หน้า 1 จากทั้งหมด 2
ยิ้มกันถ้วนหน้า
โพสต์แล้ว: พุธ ส.ค. 10, 2011 7:27 pm
โดย ปรัชญา
ยิ้มกันถ้วนหน้า
เมื่อประกาศผลประกอบการ
ประกาศจ่ายเงินปันผล
พอได้เงินผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้น มาเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับชีวิตคนว่างงาน
ทำให้มีเงินเลี้ยงชีพกันต่อไปสำหรับนักลงทุนเต็มเวลา
ใครมีหุ้นที่ปันผลน่าภาคภูมใจก็มาเล่าสู่กันฟัง ยามฝาหรั่งปรับพอร์ตเทขายหุ้น
ถึงหุ้นเราถือมันจะลง
แต่ได้เงินปันผล และผลการดำเนินงานยังเติบโต ก็ไม่น่าจะสนใจฝาหรั่งสักหน่อยจริงม๊ะ
ลองอ่านนี่ดูครับ
http://www.bangkokbiznews.com/fundament ... 11062.html
Re: ยิ้มกันถ้วนหน้า
โพสต์แล้ว: พุธ ส.ค. 10, 2011 8:41 pm
โดย kabu
ขอบคุณครับ
Re: ยิ้มกันถ้วนหน้า
โพสต์แล้ว: พุธ ส.ค. 10, 2011 9:18 pm
โดย aonzzung
ผมยิ้มที่ผมล้างพอร์ตมากกว่าครับ
Re: ยิ้มกันถ้วนหน้า
โพสต์แล้ว: พุธ ส.ค. 10, 2011 10:16 pm
โดย Dekfaifah
+1 ครับ พี่ ปรัชญา
ปรัชญา เขียน:พอได้เงินผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้น มาเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับชีวิตคนว่างงาน
ทำให้มีเงินเลี้ยงชีพกันต่อไปสำหรับนักลงทุนเต็มเวลา
เป็นสิ่งที่นักลงทุนหวัง และ ผมก็หวังเป็นเช่นนั้นเหมือนกันครับแต่ยังทำไม่สำเร็จง่ายๆแน่ครับ
ผมคุยกับเพื่อนๆพี่ๆหลายคน ช่วงนี้จิตตกกันเหลือเกิน อาจจะเพราะเห็นหุ้นตกลงไปมาก มูลค่าพอร์ตที่มากก็ลดลง
แต่จริงๆแล้ว หลาย ๆ บริษัทที่ร่วมลงทุนยังทำผลงานได้ดีและปันผลก็มากขึ้นด้วย
แต่ก็อย่างว่าหละครับ หลายคนอาจจะใช้วิธีบริหารพอร์ตแตกต่างกัน
ส่วนตัวผมยังเต็ม 100 % ในหุ้นครับ
และก็ได้ปันผลเพิ่มขึ้นมากทุกปีตามผลประกอบการที่เติบโตขึ้น
Re: ยิ้มกันถ้วนหน้า
โพสต์แล้ว: พุธ ส.ค. 10, 2011 10:18 pm
โดย Packy_Kittiworawut
Re: ยิ้มกันถ้วนหน้า
โพสต์แล้ว: พุธ ส.ค. 10, 2011 10:21 pm
โดย zephyr
คนที่คาดหวังปันผลคงไม่กระทบอะไรหรอกครับ ตราบใดที่บริษัทกำไรดีเพิ่มขึ้น เพราะนั่นหมายถึงปันผลที่เพิ่มขึ้น ซึ่งสามารถเอามาใช้จ่ายได้ โดยที่จำนวนหุ้นยังคงเท่าเดิม
แต่ผมเอง เงินยังไม่มากพอที่จะคาดหวังแค่เพียงปันผล ดังนั้นตอนนี้ผมคาดหวัง capital gain มากกว่า ซึ่งทำให้ลำบากใจเหมือนกันในการที่ต้องขายหุ้นทั้งๆที่ผลประกอบการดีขึ้นเกือบทุกตัวที่ถือ
แต่ก็หวังไว้ว่าอนาคต จะเป็นได้แบบพี่ๆ ที่แค่เพียงปันผลก็อยู่ได้แล้ว ส่วน capital gain เหมือนเป็นสิ่งที่ได้ก็ดี ไม่ได้ก็ไม่ซีเรียส
Re: ยิ้มกันถ้วนหน้า
โพสต์แล้ว: พุธ ส.ค. 10, 2011 10:38 pm
โดย ziannoom
zephyr เขียน:คนที่คาดหวังปันผลคงไม่กระทบอะไรหรอกครับ ตราบใดที่บริษัทกำไรดีเพิ่มขึ้น เพราะนั่นหมายถึงปันผลที่เพิ่มขึ้น ซึ่งสามารถเอามาใช้จ่ายได้ โดยที่จำนวนหุ้นยังคงเท่าเดิม
แต่ผมเอง เงินยังไม่มากพอที่จะคาดหวังแค่เพียงปันผล ดังนั้นตอนนี้ผมคาดหวัง capital gain มากกว่า ซึ่งทำให้ลำบากใจเหมือนกันในการที่ต้องขายหุ้นทั้งๆที่ผลประกอบการดีขึ้นเกือบทุกตัวที่ถือ
แต่ก็หวังไว้ว่าอนาคต จะเป็นได้แบบพี่ๆ ที่แค่เพียงปันผลก็อยู่ได้แล้ว ส่วน capital gain เหมือนเป็นสิ่งที่ได้ก็ดี ไม่ได้ก็ไม่ซีเรียส
