Thai Value Investor การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุน VI หุ้นวีไอ Webboard

คำถามด้านบน จะเป็นคำตอบของอิสรภาพทางการเงิน ที่คุณสามารถมีได้ในอนาคต โดยไม่ต้องนั่งทำงานกินเงินเดือนให้หัวหน้าดุด่า
สมมติละกันนะ
มีเงินใช้สบายๆ ไม่เดือดร้อน เดือนละ 20,000 บาท ใช้สบาย กินอิ่ม นอนหลับ จะใช้มากกว่านี้ก็ต้องลองคำนวณเอานะ

ดังนั้น ปีนึงคุณต้องการใช้เงินทั้งหมด 20,000 x 12 = 240,000 บาท
เยอะมั้ยครับ สำหรับการใช้ชีวิตในหนึ่งปี เราจะนำเงินก้อนนี้มาให้คุณใช้ใน 1 ปี เพื่อหาว่าเงินต้นที่คุณจะสามารถเป็นอิสรภาพทางการเงินได้เพื่อใช้จ่ายหนึ่งปีนี้เท่ากับเท่าไหร่

เงินต้นที่ว่านี้ เราจะนำมาลงทุนในหุ้นครับ โดยเน้นเป็นหุ้นปันผล หุ้นปันผลที่ว่านี้สามารถหาได้ในตลาดหุ้น ตอนนี้มี SETTHD ซึ่งรวมหุ้น 30 ตัวที่มีปันผลดี ก็ยิ่งทำให้เราเลือกง่ายไปอีก ตอนนี้จะหาหุ้นที่ให้ปันผล 6% ต่อปีได้อย่างง่ายๆ (ดูย้อนหลังด้วยนะครับว่าปันมากี่ปีแล้วและวิเคราะห์ว่าอนาคตยังปันได้อยู่หรือเปล่า) เราจะนำเลข 6% นี้มาหาเงินต้น

เงิน 240,000 บาทจะต้องมาจากปันผล 6% เพื่อให้เราเลี้ยงชีพ ดังนั้นหาเงินต้นได้โดย 240,000/6% = 4,000,000 บาท

ถ้า. คุณมีเงินในบัญชี 4 ล้านบาท และใช้จ่ายไม่เกิน 20,000 บาทต่อเดือน คุณมีอิสรภาพทางการเงินแล้ว บางคนจะใช้มากกว่านี้ก็ลองคำนวณเอา เพราะอิสรภาพทางการเงินของแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับความพอใจและพฤติกรรมการใช้จ่าย

จำนวนเงิน 4 ล้านหามาจากไหน พูดถึงเงินจำนวนนี้ ถ้าเป็นเศรษฐีทั่วไป มองว่ามันไม่ได้มากมายเท่าไหร่เลย แต่สำหรับเราๆท่านๆแล้ว มันยากอยู่เหมือนกันที่จะหาเก็บได้ แต่ถ้าไม่เริ่มจากการออมตอนนี้แล้วเมื่อไหร่ที่เราจะได้อิสรภาพนี้มา

ความมหัศจรรย์ของตัวนี้คือถ้าปันผลที่คุณได้มา คุณใช้น้อย คุณจะยิ่งทบต้นจนมูลค่าของปันผลในปีต่อๆไป เพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ อาจมองไม่เห็นภาพ ผมจะสมมติให้ดู

ผมขออะไรคุณหน่อยได้มั้ย ผมขอเงินคุณล้านนึง ในเดือนเนี่ยะ คุณให้ผมได้หรือเปล่า ??? มันน่าจะยากใช่มั้ย

ไม่เอาดีกว่า ผมขอเงินคุณ เอาแค่ 27 วันพอ วันแรกขอ 1 สตางค์ (สตางค์นะไม่ใช่สลึง) วันที่ 2 ขอเท่าตัวของวันแรกไปเรื่อยๆ เป็น 2 สตางค์ , 4 สตางค์, 8 สตางค์, 16 สตางค์ จนถึงวันที่ 27 ผมขอแค่นี้แหล่ะ อาจจะไม่เชื่อนะ แต่ผลที่ได้คือ มันมากกว่า 1 ล้านที่ผมขอคุณตอนแรกซะอีก และถ้ามันไปถึงวันที่ 30 เมื่อไหร่ เพิ่มต่อจากนั้นแค่สามวัน คุณต้องให้ผมโดยรวมแล้ว 10 ล้านกว่าบาทครับ...

