นหนึ่งที่ร้านใกล้บ้าน จำได้ว่าราคา 55 บาท เป็นพวกหุ่นยนต์ ขออากง อากงบอกไม่ซื้อให้ ตื้อขอก็ยังไม่ให้ชักแย่แล้ว ก็เลยไปขอป๊าม้าต่อ ก็ไม่ให้ตามเคย ยุ่งแล้วก็เลยเริ่มร้องไห้แล้ว ไม่ยอมซื้อให้อีกเหรอยิ่งร้องเสียงดัง เอาสิ ทนฟังได้ทนไป ยังไม่ได้ผลแฮะ ฮาฮ่า ดิ้นครับดิ้น ร้องแล้วยังดิ้นเอาสิ ฮาฮ่า ซึ่งในที่สุด อากง ผู้ใจดีก็พาผมไปซื้อ ดีใจจังเลย แต่เอ่ ผมมีปัญหาในใจแล้ว แล้ววันหลังถ้าผมจะซื้ออีกผมจะทำยังไง ให้ร้องไห้ ดิ้นๆ ก็เหนื่อยนะจะบอกให้
นั่นสิจะทำไงดี ของเล่น 55 บาท ได้ค่าขนมรวมวันละ 10 บาท จะเอาไปซื้อก็ไม่ได้เพราะขาดอีก 45 บาท พอซื้อไม่ได้ก็ต้องเอาไปซื้อขนม มันก็หมดอยู่ดี พรุ่งนี้ก็ได้ 10 บาทเหมือนเดิมดูเหมือนผมคงไม่มีวันซื้อได้ด้วยตัวเอง มันจะซื้อได้ยังไงตามภาษาเด็กโง่ จนมาถึงวันนึง มีรถขนตัวอะไรไม่รู้มาผ่านหน้าบ้าน มีรูปช้าง รูปหมา รูปแมว รูปนก สีสันสวยสะดุดตา ฮาฮ่าอยากได้ตามฟอร์ม ป๊า นั่นอะไรอ่ะ ป๊าบอกมันเป็นกระปุกออมสินทำจากปูนปราสเตอร์ แล้วไว้ทำอะไร ป๊าบอกก็ไว้เก็บเงินไง เอาเงินหยอดกระปุกเก็บไว้ไง ออมเงินไง อ้อเหรอมีแบบนี้ด้วยเหรอ ก็แปลว่าเราเอาเงินเก็บไว้ในกระปุกได้สิ แต่ลืมเรื่องนั้นไปก่อน แบบว่าอยากได้อ่ะ ป๊าขอตัวนึงนะ จะได้เอามาออมเงินไง(แบบเนียนๆ เพราะจริงแล้วแค่อยากได้ตุ๊กตา) ก็เลยได้มาตัวนึงเป็นตุ๊กตาปูนรูปช้าง ดีใจจัง หลังจากนั้นไม่รู้เป็นไรอยากเอาเงินหยอดกระปุก แล้วกลับไปคิดเรื่องของเล่น 55 บาท แล้วตอนนี้เรามีกระปุกเก็บเงินได้ งั้นถ้าเราหยอดวันละ 5 บาท อีก 11 วันก็ซื้อของเล่นได้ด้วยตัวเองแล้วก็เลย หลังจากนั้นก็เอาเงินหลังอาหารกลางวันไปหยอดวันละ 5 บาท 9วันผ่านไปเอ่ น่าจะมี 45 บาทแล้วนะ แล้ววันนี้ได้ค่าขนมอีก 10 บาท รวม 55 บาทแปลว่าถ้าจะซื้อของเล่นอีกก็สามารถเอามาซื้อได้แล้วนะ แต่ เวรกรรม ดูกระปุกช้างแสนสวยสิ มันไม่มีช่องให้เอาเงินออกมา ตะแคงๆ เขย่าๆ หวังให้เงินออกมาทางช่องที่หยอด มันออกน้อยมากๆอ่ะ เดือดร้อนแล้วครับ เงินในช้าง ถือแล้ววิ่งครับ อากง จะเอาตังออกมายังไง ป๊า จะเอาตังออกมาอ่ะ คำตอบคือว่า ต้องทุบให้แตกถึงจะเอาเงินออกมาได้ โอ้ ช่างแย่เหลือเกิน ช้างแสนสวย ตอนซื้อมันก็หลายบาทนะ ถ้าทุบซะแค่เอาเงินไปซื้อกระปุกช้างใหม่ไม่รู้จะพอเปล่าเลย เลยรับสภาพ งั้นเก็บต่อไปเรื่อยๆดีกว่าอะไรก็ไม่ซื้อแล้ว ฮาฮ่า
เห็นมั้ยครัย สัญชาตญาณ เริ่มแรก ได้มาก็ใช้ไป มันเป็นปฏิกิริยาทางตรง เหมือนปฏิกิริยาทางเคมี เมื่อเงินสัมผัสมือผม เงินผมก็ถูกเปลี่ยนเป็นอะไรบางอย่างที่ผมต้องการ และเริ่มพบเหตุการณ์ เอาเงินหยอดลงไปแล้วแกะเอาเงินมาใช้ไม่ได้ ผมว่านี่เป็นอย่างหนึ่งที่ทำให้นิสัยเปลี่ยนไปเพราะกระปุกช้างแสนสวยแบบไม่มีช่องเอาเงินออก เวลาก็ผ่านไป ผมก็ยังคงได้เงินเท่าๆเดิม แต่ใช้เงินน้อยลงเพราะเงินไปอยู่ในช้าง แต่ชีวิตผมก็ดำรงอยู่ได้ เกิดความอยากได้บ้าง บ้างก็ละได้ บ้างก็หาทางซื้อจนได้ แต่โดยส่วนใหญ่จะเป็นแบบหาทางซื้อจนได้ แต่ผมมีเงินเหลือวางอยู่เฉยๆในช้างแสนสวย แล้วเงินในช้างแสนสวยจะไปไหนต่อน๊า ฮาฮ่า
จนมาวันที่ผมได้เข้าเรียนโรงเรียนประถมแป๊ปนึง มีครูถามเด็กนักเรียนว่าเคยเห็นป้ายคำกลอนมั้ย ตอนนั้นผมสงสัยคำกลอนอะไร ยังไม่เคยเห็นเลย ครูก็พูดถึงเล็กน้อย แบบว่าในโรงเรียนผมจะมีป้ายคำกลอน พอตอนพักผมก็เลยวิ่งไปดู มันมีข้อความว่า
จงตื่นเถิด เปิดตา หาความรู้ เรียนคำครู คำพระเจ้า เฝ้าขยัน จะอุดม สมบัติ ปัจจุบัน แต่สวรรค์ ดีกว่า เราอย่าลืม
ผมก็อ่านไปเรื่อยๆพยายามจำ อ่านแบบยังไม่ค่อยเข้าใจ อ่านไป จนมาหยุดที่คำว่า จะอุดม สมบัติ แฮ่ๆ น่าสนใจแฮะ แบบว่าเข้าใจอ่ะคำว่าสมบัติ แปลว่าเงินทอง ของมีค่า อุดมแปลว่าเต็มไปด้วย ฮ่าๆ จริงป่ะเนี่ย แล้วต้องทำไงเนี่ย และไอ้พวกประโยครอบข้างมันเกี่ยวยังไง ทำไมมันทำให้ อุดม สมบัติได้ งงเง็ง ไม่เข้าใจครับผม เมื่อ โง่ แถมด้วย งง และเง็ง จึงช่างมันไว้ก่อน เหมือนทำโจทย์เลข พักตัวเลขนี้ไว้ก่อน แบบเวลาต้องไปทำขั้นตอนอื่นก่อน
แล้วจะเอาเงินของผมไปทำอะไร มันยังอยู่ในช้างนะ อย่าลืม!!!
ช้างแสนสวย มันทำให้ผมประหยัดมาก แต่คนอื่นเขาเรียกว่า งก ถ้าอยากเก็บเงินได้ต้องเข้าใจคำว่า งก ให้ดีซะก่อน งก มันดูเหมือนมาจากคำว่า เงินเก็บ เพราะไม่รู้ทำไม เวลาคนอื่นว่าผม งก ผมมี เงินเก็บ มากขึ้นทุกที (ได้ยินคนเขาสอนว่า วิธีที่จะงกให้ดีที่สุด คือ เมื่อหยิบเงินออกมาแล้วคิดได้ว่าจะซื้อของแล้วเป็นของไร้สาระ ให้พับเงินแล้วเก็บเข้ากระเป๋าเหมือนเดิม)
ผมว่าจริงๆมันก็มีเส้นแบ่ง ระหว่างคำว่า งก ผมว่าถ้า งก แบบ ตระหนี่ถี่เหนียว มากจนเกินไปอะไรไม่ยอมใช้จนมากเกิน สร้างความลำบากให้ตนเองโดยไม่รู้ตัว อันนี้คงไม่ดีเท่าไหร่ถึงแม้จะมีเงินเก็บเพิ่ม เพราะ ชีวิตคนเรามีเพียงชีวิตเดียว ตายหนเดียว และถ้าเราไม่ดูแลชีวิตเราให้ดีใครจะมาดูแล และ การ งก แบบ ประหยัด ประหยัดนั้นน่าหมายถึงใช้สิ่งที่ควรใช้ ไม่ใช้สิ่งที่ไม่ควรใช้ แต่พอเราคิดว่าไม่ควรใช้ คนอื่นคิดว่าควรใช้ คนอื่นก็จึงมาเรียกเราว่า งก การซื้อเพราะความพอใจ ก็มีบ้าง แต่ไม่ถึงกับซื้อตามใจตัวเอง อะไรประมาณนี้
ช้างแสนสวย มันทำให้ผมประหยัดมากแบบเด็กๆ ซึ่งเวลาผมไปโรงเรียน ผมจะได้ค่าขนมวันละ 20 บาท และได้ครั้งเดียวตอนเช้า แต่ถ้าไม่ได้ไปเรียนก็ยังคงได้เงินค่าขนมแบบเดิม ช่วงที่ประหยัดมากเอาเงินไป 20 บาทก็มีออม 20 บาทลงกระปุกเลยอ่ะ แบบว่าข้าวเช้า กินที่บ้าน กลางวันมีอาหารโรงเรียน เย็นมากินบ้าน แล้ววันๆก็วิ่งเล่น แบบว่าไม่มีเวลาไปหาขนมกินอ่ะ ไปกลับ ก็นั่งรถโรงเรียน ก็จะมีบ้างเวลาเห็นคนนู้น คนนี้ ซื้ออะไรมากินน่าอร่อย เชอะ เราก็จะไปซื้อมากินบ้าง คิดในใจว่า ว่าจะไม่กินแล้วเชียว คิดเสร็จปุ๊ป ว้าทำไมหมดซะแล้วอ่ะ ขออีกห่อเหอะ ซื้ออีก ฮาฮ่า อ่าวเงินหมด อืมไม่เป็นไรเราเก็บมาตั้งเยอะแล้ว ขอกินบ้างเถอะไม่ได้ฟุ่มเฟือยสักหน่อย
หลังจากไปเขย่า ช้างกระปุกหลายครั้ง เอ่ ทำไมเสียงมันเบาลง เหมือนแต่ก่อนเขย่าเสียงมันดังกว่านี้นี่นา เลยคิด มีใครแอบเอาเงินเราออกไปเปล่าเนี่ย เลยหยอดเงินออมวันนั้นแบงก์ 20 ลงไป อ๋อ เข้าใจแล้วหลังๆเราหยอดเงินที่เป็นกระดาษลงไปด้วย การกระทบน้อยลงเสียงจึงเบาลงนี่เอง แต่เอ่เราก็หยอดมานานแล้ว เอาออกมาใช้ก็ไม่ได้ เงินก็น่าจะอยู่ในช้างเยอะแล้ว แล้วทำไงดีอ่ะ อยากใช้เงินน่ะแต่เอามาใช้ไม่ได้ สงสัยก็ต้องถาม ไปถามป๊า เนี่ย เก็บเงินไว้ในช้าง น่าจะได้ตั้งหลายบาทแล้วนะเนี่ย เอาไปใช้ก็ไม่ได้ แล้วจะเก็บไว้ทำไมอ่ะ เงินอ่ะ ไม่เห็นมีประโยชน์เลย ป๊าตอบมาสั้นๆว่า ก็เอาไปฝากธนาคารสิ (ด้วยว่าแต่ก่อนก็เดินไปธนาคารกับอากงอยู่บ่อยครั้ง แต่ไม่รู้ว่าธนาคารมีไว้ทำอะไรกันแน่ นึกว่ามีไว้แลกเงิน แบบแลกเศษมาทอนขายของ ก็เห็นไปทุกทีก็เอาเงินไปแล้วก็ต้องถือเหรียญ ถือแบงก์ย่อยกลับบ้าน ก็ใครมันจะไปรู้ล่ะเนอะ จริงป่ะ) ฝากธนาคารทำไม ป๊าตอบ ฝากเค้าแล้วก็จะได้ดอกเบี้ย ได้เงิน ผมเลยพูดว่า จริงเหรอ (ตอนนั้นเคยได้ยินคำว่าดอกเบี้ยอยู่บ้าง แปลว่าได้เงิน แต่ไม่รู้ต้องทำไงถึงได้ดอกเบี้ย) เท่านั้นแหละครับ วิ่งไปที่ห้อง เจ้าช้างอยู่ไหน ยกช้างขึ้นมา ต้องทำไงให้มันแตก อืม งั้นโยนแล้วนะ โถ่ เจ้าช้างแสนสวย ข้าเสียดายจัง แต่มันจำเป็นนะ ถอนหายใจ พลางคิดบ้ายบาย เปรี้ยง เพร้งๆๆ แตกกระจาย ฮือๆ ต่อไปก็นับเงิน รีบนับ ตอนนั้นว่าเยอะนะ นับๆไปทั้งเหรียญ ทั้งแบงก์ แต้น แต้น ประมาณ หนึ่งพันสามร้อยกว่าบาท นับเสร็จเอาเหรียญไปแลกป๊า ต่อไปเอาเข้าธนาคาร ป๊าจะเอาไปเข้าธนาคารพาไปหน่อย ป๊าเลยบอกให้ไปบอกอากง อากงมองนาฬิกา เราก็คิดในใจ จะมองทำไมนาฬิกา รีบไปสิ แล้วอากง ก็บอกว่าธนาคารมันปิดแล้ว ไว้พรุ่งนี้ ฮือ ฮือ ไม่เอา อยากได้ดอกเบี้ย จะไปวันนี้ ยังไงก็ไม่ยอม พาอากงเครียด แต่ด้วยเพราะอากง สนิทกับธนาคารอยู่บ้างในที่สุดจึงเอาเงินไปฝากได้ประมาณ 4 โมงกว่า ก็เข้าไปเปิดบัญชี ฝากเงิน เรียบร้อยได้สมุดกลับมาเล่มนึง อืม แปลกดีเนอะเอาเงินมาตั้งเยอะ ได้สมุดกลับมาเล่มเดียวและก็ตัวเลข พันกว่าบาท อืม แต่ช่างเถอะ สบายใจ ฮาฮ่า(ดอกเบี้ยจะได้เมื่อไหร่ยังไงตอนนั้นยังไม่รู้เลย) และหลังจากนั้นมีเงินเหลือก็เก็บเงินเข้าธนาคารเรื่อยมา ออมไปเรื่อยๆ ในใจก็ไม่รู้เหมือนกันว่าในที่สุดจะออมไปทำไม แต่เค้าสอนกันว่า มีเงินออมตอนแก่จะได้ไม่ลำบาก (ก็คิดก็น่าจะจริง พอแก่ ก็ทำอะไรไม่ค่อยได้ ถ้าตอนนั้นหาเงินไม่ได้ ถ้าไม่มีเงินออมแล้วจะกินอะไร ดังนั้นก็ควรจะมีเงินออมถูกแล้ว)