เหมือนผมเลยปันผลหลักหมื่นไม่ทำให้ลูกเมียอยู่อย่างสบาย
Re: ยิ้มกันถ้วนหน้า
โพสต์แล้ว: พุธ ส.ค. 10, 2011 10:54 pm
โดย aonzzung
ผมว่าหลายๆคนเข้าใจผิดนะว่า VI หวังปันผล
ลองไปอ่านหนังสือของ Peter Lynch กะ Buffet ดูนะครับ
เพราะจิงๆแล้ว 2 ท่านนี้ใช้ปันผลเป็นเพียง factor หนึ่งที่จะช่วยลดแรงกระแทกเมื่อหุ้นราคาตก(อาจจะเนื่องด้วยสาเหตุอะไรก็แล้วแต่) เพื่อปกป้อง capital gain ครับ
จริงๆแล้ว capital gain เท่านั้นครับ ที่จะทำให้พอร์ตโตอย่างมีนัยสำคัญ
dividend เป็นผลพลอยได้ครับ
ปล ผมไม่ใช่เซียนใน thaivi แต่ขอบังอาจเสนอแนวคิดในกะลาของผมหน่อยละกัน
Re: ยิ้มกันถ้วนหน้า
โพสต์แล้ว: พุธ ส.ค. 10, 2011 11:04 pm
โดย ziannoom
aonzzung เขียน:ผมว่าหลายๆคนเข้าใจผิดนะว่า VI หวังปันผล
ลองไปอ่านหนังสือของ Peter Lynch กะ Buffet ดูนะครับ
เพราะจิงๆแล้ว 2 ท่านนี้ใช้ปันผลเป็นเพียง factor หนึ่งที่จะช่วยลดแรงกระแทกเมื่อหุ้นราคาตก(อาจจะเนื่องด้วยสาเหตุอะไรก็แล้วแต่) เพื่อปกป้อง capital gain ครับ
จริงๆแล้ว capital gain เท่านั้นครับ ที่จะทำให้พอร์ตโตอย่างมีนัยสำคัญ
dividend เป็นผลพลอยได้ครับ
ปล ผมไม่ใช่เซียนใน thaivi แต่ขอบังอาจเสนอแนวคิดในกะลาของผมหน่อยละกัน
ผมก็คิดเหมือนกับท่านที่ VI ไม่หวังปันผลเป็นปัจจัยหลัก แต่ที่คิดไม่เหมือนคือ ตอนนี้ผมไม่มีเงินสดเหลือเลย
Re: ยิ้มกันถ้วนหน้า
โพสต์แล้ว: พุธ ส.ค. 10, 2011 11:12 pm
โดย torpongpak
ผมตามตัวนี้ตอนเข้าตลาดเพราะเป็นลูกค้าของBLA เห็นราคามันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆตอนนั้นต่อราคาตอน13บาท นึกว่าเเพงเเล้ว เพราะไม่มีความรู้...ขอโขกกำเเพงด้วยคนครับ
ของเเท้ต้อง3ทีเเบบนี้เเหละครับจะได้อารมณ์มาก
ล้อเล่นนะครับ สิ่งที่เกิดขึ้นมาเเล้วย่อมดีที่สุด
เพียงเเต่เราไม่ทำผิดพลาดซำ้ๆเดิมก็พอ ส่วนถ้าคิดว่าBLAเเพงเเล้ว ก็ศึกษาตัวใหม่ ในตลาดหุ้นมีหลายร้อยตัวให้ศึกษา เราไม่จำเป็นต้องสนใจBlueship หรือ Great stock ที่ราคาเเพง เเต่เราหาGood Stock ที่ราคาเหมาะสมหรือราคาถูกดีกว่าครับ
Re: ยิ้มกันถ้วนหน้า
โพสต์แล้ว: พุธ ส.ค. 10, 2011 11:27 pm
โดย tum_H
รอปันผลด้วยคนครับ
อย่างน้อยก็เป็นแสงในความมืด ของบางช่วงเวลา
Re: ยิ้มกันถ้วนหน้า
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ส.ค. 11, 2011 9:49 am
โดย luangrit
aonzzung เขียน:ผมว่าหลายๆคนเข้าใจผิดนะว่า VI หวังปันผล
ลองไปอ่านหนังสือของ Peter Lynch กะ Buffet ดูนะครับ
เพราะจิงๆแล้ว 2 ท่านนี้ใช้ปันผลเป็นเพียง factor หนึ่งที่จะช่วยลดแรงกระแทกเมื่อหุ้นราคาตก(อาจจะเนื่องด้วยสาเหตุอะไรก็แล้วแต่) เพื่อปกป้อง capital gain ครับ
จริงๆแล้ว capital gain เท่านั้นครับ ที่จะทำให้พอร์ตโตอย่างมีนัยสำคัญ
dividend เป็นผลพลอยได้ครับ
ปล ผมไม่ใช่เซียนใน thaivi แต่ขอบังอาจเสนอแนวคิดในกะลาของผมหน่อยละกัน
ขอแชร์หน่อยนะครับ
ผมมองว่า Capital gained เป็นผลพลอยได้จาก Dividend
สมมุติว่าถ้า บริษัทจ่ายปันผลที่ 5 บาทต่อหุ้น
ตลาดจะให้ราคาบริษัทนี้เท่าไหร่?
