'ดร.นิเวศน์'เพิ่มถือครอง'เงินสด'กูรูฟันธง!ถึงลงก็ 'ไม่ลึก'
โพสต์แล้ว: จันทร์ มิ.ย. 27, 2011 8:28 am
พื้นฐานบจ.แข็งแกร่ง SET Index ระดับ 1,000 จุดบวกลบสะสมหุ้นได้ หลังรู้ผลเลือกตั้ง ลุ้น 'หุ้นเด้ง' ด้าน ดร.นิเวศถือเงินสดมากสุดตั้งแต่เล่นหุ้น
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร แวลูอินเวสเตอร์ระดับปรมาจารย์ของไทย ยอมรับว่าตั้งแต่เล่นหุ้นมาปีนี้ (2554) ได้ "ถือเงินสดมากที่สุด" ทั้งในแง่สัดส่วนและปริมาณ (มูลค่า) แม้ตอนนี้ราคาหุ้นจะตกลงมาพอสมควรแต่ "พี/อีก็ไม่ต่ำ" เท่าไร หุ้นบางตัวนำไปเทียบกับของต่างประเทศหุ้นของไทยแพงกว่าอีกเลยขอถือเงินสดดีกว่า
"มองทางด้านเศรษฐกิจจากข้อมูลต่างๆ เห็นแล้วว่าเศรษฐกิจโลกยังอ่อนไหวอยู่มาก 2 ปีที่ผ่านมาอาจมองว่าฟื้นแล้วแต่ที่จริงเป็นเพียงแค่การอัดฉีดเท่านั้น ถ้าจะเทียบกับตอนวิกฤติ Great Depression เศรษฐกิจโลกตกต่ำครั้งใหญ่ช่วงปีค.ศ.1929-1935 ภาพเริ่มเห็นใกล้เคียงกันคือตกแรงแล้วเด้งแล้วก็ลงต่ออีกยาวต้องใช้เวลาถึง 25 ปีในการฟื้นตัวจริง โอกาสที่จะเกิดวิกฤติขนาดนั้นอีกส่วนตัวให้ความเป็นไปได้ไว้ที่ 5%"
ดร.นิเวศน์ กล่าวว่า หุ้นตกรอบนี้ถ้าจะให้ซื้อหุ้นแบบมั่นใจเหมือนตอนปีค.ศ. 2008 (ปี 2551) ถึงขนาดกู้มาร์จินมาลงทุนเป็นครั้งแรกในชีวิต ต้องรอให้หุ้นไทยเทรดที่พี/อีเรโช 6 เท่าเท่านั้น ถึงจะ(กล้า)กอดหุ้นแบบสบายใจ แต่ถ้าค่าพี/อีปัจจุบันเราอยู่ที่ 12-14 เท่า โอกาสขึ้นหรือลงมันมีได้ทั้งสองทาง
“ในระยะสั้นหลังรู้ผลการเลือกตั้งหุ้นไทยอาจจะดี(ดีด)ขึ้นได้ เกิดการ Buy on Fact เพราะช่วงที่ผ่านมามันลงไปก่อนแล้ว ช่วงแรกๆ อาจจะมีฮันนีมูนพีเรียดบ้าง หลังจากนั้นก็ไม่มีใครรู้อะไรแล้ว”
สิ่งที่ ดร.นิเวศน์ กังวลก็คือ "นโยบายหาเสียง" ของทุกพรรคการเมืองล้วนออกไปในแนวทางเดียวกันคือ "เพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ" นี่อาจจะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของประเทศไทยจากเดิมที่ขับเคลื่อนด้วยการส่งออกมาตลอด 10 ปีมาเป็นการ "บริโภคภายในประเทศ" แน่นอนว่าหุ้นที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคและการลงทุนในประเทศน่าจะมีอนาคต แต่ที่น่าห่วงก็คือ "ปัญหาเงินเฟ้อ" ที่จะตามมาอย่างแน่นอน
