Thai Value Investor การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุน VI หุ้นวีไอ Webboard

นายจักรกฤศฏิ์ พาราพันธกุล ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) เปิดเผยว่า ขณะนี้เริ่มมีสัญญาณทางเทคนิคที่อัตราดอกเบี้ยระยะสั้นสูงกว่าดอกเบี้ยระยะยาว มีผลทำให้เกิดการโยกเงินลงทุนจากตราสารหนี้ระยะยาวไประยะสั้นมากขึ้น โดยที่สภาพคล่องในระบบไม่มีปัญหา และธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)ต้องมีการออกตราสารระยะสั้นเพื่อบริหารจัดการตลาดเงินมากขึ้น ซึ่งสถานการณ์ที่เกิดขึ้นถือเป็นความผิดปกติของระบบเศรษฐกิจ

http://www.ryt9.com/s/iq03/1187746
เป็นสัญญาณบอกอะไรเป็นนัยๆหรือเปล่าครับ

เคยอ่านเจอใน pantip คุณ crazy rabbit สรุปเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจ USA
โดยมียกตัวอย่าง yield curve คือ ผลต่างระหว่างดอกเบี้ยพันธบัตรระยะยาว-ระยะสั้น
โดยก่อนเิกิด dot com crisis และ hamburger crisis yield curve ติดลบทั้ง 2 ช่วง
เท่าที่ดูจากกราฟช่วงระยะเวลาประมาณ ุ6-12 เดือนได้ ก่อนตลาดหุ้นจะเป็นขาลง

แต่สงสัยว่าเศรษฐกิจบ้านเรายังไม่น่าจะเป็นฟองสบู่ขนาดนั้น
และไม่รู้ว่าจะใช้วิธีเดียวกันอธิบายตลาดหุ้นไทยได้ด้วยหรือไม่ครับ

รอผู้รู้มาอธิบาย

ลองค้นดูแล้วก็งงๆแฮะ


Bearish flattening (Flat ลง โดยที่ yield ของ bond ตัวสั้นปรับขึ้น)
โดยมากมักมีสาเหตุมาจากการที่ FED ปรับ FFR ขึ้น เพื่อสู้กับ inflation
กรณีนี้ ส่วนใหญ่มักมาจากการที่เศรษฐกิจเติบโตมาอย่างร้อนแรง
การผลิตและการบริโภคเติบโตต่อเนื่อง ซึ่งมักสะท้อนในราคาหุ้นที่มักมีอนาคตที่สดใส
โดย : คุณอาสา อินทรวิชัย - http://fundmanagertalk.com

แต่อีกบทความ...

จะเห็นได้ว่าเมื่อใดที่ดอกเบี้ย 10 ปีกับ 2 ปีไม่ต่างกันมาก (หรือติดลบ)
แสดงว่าเศรษฐกิจไม่ดีและตลาดหุ้นก็ตกต่ำไปด้วย ดังนั้นหากดอกเบี้ย 10 ปี
ปรับสูงขึ้นกว่าดอกเบี้ย 2 ปีประมาณ 1% ขึ้นไป ก็จะเห็นได้ว่า
ตลาดหุ้นจะอยู่ในขาขึ้นอย่างชัดเจน ในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา
ที่ดอกเบี้ยระยะยาวเริ่มปรับตัวขึ้น และตลาดหุ้นก็ปรับขึ้นเช่นกัน(บทความเมื่อปี 2007)
โดย : ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ ประชาชาติธุรกิจ

