มุมมองเรื่อง Laggard Play ในตลาดขาขึ้น
โพสต์แล้ว: เสาร์ พ.ค. 28, 2011 1:26 am
สวัสดีครับพี่ๆเพื่อนๆใน thaivi
วันนี้ผมมีบทความดีๆมาแนะนำ อาจจะเป็นประโยชน์กับพวกเราชาว thaivi ไม่มากไม่น้อยครับ
เห็นกระพือข่าว Take Over "TTA" โดย ทุนออสซี่ ก็อดไม่ได้ ขอ Comment หน่อย ... จริงๆแล้วใน ตลาดหุ้นขาขึ้นแบบนี้ โอกาสที่ท้ายสุดหุ้นจะขึ้นทั้งตลาดก็เป็นไปได้สูง แต่คำถามคือ "ทำไมหุ้นส่วนใหญ่ขึ้น แต่คนในตลาดส่วนใหญ่ก็ยังขาดทุนอยู่ดี" ....
ช่วงนี้ผมจัดสัมมนากับ S2M และก็ได้รับเชิญให้ไปพูดเรื่องการลงทุน กับธุรกิจหลายๆองค์กร ..สิ่งที่ผมเห็นเลยคือ "คนส่วนใหญ่เข้ามาเล่นหุ้น ด้วยทัศนคติที่อันตรายอย่างมาก" คือ "เข้ามาแล้วหวังกำไรมากๆ เร็ว และ ต้องไม่ขาดทุน..ซึ่งแน่นอนใครที่มีทัศนคติแบบนี้ ผมแทบจะการันตีได้เลยว่า เจ๊งทุกราย ไม่ช้าก็เร็ว!!"
เพราะกับดักของการ "ได้กำไรเร็วๆ" ก็คือ จะเข้าข่ายไปเล่นหุ้นปั่นหมด เพราะ เจ้ามือเขารู้จิตวิทยาของรายย่อยเป็นอย่างดี ..ดังนั้น ความคิดแบบพื้นๆแบบได้กำไรเร็ว และ ขาดทุนไม่ได้ จึงเป็นทางสู่หายนะอย่างแท้จริง เพราะมันทำให้คุณกลายเป็นคนมองหาแต่หุ้นปั่นๆ และก็เข้าซื้อขายแบบกล้าๆกลัวๆ ... "หลักการเล่นหุ้นให้กำไรในภาวะตลาดผันผวนคือ เราต้องมีแนวทางที่ชัดเจน เช่น ถ้าเล่นหุ้นปั่นก็ต้องกล้า Let Profit Run และ มีจุด Cut Loss ที่ชัด ไม่ใช่กล้าๆกลัวๆ ... ส่วนถ้าอยากซื้อหุ้นถูก ก็ต้องกล้าเข้าซื้อเวลา คนส่วนใหญ่ขายออกมา"
(มาดู TTA กัน) ..สังเกตให้ดีๆว่าก่อนหน้านี้ มีแต่ข่าวแย่ๆ ถ้าไปถามใครช่วงต้นปีก็มีแต่อยากจะขายหุ้นทิ้ง ..ดูที่ราคา หย่อนลงมาต่ำกว่า 20 บาท (คือ ต่ำกว่า Book Value ตั้งครึ่งนึง) -- แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ ในตลาดขาขึ้น มันมีวิธีการมากมายที่สามารถทำให้ ราคาเปลี่ยน หรือ แม้แต่ทำให้พื้นฐานเปลี่ยน ..เช่น การควบรวม การแตกพาร์ การซื้อหุ้นคืน
วิธีการเล่นแบบ Laggard Play ก็คือ "มองหาหุ้นที่คนอื่นขาย ..เข้าในช่วงไม่มีใครอยากเข้า ..แต่ที่สำคัญที่สุด คุณต้องแน่ใจว่า กิจการไม่น่าเจ๊ง และ ภาพใหญ่ของตลาดยังอยู่ในขาขึ้น" -- ประเด็นคือ คุณจะแน่ใจได้อย่างไรว่าเป็นเช่นนั้น "คำตอบง่ายๆ คือ สุดท้ายไม่มีใครรู้หรอก และนั่นก็คือ ความเสี่ยงซึ่งมันมีอยู่แล้ว ในการลงทุน(ต้องเข้าใจให้ถูกนะ ว่า ถ้าหุ้นมันเล่นง่าย คนส่วนใหญ่ก็ต้องกำไร ไม่ใช่เจ๊งอย่างที่เห็น)" ...ดังนั้น การเล่นหุ้น ที่พื้นฐานใช้ได้ แต่มันยัง Laggard ก็สามารถช่วยให้เราซื้อหุ้นได้ในราคาถูก