ตอนแรกมีเงินก็ใช้หมด ต่อมา มีช้างแสนสวยก็หยอดเงินแล้วก็ถูกล็อกเพราะเอาเงินออกไม่ได้ แบบโดนเจ้าช้างสั่งให้ออมไม่รู้ตัว ต่อมาก็เอาเงินไปฝากธนาคารได้ดอกเบี้ย
ผมเลยคิดว่า การออม น่าจะเหมือน การยอม การที่เรายอมที่จะไม่ใช้เงินบางส่วน และเงินบางส่วนนั้นก็จะยอมอยู่กับเรา
ขอให้มากพอ (หารายได้ให้มากพอ) พอที่จะใช้ พอที่จะออม
เพราะถ้าตัวเราใช้จ่ายถึงขั้นตัวเอง งก ประหยัดอย่างที่สุดแล้วยังไม่พอใช้ ก็คงคิดถึงคำว่าออมได้ยากมาก
รายได้ – รายจ่าย = ถ้าเป็นผลบวกคือเงินออม (ถ้าเป็นผลลบคือหนี้)
ดังนั้น ถ้ามีรายได้ ไม่พอกับรายจ่าย ขั้นตัวเอง งก ประหยัดที่สุดแล้ว(ค่าครองชีพที่ประหยัดที่สุด) เงินออม ก็จะไม่สามารถมองเห็นได้
เมื่อผมได้มีส่วนในการคิดออกแบบตัวเลขเพื่อชีวิตของผมเอง ตัวเลขนั้นก็คือค่าขนม ผมเริ่มคิดว่าในวันหนึ่งนั้นผมใช้เงินอย่างไรบ้าง ใช้เท่าไหร่ กินอาหารกี่มื้อ ค่าเดินทาง ต้องเผื่อค่าไปเที่ยว ดูหนังอีกเท่าไหร่ ค่าซื้อของที่อยากได้ และที่สำคัญผมน่าจะออมเงินอีกเท่าไหร่ ซึ่งมันดีมากตรงที่มันช่วยให้ผมมานั่งสำรวจตัวเองประมาณค่าใช้จ่ายของตัวเอง และเมื่อผมคิดเสร็จสรรพ ผมก็ยื่นเสนอต่อป๊าว่าผมขอค่าขนมวันละเท่านี้นะ และบังเอิญป๊าผมก็สามารถให้ค่าขนมตามนี้ได้ อาจจะเป็นเพราะผมมีการอ้างอิงว่าจะต้องใช้เงินกับอะไรบ้าง เป็นมูลค่าเท่าไหร่
และพอผมกลับมาดูค่าใช้จ่ายของตัวเอง ผมแบ่งได้ออกเป็น 2 แบบ หลักๆ คือ 1. ยังไงก็ต้องจ่าย 2.จะจ่ายก็ได้
ยังไงก็ต้องจ่าย ก็แบบ ยังไงผมก็ต้องจ่ายค่ารถไปโรงเรียน(ถ้าไม่จ่ายจะไปเรียนยังไง) ยังไงผมก็ต้องจ่ายเงินเพื่อกินข้าวเช้า กลางวัน เย็น(ถ้าไม่จ่ายจะกินอะไร) ยังไงผมก็ต้องจ่ายเครื่องเขียน อุปกรณ์การเรียน(ถ้าไม่จ่ายจะเอาอะไรไปเรียน)
จะจ่ายก็ได้ ก็แบบ เดี๋ยวช่วงพักไปนั่งกินในร้านกาแฟดีกว่า(แบบไม่กินแล้วไปนั่งเล่นตามที่นั่งในโรงเรียนก็ได้) เดี๋ยวเลิกเรียนแล้วไปดูหนังกับเพื่อนๆดีกว่า(แบบนั่งคุยเล่นที่โรงเรียนก็ได้หรือกลับบ้านก็ได้) เดี๋ยววันเสาร์ไปเดินซื้อของดีกว่า(แบบนั่งดูโทรทัศน์อยู่บ้านก็ได้ถ้าของนั้นไม่จำเป็น) อะไรทำนองนี้
ซึ่งโดยทั่วไปถ้าเป็นการใช้จ่ายรูปแบบประหยัด ส่วนยังไงก็ต้องจ่าย มักจะมากกว่าจะจ่ายก็ได้ เพราะยังไงก็ต้องจ่ายนั้นเป็นส่วนที่ต้องจ่ายเป็นประจำ ทุกวันเพื่อการดำรงชีวิต และส่วนจะจ่ายก็ได้ก็จะเกิดเป็นแค่ครั้งคราว แต่สำหรับการใช้จ่ายรูปแบบไม่ค่อยประหยัดนัก ส่วนยังไงก็ต้องจ่ายก็จะมีโอกาสที่จะน้อยกว่าจะจ่ายก็ได้ เพราะ ถ้าเราไปนั่งดื่มกาแฟเป็นประจำจนติดเป็นนิสัย และกาแฟบางร้านแต่ละแก้วแพงกว่าข้าวอีก และถ้าเลิกเรียนต้องไปเที่ยวต่อ ดูหนังเป็นประจำ ใช่ถูกๆที่ไหน แถมเสาร์อาทิตย์ไปช้อปปิ้งอีก นั่นจึงดูเหมือนว่า ถ้าจะทำกิจกรรมที่อยู่ในรูปแบบจะจ่ายก็ได้บ่อยครั้งจนติดเป็นนิสัยและทำเป็นประจำนั้นค่าใช้จ่ายส่วนจะจ่ายก็ได้ก็จะสูงขึ้นเองโดยเราไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ และส่วนจะจ่ายก็ได้นี้บางทีถ้าเราขาดมันไปบ้างเราก็ยังคงดำรงชีวิตได้อย่างปกติสุข
เพราะฉะนั้นค่าขนมของผม จะมีส่วนค่าใช้จ่าย และที่สำคัญผมอยากออมเงิน ดังนั้นก็ได้
รายได้ (ขณะนี้คือค่าขนม) = ค่าใช้จ่าย(ยังไงก็ต้องจ่าย+จะจ่ายก็ได้) + เงินออม(เงินเก็บ,งก)
สมมุติ 200 (ค่าขนม) = 180 (จ่าย เท่ากับ ยอมที่จะใช้) + 20 (ออม เท่ากับ ยอมที่จะไม่ใช้)
ดังนั้นจะได้ ค่าขนมรวม 100% ((200/200)*100) ใช้จ่ายไป 90%((180/200)*100) เหลือ ออม 10% ((20/200)*100) จริงแล้วทำให้มีเงินออม 10% จากรายได้ก็เป็นการดีแล้วนะ แต่เราจะทำให้มีสัดส่วนการออมสูงกว่านี้ได้รึไม่ งั้นถ้าเราจะเพิ่มสัดส่วนการออมเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว นั่นคือ 20% น่ากังวลมั้ยว่าจะทำได้รึเปล่า
200 = (200*80%) 160 + (200*20%) 40
ถ้าเราจะออมเพิ่มขึ้นเท่าตัวเป็น 20% แปลว่า จากค่าใช้จ่าย 180 บาท เพื่อใช้ชีวิต เราต้องลดมันลงให้เหลือ 160 บาทเพื่อใช้ชีวิตแต่เราคงไม่อยากให้เราลำบากขึ้นรวมทั้งผมด้วย ผมจึงคิดว่าบางทีเราน่าจะทำให้เงินของเรา มีประสิทธิภาพสูงขึ้น แต่เงินก็คือเงินแล้วประสิทธิภาพมันจะสูงขึ้นได้ยังไง
ผมก็นั่งมอง เวลาเงินมันจะถูกใช้ มันก็ถูกใช้โดยคน และอีกอย่างที่มองเห็นคือ เงิน ยอมเอาตัวเงินเองเข้าแลกเพื่อให้ได้สิ่งของตามที่เจ้าของเงินนั้นสั่งโดยไม่ปริปากบ่นสักคำและพร้อมที่จะไปจากเจ้าของเงินถ้าเจ้าของเงินต้องการ
ดังนั้น เงินมันก็คือเงิน แต่คนเป็นผู้ใช้เงิน งั้นน่าจะแปลว่า ยิ่งคนที่ใช้เงินมีความสามารถในการใช้เงินมากเท่าไหร่ เงินก็จะมีประสิทธิภาพสูงขึ้นเท่านั้น อืม งั้นอะไรที่จะทำให้คนมีความสามารถในการใช้เงินได้มากขึ้นล่ะ หลังจากนั้นหลายๆครั้งผมเห็นคนไปซื้อของ พอซื้อมาใช้ได้อยู่พักนึง ก็บ่นให้ผมได้ยิน ไม่อยากใช้แล้ว ไม่รู้ซื้อมาทำไม เล่นหรือใช้พักนึง ก็เบื่อแล้ว พังซะแล้ว เสียง่ายจัง อันนี้อันใหม่เจ๋งกว่าเยอะ และอีกมากมาย มันทำให้ดูเหมือนว่า เงินที่ถูกใช้ไปนั้นไม่ได้สร้างผลที่งดงาม บางคนซื้อมาแล้วก็เบื่อ ไม่อยากใช้แล้ว นั่นน่าจะดูเหมือนว่าเขาไม่ได้ต้องการสิ่งของนั้นๆจริงๆ บางคนซื้อของมาแล้วของนั้นเสียง่ายมาก บางทีอาจะเป็นเพราะ เขาจะตัดสินใจซื้อโดยที่ไม่ได้ศึกษาคุณภาพมากพอ ซึ่งสิ่งนี้น่าจะทำให้รู้สึกเสียดาย สูญเปล่า ซึ่งนั่นรวมถึงผมด้วย ผมเคยหลงใหลไปกับการด์บาสเกตบอลเป็นรูปนักบาส nba และก็โมเดลรถไฟ นั่นทำให้ผมเสียเงินไปเยอะ แต่ตอนที่ซื้อพอได้มาผมมีความสุขมาก มาก มาก เลยนะ ฮาฮ่า แต่ตอนนี้มันกองอยู่ในกล่องวางไว้บนตู้ที่บ้านผมเฉยๆ ผมได้แต่มองแล้วคิดว่า เสียไปกี่ตังเนี่ยเพื่อมาวางเฉยๆ ฮาฮ่า ฮือ ฮือ
ป๊าผมชอบพูดบ่อยๆว่า เวลาจะซื้ออะไรใช้เองให้ซื้อของคุณภาพดีๆไว้ก่อนแพงกว่าบ้างไม่เป็นไร เห็นมั้ยเวลาคนอื่นซื้อของไม่ดีมา เดี๋ยวก็ซ่อม เดี๋ยวก็ซื้อใหม่ ไปๆมาๆ แพงกว่าเราที่ซื้อของดีๆ ใช้แล้วใช้ได้ทน นาน จนลืมไปเลยว่ากี่ปีแล้ว ซื้อของคุณภาพดีคุ้ม แล้วพอผมได้เรียนรู้คำพูดนี้ และเข้าใจว่ามันจริงนะ และของดีจริงๆก็ไม่ต้องแพง และของแพงบางอย่างก็ไม่ได้ดีขนาดนั้น นั่นจึงทำให้ผมเวลาจะซื้ออะไรก็มักจะมองคุณสมบัติ คุณภาพ และความต้องการว่าผมต้องการจริงๆมั้ย หรือซื้อไปวางเฉยๆ และความเหมาะสมของราคา ดังนั้นผมทำความเข้าใจสิ่งของที่ผมจะซื้อก่อนที่ผมจะซื้อมัน และคิดก่อนว่าผลของการที่ใช้เงินไปนั้นเป็นสิ่งที่ผมต้องการหรือไม่
ซึ่งนั่นทำให้ผมใช้เงินในสิ่งที่ผมต้องการใช้หรือซื้อ มีคุณสมบัติเพียงพอตามที่ผมต้องการ และมีคุณภาพดี ใช้งานได้นานคุ้มค่า และเมื่อผมใช้เงินของผมซื้อสิ่งนี้ ผมเชื่อว่าผมได้ใช้เงินอย่างคุ้มค่า และมีประสิทธิภาพมากขึ้น แม้อาจจะต้องเสียเวลาศึกษา ทำความเข้าใจบ้าง แต่ผมอยากซื้ออยากใช้มันนี่นา เสียเวลาศึกษานิดหน่อยจะเป็นอะไรไป และถ้าเข้าใจได้แบบนี้ เราก็ไม่จำเป็นที่จะต้องใช้เงินไปกับของที่เราไม่ได้ต้องการจริง หรือ ของคุณภาพไม่ดี หรือของที่เอาแล้วไม่ได้ใช้
นั่นแปลว่าเราควรจะเข้าใจสิ่งที่เราจะเอาเงินของเราไปแลกมาให้ดีเสียก่อน และถ้าสิ่งนั้นไม่ดีพอสำหรับเราเราก็ไม่ต้องจ่าย
และตามที่รู้กันว่าสินค้านั้นมีมากมายหลายระดับราคา ทั้งที่มีคุณภาพทดแทนกันได้ งั้นเรามามองที่ความอิ่ม สะอาด เป็นผลที่ต้องการได้รับ 100 % ถ้าเราทานอาหารในร้านติดแอร์หรูๆ อาหารจานละ 60 บาท กับร้านอาหารทั่วไปที่สะอาด อาหารจานละ 30 บาท ถ้าเราทานก็ได้ความอิ่มสะอาด 100% เท่ากัน แต่ร้านทั่วไป เราจ่ายเพียง ครึ่งหนึ่ง เพื่อได้รับผลลัพธ์ที่เท่ากัน ถ้า 60 บาท=100% 30 บาท = 50%
กินร้านแอร์หรู จ่าย 100% เพื่อ ได้ผลอิ่มสะอาดอร่อยใช้ได้ 100%
กินร้านทั่วไป จ่าย 50% เพื่อ ได้ผลอิ่มสะอาดอร่อยใช้ได้ 100%
อิ่มสะอาดอร่อยใช้ได้ เป็นที่เพียงพอต่อการบริโภคเพื่อดำรงชีวิต
พอมามองที่กระเป๋าถือของผู้หญิง ก็เป็นของที่ต้องใช้ถูกป่ะ แต่ก็เห็นหลายๆคนซื้อใบละแพงมาก ผลที่ต้องการได้รับ ใช้ใส่ของ ดีไซด์สวย มีแบรน เป็นผลที่ต้องการได้รับ 100% ใบแบรนดัง ใบละ 10,000 บาท ได้ผลครบตามที่ต้องการทั้งหมด ส่วนใบคุณภาพดี แต่แบรนไม่ดัง ใบละ 2,000 บาท ขาดผลเรื่องแบรน แต่แบรนมีไว้โชว์ ใส่ของ ดีไซด์สวยคือใช้จริง