ลองวิเคราะห์เองตามความเข้าใจแบบพื้นๆนะครับ
เป็นที่รู้กันตามหลัก บช ว่า หนี้ระยะสั้นสำคัญมาก หากหามาจ่ายไม่ได้จะทำให้ บ.ถูกฟ้องล้มละลายได้ เป็น NPL
คราวนี้ลองดูอัตราดอกเบี้ยบอกอะไรบ้าง
ดอกเบี้ยหากขึ้นสูงในช่วงเวลาใดเวลานึงน่าจะบอกถึง ความต้องการเงินในระบบ ศก (หากไม่ได้ถูกแทรกแซงของธนาคารกลาง ด้วยเหตุผลเงินเฟ้อ)
ดังนั้นดอกเบี้ยระยะสั้นที่สูงขึ้น น่าจะหมายถึง ศก ช่วงนี้มีความต้องการเม็ดเงินมากขึ้น ศก เริ่มร้อนแรง แต่ขึ้นสูงมากจนถึงระดับนึงจนกระทั้ง บ.รับภาระดอกเบี้ยไม่ไหว ขณะเดียวกันผู้ปล่อยเงินจะเลือกคนกู้ที่มีเครดิตดีเท่านั้นเพราะในระบบมีความต้องการเงินสูงขึ้นผู้ปล่อยเงินย่อมมีทางเลือก
ผลก็คือจะมีบาง บ.ที่ไม่สามารถกู้ได้ทำให้เกิด NPL
แน่นอน NPL ทีมากย่อมส่งผลต่อระบบการเงินโดยรวม สิ่งที่ตามมาก็อย่างที่เคยเห็นกันมา
ประเด็นอยู่ที่ว่า ดอกเบี้ยระยะสั้นสูงแค่ไหนที่จะส่งผลกระทบให้เกิด NPL มากจนมีผลต่อระบบ ศก โดยรวม
เป็นความคิดของคนที่ไม่ได้เรียน เศรษฐศาสตร์นะครับ พี่ๆที่มีความรู้ด้านนี้มากๆช่วยอธิบายหรือแย้งก็จะเป็นประโยชน์ไม่น้อยเลยครับ

เท่าที่ผมเข้าใจ ปกติอาการ spread ติดลบจะเกิดจาก ความคาดหวังว่าอัตราเงินเฟ้อในระยะยาวจะต่ำกว่าปัจจุบันจากเศรษฐกิจถดถอย ปัจจุบันดอกเบี้ยสูงและคาดว่าจะมีกาตลดดอกเบี้ย

กำลังคิดอยู่เหมือนกันนะครับว่าการปะกาศใช้ค่าแรงขั้นต่ำ 300 บ. จะเป็นหนึ่งในสาเหตุในเกิด ศก ถดถอยลงมาก่อนหรือเปล่า
หลังจากนั้นจึงค่อยดูอีกครั้งว่านโยบายอื่นๆเช่น ลดราคาน้ำมัน+การบริหารของรัฐบาลใหม่จะช่วยพยุง ศก ให้ฟื้นอีกครั้งได้หรือไม่
เหมือนสัณญาณ ดอกเบี้ยเริ่มชี้อะไรบางอย่างที่เหลือแค่รอจุดหักเหของ ศก
ซึ่งการประกาศเรื่องค่าแรงขั้นต่ำอาจเป็นจุดหักเหของ ศก ได้หรือไม่

งงกับข่าวนี้ หรือว่าเราอ่านไม่เข้าใจ

http://www.thaibma.or.th/PriceYield.html

ลองเข้าไปดู ยังไม่เห็น inverted yield curve แต่อย่างใด ดอกเบี้ย govt bond 2 ปีประมาณ 3.67% ขณะที่ 10 ปีอยู่ที่ประมาณ 4%

ถึงต่อให้ตอนนี้ดอกเบี้ยระยะสั้นสูงกว่าดอกเบี้ยระยะยาวจริง ในทางทฤษฏีมันเกิดขึ้นได้จากเหตุการณ์หลายๆอย่าง เช่น ต่างชาติเอาเงินเข้ามาเยอะก่อนหน้านี้ อยู่ในตราสารระยะสั้น เกิดการขาย(เอาเงินไปซื้อหุ้น หรือออกไปจากเงินบาท) ตราสารพวกนี้ออกมาราคาตก yield ก็อาจจะขึ้นไปสูงกว่าตราสารยาวๆที่ซื้อขายน้อยกว่าได้ชั่วคราว