ถ้าผมประเมิน ก็จะยอมซื้อที่ 50 - 75 บาท
แต่ถ้าวิเคราะห์ดูแล้วว่าบริษัทมีการเติบโตไปเรื่อยๆ 15-20% ต่อปี
บางทีผมอาจจะยอมซื้อที่ 150 บาทก็ได้ เพราะปันผลมันจะเพิ่มขึ้นทุกปี
เพราะฉะนั้นราคาหุ้นมันก็มักจะเป็นไปตามความคาดหวังของแต่ละบุคคล
ถ้าเป็นช่วงหุ้นตก บริษัทดีๆที่ยังจ่ายปันผลสูงราวๆ 15-20% ก็นับว่าเป็นบริษัทที่น่าสนใจ
เพราะมันแสดงให้เห็นว่าบริษัทมีรายได้ มีศักยภาพพอที่จะไม่ผันผวนไปตามตลาด
ปันผลมันเป็นส่วนนึงที่จะทำให้เราหามูลค่าที่เหมาะสมได้
นั่นก็คือ Capital gained
ซึ่งเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมผมจึงมองมันว่าเป็นผลพลอยได้
อันนี้มองในมุมกลับนะครับผม
Re: ยิ้มกันถ้วนหน้า
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ส.ค. 11, 2011 10:02 am
โดย aonzzung
จริงหรอครับ?
ถ้าสมมติผมให้คุณซื้อหุ้น Berkshire Harthaway ที่ไม่เคยจ่ายปัญผลเลย
เอามั้ยครับ?
Re: ยิ้มกันถ้วนหน้า
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ส.ค. 11, 2011 10:14 am
โดย Linzhi
ผมว่าพี่ปรัชญาเค้าเน้นว่าผลประกอบการดีสำคัญสุดนะครับ (สำคัญกว่าจะเน้นไปเอากำไรจากตลาด)
ส่วนจะ capital gain หรือเงินปันผล ก็ไก่กับไข่ครับ จะขายแม่ไก่ หรือ รอกินไข่ ก็แล้วแต่จริตคนล่ะครับ
Re: ยิ้มกันถ้วนหน้า
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ส.ค. 11, 2011 9:59 pm
โดย Saran
บริษัทที่ดีมักจะมีความสามารถจ่ายปันผลได้อยู่เสมอ ไม่มากก็น้อย
แต่บริษัทที่ยอดเยี่ยมนั้นนอกจากจะสามารถจ่ายปันผลได้สม่ำเสมอแล้ว จำนวนเงินที่จ่ายก็จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆในระยะยาว
หุ้นพวกนี้ ดร.นิเวศน์เคยบอกไว้ครับว่าถึงซื้อมาแพงจริง ในระยะยาวมูลค่าหุ้นก็จะขึ้นไปแซงราคาที่ซื้อเอง (พร้อมเงินปันผลที่มากขึ้น)
ดังนั้น หากเจอหุ้นลักษณะนี้แล้ว หากราคามันตก ก็เป็นโอกาสที่จะเก็บเพิ่มครับ 555
Re: ยิ้มกันถ้วนหน้า
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ส.ค. 11, 2011 9:59 pm
โดย zephyr
คืออย่างนี้ครับ เป้าหมายผมคือการมีอิสระภาพทางการเงินให้เร็วที่สุด โดยไม่ต้องทำงานประจำ
โดยคาดหวังว่าจะให้เงินปันผลที่ได้จากหุ้นเนี่ยแหละ คือเงินที่จะมาใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน
สมมติหากมีผมเงินอยู่ 1 ล้าน ซื้อหุ้นตัวหนึ่งราคาหุ้นละ 50 บาท ได้ปันผล 2 บาทต่อหุ้น
ผมจะซื้อหุ้นได้ 20,000 หุ้น และได้ปันผล 40,000 บาท คิดเป็น 4% ต่อปี
และหุ้นตัวนี้ก็มีกำไรที่โตขึ้น เงินปันผลก็น่าจะสูงขึ้นในอนาคต และราคาหุ้นก็จะสูงขึ้นในอนาคตด้วยเช่นกัน
เป็นเรื่องที่น่ายินดีครับ
ถ้าผมมีเงินสัก 20 ล้านลงทุนในหุ้นตัวนี้ ผมก็จะซื้อหุ้นได้ถึง 400,000 หุ้น และปันผลถึง 800,000 บาทต่อปี