ใบแบรนดัง จ่าย 10,000 บาท เท่ากับ 100% ได้ผลใช้ใส่ของ ดีไซด์สวย มีแบรน ครบ 100%
ใบคุณภาพดี จ่าย 2,000 บาท เท่ากับ 20%ของใบแบรนดัง 10,000 บาท ได้ผลใช้ใส่ของ ดีไซด์สวย 80%( ให้แบรน 20%เพราะมีไว้โชว์)
ดังนั้น จ่าย 100% เพื่อให้ได้ผล 100% จ่าย 20 % เพื่อให้ได้ผล 80% นั่นแปลว่าการซื้อใบแบรนดัง ต้องจ่ายเพิ่ม 80% เพื่อให้ได้ผลเพิ่มอีก 20%
นี่เป็นเพียงการประเมินส่วนตัวของผมนะครับ และผมก็เริ่มเรียนรู้การประเมินความคุ้มค่าในการใช้เงินครับ
เมื่อเรามีเงินเราเป็นผู้ใช้เงิน ซื้อของจากผู้ขาย แล้ว ไอ้ที่ว่าดี ดีสำหรับใคร
เครื่องโกนหนวดครับ มีวันหนึ่งจะไปซื้อที่โกนหนวดในห้างใหญ่แห่งหนึ่ง เลยไปเดินแผนกเครื่องใช้ไฟฟ้า เดินดูไปมาหลายรอบ จนมาดูเฉพาะที่ยี่ห้อ a ดูอยู่สักพักก็มีพนักงานขายเดินเข้ามา เป็นผู้หญิง ผมก็เริ่มถามรุ่นนี้ เป็นยังไง รุ่นนั้นเป็นยังไง ซึ่งทั้งหมดเป็นของยี่ห้อ a ผมก็ถามไปเรื่อยๆ จนเริ่มตัดสินใจแล้วว่าจะซื้อรุ่นไหน ผมว่าพนักงานดูผมออกว่าจะซื้อจริงๆ สักพักคนขายเลยแนะนำว่า ไม่ลองดูยี่ห้อ b บ้างเหรอ ยี่ห้อ b ดีกว่านะ ผมก็ไม่รีรอ รีบถามด้วยความสงสัย เหรอ ยี่ห้อ b ดีกว่าเหรอ ดีกว่ายังไงครับ เค้าก็บอกว่ามันจะสมูท นุ่มนวลกว่า ผมก็พูด เหรอครับ แล้วยังไงอีก เค้าก็ตอบว่า ก็ประมาณนี้ ผมก็เลยพรางคิดต่อ ด้วยที่ผมเคยใช้ เครื่องโกนหนวดของ ยี่ห้อ a และ b มาแล้ว ยี่ห้อ b ของผมเสียไปแล้ว ยี่ห้อ a ใช้ดีอยู่ ผมก็เลยคิดต่อ คนขายคนนี้เป็นผู้หญิง จะเคยใช้ที่โกนหนวดเหรอ อืม แล้วที่พูดสมูท นุ่มนวลกว่านี่ เอามาจากไหน ผมก็ได้คิดและผมชอบ ยี่ห้อ a มากกว่า ตามประสบการณ์ที่ใช้มา ก็เลยซื้อยี่ห้อ a ตามที่ต้องการและก็เดินกลับ ระว่างเดินนั้น ก็มองเห็น ตู้สินค้ายี่ห้อ b ตั้งอยู่ด้านหน้าตามประสบการณ์ ตู้ยิ่งอยู่ด้านหน้า จะมี 2 กรณี 1. เป็นสินค้าที่นิยม 2. กำไรดีกว่า แต่สำหรับพนักงานตามที่เคยได้ยิน มันจะมียอด มีเป้า ของแต่ละสินค้า ผมว่ายี่ห้อ b ก็ค่อนข้างเป็นที่นิยมนะ แต่ที่ผมดูจากพนักงานเหมือนเพียงต้องการให้ผมไปซื้อ ยี่ห้อ b เท่านั้นโดยที่ไม่มีเหตุผลว่าเพราะอะไร ทำไม หรือ อะไรที่ดีกว่า มากพอ ผมจึงเดาไปว่าเค้าอาจจะได้อะไรที่มากกว่าถ้าผมไปซื้อ ยี่ห้อ b ตามที่เขาชักจูง แต่ด้วยเพราะผมเคยใช้ทั้งสองยี่ห้อผมจึงตัดสินใจได้ด้วยตัวเอง นั่นแปลว่าผมเข้าใจในสินค้าระดับหนึ่ง ทำให้ผมไปซื้อในสิ่งที่ผมต้องการ คุณภาพดีได้ แม้ผมจะพบกับพนักงานขายที่พยายามขายสินค้าที่เค้าอยากขาย(ซึ่งผมดูจากการพูดจา การให้เหตุผล)
กลไกปกติ คนขายของโดยทั่วไปจะอยากขายสิ่งที่เขาต้องขายถูกป่ะ ยิ่งมีกำไรเขายิ่งอยากขายชิ้นนั้น ถ้าเราไม่รู้อะไรเลย ถ้าเจอคนขายที่ดีอาจแนะนำสิ่งที่ถูกต้อง แต่ถ้าเจอคนขายที่ไม่ดีเขาจะใส่ข้อมูลให้คุณ จนคุณซื้อของที่เขาต้องการขายให้ไป
นั่นจึงดูได้ว่า ยิ่งเรามีความเข้าใจในการใช้ การซื้อ หรือแม้กระทั่งการขาย มากเท่าไหร่ ประสิทธิภาพในการใช้เงินของเราก็จะดีขึ้นเท่านั้น และยิ่งใช้เงินฝั่งค่าใช้จ่ายได้มีประสิทธิภาพเท่าไหร่ ฝั่งเงินออมก็จะมีโอกาสสูงขึ้นเท่านั้นตามกันไป
รายได้ = ค่าใช้จ่าย + เงินออม
และเมื่อมีเงินออม และเงินออมมากขึ้นเรื่อยๆ จะทำยังไง
หลังจากผ่านหลายเหตุการณ์มีเงินมากมายที่ยอมเอาตัวเงินเองเข้าแลกเพื่อให้เราได้สิ่งต่างๆมา รวมถึงเพื่อการดำรงชีวิตและมาถึงตอนนี้เรายังมีเงินออม เงินที่เรายอมไม่ใช้ มันจึงยอมอยู่กับเรา งั้นเรามาเข้าใจมัน แล้วทำให้มันกลายเป็นเงิน ผู้ภักดีกันเถอะ ฮาฮ่า
ง่ายมากๆ แค่คุณรัก(รักนะครับไม่ใช่หลง)เงิน เงินจะภักดีต่อคุณ เมื่อรักเงินนั้นมันจะทำให้เราพร้อมที่จะให้ เราก็จะให้เวลาเพื่อทำความเข้าใจเงิน นิสัยของเงิน และความสามารถต่างๆของเงิน และเมื่อคุณเข้าใจดี ใช้เงินเป็นแล้วเงินจะยอมภักดีซื่อสัตย์ต่อคุณ
ก็ขนาด เรายอมไม่ใช้เงิน เงินก็ยอมอยู่กับเราแล้ว เวลาคุณใช้มัน มันก็เอาตัวเงินเข้าแลกเพื่อให้คุณได้สิ่งที่คุณต้องการโดยไม่ปริปากบ่นสักคำ ดูสิว่าเงินภักดีต่อคุณขนาดไหน คุณจะไม่รักมันบ้างเลยเหรอ แล้วถ้าคุณยิ่งรักมัน คุณก็จะไม่ใช้มันเพื่อให้มันเอาตัวเข้าไปแลกสิ่งที่ไร้สาระ และถ้าคุณยิ่งเข้าใจมัน ใช้มันเป็น เงินมันจะอยู่กับคุณด้วยภักดี แถมนะ แถม เงินมันยังสามารถไปหาเงินมาเพิ่มให้คุณได้อีกด้วย และถ้าคุณยังคงรักเงินที่มันไปหามาเพิ่มได้ เงินเหล่านั้นก็จะภักดีต่อคุณเช่นกัน
ความสามารถเฉพาะตัวที่ดีเยี่ยมของเงิน จะถูกใช้ออกมาด้วย การลงทุน เปรียบเหมือนให้เงินไปทำงาน แต่บอกแล้วนะต้องรักเงิน ให้เวลา มีความรู้มากพอ และใช้เงินเป็นนะ มันถึงจะภักดี(ศึกษาข้อมูลก่อนการลงทุนทุกครั้งนะครับ)
การลงทุน ตามความหมายที่ได้ยินมา ก็ประมาณว่า การที่เรานำเงินไปลงทุนซื้อสินทรัพย์ และสินทรัพย์นั้น ก็สามารถทำเงินได้เช่นค่าเช่า ผลผลิตต่างๆ และสิ่งนั้นก็เป็นผลตอบแทนกลับมาสู่ผู้เป็นเจ้าของสินทรัพย์นั้น เช่น พอมีเงินออมรุ่นที่1 นำเงินไปลงทุนซื้อที่ดินทำฟาร์ม ปลูกพืช ต่างๆลงในฟาร์ม พอพืชออกผล ก็นำไปขาย ก็ได้เงิน เงินนี้ก็ถือเป็นส่วนตอบแทนหรือผลผลิตของเงินออมรุ่นที่ 1 พอมีเงินออมรุ่นที่ 2 นำเงินไปลงทุนซื้อห้องในคอนโด แล้วปล่อยเช่าได้ ผู้เช่าจ่ายค่าเช่าเป็นเงิน เงินนี้ก็ถือเป็นส่วนตอบแทนหรือผลผลิตของเงินออมรุ่นที่ 2 สมมุติพอเราเอาเงินที่เป็นผลผลิตของเงินออมรุ่นที่ 1 และ 2 หลายๆครั้ง รวมกันเป็นเงินก้อน แล้วมากพอกลายเป็นเงินออมรุ่นที่ 3 ก็สามารถนำไปลงทุนอย่างอื่นต่อไป ซึ่งนิยามนี้เป็นการลงทุน ที่มองผลตอบแทนต่อเดือน ต่อปี ต่อไปเรื่อยๆ ต่อ อายุสินทรัพย์ที่เราลงทุนไป อย่างที่ดินเป็นการซื้อขาด ก็เหมือนจะได้ผลตอบแทนไปเรื่อยๆ แต่ถ้าลงทุนในเครื่องจักรเพื่อผลิตอะไรสักอย่าง เครื่องจักรก็จะมีอายุเท่านั้นปีเพื่อผลิตผลตอบแทนสู่เจ้าของ ดังนั้นเรื่องเวลาที่สินทรัพย์ทำเงินได้ก็เป็นอีกปัจจัยที่ต้องนำมาคำนวณ รูปแบบนี้ก็คือเงินนั้นไปทำงานหาเงินมาให้เพิ่มได้เห็นมั้ย แต่จะทำแบบนี้ได้ยังไง แน่นอน คำตอบคือความเข้าใจ และความรู้
เมื่อโลกนี้เป็นรูปแบบทุนนิยม โลกแห่งการเงิน แน่นอน วิธีการลงทุนไม่ได้มีเพียงเท่านี้แน่ มันยังมีระบบที่ซับซ้อนขึ้นไปอีก แต่ต้องบอกว่ามันดีนะเพราะมันจะยิ่งเป็นทางเลือกของผู้มีเงินผู้ภักดี เพียงแต่เจ้าของเงินต้องเรียนรู้ให้มากพอ แล้วยังไงบ้าง
กรณีทั่วไป เริ่มจาก ไม่มีเงินออม ก็ไม่มีเงินลงทุน เราก็เลยต้องเรียนหาวิชาความรู้ พอมีวิชาความรู้ก็เริ่มลงแรง เป็นพนักงาน พอเป็นพนักงานมีเงินเดือน ก็จัดการเงินทั้งด้านค่าใช้จ่าย และเงินออม เมื่อมีเงินออมก็เริ่มต้นมีเงินผู้ภักดีเป็นของตัวเอง ก็ขวนขวายก้าวหน้าในการงานต่อไป ได้เงินเดือนมากขึ้น ควบคุมค่าใช้จ่ายได้ดี เงินออมก็มากขึ้น นั่นก็แปลว่ามีเงินลงทุน
ลงทุนฝากเงินธนาคาร ก็ได้ดอกเบี้ย ลงทุนซื้อพันธบัตร ก็ได้ดอกเบี้ย ลงทุนซื้อกองทุนรวม ผู้จัดการกองทุนรวมก็นำเงินเราไปลงทุนต่อ และได้ผลตอบแทนก็แบ่งสู่ผู้ถือหน่วยลงทุน ลงทุนแบบเห็นจับต้องได้ก็ลงทุนซื้อที่ดิน อสังหาริมทรัพย์ให้ผู้อื่นเช่า ก็ได้เงินจากการลงทุน ต่อมาก็ลงทุนแบบเหนื่อยหน่อยควบคุมความเสี่ยงต่างๆด้วยตัวเองก็ทำธุรกิจส่วนตัว ใช้เงินรวมแรงวิชาความรู้ทางธุรกิจ ซึ่งในสมัยนี้ธุรกิจก็เป็นสินทรัพย์ประเภทหนึ่งเพราะสามารถทำเงินได้ ก็ได้กำไร ได้เงินจากการลงทุนลงแรงมา ถ้าธุรกิจใหญ่โตขึ้นก็นำธุรกิจนี้เข้าตลาดหุ้น ผู้อื่นก็นำเงินของเขามาซื้อหุ้นมาช่วยลงทุน พอหุ้นบริษัททำธุรกิจมีกำไร ก็แบ่งผลตอบแทนสู่ผู้ถือหุ้น อะไรทำนองนี้ เห็นมั้ยมันก็มีความหลากหลายในรูปแบบทั้งแบบใช้เงินน้อยๆลงทุนก็ได้ หรือแบบต้องใช้เงินมากเพื่อลงทุนก็มี ถ้าเข้าใจ ใช้เป็นก็ล้วนใช้เงิน ผู้ภักดี ไปหาเงินมาเพิ่มให้เราได้
แน่นอนถ้าเราจะใช้เงิน ไปหาเงินโดยการลงทุน คำถามคือผลตอบแทนนั้นจะได้เท่าไหร่ ซึ่งภาษาทางการเงินทั่วไปนี้ ผลตอบแทนเขาจะคิดกันเป็น % ต่อปี ฝากธนาคาร ได้ 3 % ต่อปี แปลว่าฝากเงิน 100 บาทฝาก 1 ปีได้ 3 บาท(100*3%) อย่าเพิ่งคิดว่าน้อยสิ เพราะถ้าคุณมีเงินออมทำงานในธนาคาร 10 ล้านบาท จะได้ดอกเบี้ย 3 แสนบาทต่อปี ตกได้เดือนละ 25,000 บาท ถ้าคุณใช้เงินเดือนละ 20,000 บาท แปลว่าเงินลงทุนมันหาเงินมาให้คุณใช้เดือนละ 20,000 บาทแถมเหลือ 5,000 บาทไว้เป็นเงินออมเพิ่มอีก งั้นถ้าคุณไปซื้อห้องคอนโด 3 ล้านบาท ได้ค่าเช่าสุทธิเดือนละ 12,000 บาท สงสัยมั้ยครับว่าจะได้กี่%ต่อปี ก็เอา 12,000*12=144,000 แล้วเอา (144,000/3,000,000)*100 = 4.8% ต่อปี ประมาณนี้