ปัจจุบันพอร์ตของดร.นิเวศน์ มีหุ้นอยู่ด้วยกัน 20 บริษัท มีตัวใหญ่ๆ ที่ถือมานานมีอยู่ 7-8 ตัว ที่เหลือเป็นการลงทุนแบบ “เก็งกำไร” โดยให้เหตุผลว่าไม่สามารถหาหุ้นดีๆ ถือยาวๆ ได้อีกแล้ว ที่มีในพอร์ตบ้างเพราะ "เหงามือ" (เงินสดเยอะ) แต่ก็ไม่ได้ขายเร็วมากนักจะถือประมาณ 6 เดือนถึง 1 ปี ได้กำไรประมาณ 10-20% ก็จะ "ขายทำกำไร"
ยุทธพงศ์ เสรีดีเลิศ นักลงทุนรายใหญ่ มองว่า บรรยากาศการลงทุนในช่วงนี้การเมืองเป็นปัจจัยหลักของตลาดหุ้นไทยทำให้ต่างชาติยังไม่มั่นใจในการลงทุน ประกอบการเศรษฐกิจโลกส่งสัญญาณยังไม่ฟื้นตัวทั้งที่มีการอัดฉีดสภาพคล่องจำนวนมาก ส่วนตัวเชื่อว่าต่างชาติยังจะ "ขายหุ้นไทย" ต่อไปอีก
"ถึงอย่างไรผมก็มั่นใจว่าพื้นฐานเศรษฐกิจไทยแข็งแกร่ง บริษัทจดทะเบียนประกาศงบการเงิน "ไตรมาสสอง" เชื่อว่าส่วนใหญ่จะทำผลงานได้ดีขึ้น ส่วนตัวจึงเชื่อว่า SET Index ระดับ 1,000 จุดยังเป็น "แนวรับที่แข็งแกร่ง" แต่ถ้ามีข่าวแรงๆ เข้ามากระทบดัชนีก็อาจตกไปที่ 980 จุด แล้วจะเด้งกลับอย่างรวดเร็ว”
ยุทธพงศ์ กล่าวว่า พอร์ตส่วนตัวตอนนี้เล่นหุ้น "น้อยมาก" มีเพียงแค่หุ้น LANNA ที่ถือมาต้นทุนต่ำตั้งแต่ 7-8 บาทถึงตอนนี้ยังไม่คิดจะขาย กับอีกตัวหุ้น EARTH คาดว่าธุรกิจถ่านหินยังเติบโตไปได้ หุ้นตัวใหญ่ที่คาดว่าปีนี้ผลประกอบการจะออกมาดี เช่น BANPU, TOP ฯลฯ
ในมุมมองของ ยุทธพงศ์ ตลาดหุ้นก่อนการเลือกตั้งคง "ขึ้นได้ยาก" ดัชนีน่าจะมีลักษณะ Sideway Down ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะถึงวันเลือกตั้ง สัปดาห์สุดท้ายก่อนเลือกตั้งแนะนำให้ "ทยอยเก็บหุ้นบิ๊กแคป" เพราะหลังเลือกตั้งรู้ผลว่าใครจะได้เป็น "รัฐบาล" แล้ว "หุ้นจะขึ้น" ไม่ว่าพรรคประชาธิปัตย์หรือพรรคเพื่อไทยได้จัดตั้งรัฐบาลก็ตาม
“ดัชนีระดับ 1,000 จุดบวกลบ ถือเป็นช่วงที่สามารถสะสมหุ้นได้แล้ว เราต้องซื้อหุ้นก่อนฝรั่งแต่ไปขายพร้อมฝรั่ง อย่าไปฝืนตลาดเพราะแรงเขามากกว่าเราเยอะ ส่วนตัวเชื่อว่าภาพหุ้นไทยหลังเลือกตั้งน่าจะดีขึ้น”
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เอเซียพลัส กล่าวว่า SET Index ระดับ 1,000 จุด บวกลบ 30 จุด เป็นระดับที่สามารถสะสมหุ้นระยะกลางถึงยาวได้ ส่วนระดับสูงสุดของ SET Index ที่พี/อีเรโช 14 เท่า คือ 1,224 จุด น่าจะเป็นจุดสูงสุดของปีนี้ ถ้าเศรษฐกิจสหรัฐฯและหนี้ที่ยุโรปไม่เลวร้ายมากกว่านี้ สุดท้ายฟันด์โฟลว์จะไหลกลับเข้าเอเชียตั้งแต่ไตรมาสสาม