หรือแม้แต่คาดว่าจะมีการลดดอกเบี้ย ตราสารระยะยาวๆก็จะได้รับผลมากกว่า ตัวอย่างเช่น ตราสาร 10 ปี กนงลดดอกเบี้ยไป 0.25% เท่ากับลด 0.25% ไป 10 ปี = 2.5% ของราคาหน้าตั๋ว ขณะที่ตราสาร 2 ปีดอกเบี้ยลดไป 0.25% เท่ากับลดไปแค่ 0.5% ของราคาหน้าตั๋ว พอเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น yield ของ bond ยาวๆก็อาจจะลดลงเพราะไม่มีใครอยากถือ bond ยาวๆครับ

อย่าเพิ่งวิตกอะไรไปล่วงหน้าครับ ตลาด bond มันค่อนข้าง efficient ก็จริง แต่มันก็ยังมี Mr.Market ซึ่งบางทีก็ถูก บางทีก็ผิดเหมือนกันครับ และถ้าเป็นอย่างที่ตามข่าวว่าจริงๆคือ "มีผลทำให้เกิดการโยกเงินลงทุนจากตราสารหนี้ระยะยาวไประยะสั้นมากขึ้น" ไม่นาน yield curve ก็น่าจะเป็นปกติครับ

jo7393 เขียน:กำลังคิดอยู่เหมือนกันนะครับว่าการปะกาศใช้ค่าแรงขั้นต่ำ 300 บ. จะเป็นหนึ่งในสาเหตุในเกิด ศก ถดถอยลงมาก่อนหรือเปล่า

เรื่องนี้ผมเห็นเถียงกันหน้าดำหน้าแดงกันหลายเว็บ

ต้องอย่าลืมว่า demand ของเศรษฐกิจก็มาจากลูกจ้างนี่แหละครับ จับจ่ายใช้สอย การได้ค่าจ้างแรงงานเพิ่มก็อาจจะทำให้มีการจับจ่ายใช้สอยเพิ่มขึ้น ธุรกิจต่างๆก็อาจจะมีกำไรเพิ่มมากขึ้นด้วย ขึ้นเงินเดือนเพียงอย่างเดียวไม่น่าจะเป็นส่วนที่จะทำให้ ศก ถดถอยได้เลย

อย่างใน US ตอนนี้กลัวเรื่องเศรษฐกิจถดถอยอีกรอบ เพราะว่าอัตราตกงานสูง การจับจ่ายใช้สอยไม่เป็นปกติ คนที่ตกงานก็ไม่มีเงินจับจ่าย คนที่พอมีก็ห่วงว่าจะไม่ดีเลยต้องประหยัด กลับทำให้เศรษฐกิจยิ่งฟื้นยาก อย่างนั้นน่ากลัวว่าเยอะเลยครับ