แต่การลงทุนที่โดดเด่นอย่างหนึ่ง นั่นคือการลงทุนในบริษัทมหาชนในตลาดหลักทรัพย์ผ่านสิ่งที่เรียกว่าหุ้น ซึ่งบริษัทในตลาดหุ้นนี้ก็จะแสดงผลประกอบการ ความสามารถในการทำกำไรแบบย่อ ให้ดูผ่านทางงบการเงิน ซึ่งเมื่อกำไรก็จะแบ่งเงินออกมาสู่ผู้ถือหุ้นเรียกว่าเงินปันผล ซึ่งบริษัทเหล่านี้คือบริษัทที่มีการขายผลิตภัณฑ์ หรือบริการ หรือลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ ที่สามารถสร้างกำไรให้สู่บริษัท เช่น บริษัทค้าปลีก ก็มีสาขาตั้งอยู่ในหลายๆที่ และนำสินค้าต่างๆเข้ามาขาย หลังหักค่าใช้จ่ายต่างๆ ก็จะได้เป็นกำไร หรือ บริษัทผู้ผลิต ผลิตบะหมี่ ก็ผลิตบะหมี่ไป และรสชาติได้รับการยอมรับ พอผลิตได้บ้างก็ขายผ่านบริษัทขายปลีกต่างๆ และก็ได้กำไรจากการเป็นผู้ผลิตบะหมี่ ประมาณนี้ แต่ในสิ่งที่เรียกว่าหุ้นนี้ จะมีส่วนที่เรียกว่าส่วนต่างราคา เช่น เมื่อ 6 เดือนที่แล้วราคาเขาซื้อขายกันที่ 10 บาท แต่วันนี้ราคาซื้อขายอยู่ที่ 12 บาท ดังนั้นจะมีส่วนต่างราคาเกิดขึ้น 2 บาท ซึ่งการเกิดสิ่งนี้จะมาจากปัจจัยหลายอย่างที่เข้ามากระทบ ทั้งแง่ กำไรของบริษัท อัตราผลตอบแทนของตลาดเงินโดยรวม ความเชื่อมั่น และอื่นๆอีก และส่วนต่างราคานี้ก็เป็นส่วนหนึ่งที่หลายคนอยากทำให้ได้กำไร และเรื่องส่วนต่างราคานี้ก็ยังเกิดขึ้นได้กับสินทรัพย์ประเภทอื่นอีก เช่น ห้องในคอนโด อย่างเช่นราคาปรับขึ้นเพราะ อัตราเงินเฟ้อ(การที่อำนาจของเงินด้อยค่าลง) ค่าวัสดุต่างที่มีการขึ้นราคา หรือ แม้แต่ราคาที่ดินบริเวณนั้น
นี่แหละครับการลงทุน แต่การลงทุนนั้นมีรายละเอียดย่อยลงไปอีกค่อนข้างพอสมควร ก็เพราะมันเป็นเรื่องเกี่ยวกับการใช้เงินไปหาเงินจริงๆ พวกนี้คือรูปแบบการลงทุนที่เป็นภาพคร่าวๆ แต่ถ้าคุณเข้าใจการลงทุนได้ที่ และใช้มันได้คล่องแคล่วมันจะช่วยทำเงิน ผลตอบแทนให้คุณได้มากทีเดียว
สิ่งที่พอจะบอกได้ก็คือ ไม่มีใครที่จะมาดูแลผลประโยชน์ของเรา ให้ดีได้เท่ากับเราดูแลผลประโยชน์ของเราเอง
ทั้งหมดที่ผมเขียนขึ้น ผมว่ามันคล้ายๆ เมล็ดพันธุ์พืช เวลาได้รับไปก็น่าเพาะให้มันแตกฉาน เมื่อแตกฉานก็จะสามารถนำมันไปประยุกต์ใช้กับกรณีต่างๆได้เรื่อยไป
ยังจำคำกลอนข้างต้นได้มั้ยครับ
จงตื่นเถิด เปิดตา หาความรู้ เรียนคำครู คำพระเจ้า เฝ้าขยัน จะอุดม สมบัติ ปัจจุบัน แต่สวรรค์ ดีกว่า เราอย่าลืม
จริงๆผมเพิ่งเข้าใจมาได้ไม่นานนี้เองครับ
จงตื่นเถิด เปิดตา ก็น่าจะหมายว่า เปิดตา เปิดใจ เปิดความคิด ให้พร้อมที่จะรับ
หาความรู้ เรียนคำครู ก็น่าจะหมายว่า เมื่อพร้อมรับ ก็รับความรู้ จากการฟัง การเรียน จากผู้รู้
คำพระเจ้า ก็น่าหมายความว่า คือโรงเรียนผมเป็นโรงเรียนคริสต์ ก็น่าจะหมายถึงคำสอนทางคริสต์ สำหรับเป็นชาวพุทธ ก็น่าจะเปรียบเป็นสัจธรรม แห่งชีวิต ธรรมะ ศีลธรรม
เฝ้าขยัน จะอุดม สมบัติ ปัจจุบัน ก็น่าจะหมายว่า ขยัน เรียนรู้ เข้าใจ ทำ ก็จะมีพร้อมด้วยสิ่งต่างๆมากมาย
แต่สวรรค์ ดีกว่า เราอย่าลืม ก็น่าจะหมายว่า แม้จะได้สิ่งต่างๆมามากมาย จงอย่าลืมในสัจธรรมแห่งชีวิต มีซึ่งธรรมะ ศีลธรรม ใช้ชีวิตให้มีความสุข
อยากได้อ่ะ จะซื้อ
จงตื่นเถิด เปิดตา หาความรู้ เรียนคำครู คำพระเจ้า เฝ้าขยัน จะอุดม สมบัติ ปัจจุบัน แต่สวรรค์ ดีกว่า เราอย่าลืม
ตอนเด็กๆ ตั้งแต่เริ่มจำความได้ ผมจะได้ค่าขนมทุกครั้งหลังอาหาร เช้า กลางวัน คราวละ 5 บาท ทุกครั้งที่ถึงเวลาอาหารก็จะรีบๆกินให้หมด พร้อมกับความคิดในใจที่ว่ากินเร็วๆ เดี๋ยวรีบไปเอาตัง แล้วไปซื้ออะไรดีนะ พอกินเสร็จก็รีบวิ่งไปหา ป๊า(พ่อ) หรือ ม้า(แม่) ขอตังหน่อย 5 บาท กินข้าวเสร็จแล้ว และก็จะได้เงินมาก็จะวิ่งต่อไปที่ร้านขายขนมซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก และก็ออกจากร้านพร้อมขนม แบบว่าเงินหมดทุกครั้ง ว้าเสียใจจังเงินหมดแล้ว ไม่เป็นไรเดี๋ยวรอ เงินหลังมื้อกลางวันอีก 5 บาท ฮาฮ่า และก็เป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนวันที่มาเจอสติ๊กเกอร์ที่แถมอยู่ในขนม โดเรมอนไม่รู้ว่าจะรู้จักกันบ้างมั้ย (มันเป็นกล่องสี่เหลี่ยมผืนผ้าไม่ใหญ่นัก ข้างในจะมีขนมช็อกโกแลตเม็ดกลมๆอยู่ห่อหนึ่งกินไม่กี่คำก็หมดแต่อร่อยมากนะสำหรับผม และก็จะมีซองใส่สติ๊กเกอร์อยู่ ประมาณ 8 แผ่นมั้งนะจำไม่ค่อยได้จะเป็นรูปให้สะสมของเรื่อง ดรากอนบอล และการ์ตูนเรื่องอื่นๆ ประมาณนั้น และก็จะมีขายสมุดไว้แปะรูปตามเบอร์ของรูปนั้นๆ) และแถมเพื่อนๆก็เอาสติ๊กเกอร์พวกนี้ มาเขี่ย(แบบว่าใช้สติ๊กเกอร์ 2 ใบ มาวาง แล้วใช้สติ๊กเกอร์ในมือเป็นเครื่องมือเขี่ย เริ่มที่วางด้านหน้าทับกัน ซึ่งต่างก็มีเทคนิคการวาง แล้วเขี่ยให้เป็นด้านหน้าทับด้านหลังถ้าใครทำได้ก็ชนะได้ไพ่นั้นไป จริงๆดูก็เหมือนการพนันนะ แต่พอผมเล่นกับเพื่อนจะประมาณแบ่งสติ๊กเกอร์ให้เท่าๆกัน แล้วตอนจบมาดูว่าใครมีมากกว่าชนะประมาณนั้นพอ ไม่ชอบการพนันเพราะเค้าว่าเป็นสิ่งไม่ได้) ความต้องการสติ๊กเกอร์จึงเริ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งสะสมในสมุด พอใบไหนซ้ำ(แปะในสมุดไปแล้วยังมีใบนั้นอีก)ก็เอามาเล่นได้ อะไรจะดีจะสนุกขนาดนี้ ฮาฮ่า เอ่ แต่ถ้าเราได้เงินวันละ 2 ครั้งครั้งละ 5 บาท และขนมโดเรมอนนี้ราคากล่องละ 5 บาทแปลว่าวันนึงเราจะได้ 2 กล่องเท่านั้นเองได้สติ๊กเกอร์ 16 ใบ โห่น้อยชะมัด ทำไงดีน๊า อืมเครียด ฮาฮ่า นึกออกแล้วงั้นเอางี้ดีกว่า เรามีน้องนี่นา น้องก็ได้เงินเท่าเรา งั้นเราให้เค้าลองกินขนมช้อกโกแลตในโดเรมอนดีกว่า จัดการซะอืม น้องเราชอบอ่ะแถมชอบมากด้วย เข้าทาง ฮาฮ่า อืมงั้นเรามาตกลงกัน เดี๋ยวพี่ และน้องต่างซื้อโดเรมอน และพี่จะให้ขนมน้องไปรวมน้องได้ 2 ห่อรวมวันละ 4ห่อ แล้วน้องให้ สติ๊กเกอร์พี่ รวมได้วันละ 4 ห่อ 32 ใบ ok ป่ะ เวิรค์มากๆ ได้ winwin สติ๊กเกอร์เพิ่มขึ้นเท่าตัว แต่ทุกๆครั้งที่เห็นน้องกินขนม ผมก็จะนั่งมองด้วยความอยากกินมากมาย หลายๆครั้งขอน้องขอกิน 2 เม็ดได้ป่ะฮาฮ่าน้องก็ให้ ได้สติ๊กเกอร์แถมได้ขนมเล็กน้อยอีกใครจะไม่เอาเนอะ ก็ประมาณนี้ แต่ทุกครั้งที่ออกจากร้านขายขนม เงินผมจะหมด
ผมเลยมามองย้อนกลับไปดู ผมก็ได้เห็นสัญชาตญาณเริ่มต้นในตัวผมเอง ผมได้เงินมาผมก็เอาไปใช้หมดทันที แถมเวลาที่อยากได้มากกว่ากำลังที่ตัวเองจะซื้อ ก็ทำข้อตกลงเพื่อให้ได้มากขึ้นโดยมีข้อแลกเปลี่ยนเพื่อการไม่เอาเปรียบ และที่สำคัญผมใช้เงินจนหมดทุกครั้งเลย (แต่ตอนนั้นผมไม่รู้จริงๆว่าถ้าไม่ใช้เงินจะเอาเงินไปทำอะไร ยังมีอีกนะพอมีเงิน แต่ร้านขนมร้านใกล้บ้านไม่มีอะไรให้ซื้อ ก็ยังพยายามเดินไกลขึ้นเรื่อยตามร้านขายขนมและก็ใช้เงินหมดในที่สุด ช่างมีความสุขเหลือเกิน ฮาฮ่า)
ครั้นต่อมา ซึ่งตอนสมัยนั้นส่วนใหญ่เวลาที่ผมอยากได้ของเล่นต่างๆ ผมจะมักเรียกร้องให้ อากง(ปู่) ป๊า ม้า ซื้อให้ ขออากงง่ายสุด ป๊า ม้า นี่ ค่อนข้างจะหิน(ขอยาก)อยู่ ก็เลยขออากงซะบ่อย บ่อยขึ้น จนวันนึง ไปเจอของเล่นชิ้นหนึ่งที่ร้านใกล้บ้าน จำได้ว่าราคา 55 บาท เป็นพวกหุ่นยนต์ ขออากง อากงบอกไม่ซื้อให้ ตื้อขอก็ยังไม่ให้ชักแย่แล้ว ก็เลยไปขอป๊าม้าต่อ ก็ไม่ให้ตามเคย ยุ่งแล้วก็เลยเริ่มร้องไห้แล้ว ไม่ยอมซื้อให้อีกเหรอยิ่งร้องเสียงดัง เอาสิ ทนฟังได้ทนไป ยังไม่ได้ผลแฮะ ฮาฮ่า ดิ้นครับดิ้น ร้องแล้วยังดิ้นเอาสิ ฮาฮ่า ซึ่งในที่สุด อากง ผู้ใจดีก็พาผมไปซื้อ ดีใจจังเลย แต่เอ่ ผมมีปัญหาในใจแล้ว แล้ววันหลังถ้าผมจะซื้ออีกผมจะทำยังไง ให้ร้องไห้ ดิ้นๆ ก็เหนื่อยนะจะบอกให้