"เรื่องการซื้อหุ้นถูกนี่ หลายๆคนไม่เข้าใจ ..คือ หุ้นถูกที่คุณซื้อในช่วงราคาถูก แปลว่า เวลานั้นคนส่วนใหญ่ขาย ..ดังนั้น -- หุ้นแนวนี้ ยิ่งซื้อ ก็ยิ่งลง !! -- เพราะมันจะมีแค่คุณและเจ้ามือเท่านั้น ที่จะซื้อเวลาที่หุ้นถูกได้ .. แต่ในความเป็นจริง คุณก็ไม่สามารถจะแน่ใจได้เลยว่า แล้วจริงๆ เจ้ามือซื้อพร้อมคุณหรือไม่!!" ... ก็นี่แหละครับ ที่มันเป็นความยาก แต่มันเป็นความยากที่เข้าใจได้ เพราะเมื่อคุณทำอะไรที่สวนทางคนส่วนใหญ่ เช่น ซื้อหุ้นในขาลง (เพราะคนส่วนใหญ่ในเวลานั้นๆขาย หุ้นถึงลง ..ดังนั้นไม่ต้องไปถามหรอกว่า คนส่วนใหญ่ทำอะไร ดูง่ายๆ ถ้าหุ้นขึ้น ก็คือ เวลานั้นๆในตลาดส่วนใหญ่ซื้อ ..เวลาหุ้นลง ก็คือ เวลานั้นส่วนใหญ่ขาย ..มันก็แค่นั้นเอง)
อย่าง TTA ก็สรุปได้ว่า ก่อนหน้านี้ที่คนส่วนใหญ่กลัวๆ และขายทิ้งออกมา ที่ราคาต่ำกว่า 20 บาท ก็กลายเป็นช่วงที่กลุ่มทุนออสซี่ เข้ามาทยอยเก็บหุ้น ....
ว่าแล้วผมก็ลองไปดูกิจการที่ขาขึ้นสุดๆอย่าง BANPU กลายเป็นว่า Free Float ปาเข้าไป 85% แล้ว (นั่นแปลว่า เจ้าของเขาทยอยปล่อยขายหุ้นออกมา เกือบ 85% แล้ว)..."ถามจริงๆเถอะ ถ้าคุณเป็นเจ้าของกิจการ คุณจะขายหุ้นเวลาไหน(ถ้าคุณอยากทำกำไร) ..ถูกต้อง!! ขายเวลาที่กิจการอยู่ในขาขึ้นสุดๆนั่นเอง (เพราะขาขึ้นสุดๆ มันมี Volume ซึ่งเป็นโอกาสเดียวที่เจ้าของจะขายหุ้นจำนวนเป็นพันๆหมื่นๆล้านได้ ..ขืนทำในช่วงขาลง หุ้นคงลงติด Floor ทุกวัน..จริงไหม!!)" ...แต่ประเด็นคือ ถึงแม้เจ้าของขายออกมาแล้ว มันก็ไม่ได้หมายความว่าหุ้นจะเข้าสู่ขาลง เพราะคนที่ซื้อหุ้นต่อจากเจ้าของ ก็คือ "เจ้ามือ" ..อย่าง BANPU ลองเปิดผู้ถือหุ้นรายใหญ่ จะเห็นๆเลยว่า "ฝรั่งก็คือเจ้ามือ"... ดังนั้น ตราบใดที่เพลงยังบรรเลง จงเต้นกันต่อไป..หุ หุ
ฮึม!!งั้นฝากประเด็นเรื่อง Free Float ไปศึกษากันดู ..การที่หุ้นจะเด้งแบบ ระเบิดเถิดเทิง สาเหตหลักๆก็คือ มี"เจ้าของ"ถือหุ้นใหญ่ จากนั้น ก็ส่งไม่ต่อให้ "เจ้ามือ" ในยุคที่สอง ...จับตา Free Float ของกิจการไว้ครับ ..มันเป็นการช่วยย้ำภาพความเป็น Laggard Play ได้อย่างสบายใจขึ้น "ตราบใด เจ้าของยังอยู่ ราคายังถูก ปันผลยังดี ..ก็ชิวไป" เพราะ พอ"เจ้าของ"ออก หุ้นก็จะไปต่อ เนื่องจากเปลี่ยนเป็น"เจ้ามือ" ... แต่เมื่อไหร่ที่หุ้นอยู่ในมือรายย่อยเป็นส่วนใหญ่ Free Float แบบเกือบ 100% ..เมื่อนั่นแหละ ช่วงห่วยแตกจะมาถึง --- จากนั้น วัฎจักรก็วนเวียนมาเป็นแบบ TTA คือ เริ่มใหม่ ..โดยเจ้ามือใหม่
--- เป็นเช่นนี้แล เป็นวัฎจักร ขอให้เราตามเขาให้ทันก็จะไม่เจ็บตัวครับ เพราะ "History Repaet itself จริงๆ"...อิ อิ
ขอบคุณ : Pawawit S2M VIP member สำหรับข้อมูล+ความรู้ดีๆเสมอ
วันนี้ผมมีบทความดีๆมาแนะนำ อาจจะเป็นประโยชน์กับพวกเราชาว thaivi ไม่มากไม่น้อยครับ
เห็นกระพือข่าว Take Over "TTA" โดย ทุนออสซี่ ก็อดไม่ได้ ขอ Comment หน่อย ... จริงๆแล้วใน ตลาดหุ้นขาขึ้นแบบนี้ โอกาสที่ท้ายสุดหุ้นจะขึ้นทั้งตลาดก็เป็นไปได้สูง แต่คำถามคือ "ทำไมหุ้นส่วนใหญ่ขึ้น แต่คนในตลาดส่วนใหญ่ก็ยังขาดทุนอยู่ดี" ....