แต่สิ่งที่น่ากังวลสำหรับหุ้นไทยมากที่สุดขณะนี้คือ "ปัจจัยด้านการเมือง" ความวุ่นวายในการจัดตั้งรัฐบาลหรือเกิดเหตุรุนแรงอาจลดแรงจูงใจในการซื้อหุ้นของต่างชาติได้ แต่ถ้ามองพื้นฐานเศรษฐกิจยังไปได้ดีแถมโบรกเกอร์มีโอกาสปรับเพิ่มประมาณการการเติบโตของกำไรต่อหุ้นขึ้นอีกหลังประกาศงบไตรมาสสอง
สุกิจ อุดมศิริกุล ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนลูกค้าบุคคล บล.ไทยพาณิชย์ กล่าวว่า ระหว่างนี้ตลาดหุ้นไทยจะมีความผันผวนสูงจากเรื่องของกรีซ เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาที่ยังไม่ฟื้นตัว ประกอบกับการเมืองไทยที่กำลังรอความชัดเจนว่าใครจะมาเป็นรัฐบาล
“แนวโน้ม SET Index ช่วงนี้น่าจะเป็น Sideway Down โอกาสรีบาวนด์พอจะมีแต่ขึ้นได้อย่างจำกัด อย่างไรก็ตามโอกาสที่จะลงแรงๆ ต่ำกว่า 980 จุดมีไม่เยอะ คาดว่าจะมีนักลงทุนเข้ามารับหุ้นที่จุดนั้น”
สุกิจ กล่าวว่า กลยุทธ์การลงทุนช่วงก่อนเลือกตั้ง ควรลดสัดส่วนการถือหุ้นลงเหลือเพียง "ครึ่งเดียว" เพื่อรอให้ดัชนีลงมาถึงจุดที่คาดว่าจะต่ำที่สุดแล้วค่อยทยอยซื้อหุ้น กลุ่มที่แนะนำคือหุ้น Defensive Stock ที่เน้นการบริโภคภายในประเทศเป็นหลัก เช่น กลุ่มค้าปลีก, สื่อสาร แต่ถ้าดัชนีลงมาค่อนข้างลึกน่าจะเป็นโอกาสเก็บหุ้นบิ๊กแคปขนาดใหญ่ได้ เพราะเชื่อว่าเศรษฐกิจไทยอย่างไรก็เติบโตได้ไม่ว่าพรรคไหนจะได้จัดตั้งรัฐบาล
วิวัฒน์ เตชะพูลผล หัวหน้ากลยุทธ์การลงทุน และผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายการตลาดลูกค้าส่วนบุคคล บล.ทิสโก้ แนะนำหุ้นน่าลงทุนหลังเลือกตั้งกลุ่มแรกเป็นธุรกิจที่จะได้รับประโยชน์จากนโยบายพรรคการเมืองที่เน้นการบริโภคภายในประเทศ และการเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ เช่น กลุ่มค้าปลีก ได้แก่ CPALL, ROBINS, MAKRO, BIGC, BEC, MAJOR ฯลฯ
อีกกลุ่มหนึ่งที่อาจจะเล่น “เก็งกำไรระยะสั้น” คือหุ้นที่ถูกเชื่อมโยงกับ “กลุ่มการเมือง” ถ้าเป็นกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับ “พรรคเพื่อไทย” ที่ตอนนี้อยู่ในโพลล์ที่อาจจะชนะการเลือกตั้ง อย่างเช่น ADVANC, MLINK, THCOM, SC, JAS ,BEC, SUSCO, INOX
สำนักวิจัยทิสโก้ตั้งสมมติฐานไว้สองมุม ถ้าพรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้งได้จัดตั้งรัฐบาล คาดว่า SET Index จะ “ปรับตัวลง” เนื่องจากนักลงทุนต่างชาติคาดหวังว่าพรรคประชาธิปัตย์จะเป็นฝ่ายชนะมากกว่า โดยมีแนวรับที่ 960-980 จุด และค่อยปรับตัวขึ้นแต่จำกัด แต่ถ้าพรรคประชาธิปัตย์ชนะการเลือกตั้ง ตลาดหุ้นจะตอบรับในเชิงบวกโดยมีโอกาสปรับตัวขึ้นทดสอบแนวต้านที่ 1,040-1,060 จุด