นั่นสิจะทำไงดี ของเล่น 55 บาท ได้ค่าขนมรวมวันละ 10 บาท จะเอาไปซื้อก็ไม่ได้เพราะขาดอีก 45 บาท พอซื้อไม่ได้ก็ต้องเอาไปซื้อขนม มันก็หมดอยู่ดี พรุ่งนี้ก็ได้ 10 บาทเหมือนเดิมดูเหมือนผมคงไม่มีวันซื้อได้ด้วยตัวเอง มันจะซื้อได้ยังไงตามภาษาเด็กโง่ จนมาถึงวันนึง มีรถขนตัวอะไรไม่รู้มาผ่านหน้าบ้าน มีรูปช้าง รูปหมา รูปแมว รูปนก สีสันสวยสะดุดตา ฮาฮ่าอยากได้ตามฟอร์ม ป๊า นั่นอะไรอ่ะ ป๊าบอกมันเป็นกระปุกออมสินทำจากปูนปราสเตอร์ แล้วไว้ทำอะไร ป๊าบอกก็ไว้เก็บเงินไง เอาเงินหยอดกระปุกเก็บไว้ไง ออมเงินไง อ้อเหรอมีแบบนี้ด้วยเหรอ ก็แปลว่าเราเอาเงินเก็บไว้ในกระปุกได้สิ แต่ลืมเรื่องนั้นไปก่อน แบบว่าอยากได้อ่ะ ป๊าขอตัวนึงนะ จะได้เอามาออมเงินไง(แบบเนียนๆ เพราะจริงแล้วแค่อยากได้ตุ๊กตา) ก็เลยได้มาตัวนึงเป็นตุ๊กตาปูนรูปช้าง ดีใจจัง หลังจากนั้นไม่รู้เป็นไรอยากเอาเงินหยอดกระปุก แล้วกลับไปคิดเรื่องของเล่น 55 บาท แล้วตอนนี้เรามีกระปุกเก็บเงินได้ งั้นถ้าเราหยอดวันละ 5 บาท อีก 11 วันก็ซื้อของเล่นได้ด้วยตัวเองแล้วก็เลย หลังจากนั้นก็เอาเงินหลังอาหารกลางวันไปหยอดวันละ 5 บาท 9วันผ่านไปเอ่ น่าจะมี 45 บาทแล้วนะ แล้ววันนี้ได้ค่าขนมอีก 10 บาท รวม 55 บาทแปลว่าถ้าจะซื้อของเล่นอีกก็สามารถเอามาซื้อได้แล้วนะ แต่ เวรกรรม ดูกระปุกช้างแสนสวยสิ มันไม่มีช่องให้เอาเงินออกมา ตะแคงๆ เขย่าๆ หวังให้เงินออกมาทางช่องที่หยอด มันออกน้อยมากๆอ่ะ เดือดร้อนแล้วครับ เงินในช้าง ถือแล้ววิ่งครับ อากง จะเอาตังออกมายังไง ป๊า จะเอาตังออกมาอ่ะ คำตอบคือว่า ต้องทุบให้แตกถึงจะเอาเงินออกมาได้ โอ้ ช่างแย่เหลือเกิน ช้างแสนสวย ตอนซื้อมันก็หลายบาทนะ ถ้าทุบซะแค่เอาเงินไปซื้อกระปุกช้างใหม่ไม่รู้จะพอเปล่าเลย เลยรับสภาพ งั้นเก็บต่อไปเรื่อยๆดีกว่าอะไรก็ไม่ซื้อแล้ว ฮาฮ่า
เห็นมั้ยครัย สัญชาตญาณ เริ่มแรก ได้มาก็ใช้ไป มันเป็นปฏิกิริยาทางตรง เหมือนปฏิกิริยาทางเคมี เมื่อเงินสัมผัสมือผม เงินผมก็ถูกเปลี่ยนเป็นอะไรบางอย่างที่ผมต้องการ และเริ่มพบเหตุการณ์ เอาเงินหยอดลงไปแล้วแกะเอาเงินมาใช้ไม่ได้ ผมว่านี่เป็นอย่างหนึ่งที่ทำให้นิสัยเปลี่ยนไปเพราะกระปุกช้างแสนสวยแบบไม่มีช่องเอาเงินออก เวลาก็ผ่านไป ผมก็ยังคงได้เงินเท่าๆเดิม แต่ใช้เงินน้อยลงเพราะเงินไปอยู่ในช้าง แต่ชีวิตผมก็ดำรงอยู่ได้ เกิดความอยากได้บ้าง บ้างก็ละได้ บ้างก็หาทางซื้อจนได้ แต่โดยส่วนใหญ่จะเป็นแบบหาทางซื้อจนได้ แต่ผมมีเงินเหลือวางอยู่เฉยๆในช้างแสนสวย แล้วเงินในช้างแสนสวยจะไปไหนต่อน๊า ฮาฮ่า
จนมาวันที่ผมได้เข้าเรียนโรงเรียนประถมแป๊ปนึง มีครูถามเด็กนักเรียนว่าเคยเห็นป้ายคำกลอนมั้ย ตอนนั้นผมสงสัยคำกลอนอะไร ยังไม่เคยเห็นเลย ครูก็พูดถึงเล็กน้อย แบบว่าในโรงเรียนผมจะมีป้ายคำกลอน พอตอนพักผมก็เลยวิ่งไปดู มันมีข้อความว่า
จงตื่นเถิด เปิดตา หาความรู้ เรียนคำครู คำพระเจ้า เฝ้าขยัน จะอุดม สมบัติ ปัจจุบัน แต่สวรรค์ ดีกว่า เราอย่าลืม
ผมก็อ่านไปเรื่อยๆพยายามจำ อ่านแบบยังไม่ค่อยเข้าใจ อ่านไป จนมาหยุดที่คำว่า จะอุดม สมบัติ แฮ่ๆ น่าสนใจแฮะ แบบว่าเข้าใจอ่ะคำว่าสมบัติ แปลว่าเงินทอง ของมีค่า อุดมแปลว่าเต็มไปด้วย ฮ่าๆ จริงป่ะเนี่ย แล้วต้องทำไงเนี่ย และไอ้พวกประโยครอบข้างมันเกี่ยวยังไง ทำไมมันทำให้ อุดม สมบัติได้ งงเง็ง ไม่เข้าใจครับผม เมื่อ โง่ แถมด้วย งง และเง็ง จึงช่างมันไว้ก่อน เหมือนทำโจทย์เลข พักตัวเลขนี้ไว้ก่อน แบบเวลาต้องไปทำขั้นตอนอื่นก่อน
แล้วจะเอาเงินของผมไปทำอะไร มันยังอยู่ในช้างนะ อย่าลืม!!!
ช้างแสนสวย มันทำให้ผมประหยัดมาก แต่คนอื่นเขาเรียกว่า งก ถ้าอยากเก็บเงินได้ต้องเข้าใจคำว่า งก ให้ดีซะก่อน งก มันดูเหมือนมาจากคำว่า เงินเก็บ เพราะไม่รู้ทำไม เวลาคนอื่นว่าผม งก ผมมี เงินเก็บ มากขึ้นทุกที (ได้ยินคนเขาสอนว่า วิธีที่จะงกให้ดีที่สุด คือ เมื่อหยิบเงินออกมาแล้วคิดได้ว่าจะซื้อของแล้วเป็นของไร้สาระ ให้พับเงินแล้วเก็บเข้ากระเป๋าเหมือนเดิม)
ผมว่าจริงๆมันก็มีเส้นแบ่ง ระหว่างคำว่า งก ผมว่าถ้า งก แบบ ตระหนี่ถี่เหนียว มากจนเกินไปอะไรไม่ยอมใช้จนมากเกิน สร้างความลำบากให้ตนเองโดยไม่รู้ตัว อันนี้คงไม่ดีเท่าไหร่ถึงแม้จะมีเงินเก็บเพิ่ม เพราะ ชีวิตคนเรามีเพียงชีวิตเดียว ตายหนเดียว และถ้าเราไม่ดูแลชีวิตเราให้ดีใครจะมาดูแล และ การ งก แบบ ประหยัด ประหยัดนั้นน่าหมายถึงใช้สิ่งที่ควรใช้ ไม่ใช้สิ่งที่ไม่ควรใช้ แต่พอเราคิดว่าไม่ควรใช้ คนอื่นคิดว่าควรใช้ คนอื่นก็จึงมาเรียกเราว่า งก การซื้อเพราะความพอใจ ก็มีบ้าง แต่ไม่ถึงกับซื้อตามใจตัวเอง อะไรประมาณนี้
ช้างแสนสวย มันทำให้ผมประหยัดมากแบบเด็กๆ ซึ่งเวลาผมไปโรงเรียน ผมจะได้ค่าขนมวันละ 20 บาท และได้ครั้งเดียวตอนเช้า แต่ถ้าไม่ได้ไปเรียนก็ยังคงได้เงินค่าขนมแบบเดิม ช่วงที่ประหยัดมากเอาเงินไป 20 บาทก็มีออม 20 บาทลงกระปุกเลยอ่ะ แบบว่าข้าวเช้า กินที่บ้าน กลางวันมีอาหารโรงเรียน เย็นมากินบ้าน แล้ววันๆก็วิ่งเล่น แบบว่าไม่มีเวลาไปหาขนมกินอ่ะ ไปกลับ ก็นั่งรถโรงเรียน ก็จะมีบ้างเวลาเห็นคนนู้น คนนี้ ซื้ออะไรมากินน่าอร่อย เชอะ เราก็จะไปซื้อมากินบ้าง คิดในใจว่า ว่าจะไม่กินแล้วเชียว คิดเสร็จปุ๊ป ว้าทำไมหมดซะแล้วอ่ะ ขออีกห่อเหอะ ซื้ออีก ฮาฮ่า อ่าวเงินหมด อืมไม่เป็นไรเราเก็บมาตั้งเยอะแล้ว ขอกินบ้างเถอะไม่ได้ฟุ่มเฟือยสักหน่อย
หลังจากไปเขย่า ช้างกระปุกหลายครั้ง เอ่ ทำไมเสียงมันเบาลง เหมือนแต่ก่อนเขย่าเสียงมันดังกว่านี้นี่นา เลยคิด มีใครแอบเอาเงินเราออกไปเปล่าเนี่ย เลยหยอดเงินออมวันนั้นแบงก์ 20 ลงไป อ๋อ เข้าใจแล้วหลังๆเราหยอดเงินที่เป็นกระดาษลงไปด้วย การกระทบน้อยลงเสียงจึงเบาลงนี่เอง แต่เอ่เราก็หยอดมานานแล้ว เอาออกมาใช้ก็ไม่ได้ เงินก็น่าจะอยู่ในช้างเยอะแล้ว แล้วทำไงดีอ่ะ อยากใช้เงินน่ะแต่เอามาใช้ไม่ได้ สงสัยก็ต้องถาม ไปถามป๊า เนี่ย เก็บเงินไว้ในช้าง น่าจะได้ตั้งหลายบาทแล้วนะเนี่ย เอาไปใช้ก็ไม่ได้ แล้วจะเก็บไว้ทำไมอ่ะ เงินอ่ะ ไม่เห็นมีประโยชน์เลย ป๊าตอบมาสั้นๆว่า ก็เอาไปฝากธนาคารสิ (ด้วยว่าแต่ก่อนก็เดินไปธนาคารกับอากงอยู่บ่อยครั้ง แต่ไม่รู้ว่าธนาคารมีไว้ทำอะไรกันแน่ นึกว่ามีไว้แลกเงิน แบบแลกเศษมาทอนขายของ ก็เห็นไปทุกทีก็เอาเงินไปแล้วก็ต้องถือเหรียญ ถือแบงก์ย่อยกลับบ้าน ก็ใครมันจะไปรู้ล่ะเนอะ จริงป่ะ) ฝากธนาคารทำไม ป๊าตอบ ฝากเค้าแล้วก็จะได้ดอกเบี้ย ได้เงิน ผมเลยพูดว่า จริงเหรอ (ตอนนั้นเคยได้ยินคำว่าดอกเบี้ยอยู่บ้าง แปลว่าได้เงิน แต่ไม่รู้ต้องทำไงถึงได้ดอกเบี้ย) เท่านั้นแหละครับ วิ่งไปที่ห้อง เจ้าช้างอยู่ไหน ยกช้างขึ้นมา ต้องทำไงให้มันแตก อืม งั้นโยนแล้วนะ โถ่ เจ้าช้างแสนสวย ข้าเสียดายจัง แต่มันจำเป็นนะ ถอนหายใจ พลางคิดบ้ายบาย เปรี้ยง เพร้งๆๆ แตกกระจาย ฮือๆ ต่อไปก็นับเงิน รีบนับ ตอนนั้นว่าเยอะนะ นับๆไปทั้งเหรียญ ทั้งแบงก์ แต้น แต้น ประมาณ หนึ่งพันสามร้อยกว่าบาท นับเสร็จเอาเหรียญไปแลกป๊า ต่อไปเอาเข้าธนาคาร ป๊าจะเอาไปเข้าธนาคารพาไปหน่อย ป๊าเลยบอกให้ไปบอกอากง อากงมองนาฬิกา เราก็คิดในใจ จะมองทำไมนาฬิกา รีบไปสิ แล้วอากง ก็บอกว่าธนาคารมันปิดแล้ว ไว้พรุ่งนี้ ฮือ ฮือ ไม่เอา อยากได้ดอกเบี้ย จะไปวันนี้ ยังไงก็ไม่ยอม พาอากงเครียด แต่ด้วยเพราะอากง สนิทกับธนาคารอยู่บ้างในที่สุดจึงเอาเงินไปฝากได้ประมาณ 4 โมงกว่า ก็เข้าไปเปิดบัญชี ฝากเงิน เรียบร้อยได้สมุดกลับมาเล่มนึง อืม แปลกดีเนอะเอาเงินมาตั้งเยอะ ได้สมุดกลับมาเล่มเดียวและก็ตัวเลข พันกว่าบาท อืม แต่ช่างเถอะ สบายใจ ฮาฮ่า(ดอกเบี้ยจะได้เมื่อไหร่ยังไงตอนนั้นยังไม่รู้เลย) และหลังจากนั้นมีเงินเหลือก็เก็บเงินเข้าธนาคารเรื่อยมา ออมไปเรื่อยๆ ในใจก็ไม่รู้เหมือนกันว่าในที่สุดจะออมไปทำไม แต่เค้าสอนกันว่า มีเงินออมตอนแก่จะได้ไม่ลำบาก (ก็คิดก็น่าจะจริง พอแก่ ก็ทำอะไรไม่ค่อยได้ ถ้าตอนนั้นหาเงินไม่ได้ ถ้าไม่มีเงินออมแล้วจะกินอะไร ดังนั้นก็ควรจะมีเงินออมถูกแล้ว)
ตอนแรกมีเงินก็ใช้หมด ต่อมา มีช้างแสนสวยก็หยอดเงินแล้วก็ถูกล็อกเพราะเอาเงินออกไม่ได้ แบบโดนเจ้าช้างสั่งให้ออมไม่รู้ตัว ต่อมาก็เอาเงินไปฝากธนาคารได้ดอกเบี้ย
ผมเลยคิดว่า การออม น่าจะเหมือน การยอม การที่เรายอมที่จะไม่ใช้เงินบางส่วน และเงินบางส่วนนั้นก็จะยอมอยู่กับเรา
ขอให้มากพอ (หารายได้ให้มากพอ) พอที่จะใช้ พอที่จะออม
เพราะถ้าตัวเราใช้จ่ายถึงขั้นตัวเอง งก ประหยัดอย่างที่สุดแล้วยังไม่พอใช้ ก็คงคิดถึงคำว่าออมได้ยากมาก
รายได้ – รายจ่าย = ถ้าเป็นผลบวกคือเงินออม (ถ้าเป็นผลลบคือหนี้)
ดังนั้น ถ้ามีรายได้ ไม่พอกับรายจ่าย ขั้นตัวเอง งก ประหยัดที่สุดแล้ว(ค่าครองชีพที่ประหยัดที่สุด) เงินออม ก็จะไม่สามารถมองเห็นได้