ในสถานการณ์ปัจจุบัน ซึ่งนายตลาดมีความหวาดกลัวสูงอันเนื่องมาจากการกลัววิกฤตที่ไม่กระทบกับบริษัทนี้เลย
แต่อาจจะทำให้ราคาหุ้นของบริษัทนี้ต่ำลงได้เนื่องจากการเทขายหุ้นออกมาจำนวนมาก
ถ้าผมในกรณีที่ 2 คือสามารถได้รับปันผล 800,000 บาทต่อปีอยู่แล้ว ผมจะไม่ขายหุ้นนี้ครับ เพราะเงินปันผลสามารถทำให้ผมอยู่ได้อยู่แล้ว และผมคาดว่าราคาหุ้นจะกลับมาที่เดิม และสูงกว่าเดิมในอนาคต แต่ไม่ทราบเวลา
แต่ถ้าเป็นผมคนเดิมในกรณีที่ 1 คือได้ปันผลเพียง 40,000 บาท ผมอาจตัดสินใจขายหุ้นนี้ครับ เพราะเงิน 40,000 บาทต่อปียังไม่สามารถทำให้ผมดำรงชีวิตอยู่ได้โดยไม่มีงานประจำ ดังนั้นผมจึงต้องพยายามรักษาเงินต้นให้ได้มากที่สุด และอาจจะกลับมาซื้อหุ้นนี้ได้ใหม่ในราคาที่ถูกกว่าเดิม และได้จำนวนหุ้นที่มากกว่าเดิม ซึ่งยังไม่รู้จะทำได้หรือไม่ แต่อย่างน้อยผมก็รักษาเงินต้นได้
ดังนั้นเรื่องของการหวังปันผลและ capital gain ของผมมันเลยมีหลายปัจจัยในการพิจารณาครับ
สำหรับหุ้น Berkshire ที่ไม่มีปันผลนั้น ผมคงไม่คิดจะซื้อหากผมไม่มีเงินที่จะมาเลี้ยงชีวิตประจำวันได้
แต่ถ้าผมมีเงินที่มาเลี้ยงชีวิตประจำวันได้สบายอยู่แล้ว ผมคงจะตัดสินใจซื้อครับ
หวังว่าคงไม่งงนะครับ
Re: ยิ้มกันถ้วนหน้า
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ส.ค. 11, 2011 10:25 pm
โดย pak
pak...กับอีกชื่อเล่นหนึ่งที่ว่า "แกะดำ...แห่งวงการวีไอ"
นี่เป็นพอร์ต Turnaround ของผมเองขอรับ
ที่สุดแห่งการเปลี่ยนแปลง และที่สุดของความเสี่ยงเช่นกัน!!!
กับการที่ผมเลือกหุ้นเน่าๆไร้กระแสมา 3 ตัว แล้วเอามานั่งลุ้น (เฮ้อ หัวใจจะวายตาย...!!!)
วันนี้ประกาศผลประกอบการ Q2/2554 ครบหมดแล้วครับ
จึงถือโอกาสทำสรุปออกมา
ผมเองพอจะยิ้มได้เช่นกันครับ
เพราะไตรมาสนี้ ทั้ง 3 บริษัทฯ มีผลประกอบการออกมาเป็นบวกทุกบริษัทฯขอรับ
จะมากจะน้อย...ก็ไม่เป็นไร
เพราะแค่ผมเห็น "สีเขียวบางๆรำไร" ผมก็ดีใจมากมายแล้วครับ 555+
(^_^)
Re: ยิ้มกันถ้วนหน้า
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ส.ค. 11, 2011 10:46 pm
โดย ปรัชญา
ไอเดียการลงทุนของแต่ละคนก็ชัดเจน ตามแนวทางแห่งตน ขอให้โชคดีกับการลงทุนซื้อหุ้นถือหุ้นถูกตัว
3รูปข้างบน แปลได้ว่า
คุณพิภพ เท่ากับ เอ็นซี
คุณอภิสิทธิ์ เท่ากับ โกลบอลเฮ้าส์
คุณอนุชา เท่ากับ โฟกัส
หรือเปล่าไม่แน่ใจครับ
Re: ยิ้มกันถ้วนหน้า
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ส.ค. 11, 2011 10:48 pm
โดย Skyforever
zephyr เขียน:คืออย่างนี้ครับ เป้าหมายผมคือการมีอิสระภาพทางการเงินให้เร็วที่สุด โดยไม่ต้องทำงานประจำ
โดยคาดหวังว่าจะให้เงินปันผลที่ได้จากหุ้นเนี่ยแหละ คือเงินที่จะมาใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน
สมมติหากมีผมเงินอยู่ 1 ล้าน ซื้อหุ้นตัวหนึ่งราคาหุ้นละ 50 บาท ได้ปันผล 2 บาทต่อหุ้น