ข้อมูลข้างต้นเราสามารถทำได้ตั้งแต่วันนี้ โดย เริ่มออมครับ ง่ายๆแค่นี้แหล่ะ ที่จะเพิ่มความมั่งคั่งให้เรา

เอาภาพตารางใน excell มาให้ดูเพื่อให้เห็นภาพมากขึ้น สีเหลืองคือเงินที่จะได้มาเมื่อครบ 30 วัน

เห็นตารางข้างบนอาจจะตาโตกันบ้าง แต่ความจริงก็คือ ผมจะมาหาจุดบอดจากตารางข้างบนให้เห็นกัน..

ประเด็นของการทบต้นเพื่อให้ได้ 1 เด้ง หรือย้ายช่องจากวันที่ 1 มาวันที่ 2 ไม่ได้หมายถึง 1 ปีครับ ไม่ได้หมายถึงว่าถ้า 30 ปี ลงทุน 1 สตางค์วันนี้จะเป็น 10 ล้านกว่าบาทในอีก 30 ปีข้างหน้า ความหมายไม่ใช่เช่นนั้น อย่าลืมว่าเราทำได้เก่งสุด คนธรรมดาสามัญ คือ 6% ต่อปี (ผมหมายถึงแค่ปันผล แต่ผมจะไม่พูดถึง Capital gain ที่ได้จากหุ้นนะครับ)

การที่เราจะย้ายช่องจากวันที่ 1 มาวันที่ 2 ในตารางข้างบน ถ้าเราทำได้ปีละ 6% ปันผลเอาไปทบต้น เราต้องใช้เวลา 13 ปีครับ....

ชิป... แล้วไอ 30 ช่องที่ว่านี่มันคูณ 13 ปีเข้าไปมัน 390 ปีแล้วใครจะไปอยู่รอได้ฟระ (ตลาดวอดวายไปแล้วม้างงงงง)

เห็นจุดบอดแล้วใช่มั้ยครับ

ประเด็นสำคัญคืออะไรรู้มั้ยครับ ประเด็นคือ เงินต้นครับ... ซึ่งเงินต้นจะได้มาก็คือ เงินออมครับ.. เริ่มออมให้เยอะที่สุดคือปัจจัยหลัก

ได้แง่คิดดีดี
อิสระภาพทางการเงินมีได้ทุกคน
แต่ต้องถามใจตัวเองก่อนว่าพอรึยัง

ขอบคุณคุณนพพรมากครับ

ค่าข้าว ค่ารถ ผมใช้ ๔๐๐๐
ค่าของใช้ อาจจะประมา ๒๐๐๐ เฉลี่ย ทุกเดือน
ถ้าปัดแบบเต็มที่เลย ตีไป หมื่นนึง
งั้นถ้าผมมีเงินต้น ๒ ล้าน ในบัญชีหุ้นที่ให้ปันผล ๖ % อย่างยั่งยืน ผมก็จะเป็นอิสระแล้วสินะครับเนี่ย เป็นแรงบันดาลใจที่ดีจริง ๆ เลยครับ

ผมหนักเลย บ้าน 5หมื่น รถ 8หมื่น ใช้จ่ายรายเดือนอีกเยอะเลย 555555

คำถามต่อมาที่เป็นจุดบอดอีกอันหนึ่งก็คือ ค่าใช้จ่ายอย่างสบายๆ 20,000 บาทต่อเดือนนั้น เราพอใจที่จะใช้กันตลอด 13 ปีนี้เลยเหรอ ไม่ได้หรอกมั้งใช่มั้ยครับ ถามว่าเพราะอะไร ก็เพราะเงินเฟ้อไงล่ะ