ขอบคุณครับสำหรับความเห็น
เพียงแต่ผมเริ่มจากใหล้ตัวแล้วขยายออกเป็นวงกว้างจากคนใกล้ชิดก่อน
โดยเริ่มคิดว่าธุรกิจที่เราทำอยู่โดนผลกระทบอะไรบ้างจากค่าแรง300 แล้วเราจะแก้ปัญหาอย่างไร
จนสรุปธุรกิจของตัวเองได้ว่า คงต้องเอาคนงานที่ไม่จำเป็นออก (ลดคนงาน) ก่อน ทราบว่าค่าแรงที่ขึ้นย่อมเพิ่มการบริโภค เพียงแต่ ค่าใช้จ่ายมันเพิ่มก่อนครับ ทีนี้เราก็ต้องคุมเรื่อง คชจ ก่อน หลังจากนั้นค่อยดูว่าการบริโภคเพิ่มจริงไหม สินค้าเราขายดีขึ้นจริงหรือเปล่า หากขายดีจริง การบริโภคเพิ่มขึ้นจริง ค่อยรับคนเพิ่มก็ได้ มันคล้ายๆเป็นการวัดกันครับ ว่าคูณเลือกจ่ายมากก่อนแล้วรอความหวังว่าสินค้าจะขายดี หรือเลือกที่จะคุม คชจ ก่อนแล้วพอขายดีค่อยเพิ่ม พนง
เข้าใจว่า SME คงเลือกอย่างหลังครับ
แล้วผมก็ถาม ไปยังคนรอบข้าง คนงานผมที่บ้านทำนา มีนาเป็นร้อยไร่ ผมถามเขาว่าถ้า ค่าแรงขั้นต่ำขึ้นเขาจะทำไง ต้องจ้างคนมาลงแขก เขาว่าอาจปลูกน้อยลงก่อน เพราะจ่ายค่าจ่ายแพงชัวร์แต่ ข้าวจะขายได้ราคาหรือเปล่าต้องวัดดวง
นี่เป็นความคิดของคนที่จบ ป6 นะครับ จบ ป6 จริงๆ มาทำงานใน กทม เขายังคิดออกเลยว่าต้องคุม คชจ ก่อนแล้วค่อยดูว่ารายได้จะมามากจริงไหม แล้วค่อยทำเพิ่ม
ประเด็นเลยอยู่ที่ การว่างงานนี่แหละครับ แต่หาก รัฐ สามารถฉุด ศก ขึ้นได้จริง ทำให้มีการบริโภคขึ้นมากได้จริง ศก อาจชะงักแค่ชั่วคราว แล้วพุ่งขึ้นอย่างแรงก็ได้
แต่หากการจ้างงานถดถอยแล้วไม่สามารถฉุดการบริโภคขึ้นมาได้ละก็ คงถึงเวลาเก็บหุ้นถูกๆเร็วๆนี้กระมังครับ

ขอบคุณมากครับ เป็นการตกผลึกทางความคิดที่ดีอีกอันหนึ่งครับ

อีกหน่อย เวลาจะจ้างก็คงจ้างแต่ ลูกจ้างชั่วคราว หรือไม่ก็แบบ รับเหมารายวัน รายชิ้นงาน เป็นต้น โรงงานใหญ่ๆ ก็คงต้องค่อยๆ เอาระบบ Automation มาช่วย ยิ่งต้นทุนเพิ่มแบบนี้ ยิ่งคุ้มทุนได้เร็วขึ้น สุดท้ายพวกที่สายป่านยาว ก็จะได้เปรียบกว่าบริษัทเล็กๆ

Green เขียน:อีกหน่อย เวลาจะจ้างก็คงจ้างแต่ ลูกจ้างชั่วคราว หรือไม่ก็แบบ รับเหมารายวัน รายชิ้นงาน เป็นต้น

ทุกวันนี้ก็โดนกันอยู่แล้วครับ พวกรับจ้างตัดเย็บ กับทำรองเท้า outsource มาทำที่บ้าน ได้ค่าจ้างเป็นรายชิ้น กลุ่มนี้มีเยอะมาก ในกรุงเทพก็มีให้เห็นบ่อยๆ ลองสังเกตุดูตามซอกซอยเวลามีรถบรรทุก รถกระบะ หรือแม้แต่สามล้อ เอาของออกมาจะเห็น

สาเหตุเป็นเพราะโรงงานอยากแข่งขันทางราคากันเป็นอย่างเดียว หลังๆกฏหมายแรงงานเริ่มเข้มแข็ง เลยไม่อยากรับพนักงานประจำ เพราะไม่อยากจ่ายสวัสดิการประกันสังคมอะไรให้ เลยใช้วิธี subcontract งานออกไป ให้คนงานทำในบ้านเช่า โรงงานพวกนี้ตอนส่งขายก็ส่งนอกระบบ vat อีก

ถ้าดอกเบี้ยระยะสั้นสูงกว่าระยะยาว ทำให้ Yield Curve มีความชันน้อย หุ้น Growth น่า Outperform หุ้น Value นะครับ

ขุดมาอ่านตามสถานการณ์ ที่ US โดนลดเกรดนะครับ