ช่วงนี้ผมจัดสัมมนากับ S2M และก็ได้รับเชิญให้ไปพูดเรื่องการลงทุน กับธุรกิจหลายๆองค์กร ..สิ่งที่ผมเห็นเลยคือ "คนส่วนใหญ่เข้ามาเล่นหุ้น ด้วยทัศนคติที่อันตรายอย่างมาก" คือ "เข้ามาแล้วหวังกำไรมากๆ เร็ว และ ต้องไม่ขาดทุน..ซึ่งแน่นอนใครที่มีทัศนคติแบบนี้ ผมแทบจะการันตีได้เลยว่า เจ๊งทุกราย ไม่ช้าก็เร็ว!!"
เพราะกับดักของการ "ได้กำไรเร็วๆ" ก็คือ จะเข้าข่ายไปเล่นหุ้นปั่นหมด เพราะ เจ้ามือเขารู้จิตวิทยาของรายย่อยเป็นอย่างดี ..ดังนั้น ความคิดแบบพื้นๆแบบได้กำไรเร็ว และ ขาดทุนไม่ได้ จึงเป็นทางสู่หายนะอย่างแท้จริง เพราะมันทำให้คุณกลายเป็นคนมองหาแต่หุ้นปั่นๆ และก็เข้าซื้อขายแบบกล้าๆกลัวๆ ... "หลักการเล่นหุ้นให้กำไรในภาวะตลาดผันผวนคือ เราต้องมีแนวทางที่ชัดเจน เช่น ถ้าเล่นหุ้นปั่นก็ต้องกล้า Let Profit Run และ มีจุด Cut Loss ที่ชัด ไม่ใช่กล้าๆกลัวๆ ... ส่วนถ้าอยากซื้อหุ้นถูก ก็ต้องกล้าเข้าซื้อเวลา คนส่วนใหญ่ขายออกมา"
(มาดู TTA กัน) ..สังเกตให้ดีๆว่าก่อนหน้านี้ มีแต่ข่าวแย่ๆ ถ้าไปถามใครช่วงต้นปีก็มีแต่อยากจะขายหุ้นทิ้ง ..ดูที่ราคา หย่อนลงมาต่ำกว่า 20 บาท (คือ ต่ำกว่า Book Value ตั้งครึ่งนึง) -- แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ ในตลาดขาขึ้น มันมีวิธีการมากมายที่สามารถทำให้ ราคาเปลี่ยน หรือ แม้แต่ทำให้พื้นฐานเปลี่ยน ..เช่น การควบรวม การแตกพาร์ การซื้อหุ้นคืน
วิธีการเล่นแบบ Laggard Play ก็คือ "มองหาหุ้นที่คนอื่นขาย ..เข้าในช่วงไม่มีใครอยากเข้า ..แต่ที่สำคัญที่สุด คุณต้องแน่ใจว่า กิจการไม่น่าเจ๊ง และ ภาพใหญ่ของตลาดยังอยู่ในขาขึ้น" -- ประเด็นคือ คุณจะแน่ใจได้อย่างไรว่าเป็นเช่นนั้น "คำตอบง่ายๆ คือ สุดท้ายไม่มีใครรู้หรอก และนั่นก็คือ ความเสี่ยงซึ่งมันมีอยู่แล้ว ในการลงทุน(ต้องเข้าใจให้ถูกนะ ว่า ถ้าหุ้นมันเล่นง่าย คนส่วนใหญ่ก็ต้องกำไร ไม่ใช่เจ๊งอย่างที่เห็น)" ...ดังนั้น การเล่นหุ้น ที่พื้นฐานใช้ได้ แต่มันยัง Laggard ก็สามารถช่วยให้เราซื้อหุ้นได้ในราคาถูก