ราคาข้าวแกงปีที่แล้ว กับข้าวแกงปีนี้เท่ากันหรือเปล่า ก็ยังไม่เท่ากันเลย ยิ่งหลายปีผ่านไปเงินเฟ้อก็ยิ่งมาก แสดงให้เห็นว่าอำนาจซื้อของเงินมันลดลงไปตามลำดับ ค่าใช่จ่ายเราก็ต้องมากขึ้นเป็นธรรมดา

เงินเฟ้อเป็นเรื่องธรรมดาที่ควรควบคุมให้อยู่ในกรอบประมาณ 3-5% ต่อปี เพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ

ทีนี้เงินที่เราอยากได้ต่อเดือนต้องครอบคลุมเงินเฟ้อไปด้วย ดังนั้นเราก็ต้องมาสมมติกันใหม่ว่า ปีถัดไปเราขอเงินเพิ่มนะ จากเดือนละ 20,000 บาท เราขอเพิ่มอีก 4% (เอากลางๆระหว่าง 3 กับ 5)ในปีหน้า เป็น 20,000 x 1.04 = 2,0800 บาท ปีถัดไปก็เอาไปคูณ 1.04 เรื่อยๆ ดังนั้นมาดูตารางกันว่า แต่ละปีเราต้องการใช้เงินเท่าไหร่

สีเหลืองคือเงินรายปีที่เราต้องใช้แต่ละปีนะครับ เมื่อคิดรวมอัตราเงินเฟ้อที่เรากะเอาไว้

สีฟ้าคือเงินส่วนที่ต้องเพิ่มจาก 240,000 บาทที่เราต้องการในแต่ละปี จะเห็นว่าสีฟ้าเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ หมายถึงว่าเงินปันผลเราไม่พอจ่ายไปเรื่อยๆ เมื่อคิดอัตราเงินเฟ้อ

ดังนั้น รอกินปันผลด้วยเงินต้น 4,000,000 บาทไปตลอดชีวิต ไม่ได้ครับ ไม่ได้ง่ายเหมือนตอนแรกที่บอกไว้ มันซับซ้อนกว่านั้นไปอีกเมื่อคิดอัตราเงินเฟ้อไปด้วย แล้วจะแก้ไขกันยังไงล่ะทีนี้ ....

นพพร เขียน:คำถามต่อมาที่เป็นจุดบอดอีกอันหนึ่งก็คือ ค่าใช้จ่ายอย่างสบายๆ 20,000 บาทต่อเดือนนั้น เราพอใจที่จะใช้กันตลอด 13 ปีนี้เลยเหรอ ไม่ได้หรอกมั้งใช่มั้ยครับ ถามว่าเพราะอะไร ก็เพราะเงินเฟ้อไงล่ะ

ราคาข้าวแกงปีที่แล้ว กับข้าวแกงปีนี้เท่ากันหรือเปล่า ก็ยังไม่เท่ากันเลย ยิ่งหลายปีผ่านไปเงินเฟ้อก็ยิ่งมาก แสดงให้เห็นว่าอำนาจซื้อของเงินมันลดลงไปตามลำดับ ค่าใช่จ่ายเราก็ต้องมากขึ้นเป็นธรรมดา

เงินเฟ้อเป็นเรื่องธรรมดาที่ควรควบคุมให้อยู่ในกรอบประมาณ 3-5% ต่อปี เพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ

ทีนี้เงินที่เราอยากได้ต่อเดือนต้องครอบคลุมเงินเฟ้อไปด้วย ดังนั้นเราก็ต้องมาสมมติกันใหม่ว่า ปีถัดไปเราขอเงินเพิ่มนะ จากเดือนละ 20,000 บาท เราขอเพิ่มอีก 4% (เอากลางๆระหว่าง 3 กับ 5)ในปีหน้า เป็น 20,000 x 1.04 = 2,0800 บาท ปีถัดไปก็เอาไปคูณ 1.04 เรื่อยๆ ดังนั้นมาดูตารางกันว่า แต่ละปีเราต้องการใช้เงินเท่าไหร่

สีเหลืองคือเงินรายปีที่เราต้องใช้แต่ละปีนะครับ เมื่อคิดรวมอัตราเงินเฟ้อที่เรากะเอาไว้