เมื่อผมได้มีส่วนในการคิดออกแบบตัวเลขเพื่อชีวิตของผมเอง ตัวเลขนั้นก็คือค่าขนม ผมเริ่มคิดว่าในวันหนึ่งนั้นผมใช้เงินอย่างไรบ้าง ใช้เท่าไหร่ กินอาหารกี่มื้อ ค่าเดินทาง ต้องเผื่อค่าไปเที่ยว ดูหนังอีกเท่าไหร่ ค่าซื้อของที่อยากได้ และที่สำคัญผมน่าจะออมเงินอีกเท่าไหร่ ซึ่งมันดีมากตรงที่มันช่วยให้ผมมานั่งสำรวจตัวเองประมาณค่าใช้จ่ายของตัวเอง และเมื่อผมคิดเสร็จสรรพ ผมก็ยื่นเสนอต่อป๊าว่าผมขอค่าขนมวันละเท่านี้นะ และบังเอิญป๊าผมก็สามารถให้ค่าขนมตามนี้ได้ อาจจะเป็นเพราะผมมีการอ้างอิงว่าจะต้องใช้เงินกับอะไรบ้าง เป็นมูลค่าเท่าไหร่
และพอผมกลับมาดูค่าใช้จ่ายของตัวเอง ผมแบ่งได้ออกเป็น 2 แบบ หลักๆ คือ 1. ยังไงก็ต้องจ่าย 2.จะจ่ายก็ได้
ยังไงก็ต้องจ่าย ก็แบบ ยังไงผมก็ต้องจ่ายค่ารถไปโรงเรียน(ถ้าไม่จ่ายจะไปเรียนยังไง) ยังไงผมก็ต้องจ่ายเงินเพื่อกินข้าวเช้า กลางวัน เย็น(ถ้าไม่จ่ายจะกินอะไร) ยังไงผมก็ต้องจ่ายเครื่องเขียน อุปกรณ์การเรียน(ถ้าไม่จ่ายจะเอาอะไรไปเรียน)
จะจ่ายก็ได้ ก็แบบ เดี๋ยวช่วงพักไปนั่งกินในร้านกาแฟดีกว่า(แบบไม่กินแล้วไปนั่งเล่นตามที่นั่งในโรงเรียนก็ได้) เดี๋ยวเลิกเรียนแล้วไปดูหนังกับเพื่อนๆดีกว่า(แบบนั่งคุยเล่นที่โรงเรียนก็ได้หรือกลับบ้านก็ได้) เดี๋ยววันเสาร์ไปเดินซื้อของดีกว่า(แบบนั่งดูโทรทัศน์อยู่บ้านก็ได้ถ้าของนั้นไม่จำเป็น) อะไรทำนองนี้
ซึ่งโดยทั่วไปถ้าเป็นการใช้จ่ายรูปแบบประหยัด ส่วนยังไงก็ต้องจ่าย มักจะมากกว่าจะจ่ายก็ได้ เพราะยังไงก็ต้องจ่ายนั้นเป็นส่วนที่ต้องจ่ายเป็นประจำ ทุกวันเพื่อการดำรงชีวิต และส่วนจะจ่ายก็ได้ก็จะเกิดเป็นแค่ครั้งคราว แต่สำหรับการใช้จ่ายรูปแบบไม่ค่อยประหยัดนัก ส่วนยังไงก็ต้องจ่ายก็จะมีโอกาสที่จะน้อยกว่าจะจ่ายก็ได้ เพราะ ถ้าเราไปนั่งดื่มกาแฟเป็นประจำจนติดเป็นนิสัย และกาแฟบางร้านแต่ละแก้วแพงกว่าข้าวอีก และถ้าเลิกเรียนต้องไปเที่ยวต่อ ดูหนังเป็นประจำ ใช่ถูกๆที่ไหน แถมเสาร์อาทิตย์ไปช้อปปิ้งอีก นั่นจึงดูเหมือนว่า ถ้าจะทำกิจกรรมที่อยู่ในรูปแบบจะจ่ายก็ได้บ่อยครั้งจนติดเป็นนิสัยและทำเป็นประจำนั้นค่าใช้จ่ายส่วนจะจ่ายก็ได้ก็จะสูงขึ้นเองโดยเราไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ และส่วนจะจ่ายก็ได้นี้บางทีถ้าเราขาดมันไปบ้างเราก็ยังคงดำรงชีวิตได้อย่างปกติสุข
เพราะฉะนั้นค่าขนมของผม จะมีส่วนค่าใช้จ่าย และที่สำคัญผมอยากออมเงิน ดังนั้นก็ได้
รายได้ (ขณะนี้คือค่าขนม) = ค่าใช้จ่าย(ยังไงก็ต้องจ่าย+จะจ่ายก็ได้) + เงินออม(เงินเก็บ,งก)
สมมุติ 200 (ค่าขนม) = 180 (จ่าย เท่ากับ ยอมที่จะใช้) + 20 (ออม เท่ากับ ยอมที่จะไม่ใช้)
ดังนั้นจะได้ ค่าขนมรวม 100% ((200/200)*100) ใช้จ่ายไป 90%((180/200)*100) เหลือ ออม 10% ((20/200)*100) จริงแล้วทำให้มีเงินออม 10% จากรายได้ก็เป็นการดีแล้วนะ แต่เราจะทำให้มีสัดส่วนการออมสูงกว่านี้ได้รึไม่ งั้นถ้าเราจะเพิ่มสัดส่วนการออมเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว นั่นคือ 20% น่ากังวลมั้ยว่าจะทำได้รึเปล่า
200 = (200*80%) 160 + (200*20%) 40
ถ้าเราจะออมเพิ่มขึ้นเท่าตัวเป็น 20% แปลว่า จากค่าใช้จ่าย 180 บาท เพื่อใช้ชีวิต เราต้องลดมันลงให้เหลือ 160 บาทเพื่อใช้ชีวิตแต่เราคงไม่อยากให้เราลำบากขึ้นรวมทั้งผมด้วย ผมจึงคิดว่าบางทีเราน่าจะทำให้เงินของเรา มีประสิทธิภาพสูงขึ้น แต่เงินก็คือเงินแล้วประสิทธิภาพมันจะสูงขึ้นได้ยังไง
ผมก็นั่งมอง เวลาเงินมันจะถูกใช้ มันก็ถูกใช้โดยคน และอีกอย่างที่มองเห็นคือ เงิน ยอมเอาตัวเงินเองเข้าแลกเพื่อให้ได้สิ่งของตามที่เจ้าของเงินนั้นสั่งโดยไม่ปริปากบ่นสักคำและพร้อมที่จะไปจากเจ้าของเงินถ้าเจ้าของเงินต้องการ
ดังนั้น เงินมันก็คือเงิน แต่คนเป็นผู้ใช้เงิน งั้นน่าจะแปลว่า ยิ่งคนที่ใช้เงินมีความสามารถในการใช้เงินมากเท่าไหร่ เงินก็จะมีประสิทธิภาพสูงขึ้นเท่านั้น อืม งั้นอะไรที่จะทำให้คนมีความสามารถในการใช้เงินได้มากขึ้นล่ะ หลังจากนั้นหลายๆครั้งผมเห็นคนไปซื้อของ พอซื้อมาใช้ได้อยู่พักนึง ก็บ่นให้ผมได้ยิน ไม่อยากใช้แล้ว ไม่รู้ซื้อมาทำไม เล่นหรือใช้พักนึง ก็เบื่อแล้ว พังซะแล้ว เสียง่ายจัง อันนี้อันใหม่เจ๋งกว่าเยอะ และอีกมากมาย มันทำให้ดูเหมือนว่า เงินที่ถูกใช้ไปนั้นไม่ได้สร้างผลที่งดงาม บางคนซื้อมาแล้วก็เบื่อ ไม่อยากใช้แล้ว นั่นน่าจะดูเหมือนว่าเขาไม่ได้ต้องการสิ่งของนั้นๆจริงๆ บางคนซื้อของมาแล้วของนั้นเสียง่ายมาก บางทีอาจะเป็นเพราะ เขาจะตัดสินใจซื้อโดยที่ไม่ได้ศึกษาคุณภาพมากพอ ซึ่งสิ่งนี้น่าจะทำให้รู้สึกเสียดาย สูญเปล่า ซึ่งนั่นรวมถึงผมด้วย ผมเคยหลงใหลไปกับการด์บาสเกตบอลเป็นรูปนักบาส nba และก็โมเดลรถไฟ นั่นทำให้ผมเสียเงินไปเยอะ แต่ตอนที่ซื้อพอได้มาผมมีความสุขมาก มาก มาก เลยนะ ฮาฮ่า แต่ตอนนี้มันกองอยู่ในกล่องวางไว้บนตู้ที่บ้านผมเฉยๆ ผมได้แต่มองแล้วคิดว่า เสียไปกี่ตังเนี่ยเพื่อมาวางเฉยๆ ฮาฮ่า ฮือ ฮือ
ป๊าผมชอบพูดบ่อยๆว่า เวลาจะซื้ออะไรใช้เองให้ซื้อของคุณภาพดีๆไว้ก่อนแพงกว่าบ้างไม่เป็นไร เห็นมั้ยเวลาคนอื่นซื้อของไม่ดีมา เดี๋ยวก็ซ่อม เดี๋ยวก็ซื้อใหม่ ไปๆมาๆ แพงกว่าเราที่ซื้อของดีๆ ใช้แล้วใช้ได้ทน นาน จนลืมไปเลยว่ากี่ปีแล้ว ซื้อของคุณภาพดีคุ้ม แล้วพอผมได้เรียนรู้คำพูดนี้ และเข้าใจว่ามันจริงนะ และของดีจริงๆก็ไม่ต้องแพง และของแพงบางอย่างก็ไม่ได้ดีขนาดนั้น นั่นจึงทำให้ผมเวลาจะซื้ออะไรก็มักจะมองคุณสมบัติ คุณภาพ และความต้องการว่าผมต้องการจริงๆมั้ย หรือซื้อไปวางเฉยๆ และความเหมาะสมของราคา ดังนั้นผมทำความเข้าใจสิ่งของที่ผมจะซื้อก่อนที่ผมจะซื้อมัน และคิดก่อนว่าผลของการที่ใช้เงินไปนั้นเป็นสิ่งที่ผมต้องการหรือไม่
ซึ่งนั่นทำให้ผมใช้เงินในสิ่งที่ผมต้องการใช้หรือซื้อ มีคุณสมบัติเพียงพอตามที่ผมต้องการ และมีคุณภาพดี ใช้งานได้นานคุ้มค่า และเมื่อผมใช้เงินของผมซื้อสิ่งนี้ ผมเชื่อว่าผมได้ใช้เงินอย่างคุ้มค่า และมีประสิทธิภาพมากขึ้น แม้อาจจะต้องเสียเวลาศึกษา ทำความเข้าใจบ้าง แต่ผมอยากซื้ออยากใช้มันนี่นา เสียเวลาศึกษานิดหน่อยจะเป็นอะไรไป และถ้าเข้าใจได้แบบนี้ เราก็ไม่จำเป็นที่จะต้องใช้เงินไปกับของที่เราไม่ได้ต้องการจริง หรือ ของคุณภาพไม่ดี หรือของที่เอาแล้วไม่ได้ใช้
นั่นแปลว่าเราควรจะเข้าใจสิ่งที่เราจะเอาเงินของเราไปแลกมาให้ดีเสียก่อน และถ้าสิ่งนั้นไม่ดีพอสำหรับเราเราก็ไม่ต้องจ่าย
และตามที่รู้กันว่าสินค้านั้นมีมากมายหลายระดับราคา ทั้งที่มีคุณภาพทดแทนกันได้ งั้นเรามามองที่ความอิ่ม สะอาด เป็นผลที่ต้องการได้รับ 100 % ถ้าเราทานอาหารในร้านติดแอร์หรูๆ อาหารจานละ 60 บาท กับร้านอาหารทั่วไปที่สะอาด อาหารจานละ 30 บาท ถ้าเราทานก็ได้ความอิ่มสะอาด 100% เท่ากัน แต่ร้านทั่วไป เราจ่ายเพียง ครึ่งหนึ่ง เพื่อได้รับผลลัพธ์ที่เท่ากัน ถ้า 60 บาท=100% 30 บาท = 50%
กินร้านแอร์หรู จ่าย 100% เพื่อ ได้ผลอิ่มสะอาดอร่อยใช้ได้ 100%
กินร้านทั่วไป จ่าย 50% เพื่อ ได้ผลอิ่มสะอาดอร่อยใช้ได้ 100%
อิ่มสะอาดอร่อยใช้ได้ เป็นที่เพียงพอต่อการบริโภคเพื่อดำรงชีวิต
พอมามองที่กระเป๋าถือของผู้หญิง ก็เป็นของที่ต้องใช้ถูกป่ะ แต่ก็เห็นหลายๆคนซื้อใบละแพงมาก ผลที่ต้องการได้รับ ใช้ใส่ของ ดีไซด์สวย มีแบรน เป็นผลที่ต้องการได้รับ 100% ใบแบรนดัง ใบละ 10,000 บาท ได้ผลครบตามที่ต้องการทั้งหมด ส่วนใบคุณภาพดี แต่แบรนไม่ดัง ใบละ 2,000 บาท ขาดผลเรื่องแบรน แต่แบรนมีไว้โชว์ ใส่ของ ดีไซด์สวยคือใช้จริง
ใบแบรนดัง จ่าย 10,000 บาท เท่ากับ 100% ได้ผลใช้ใส่ของ ดีไซด์สวย มีแบรน ครบ 100%
ใบคุณภาพดี จ่าย 2,000 บาท เท่ากับ 20%ของใบแบรนดัง 10,000 บาท ได้ผลใช้ใส่ของ ดีไซด์สวย 80%( ให้แบรน 20%เพราะมีไว้โชว์)
ดังนั้น จ่าย 100% เพื่อให้ได้ผล 100% จ่าย 20 % เพื่อให้ได้ผล 80% นั่นแปลว่าการซื้อใบแบรนดัง ต้องจ่ายเพิ่ม 80% เพื่อให้ได้ผลเพิ่มอีก 20%
นี่เป็นเพียงการประเมินส่วนตัวของผมนะครับ และผมก็เริ่มเรียนรู้การประเมินความคุ้มค่าในการใช้เงินครับ
เมื่อเรามีเงินเราเป็นผู้ใช้เงิน ซื้อของจากผู้ขาย แล้ว ไอ้ที่ว่าดี ดีสำหรับใคร