"เรื่องการซื้อหุ้นถูกนี่ หลายๆคนไม่เข้าใจ ..คือ หุ้นถูกที่คุณซื้อในช่วงราคาถูก แปลว่า เวลานั้นคนส่วนใหญ่ขาย ..ดังนั้น -- หุ้นแนวนี้ ยิ่งซื้อ ก็ยิ่งลง !! -- เพราะมันจะมีแค่คุณและเจ้ามือเท่านั้น ที่จะซื้อเวลาที่หุ้นถูกได้ .. แต่ในความเป็นจริง คุณก็ไม่สามารถจะแน่ใจได้เลยว่า แล้วจริงๆ เจ้ามือซื้อพร้อมคุณหรือไม่!!" ... ก็นี่แหละครับ ที่มันเป็นความยาก แต่มันเป็นความยากที่เข้าใจได้ เพราะเมื่อคุณทำอะไรที่สวนทางคนส่วนใหญ่ เช่น ซื้อหุ้นในขาลง (เพราะคนส่วนใหญ่ในเวลานั้นๆขาย หุ้นถึงลง ..ดังนั้นไม่ต้องไปถามหรอกว่า คนส่วนใหญ่ทำอะไร ดูง่ายๆ ถ้าหุ้นขึ้น ก็คือ เวลานั้นๆในตลาดส่วนใหญ่ซื้อ ..เวลาหุ้นลง ก็คือ เวลานั้นส่วนใหญ่ขาย ..มันก็แค่นั้นเอง)
อย่าง TTA ก็สรุปได้ว่า ก่อนหน้านี้ที่คนส่วนใหญ่กลัวๆ และขายทิ้งออกมา ที่ราคาต่ำกว่า 20 บาท ก็กลายเป็นช่วงที่กลุ่มทุนออสซี่ เข้ามาทยอยเก็บหุ้น ....
ว่าแล้วผมก็ลองไปดูกิจการที่ขาขึ้นสุดๆอย่าง BANPU กลายเป็นว่า Free Float ปาเข้าไป 85% แล้ว (นั่นแปลว่า เจ้าของเขาทยอยปล่อยขายหุ้นออกมา เกือบ 85% แล้ว)..."ถามจริงๆเถอะ ถ้าคุณเป็นเจ้าของกิจการ คุณจะขายหุ้นเวลาไหน(ถ้าคุณอยากทำกำไร) ..ถูกต้อง!! ขายเวลาที่กิจการอยู่ในขาขึ้นสุดๆนั่นเอง (เพราะขาขึ้นสุดๆ มันมี Volume ซึ่งเป็นโอกาสเดียวที่เจ้าของจะขายหุ้นจำนวนเป็นพันๆหมื่นๆล้านได้ ..ขืนทำในช่วงขาลง หุ้นคงลงติด Floor ทุกวัน..จริงไหม!!)" ...แต่ประเด็นคือ ถึงแม้เจ้าของขายออกมาแล้ว มันก็ไม่ได้หมายความว่าหุ้นจะเข้าสู่ขาลง เพราะคนที่ซื้อหุ้นต่อจากเจ้าของ ก็คือ "เจ้ามือ" ..อย่าง BANPU ลองเปิดผู้ถือหุ้นรายใหญ่ จะเห็นๆเลยว่า "ฝรั่งก็คือเจ้ามือ"... ดังนั้น ตราบใดที่เพลงยังบรรเลง จงเต้นกันต่อไป..หุ หุ
ฮึม!!งั้นฝากประเด็นเรื่อง Free Float ไปศึกษากันดู ..การที่หุ้นจะเด้งแบบ ระเบิดเถิดเทิง สาเหตหลักๆก็คือ มี"เจ้าของ"ถือหุ้นใหญ่ จากนั้น ก็ส่งไม่ต่อให้ "เจ้ามือ" ในยุคที่สอง ...จับตา Free Float ของกิจการไว้ครับ ..มันเป็นการช่วยย้ำภาพความเป็น Laggard Play ได้อย่างสบายใจขึ้น "ตราบใด เจ้าของยังอยู่ ราคายังถูก ปันผลยังดี ..ก็ชิวไป" เพราะ พอ"เจ้าของ"ออก หุ้นก็จะไปต่อ เนื่องจากเปลี่ยนเป็น"เจ้ามือ" ... แต่เมื่อไหร่ที่หุ้นอยู่ในมือรายย่อยเป็นส่วนใหญ่ Free Float แบบเกือบ 100% ..เมื่อนั่นแหละ ช่วงห่วยแตกจะมาถึง --- จากนั้น วัฎจักรก็วนเวียนมาเป็นแบบ TTA คือ เริ่มใหม่ ..โดยเจ้ามือใหม่
--- เป็นเช่นนี้แล เป็นวัฎจักร ขอให้เราตามเขาให้ทันก็จะไม่เจ็บตัวครับ เพราะ "History Repaet itself จริงๆ"...อิ อิ
ขอบคุณ : Pawawit S2M VIP member สำหรับข้อมูล+ความรู้ดีๆเสมอ