ที่มา http://www.bangkokbiznews.com/home/deta ... B8%81.html
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร แวลูอินเวสเตอร์ระดับปรมาจารย์ของไทย ยอมรับว่าตั้งแต่เล่นหุ้นมาปีนี้ (2554) ได้ "ถือเงินสดมากที่สุด" ทั้งในแง่สัดส่วนและปริมาณ (มูลค่า) แม้ตอนนี้ราคาหุ้นจะตกลงมาพอสมควรแต่ "พี/อีก็ไม่ต่ำ" เท่าไร หุ้นบางตัวนำไปเทียบกับของต่างประเทศหุ้นของไทยแพงกว่าอีกเลยขอถือเงินสดดีกว่า
"มองทางด้านเศรษฐกิจจากข้อมูลต่างๆ เห็นแล้วว่าเศรษฐกิจโลกยังอ่อนไหวอยู่มาก 2 ปีที่ผ่านมาอาจมองว่าฟื้นแล้วแต่ที่จริงเป็นเพียงแค่การอัดฉีดเท่านั้น ถ้าจะเทียบกับตอนวิกฤติ Great Depression เศรษฐกิจโลกตกต่ำครั้งใหญ่ช่วงปีค.ศ.1929-1935 ภาพเริ่มเห็นใกล้เคียงกันคือตกแรงแล้วเด้งแล้วก็ลงต่ออีกยาวต้องใช้เวลาถึง 25 ปีในการฟื้นตัวจริง โอกาสที่จะเกิดวิกฤติขนาดนั้นอีกส่วนตัวให้ความเป็นไปได้ไว้ที่ 5%"
ดร.นิเวศน์ กล่าวว่า หุ้นตกรอบนี้ถ้าจะให้ซื้อหุ้นแบบมั่นใจเหมือนตอนปีค.ศ. 2008 (ปี 2551) ถึงขนาดกู้มาร์จินมาลงทุนเป็นครั้งแรกในชีวิต ต้องรอให้หุ้นไทยเทรดที่พี/อีเรโช 6 เท่าเท่านั้น ถึงจะ(กล้า)กอดหุ้นแบบสบายใจ แต่ถ้าค่าพี/อีปัจจุบันเราอยู่ที่ 12-14 เท่า โอกาสขึ้นหรือลงมันมีได้ทั้งสองทาง
“ในระยะสั้นหลังรู้ผลการเลือกตั้งหุ้นไทยอาจจะดี(ดีด)ขึ้นได้ เกิดการ Buy on Fact เพราะช่วงที่ผ่านมามันลงไปก่อนแล้ว ช่วงแรกๆ อาจจะมีฮันนีมูนพีเรียดบ้าง หลังจากนั้นก็ไม่มีใครรู้อะไรแล้ว”
สิ่งที่ ดร.นิเวศน์ กังวลก็คือ "นโยบายหาเสียง" ของทุกพรรคการเมืองล้วนออกไปในแนวทางเดียวกันคือ "เพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ" นี่อาจจะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของประเทศไทยจากเดิมที่ขับเคลื่อนด้วยการส่งออกมาตลอด 10 ปีมาเป็นการ "บริโภคภายในประเทศ" แน่นอนว่าหุ้นที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคและการลงทุนในประเทศน่าจะมีอนาคต แต่ที่น่าห่วงก็คือ "ปัญหาเงินเฟ้อ" ที่จะตามมาอย่างแน่นอน
ปัจจุบันพอร์ตของดร.นิเวศน์ มีหุ้นอยู่ด้วยกัน 20 บริษัท มีตัวใหญ่ๆ ที่ถือมานานมีอยู่ 7-8 ตัว ที่เหลือเป็นการลงทุนแบบ “เก็งกำไร” โดยให้เหตุผลว่าไม่สามารถหาหุ้นดีๆ ถือยาวๆ ได้อีกแล้ว ที่มีในพอร์ตบ้างเพราะ "เหงามือ" (เงินสดเยอะ) แต่ก็ไม่ได้ขายเร็วมากนักจะถือประมาณ 6 เดือนถึง 1 ปี ได้กำไรประมาณ 10-20% ก็จะ "ขายทำกำไร"