เครื่องโกนหนวดครับ มีวันหนึ่งจะไปซื้อที่โกนหนวดในห้างใหญ่แห่งหนึ่ง เลยไปเดินแผนกเครื่องใช้ไฟฟ้า เดินดูไปมาหลายรอบ จนมาดูเฉพาะที่ยี่ห้อ a ดูอยู่สักพักก็มีพนักงานขายเดินเข้ามา เป็นผู้หญิง ผมก็เริ่มถามรุ่นนี้ เป็นยังไง รุ่นนั้นเป็นยังไง ซึ่งทั้งหมดเป็นของยี่ห้อ a ผมก็ถามไปเรื่อยๆ จนเริ่มตัดสินใจแล้วว่าจะซื้อรุ่นไหน ผมว่าพนักงานดูผมออกว่าจะซื้อจริงๆ สักพักคนขายเลยแนะนำว่า ไม่ลองดูยี่ห้อ b บ้างเหรอ ยี่ห้อ b ดีกว่านะ ผมก็ไม่รีรอ รีบถามด้วยความสงสัย เหรอ ยี่ห้อ b ดีกว่าเหรอ ดีกว่ายังไงครับ เค้าก็บอกว่ามันจะสมูท นุ่มนวลกว่า ผมก็พูด เหรอครับ แล้วยังไงอีก เค้าก็ตอบว่า ก็ประมาณนี้ ผมก็เลยพรางคิดต่อ ด้วยที่ผมเคยใช้ เครื่องโกนหนวดของ ยี่ห้อ a และ b มาแล้ว ยี่ห้อ b ของผมเสียไปแล้ว ยี่ห้อ a ใช้ดีอยู่ ผมก็เลยคิดต่อ คนขายคนนี้เป็นผู้หญิง จะเคยใช้ที่โกนหนวดเหรอ อืม แล้วที่พูดสมูท นุ่มนวลกว่านี่ เอามาจากไหน ผมก็ได้คิดและผมชอบ ยี่ห้อ a มากกว่า ตามประสบการณ์ที่ใช้มา ก็เลยซื้อยี่ห้อ a ตามที่ต้องการและก็เดินกลับ ระว่างเดินนั้น ก็มองเห็น ตู้สินค้ายี่ห้อ b ตั้งอยู่ด้านหน้าตามประสบการณ์ ตู้ยิ่งอยู่ด้านหน้า จะมี 2 กรณี 1. เป็นสินค้าที่นิยม 2. กำไรดีกว่า แต่สำหรับพนักงานตามที่เคยได้ยิน มันจะมียอด มีเป้า ของแต่ละสินค้า ผมว่ายี่ห้อ b ก็ค่อนข้างเป็นที่นิยมนะ แต่ที่ผมดูจากพนักงานเหมือนเพียงต้องการให้ผมไปซื้อ ยี่ห้อ b เท่านั้นโดยที่ไม่มีเหตุผลว่าเพราะอะไร ทำไม หรือ อะไรที่ดีกว่า มากพอ ผมจึงเดาไปว่าเค้าอาจจะได้อะไรที่มากกว่าถ้าผมไปซื้อ ยี่ห้อ b ตามที่เขาชักจูง แต่ด้วยเพราะผมเคยใช้ทั้งสองยี่ห้อผมจึงตัดสินใจได้ด้วยตัวเอง นั่นแปลว่าผมเข้าใจในสินค้าระดับหนึ่ง ทำให้ผมไปซื้อในสิ่งที่ผมต้องการ คุณภาพดีได้ แม้ผมจะพบกับพนักงานขายที่พยายามขายสินค้าที่เค้าอยากขาย(ซึ่งผมดูจากการพูดจา การให้เหตุผล)
กลไกปกติ คนขายของโดยทั่วไปจะอยากขายสิ่งที่เขาต้องขายถูกป่ะ ยิ่งมีกำไรเขายิ่งอยากขายชิ้นนั้น ถ้าเราไม่รู้อะไรเลย ถ้าเจอคนขายที่ดีอาจแนะนำสิ่งที่ถูกต้อง แต่ถ้าเจอคนขายที่ไม่ดีเขาจะใส่ข้อมูลให้คุณ จนคุณซื้อของที่เขาต้องการขายให้ไป
นั่นจึงดูได้ว่า ยิ่งเรามีความเข้าใจในการใช้ การซื้อ หรือแม้กระทั่งการขาย มากเท่าไหร่ ประสิทธิภาพในการใช้เงินของเราก็จะดีขึ้นเท่านั้น และยิ่งใช้เงินฝั่งค่าใช้จ่ายได้มีประสิทธิภาพเท่าไหร่ ฝั่งเงินออมก็จะมีโอกาสสูงขึ้นเท่านั้นตามกันไป
รายได้ = ค่าใช้จ่าย + เงินออม
และเมื่อมีเงินออม และเงินออมมากขึ้นเรื่อยๆ จะทำยังไง
หลังจากผ่านหลายเหตุการณ์มีเงินมากมายที่ยอมเอาตัวเงินเองเข้าแลกเพื่อให้เราได้สิ่งต่างๆมา รวมถึงเพื่อการดำรงชีวิตและมาถึงตอนนี้เรายังมีเงินออม เงินที่เรายอมไม่ใช้ มันจึงยอมอยู่กับเรา งั้นเรามาเข้าใจมัน แล้วทำให้มันกลายเป็นเงิน ผู้ภักดีกันเถอะ ฮาฮ่า
ง่ายมากๆ แค่คุณรัก(รักนะครับไม่ใช่หลง)เงิน เงินจะภักดีต่อคุณ เมื่อรักเงินนั้นมันจะทำให้เราพร้อมที่จะให้ เราก็จะให้เวลาเพื่อทำความเข้าใจเงิน นิสัยของเงิน และความสามารถต่างๆของเงิน และเมื่อคุณเข้าใจดี ใช้เงินเป็นแล้วเงินจะยอมภักดีซื่อสัตย์ต่อคุณ
ก็ขนาด เรายอมไม่ใช้เงิน เงินก็ยอมอยู่กับเราแล้ว เวลาคุณใช้มัน มันก็เอาตัวเงินเข้าแลกเพื่อให้คุณได้สิ่งที่คุณต้องการโดยไม่ปริปากบ่นสักคำ ดูสิว่าเงินภักดีต่อคุณขนาดไหน คุณจะไม่รักมันบ้างเลยเหรอ แล้วถ้าคุณยิ่งรักมัน คุณก็จะไม่ใช้มันเพื่อให้มันเอาตัวเข้าไปแลกสิ่งที่ไร้สาระ และถ้าคุณยิ่งเข้าใจมัน ใช้มันเป็น เงินมันจะอยู่กับคุณด้วยภักดี แถมนะ แถม เงินมันยังสามารถไปหาเงินมาเพิ่มให้คุณได้อีกด้วย และถ้าคุณยังคงรักเงินที่มันไปหามาเพิ่มได้ เงินเหล่านั้นก็จะภักดีต่อคุณเช่นกัน
ความสามารถเฉพาะตัวที่ดีเยี่ยมของเงิน จะถูกใช้ออกมาด้วย การลงทุน เปรียบเหมือนให้เงินไปทำงาน แต่บอกแล้วนะต้องรักเงิน ให้เวลา มีความรู้มากพอ และใช้เงินเป็นนะ มันถึงจะภักดี(ศึกษาข้อมูลก่อนการลงทุนทุกครั้งนะครับ)
การลงทุน ตามความหมายที่ได้ยินมา ก็ประมาณว่า การที่เรานำเงินไปลงทุนซื้อสินทรัพย์ และสินทรัพย์นั้น ก็สามารถทำเงินได้เช่นค่าเช่า ผลผลิตต่างๆ และสิ่งนั้นก็เป็นผลตอบแทนกลับมาสู่ผู้เป็นเจ้าของสินทรัพย์นั้น เช่น พอมีเงินออมรุ่นที่1 นำเงินไปลงทุนซื้อที่ดินทำฟาร์ม ปลูกพืช ต่างๆลงในฟาร์ม พอพืชออกผล ก็นำไปขาย ก็ได้เงิน เงินนี้ก็ถือเป็นส่วนตอบแทนหรือผลผลิตของเงินออมรุ่นที่ 1 พอมีเงินออมรุ่นที่ 2 นำเงินไปลงทุนซื้อห้องในคอนโด แล้วปล่อยเช่าได้ ผู้เช่าจ่ายค่าเช่าเป็นเงิน เงินนี้ก็ถือเป็นส่วนตอบแทนหรือผลผลิตของเงินออมรุ่นที่ 2 สมมุติพอเราเอาเงินที่เป็นผลผลิตของเงินออมรุ่นที่ 1 และ 2 หลายๆครั้ง รวมกันเป็นเงินก้อน แล้วมากพอกลายเป็นเงินออมรุ่นที่ 3 ก็สามารถนำไปลงทุนอย่างอื่นต่อไป ซึ่งนิยามนี้เป็นการลงทุน ที่มองผลตอบแทนต่อเดือน ต่อปี ต่อไปเรื่อยๆ ต่อ อายุสินทรัพย์ที่เราลงทุนไป อย่างที่ดินเป็นการซื้อขาด ก็เหมือนจะได้ผลตอบแทนไปเรื่อยๆ แต่ถ้าลงทุนในเครื่องจักรเพื่อผลิตอะไรสักอย่าง เครื่องจักรก็จะมีอายุเท่านั้นปีเพื่อผลิตผลตอบแทนสู่เจ้าของ ดังนั้นเรื่องเวลาที่สินทรัพย์ทำเงินได้ก็เป็นอีกปัจจัยที่ต้องนำมาคำนวณ รูปแบบนี้ก็คือเงินนั้นไปทำงานหาเงินมาให้เพิ่มได้เห็นมั้ย แต่จะทำแบบนี้ได้ยังไง แน่นอน คำตอบคือความเข้าใจ และความรู้
เมื่อโลกนี้เป็นรูปแบบทุนนิยม โลกแห่งการเงิน แน่นอน วิธีการลงทุนไม่ได้มีเพียงเท่านี้แน่ มันยังมีระบบที่ซับซ้อนขึ้นไปอีก แต่ต้องบอกว่ามันดีนะเพราะมันจะยิ่งเป็นทางเลือกของผู้มีเงินผู้ภักดี เพียงแต่เจ้าของเงินต้องเรียนรู้ให้มากพอ แล้วยังไงบ้าง
กรณีทั่วไป เริ่มจาก ไม่มีเงินออม ก็ไม่มีเงินลงทุน เราก็เลยต้องเรียนหาวิชาความรู้ พอมีวิชาความรู้ก็เริ่มลงแรง เป็นพนักงาน พอเป็นพนักงานมีเงินเดือน ก็จัดการเงินทั้งด้านค่าใช้จ่าย และเงินออม เมื่อมีเงินออมก็เริ่มต้นมีเงินผู้ภักดีเป็นของตัวเอง ก็ขวนขวายก้าวหน้าในการงานต่อไป ได้เงินเดือนมากขึ้น ควบคุมค่าใช้จ่ายได้ดี เงินออมก็มากขึ้น นั่นก็แปลว่ามีเงินลงทุน
ลงทุนฝากเงินธนาคาร ก็ได้ดอกเบี้ย ลงทุนซื้อพันธบัตร ก็ได้ดอกเบี้ย ลงทุนซื้อกองทุนรวม ผู้จัดการกองทุนรวมก็นำเงินเราไปลงทุนต่อ และได้ผลตอบแทนก็แบ่งสู่ผู้ถือหน่วยลงทุน ลงทุนแบบเห็นจับต้องได้ก็ลงทุนซื้อที่ดิน อสังหาริมทรัพย์ให้ผู้อื่นเช่า ก็ได้เงินจากการลงทุน ต่อมาก็ลงทุนแบบเหนื่อยหน่อยควบคุมความเสี่ยงต่างๆด้วยตัวเองก็ทำธุรกิจส่วนตัว ใช้เงินรวมแรงวิชาความรู้ทางธุรกิจ ซึ่งในสมัยนี้ธุรกิจก็เป็นสินทรัพย์ประเภทหนึ่งเพราะสามารถทำเงินได้ ก็ได้กำไร ได้เงินจากการลงทุนลงแรงมา ถ้าธุรกิจใหญ่โตขึ้นก็นำธุรกิจนี้เข้าตลาดหุ้น ผู้อื่นก็นำเงินของเขามาซื้อหุ้นมาช่วยลงทุน พอหุ้นบริษัททำธุรกิจมีกำไร ก็แบ่งผลตอบแทนสู่ผู้ถือหุ้น อะไรทำนองนี้ เห็นมั้ยมันก็มีความหลากหลายในรูปแบบทั้งแบบใช้เงินน้อยๆลงทุนก็ได้ หรือแบบต้องใช้เงินมากเพื่อลงทุนก็มี ถ้าเข้าใจ ใช้เป็นก็ล้วนใช้เงิน ผู้ภักดี ไปหาเงินมาเพิ่มให้เราได้
แน่นอนถ้าเราจะใช้เงิน ไปหาเงินโดยการลงทุน คำถามคือผลตอบแทนนั้นจะได้เท่าไหร่ ซึ่งภาษาทางการเงินทั่วไปนี้ ผลตอบแทนเขาจะคิดกันเป็น % ต่อปี ฝากธนาคาร ได้ 3 % ต่อปี แปลว่าฝากเงิน 100 บาทฝาก 1 ปีได้ 3 บาท(100*3%) อย่าเพิ่งคิดว่าน้อยสิ เพราะถ้าคุณมีเงินออมทำงานในธนาคาร 10 ล้านบาท จะได้ดอกเบี้ย 3 แสนบาทต่อปี ตกได้เดือนละ 25,000 บาท ถ้าคุณใช้เงินเดือนละ 20,000 บาท แปลว่าเงินลงทุนมันหาเงินมาให้คุณใช้เดือนละ 20,000 บาทแถมเหลือ 5,000 บาทไว้เป็นเงินออมเพิ่มอีก งั้นถ้าคุณไปซื้อห้องคอนโด 3 ล้านบาท ได้ค่าเช่าสุทธิเดือนละ 12,000 บาท สงสัยมั้ยครับว่าจะได้กี่%ต่อปี ก็เอา 12,000*12=144,000 แล้วเอา (144,000/3,000,000)*100 = 4.8% ต่อปี ประมาณนี้