สีฟ้าคือเงินส่วนที่ต้องเพิ่มจาก 240,000 บาทที่เราต้องการในแต่ละปี จะเห็นว่าสีฟ้าเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ หมายถึงว่าเงินปันผลเราไม่พอจ่ายไปเรื่อยๆ เมื่อคิดอัตราเงินเฟ้อ

ดังนั้น รอกินปันผลด้วยเงินต้น 4,000,000 บาทไปตลอดชีวิต ไม่ได้ครับ ไม่ได้ง่ายเหมือนตอนแรกที่บอกไว้ มันซับซ้อนกว่านั้นไปอีกเมื่อคิดอัตราเงินเฟ้อไปด้วย แล้วจะแก้ไขกันยังไงล่ะทีนี้ ....

ถ้าเงินเฟ้อ ราคาสินค้าบริการของบริษัทที่เราซื้อก็ต้องขึ้น เมื่อราคาขึ้น กำไรก็ขึ้น ปันผมก็ขึ้นตามเงินเฟ้อ คิดตื้น ๆ แบบนี้ยังไม่ถูกต้องเหรอครับ

sarawut_p เขียน: ถ้าเงินเฟ้อ ราคาสินค้าบริการของบริษัทที่เราซื้อก็ต้องขึ้น เมื่อราคาขึ้น กำไรก็ขึ้น ปันผมก็ขึ้นตามเงินเฟ้อ คิดตื้น ๆ แบบนี้ยังไม่ถูกต้องเหรอครับ

ถะ ๆๆๆ ถูกต้องคร้าบ แต่.. ใครจะไปรู้ได้กันว่าปันผลมันขึ้นมานั้น ทันกับเงินเฟ้อรึเปล่านี่สิปัญหา

อย่าลืมเผื่อเงินสำรองฉุกเฉินไว้สักก้อนนึงด้วยนะครับ

นพพร เขียน:

sarawut_p เขียน: ถ้าเงินเฟ้อ ราคาสินค้าบริการของบริษัทที่เราซื้อก็ต้องขึ้น เมื่อราคาขึ้น กำไรก็ขึ้น ปันผมก็ขึ้นตามเงินเฟ้อ คิดตื้น ๆ แบบนี้ยังไม่ถูกต้องเหรอครับ

ถะ ๆๆๆ ถูกต้องคร้าบ แต่.. ใครจะไปรู้ได้กันว่าปันผลมันขึ้นมานั้น ทันกับเงินเฟ้อรึเปล่านี่สิปัญหา

ซื้อหุ้นบริษัทที่เราเป็นลูกค้า ต้องเอาเงินไปซื้อของเค้าสิครับ
ถ้าราคาสินค้าถูก เงินปันผลน้อยก็อยู่ได้
ถ้าราคาสินค้าแพง ก็ได้เงินปันผลมากอยู่ดี
ตามเงินเฟ้อไม่ทันให้รู้ไป
แต่ผมคงคิดง่ายไปหน่อย

คนเราส่วนใหญ่จะพยายามใช้ให้พอกับที่เรามี แนวคิดนี้ก็ดีครับ ได้แง่คิดอีกแบบหนึ่ง

like+++

ขอบคุณคุณนพพรมากครับ
มันทำให้ผมคิดว่าเวลานี่สำคัญ
อย่าเสียเวลา และ โอกาศ จงลงมือทำ
การออม แม้เล็กน้อย
ถ้านาน และ ลงทุนให้มันอย่างสมำเสมอ
มันสามารถตอบแทนได้ดี

ขอบคุณอีกครั้งสำหรับผมคนที่หาโอกาศออม

ถ้ามานั่งทำ excel แล้วจะรู้

นอกจากเวลาแล้ว การใส่เงินเข้าไประหว่างทาง สำคัญไม่แพ้กันเลยทีเดียว

มหัศจรรย์อย่างยิ่ง. (ถ้าทำได้)

ได้แนวคิดมาปรับเปลี่ยนใช้กับชีวิตประจำวันได้ดีเลยครับ