ผมจะซื้อหุ้นได้ 20,000 หุ้น และได้ปันผล 40,000 บาท คิดเป็น 4% ต่อปี
และหุ้นตัวนี้ก็มีกำไรที่โตขึ้น เงินปันผลก็น่าจะสูงขึ้นในอนาคต และราคาหุ้นก็จะสูงขึ้นในอนาคตด้วยเช่นกัน
เป็นเรื่องที่น่ายินดีครับ
ถ้าผมมีเงินสัก 20 ล้านลงทุนในหุ้นตัวนี้ ผมก็จะซื้อหุ้นได้ถึง 400,000 หุ้น และปันผลถึง 800,000 บาทต่อปี
ในสถานการณ์ปัจจุบัน ซึ่งนายตลาดมีความหวาดกลัวสูงอันเนื่องมาจากการกลัววิกฤตที่ไม่กระทบกับบริษัทนี้เลย
แต่อาจจะทำให้ราคาหุ้นของบริษัทนี้ต่ำลงได้เนื่องจากการเทขายหุ้นออกมาจำนวนมาก
ถ้าผมในกรณีที่ 2 คือสามารถได้รับปันผล 800,000 บาทต่อปีอยู่แล้ว ผมจะไม่ขายหุ้นนี้ครับ เพราะเงินปันผลสามารถทำให้ผมอยู่ได้อยู่แล้ว และผมคาดว่าราคาหุ้นจะกลับมาที่เดิม และสูงกว่าเดิมในอนาคต แต่ไม่ทราบเวลา
แต่ถ้าเป็นผมคนเดิมในกรณีที่ 1 คือได้ปันผลเพียง 40,000 บาท ผมอาจตัดสินใจขายหุ้นนี้ครับ เพราะเงิน 40,000 บาทต่อปียังไม่สามารถทำให้ผมดำรงชีวิตอยู่ได้โดยไม่มีงานประจำ ดังนั้นผมจึงต้องพยายามรักษาเงินต้นให้ได้มากที่สุด และอาจจะกลับมาซื้อหุ้นนี้ได้ใหม่ในราคาที่ถูกกว่าเดิม และได้จำนวนหุ้นที่มากกว่าเดิม ซึ่งยังไม่รู้จะทำได้หรือไม่ แต่อย่างน้อยผมก็รักษาเงินต้นได้
ดังนั้นเรื่องของการหวังปันผลและ capital gain ของผมมันเลยมีหลายปัจจัยในการพิจารณาครับ
สำหรับหุ้น Berkshire ที่ไม่มีปันผลนั้น ผมคงไม่คิดจะซื้อหากผมไม่มีเงินที่จะมาเลี้ยงชีวิตประจำวันได้
แต่ถ้าผมมีเงินที่มาเลี้ยงชีวิตประจำวันได้สบายอยู่แล้ว ผมคงจะตัดสินใจซื้อครับ
หวังว่าคงไม่งงนะครับ
สวัสดีครับคุณ zephyr
ผมขอแสดงความคิดเห็นที่แตกต่างหน่อยนะครับ
คือผมคิดว่ากำลังหลงเอาประเด็นต่างๆมาตีกันอยู่ครับ โดยจากที่ได้อ่านผมแยกประเด็นได้ดังนี้
1. เงินปันผลที่ต่างกันจากเงินลงทุนต่างกันส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อขายหุ้นหรือไม่
จากที่อ่านมา คุณ zephyr บอกว่าต้องการใช้เงินปันผลเป็นค่าใช้จ่ายในการดำรงชีวิต โดยยกตัวอย่างเทียบระหว่างมีเงิน 1 ล้านบาท กับมีเงิน 20 ล้านบาท แล้วบอกว่าเงินลงทุนต่างกันส่งผลให้ตัดสินใจขายหุ้นต่างกัน ผมคิดว่าไม่เกี่ยวกันครับ ถ้ามีเงิน 1 ล้านบาท ไม่ว่าจะลงทุนวิธีไหนจะขายหรือไม่ขาย ก็ไม่สามารถจะมีกำไรเพียงพอมาใช้จ่ายได้หรอกครับ การที่จะอ้างว่ามีเงินเพียง 1 ล้านบาททำให้ต้องขายหุ้นเพราะเงินปันผลไม่พอใช้จ่ายจึงไม่สมเหตุสมผลครับ
2. การขายหุ้นเพื่อรอซื้อที่ราคาต่ำเป็นวิธีที่เหมาะกับเงิน 1 ล้านบาทมากกว่า 20 ล้านบาทหรือไม่
คุณ zephyr บอกว่าถ้ามีเงินปันผลมากพอก็ไม่จำเป็นต้องขายหุ้น แต่ถ้ามีเงินน้อยแค่ 1 ล้านบาท เราจำเป็นต้องขายหุ้น แสดงให้เห็นมุมมองว่าแท้จริงแล้วคุณ zephyr ยังเชื่ออยู่ลึกๆว่าการขายหุ้นแล้วรอซื้อกลับเมื่อราคาลดลง มีโอกาสจะทำกำไรได้มากกว่าการรออยู่เฉยๆรอปันผล ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นจริงเราก็ควรจะทำเหมือนกันในกรณีที่มีเงิน 20 ล้านบาทด้วย เพราะถึงเงินปันผลจะเพียงพอ แต่ถ้าการขายออกแล้วรอซื้อที่ราคาต่ำนั้นมีกำไรดีกว่า เราก็ควรจะทำกับพอร์ต 20 ล้านด้วยเช่นกัน