แต่การลงทุนที่โดดเด่นอย่างหนึ่ง นั่นคือการลงทุนในบริษัทมหาชนในตลาดหลักทรัพย์ผ่านสิ่งที่เรียกว่าหุ้น ซึ่งบริษัทในตลาดหุ้นนี้ก็จะแสดงผลประกอบการ ความสามารถในการทำกำไรแบบย่อ ให้ดูผ่านทางงบการเงิน ซึ่งเมื่อกำไรก็จะแบ่งเงินออกมาสู่ผู้ถือหุ้นเรียกว่าเงินปันผล ซึ่งบริษัทเหล่านี้คือบริษัทที่มีการขายผลิตภัณฑ์ หรือบริการ หรือลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ ที่สามารถสร้างกำไรให้สู่บริษัท เช่น บริษัทค้าปลีก ก็มีสาขาตั้งอยู่ในหลายๆที่ และนำสินค้าต่างๆเข้ามาขาย หลังหักค่าใช้จ่ายต่างๆ ก็จะได้เป็นกำไร หรือ บริษัทผู้ผลิต ผลิตบะหมี่ ก็ผลิตบะหมี่ไป และรสชาติได้รับการยอมรับ พอผลิตได้บ้างก็ขายผ่านบริษัทขายปลีกต่างๆ และก็ได้กำไรจากการเป็นผู้ผลิตบะหมี่ ประมาณนี้ แต่ในสิ่งที่เรียกว่าหุ้นนี้ จะมีส่วนที่เรียกว่าส่วนต่างราคา เช่น เมื่อ 6 เดือนที่แล้วราคาเขาซื้อขายกันที่ 10 บาท แต่วันนี้ราคาซื้อขายอยู่ที่ 12 บาท ดังนั้นจะมีส่วนต่างราคาเกิดขึ้น 2 บาท ซึ่งการเกิดสิ่งนี้จะมาจากปัจจัยหลายอย่างที่เข้ามากระทบ ทั้งแง่ กำไรของบริษัท อัตราผลตอบแทนของตลาดเงินโดยรวม ความเชื่อมั่น และอื่นๆอีก และส่วนต่างราคานี้ก็เป็นส่วนหนึ่งที่หลายคนอยากทำให้ได้กำไร และเรื่องส่วนต่างราคานี้ก็ยังเกิดขึ้นได้กับสินทรัพย์ประเภทอื่นอีก เช่น ห้องในคอนโด อย่างเช่นราคาปรับขึ้นเพราะ อัตราเงินเฟ้อ(การที่อำนาจของเงินด้อยค่าลง) ค่าวัสดุต่างที่มีการขึ้นราคา หรือ แม้แต่ราคาที่ดินบริเวณนั้น
นี่แหละครับการลงทุน แต่การลงทุนนั้นมีรายละเอียดย่อยลงไปอีกค่อนข้างพอสมควร ก็เพราะมันเป็นเรื่องเกี่ยวกับการใช้เงินไปหาเงินจริงๆ พวกนี้คือรูปแบบการลงทุนที่เป็นภาพคร่าวๆ แต่ถ้าคุณเข้าใจการลงทุนได้ที่ และใช้มันได้คล่องแคล่วมันจะช่วยทำเงิน ผลตอบแทนให้คุณได้มากทีเดียว
สิ่งที่พอจะบอกได้ก็คือ ไม่มีใครที่จะมาดูแลผลประโยชน์ของเรา ให้ดีได้เท่ากับเราดูแลผลประโยชน์ของเราเอง
ทั้งหมดที่ผมเขียนขึ้น ผมว่ามันคล้ายๆ เมล็ดพันธุ์พืช เวลาได้รับไปก็น่าเพาะให้มันแตกฉาน เมื่อแตกฉานก็จะสามารถนำมันไปประยุกต์ใช้กับกรณีต่างๆได้เรื่อยไป
ยังจำคำกลอนข้างต้นได้มั้ยครับ
จงตื่นเถิด เปิดตา หาความรู้ เรียนคำครู คำพระเจ้า เฝ้าขยัน จะอุดม สมบัติ ปัจจุบัน แต่สวรรค์ ดีกว่า เราอย่าลืม
จริงๆผมเพิ่งเข้าใจมาได้ไม่นานนี้เองครับ
จงตื่นเถิด เปิดตา ก็น่าจะหมายว่า เปิดตา เปิดใจ เปิดความคิด ให้พร้อมที่จะรับ
หาความรู้ เรียนคำครู ก็น่าจะหมายว่า เมื่อพร้อมรับ ก็รับความรู้ จากการฟัง การเรียน จากผู้รู้
คำพระเจ้า ก็น่าหมายความว่า คือโรงเรียนผมเป็นโรงเรียนคริสต์ ก็น่าจะหมายถึงคำสอนทางคริสต์ สำหรับเป็นชาวพุทธ ก็น่าจะเปรียบเป็นสัจธรรม แห่งชีวิต ธรรมะ ศีลธรรม
เฝ้าขยัน จะอุดม สมบัติ ปัจจุบัน ก็น่าจะหมายว่า ขยัน เรียนรู้ เข้าใจ ทำ ก็จะมีพร้อมด้วยสิ่งต่างๆมากมาย
แต่สวรรค์ ดีกว่า เราอย่าลืม ก็น่าจะหมายว่า แม้จะได้สิ่งต่างๆมามากมาย จงอย่าลืมในสัจธรรมแห่งชีวิต มีซึ่งธรรมะ ศีลธรรม ใช้ชีวิตให้มีความสุข
-
- Verified User
- โพสต์: 124
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เงิน..ผู้ภักดี
โพสต์ที่ 3
ขอบคุณครับ
อ่านแล้วเข้าใจว่า
ถ้าเราเป็นหนี้ = เราเป็นลูกน้องเงิน
ถ้าเราออมและลงทุน = เงินเป็นลูกน้องเรา
อ่านแล้วเข้าใจว่า
ถ้าเราเป็นหนี้ = เราเป็นลูกน้องเงิน
ถ้าเราออมและลงทุน = เงินเป็นลูกน้องเรา
-
- Verified User
- โพสต์: 227
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เงิน..ผู้ภักดี
โพสต์ที่ 4
บทความเยี่ยมครับ ผมก็รักเงินครับ อยากให้มันอยู่กับเราตลอด
- thalucoz
- Verified User
- โพสต์: 658
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เงิน..ผู้ภักดี
โพสต์ที่ 6
ขอบคุณสำหรับ อาหารสมองอันนี้ครับ Very Deliเชียส ครับverapongzz เขียน:ขอบคุณครับ
อ่านแล้วเข้าใจว่า
ถ้าเราเป็นหนี้ = เราเป็นลูกน้องเงิน
ถ้าเราออมและลงทุน = เงินเป็นลูกน้องเรา
คำพูดนี้ถูกใจมากครับ กด Like ให้เลยครับ
FREEDOM ---------- HOLD MY HAND
- SunShine@Night
- Verified User
- โพสต์: 2196
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เงิน..ผู้ภักดี
โพสต์ที่ 10
+1 ครับ
VI ฝึกหัด สำนักปีเตอร์ ลินช์
หวังผลต่อแทนทบต้นมากกว่า 15% ต่อปี
หวังผลต่อแทนทบต้นมากกว่า 15% ต่อปี
- กล้วยไม้ขาว
- Verified User
- โพสต์: 1074
- ผู้ติดตาม: 1
Re: เงิน..ผู้ภักดี
โพสต์ที่ 12
เข้ามาเสพความรู้จากพี่อีกครั้งครับ คุณภาพไม่เคยตกจริงๆ
- pizad_sura
- Verified User
- โพสต์: 67
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เงิน..ผู้ภักดี
โพสต์ที่ 13
ชอบมากเลยครับ ช่วงแรก ๆ น่ารัก ให้ข้อคิด ช่วงหลัง ๆ ให้ความรู้
(เพิ่งสมัคร user เลย โพสแรก)
(เพิ่งสมัคร user เลย โพสแรก)
-
- Verified User
- โพสต์: 9
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เงิน..ผู้ภักดี
โพสต์ที่ 16
สิ่งที่จะทรยศเราสิ่งแรก ก็คือเงินครับ
เมื่อเราตาย เงินจากเราไปทันที เป็นของคนอื่น...แน่นอน
ทำบุญดีกว่า อิอิ
เมื่อเราตาย เงินจากเราไปทันที เป็นของคนอื่น...แน่นอน
ทำบุญดีกว่า อิอิ
-
- Verified User
- โพสต์: 432
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เงิน..ผู้ภักดี
โพสต์ที่ 17
555
เมื่อเราตาย เงินจากเราไปทันที เป็นของคนอื่น...แน่นอน
อันนี้มันเป็นสัจธรรม ย่อมหนีไม่พ้น เกิดมา ตั้งอยู่ ดับไป จะเรียกว่าทรยศได้หรือ
เงินดูเหมือนจะทรยศเราก็ต่อเมื่อเราใช้มันไปทำในสิ่งที่ไม่ดีและเป็นโทษต่อตัวเราเอง ทำให้เราได้รับทุกข์หรือภัยจากการใช้เงินนั้น แต่นั่นก็เกิดจากเจ้าของเงินผู้ใช้มันเอง
ทำบุญเป็นสิ่งที่ดีอยู่แล้วครับ น่าจะอยู่ใน แต่สวรรค์ ดีกว่า เราอย่าลืม
จงตื่นเถิด เปิดตา หาความรู้ เรียนคำครู คำพระเจ้า เฝ้าขยัน จะอุดม สมบัติ ปัจจุบัน แต่สวรรค์ ดีกว่า เราอย่าลืม
เมื่อเราตาย เงินจากเราไปทันที เป็นของคนอื่น...แน่นอน
อันนี้มันเป็นสัจธรรม ย่อมหนีไม่พ้น เกิดมา ตั้งอยู่ ดับไป จะเรียกว่าทรยศได้หรือ
เงินดูเหมือนจะทรยศเราก็ต่อเมื่อเราใช้มันไปทำในสิ่งที่ไม่ดีและเป็นโทษต่อตัวเราเอง ทำให้เราได้รับทุกข์หรือภัยจากการใช้เงินนั้น แต่นั่นก็เกิดจากเจ้าของเงินผู้ใช้มันเอง
ทำบุญเป็นสิ่งที่ดีอยู่แล้วครับ น่าจะอยู่ใน แต่สวรรค์ ดีกว่า เราอย่าลืม
จงตื่นเถิด เปิดตา หาความรู้ เรียนคำครู คำพระเจ้า เฝ้าขยัน จะอุดม สมบัติ ปัจจุบัน แต่สวรรค์ ดีกว่า เราอย่าลืม
-
- Verified User
- โพสต์: 11
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เงิน..ผู้ภักดี
โพสต์ที่ 20
ดีมากครับของเอาไป เผยแผ่ต่อนะครับ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 676
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เงิน..ผู้ภักดี
โพสต์ที่ 21
ยาวมาก แต่ก็ดีครับ
I m AC 11_ (1 to 5)
dont wanna show my real age 5555
I m AC 11_ (1 to 5)
dont wanna show my real age 5555
growth mindset
-
- Verified User
- โพสต์: 164
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เงิน..ผู้ภักดี
โพสต์ที่ 22
อ่านหัวเรื่องแล้วคิดถึงคำพูดของ พี่หมอสามัญชน ที่เคยได้ยิน
"เงินเป็นทาสที่ดี แต่เป็นนายที่เลว" ประมาณนี้ครับ
ขอบคุณสำหรับบทความครับ
"เงินเป็นทาสที่ดี แต่เป็นนายที่เลว" ประมาณนี้ครับ
ขอบคุณสำหรับบทความครับ
วันนึงผมจะเป็นแมงเม่าที่ยิ่งใหญ่ฮะ !!!
- airazoc
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 904
- ผู้ติดตาม: 1
Re: เงิน..ผู้ภักดี
โพสต์ที่ 24
โห ยาวจริงอะไรจริง กว่าจะอ่านจบ เหนื่อยเลย
สอนให้เห็นพัฒนาการ ตั้งแต่การใช้จ่าย มาจนเริ่มอดออม และ ลงทุน อย่างเห็นภาพ
ขอบคุณบทความดีๆครับ
สอนให้เห็นพัฒนาการ ตั้งแต่การใช้จ่าย มาจนเริ่มอดออม และ ลงทุน อย่างเห็นภาพ
ขอบคุณบทความดีๆครับ
"In life and business, there are two cardinal sins ... The first is to act precipitously without thought, and the second is to not act at all.” – Carl Icahn
-
- Verified User
- โพสต์: 46
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เงิน..ผู้ภักดี
โพสต์ที่ 25
คุณ areliang น่าจะรุ่นๆเดียวกับผมเลย (33 ปี) ชีวิตสมัยเด็กเหมือนกันมากครับ ที่บ้านค้าขาย ครอบครัวคนจีน ขอตังได้วันละ 2 เวลา แต่ผมได้แค่บาทเดียวเอง เหมือนเด็กแถวๆบ้านกัน ยุคนั้นสมุดสะสมสติกเกอร์โดราเอมอน ดังมากๆในหมู่เด็กผู้ชายจริงๆ
อ่านแล้วทำให้นึกถึงวัยเด็กอีกครั้ง จริงๆ
อ่านแล้วทำให้นึกถึงวัยเด็กอีกครั้ง จริงๆ
- nACrophiles_117
- Verified User
- โพสต์: 1362
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เงิน..ผู้ภักดี
โพสต์ที่ 26
บาเดอร์ ฟ ฮีแลร์จงตื่นเถิด เปิดตา หาความรู้ เรียนคำครู คำพระเจ้า เฝ้าขยัน จะอุดม สมบัติ ปัจจุบัน แต่สวรรค์ ดีกว่า เราอย่าลืม
labor omnia vincit
- Financeseed
- Verified User
- โพสต์: 1304
- ผู้ติดตาม: 0