ยุทธพงศ์ เสรีดีเลิศ นักลงทุนรายใหญ่ มองว่า บรรยากาศการลงทุนในช่วงนี้การเมืองเป็นปัจจัยหลักของตลาดหุ้นไทยทำให้ต่างชาติยังไม่มั่นใจในการลงทุน ประกอบการเศรษฐกิจโลกส่งสัญญาณยังไม่ฟื้นตัวทั้งที่มีการอัดฉีดสภาพคล่องจำนวนมาก ส่วนตัวเชื่อว่าต่างชาติยังจะ "ขายหุ้นไทย" ต่อไปอีก
"ถึงอย่างไรผมก็มั่นใจว่าพื้นฐานเศรษฐกิจไทยแข็งแกร่ง บริษัทจดทะเบียนประกาศงบการเงิน "ไตรมาสสอง" เชื่อว่าส่วนใหญ่จะทำผลงานได้ดีขึ้น ส่วนตัวจึงเชื่อว่า SET Index ระดับ 1,000 จุดยังเป็น "แนวรับที่แข็งแกร่ง" แต่ถ้ามีข่าวแรงๆ เข้ามากระทบดัชนีก็อาจตกไปที่ 980 จุด แล้วจะเด้งกลับอย่างรวดเร็ว”
ยุทธพงศ์ กล่าวว่า พอร์ตส่วนตัวตอนนี้เล่นหุ้น "น้อยมาก" มีเพียงแค่หุ้น LANNA ที่ถือมาต้นทุนต่ำตั้งแต่ 7-8 บาทถึงตอนนี้ยังไม่คิดจะขาย กับอีกตัวหุ้น EARTH คาดว่าธุรกิจถ่านหินยังเติบโตไปได้ หุ้นตัวใหญ่ที่คาดว่าปีนี้ผลประกอบการจะออกมาดี เช่น BANPU, TOP ฯลฯ
ในมุมมองของ ยุทธพงศ์ ตลาดหุ้นก่อนการเลือกตั้งคง "ขึ้นได้ยาก" ดัชนีน่าจะมีลักษณะ Sideway Down ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะถึงวันเลือกตั้ง สัปดาห์สุดท้ายก่อนเลือกตั้งแนะนำให้ "ทยอยเก็บหุ้นบิ๊กแคป" เพราะหลังเลือกตั้งรู้ผลว่าใครจะได้เป็น "รัฐบาล" แล้ว "หุ้นจะขึ้น" ไม่ว่าพรรคประชาธิปัตย์หรือพรรคเพื่อไทยได้จัดตั้งรัฐบาลก็ตาม
“ดัชนีระดับ 1,000 จุดบวกลบ ถือเป็นช่วงที่สามารถสะสมหุ้นได้แล้ว เราต้องซื้อหุ้นก่อนฝรั่งแต่ไปขายพร้อมฝรั่ง อย่าไปฝืนตลาดเพราะแรงเขามากกว่าเราเยอะ ส่วนตัวเชื่อว่าภาพหุ้นไทยหลังเลือกตั้งน่าจะดีขึ้น”
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เอเซียพลัส กล่าวว่า SET Index ระดับ 1,000 จุด บวกลบ 30 จุด เป็นระดับที่สามารถสะสมหุ้นระยะกลางถึงยาวได้ ส่วนระดับสูงสุดของ SET Index ที่พี/อีเรโช 14 เท่า คือ 1,224 จุด น่าจะเป็นจุดสูงสุดของปีนี้ ถ้าเศรษฐกิจสหรัฐฯและหนี้ที่ยุโรปไม่เลวร้ายมากกว่านี้ สุดท้ายฟันด์โฟลว์จะไหลกลับเข้าเอเชียตั้งแต่ไตรมาสสาม
แต่สิ่งที่น่ากังวลสำหรับหุ้นไทยมากที่สุดขณะนี้คือ "ปัจจัยด้านการเมือง" ความวุ่นวายในการจัดตั้งรัฐบาลหรือเกิดเหตุรุนแรงอาจลดแรงจูงใจในการซื้อหุ้นของต่างชาติได้ แต่ถ้ามองพื้นฐานเศรษฐกิจยังไปได้ดีแถมโบรกเกอร์มีโอกาสปรับเพิ่มประมาณการการเติบโตของกำไรต่อหุ้นขึ้นอีกหลังประกาศงบไตรมาสสอง