ตามความเห็นของผมนั้น ขนาดของพอร์ตไม่ควรจะเอามาเกี่ยวโยงกับการตัดสินใจขายหรือไม่ขายหุ้นครับ (ยกเว้นในกรณีที่หุ้นตัวนั้นสภาพคล่องต่ำมากๆ)
Re: ยิ้มกันถ้วนหน้า
โพสต์แล้ว: ศุกร์ ส.ค. 12, 2011 1:05 am
โดย istyle
แสดงว่า 20 ล้านเป็นเงินเย็น แต่ 1 ล้่านไม่ใช่
Re: ยิ้มกันถ้วนหน้า
โพสต์แล้ว: ศุกร์ ส.ค. 12, 2011 9:57 am
โดย ilekis
zephyr เขียน:คืออย่างนี้ครับ เป้าหมายผมคือการมีอิสระภาพทางการเงินให้เร็วที่สุด โดยไม่ต้องทำงานประจำ
โดยคาดหวังว่าจะให้เงินปันผลที่ได้จากหุ้นเนี่ยแหละ คือเงินที่จะมาใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน
สมมติหากมีผมเงินอยู่ 1 ล้าน ซื้อหุ้นตัวหนึ่งราคาหุ้นละ 50 บาท ได้ปันผล 2 บาทต่อหุ้น
ผมจะซื้อหุ้นได้ 20,000 หุ้น และได้ปันผล 40,000 บาท คิดเป็น 4% ต่อปี
และหุ้นตัวนี้ก็มีกำไรที่โตขึ้น เงินปันผลก็น่าจะสูงขึ้นในอนาคต และราคาหุ้นก็จะสูงขึ้นในอนาคตด้วยเช่นกัน
เป็นเรื่องที่น่ายินดีครับ
ถ้าผมมีเงินสัก 20 ล้านลงทุนในหุ้นตัวนี้ ผมก็จะซื้อหุ้นได้ถึง 400,000 หุ้น และปันผลถึง 800,000 บาทต่อปี
ในสถานการณ์ปัจจุบัน ซึ่งนายตลาดมีความหวาดกลัวสูงอันเนื่องมาจากการกลัววิกฤตที่ไม่กระทบกับบริษัทนี้เลย
แต่อาจจะทำให้ราคาหุ้นของบริษัทนี้ต่ำลงได้เนื่องจากการเทขายหุ้นออกมาจำนวนมาก
ถ้าผมในกรณีที่ 2 คือสามารถได้รับปันผล 800,000 บาทต่อปีอยู่แล้ว ผมจะไม่ขายหุ้นนี้ครับ เพราะเงินปันผลสามารถทำให้ผมอยู่ได้อยู่แล้ว และผมคาดว่าราคาหุ้นจะกลับมาที่เดิม และสูงกว่าเดิมในอนาคต แต่ไม่ทราบเวลา
แต่ถ้าเป็นผมคนเดิมในกรณีที่ 1 คือได้ปันผลเพียง 40,000 บาท ผมอาจตัดสินใจขายหุ้นนี้ครับ เพราะเงิน 40,000 บาทต่อปียังไม่สามารถทำให้ผมดำรงชีวิตอยู่ได้โดยไม่มีงานประจำ ดังนั้นผมจึงต้องพยายามรักษาเงินต้นให้ได้มากที่สุด และอาจจะกลับมาซื้อหุ้นนี้ได้ใหม่ในราคาที่ถูกกว่าเดิม และได้จำนวนหุ้นที่มากกว่าเดิม ซึ่งยังไม่รู้จะทำได้หรือไม่ แต่อย่างน้อยผมก็รักษาเงินต้นได้
ดังนั้นเรื่องของการหวังปันผลและ capital gain ของผมมันเลยมีหลายปัจจัยในการพิจารณาครับ
สำหรับหุ้น Berkshire ที่ไม่มีปันผลนั้น ผมคงไม่คิดจะซื้อหากผมไม่มีเงินที่จะมาเลี้ยงชีวิตประจำวันได้
แต่ถ้าผมมีเงินที่มาเลี้ยงชีวิตประจำวันได้สบายอยู่แล้ว ผมคงจะตัดสินใจซื้อครับ
หวังว่าคงไม่งงนะครับ
แสดงว่าแนวทางนี้ต้องขึ้นกับ
การคาดราคาหุ้นได้ถูกต้อง
ซึ่งผมว่าเราจะไม่ทำได้ถูกต้องเสมอไปอะครับ และผมคิดว่าการซื้อขายมากเกินไปจะทำให้ความแม่นยำ
ในพื้นฐานลดลง