สุกิจ อุดมศิริกุล ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนลูกค้าบุคคล บล.ไทยพาณิชย์ กล่าวว่า ระหว่างนี้ตลาดหุ้นไทยจะมีความผันผวนสูงจากเรื่องของกรีซ เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาที่ยังไม่ฟื้นตัว ประกอบกับการเมืองไทยที่กำลังรอความชัดเจนว่าใครจะมาเป็นรัฐบาล
“แนวโน้ม SET Index ช่วงนี้น่าจะเป็น Sideway Down โอกาสรีบาวนด์พอจะมีแต่ขึ้นได้อย่างจำกัด อย่างไรก็ตามโอกาสที่จะลงแรงๆ ต่ำกว่า 980 จุดมีไม่เยอะ คาดว่าจะมีนักลงทุนเข้ามารับหุ้นที่จุดนั้น”
สุกิจ กล่าวว่า กลยุทธ์การลงทุนช่วงก่อนเลือกตั้ง ควรลดสัดส่วนการถือหุ้นลงเหลือเพียง "ครึ่งเดียว" เพื่อรอให้ดัชนีลงมาถึงจุดที่คาดว่าจะต่ำที่สุดแล้วค่อยทยอยซื้อหุ้น กลุ่มที่แนะนำคือหุ้น Defensive Stock ที่เน้นการบริโภคภายในประเทศเป็นหลัก เช่น กลุ่มค้าปลีก, สื่อสาร แต่ถ้าดัชนีลงมาค่อนข้างลึกน่าจะเป็นโอกาสเก็บหุ้นบิ๊กแคปขนาดใหญ่ได้ เพราะเชื่อว่าเศรษฐกิจไทยอย่างไรก็เติบโตได้ไม่ว่าพรรคไหนจะได้จัดตั้งรัฐบาล
วิวัฒน์ เตชะพูลผล หัวหน้ากลยุทธ์การลงทุน และผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายการตลาดลูกค้าส่วนบุคคล บล.ทิสโก้ แนะนำหุ้นน่าลงทุนหลังเลือกตั้งกลุ่มแรกเป็นธุรกิจที่จะได้รับประโยชน์จากนโยบายพรรคการเมืองที่เน้นการบริโภคภายในประเทศ และการเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ เช่น กลุ่มค้าปลีก ได้แก่ CPALL, ROBINS, MAKRO, BIGC, BEC, MAJOR ฯลฯ
อีกกลุ่มหนึ่งที่อาจจะเล่น “เก็งกำไรระยะสั้น” คือหุ้นที่ถูกเชื่อมโยงกับ “กลุ่มการเมือง” ถ้าเป็นกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับ “พรรคเพื่อไทย” ที่ตอนนี้อยู่ในโพลล์ที่อาจจะชนะการเลือกตั้ง อย่างเช่น ADVANC, MLINK, THCOM, SC, JAS ,BEC, SUSCO, INOX
สำนักวิจัยทิสโก้ตั้งสมมติฐานไว้สองมุม ถ้าพรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้งได้จัดตั้งรัฐบาล คาดว่า SET Index จะ “ปรับตัวลง” เนื่องจากนักลงทุนต่างชาติคาดหวังว่าพรรคประชาธิปัตย์จะเป็นฝ่ายชนะมากกว่า โดยมีแนวรับที่ 960-980 จุด และค่อยปรับตัวขึ้นแต่จำกัด แต่ถ้าพรรคประชาธิปัตย์ชนะการเลือกตั้ง ตลาดหุ้นจะตอบรับในเชิงบวกโดยมีโอกาสปรับตัวขึ้นทดสอบแนวต้านที่ 1,040-1,060 จุด
ที่มา http://www.bangkokbiznews.com/home/deta ... B8%81.html