Re: ยิ้มกันถ้วนหน้า
โพสต์แล้ว: ศุกร์ ส.ค. 12, 2011 10:04 am
โดย pdGrff
ilekis เขียน:zephyr เขียน:คืออย่างนี้ครับ เป้าหมายผมคือการมีอิสระภาพทางการเงินให้เร็วที่สุด โดยไม่ต้องทำงานประจำ
โดยคาดหวังว่าจะให้เงินปันผลที่ได้จากหุ้นเนี่ยแหละ คือเงินที่จะมาใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน
สมมติหากมีผมเงินอยู่ 1 ล้าน ซื้อหุ้นตัวหนึ่งราคาหุ้นละ 50 บาท ได้ปันผล 2 บาทต่อหุ้น
ผมจะซื้อหุ้นได้ 20,000 หุ้น และได้ปันผล 40,000 บาท คิดเป็น 4% ต่อปี
และหุ้นตัวนี้ก็มีกำไรที่โตขึ้น เงินปันผลก็น่าจะสูงขึ้นในอนาคต และราคาหุ้นก็จะสูงขึ้นในอนาคตด้วยเช่นกัน
เป็นเรื่องที่น่ายินดีครับ
ถ้าผมมีเงินสัก 20 ล้านลงทุนในหุ้นตัวนี้ ผมก็จะซื้อหุ้นได้ถึง 400,000 หุ้น และปันผลถึง 800,000 บาทต่อปี
ในสถานการณ์ปัจจุบัน ซึ่งนายตลาดมีความหวาดกลัวสูงอันเนื่องมาจากการกลัววิกฤตที่ไม่กระทบกับบริษัทนี้เลย
แต่อาจจะทำให้ราคาหุ้นของบริษัทนี้ต่ำลงได้เนื่องจากการเทขายหุ้นออกมาจำนวนมาก
ถ้าผมในกรณีที่ 2 คือสามารถได้รับปันผล 800,000 บาทต่อปีอยู่แล้ว ผมจะไม่ขายหุ้นนี้ครับ เพราะเงินปันผลสามารถทำให้ผมอยู่ได้อยู่แล้ว และผมคาดว่าราคาหุ้นจะกลับมาที่เดิม และสูงกว่าเดิมในอนาคต แต่ไม่ทราบเวลา
แต่ถ้าเป็นผมคนเดิมในกรณีที่ 1 คือได้ปันผลเพียง 40,000 บาท ผมอาจตัดสินใจขายหุ้นนี้ครับ เพราะเงิน 40,000 บาทต่อปียังไม่สามารถทำให้ผมดำรงชีวิตอยู่ได้โดยไม่มีงานประจำ ดังนั้นผมจึงต้องพยายามรักษาเงินต้นให้ได้มากที่สุด และอาจจะกลับมาซื้อหุ้นนี้ได้ใหม่ในราคาที่ถูกกว่าเดิม และได้จำนวนหุ้นที่มากกว่าเดิม ซึ่งยังไม่รู้จะทำได้หรือไม่ แต่อย่างน้อยผมก็รักษาเงินต้นได้
ดังนั้นเรื่องของการหวังปันผลและ capital gain ของผมมันเลยมีหลายปัจจัยในการพิจารณาครับ
สำหรับหุ้น Berkshire ที่ไม่มีปันผลนั้น ผมคงไม่คิดจะซื้อหากผมไม่มีเงินที่จะมาเลี้ยงชีวิตประจำวันได้
แต่ถ้าผมมีเงินที่มาเลี้ยงชีวิตประจำวันได้สบายอยู่แล้ว ผมคงจะตัดสินใจซื้อครับ
หวังว่าคงไม่งงนะครับ
แสดงว่าแนวทางนี้ต้องขึ้นกับ
การคาดราคาหุ้นได้ถูกต้อง
ซึ่งผมว่าเราจะไม่ทำได้ถูกต้องเสมอไปอะครับ และผมคิดว่าการซื้อขายมากเกินไปจะทำให้ความแม่นยำ
ในพื้นฐานลดลง
การซื้อขายมากเกินไป จะทำให้ price sensitive มากขึ้น แต่พื้นฐานก็ยังคงเหมือนเดิม ตาม factor ที่มากระทบกิจการ
(อันนี้เราไม่พูดกันในกรณีผบห ซื้อขายนะคะ)
Re: ยิ้มกันถ้วนหน้า
โพสต์แล้ว: ศุกร์ ส.ค. 12, 2011 10:21 am
โดย ilekis
pdGrff เขียน:
การซื้อขายมากเกินไป จะทำให้ price sensitive มากขึ้น แต่พื้นฐานก็ยังคงเหมือนเดิม ตาม factor ที่มากระทบกิจการ
(อันนี้เราไม่พูดกันในกรณีผบห ซื้อขายนะคะ)
ผมอาจจะใช้ตัวเองเป็นบรรทัดฐานไปหน่อย
คือช่วงที่ซื้อขายบ่อยเนื่องจากการคาดเดาราคา มันพาลทำให้การวิเคราะห์ก็พลาดไปด้วย
เปรียบเทียบกับช่วงนี้ที่มองภาพระยะยาวแทน มีแผนชัดเจนว่าจะซื้อเพราะอะไรขายเพราะอะไร
เลยทำให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า
คือผมหมายถึงว่าพอเราคาดเดาราคา อารมณ์จะเข้ามาเกี่ยวข้องอย่างมากครับ
เพราะการคาดเดาราคา ก็เป็นการคาดเดาอารมณ์ของตลาด
Re: ยิ้มกันถ้วนหน้า
โพสต์แล้ว: ศุกร์ ส.ค. 12, 2011 12:10 pm
โดย suwicha
ปรัชญา เขียน:ไอเดียการลงทุนของแต่ละคนก็ชัดเจน ตามแนวทางแห่งตน ขอให้โชคดีกับการลงทุนซื้อหุ้นถือหุ้นถูกตัว
3รูปข้างบน แปลได้ว่า
คุณพิภพ เท่ากับ เอ็นซี
คุณอภิสิทธิ์ เท่ากับ โกลบอลเฮ้าส์
คุณอนุชา เท่ากับ โฟกัส
หรือเปล่าไม่แน่ใจครับ
คุณอภิสิทธิ์ในที่นี้ น่าจะเป็นPAEมากกว่าครับ
Re: ยิ้มกันถ้วนหน้า
โพสต์แล้ว: ศุกร์ ส.ค. 12, 2011 12:20 pm
โดย ปรัชญา
suwicha เขียน:ปรัชญา เขียน:ไอเดียการลงทุนของแต่ละคนก็ชัดเจน ตามแนวทางแห่งตน ขอให้โชคดีกับการลงทุนซื้อหุ้นถือหุ้นถูกตัว
3รูปข้างบน แปลได้ว่า
คุณพิภพ เท่ากับ เอ็นซี
คุณอภิสิทธิ์ เท่ากับ โกลบอลเฮ้าส์
คุณอนุชา เท่ากับ โฟกัส
หรือเปล่าไม่แน่ใจครับ
คุณอภิสิทธิ์ในที่นี้ น่าจะเป็นPAEมากกว่าครับ
ขอบคุณครับ
ผมตีความหมายผิดจริงๆ
Re: ยิ้มกันถ้วนหน้า
โพสต์แล้ว: ศุกร์ ส.ค. 12, 2011 9:38 pm
โดย OutOfMyMind
ผมว่ารักจะลงทุน จะมุ่งเป้าไปที่จุดใดจุดหนึ่ง มันคงไม่ครบเครื่อง และ ไม่สนุกอย่างที่ควรจะเป็นหรอกครับ การเป็น VI คือการมองที่ความเสี่ยงก่อนแล้วจึงมองที่ผลตอบแทน ลงทุนซื้อแบงค์สิบ ด้วยเหรียญบาท ซึ่งเปิดโอกาสให้เราหวังได้ทั้ง DVD, Cap Gain หรือแม้กระทั่งหวงไปถึง Stock DVD, W, Spin Off หรือ โอกาสในการ Arbitrage อื่นๆ
มีอาวุธให้เลือกมากมาย ขอเชิญท่านจอมยุทธหยิบใช้ บางคนถือทวน แล้วแอบพกมีดไปด้วย บางคนชอบดาบสองมือ บางคนชอบกระบองสองท่อน
แต่มุมมองเรื่องการคว้าปันผลเอาไว้ก่อน น่าจะทำให้เราสบายใจในวันที่หุ้นร่วง เพราะอย่างน้อยเราก็ได้ผลตอบแทนในระดับหนึ่ง ไม่ว่าเราจะลงทุนแบบพาร์ตไทม์หรือฟูลไทม์ก็ตาม
ซึ่งเราควรแยกออกกับการขายหุ้น เพราะเราควรขายหุ้นอย่างมีกลยุทธ์ ไม่ได้ขายด้วยอารมณ์ เราจึงอาจขายได้เพราะเหตุผลที่หลากหลาย ทั้ง SAP, หุ้นพื้นฐานเปลี่ยน, เจอหุ้นอื่นที่ดีกว่า หรือแม้แต่อยากจะลดสัดส่วนถือ position ในวันแดงเดือด เป็นได้หมด ขอเพียงมั่นใจว่า ทำแล้วไม่เป็นดังหวังเราจะไม่มาฟูมฟายเพราะเราทำอะไรแบบไม่ไตร่ตรอง
Re: ยิ้มกันถ้วนหน้า
โพสต์แล้ว: เสาร์ ส.ค. 13, 2011 11:44 am
โดย superboy
ช่วง2อาทิตย์ผ่านมาตลาดผันผวนมาก
ผมเกือบหลุดแนวvi ไปเหมือนกัน ดีที่คิดถึงแต่ รองบๆๆ
ไม่งั้นคงเป็น mr.market กับเขาด้วยเหมือนกัน
Re: ยิ้มกันถ้วนหน้า
โพสต์แล้ว: เสาร์ ส.ค. 13, 2011 11:49 am
โดย Jeng
superboy เขียน:ช่วง2อาทิตย์ผ่านมาตลาดผันผวนมาก
ผมเกือบหลุดแนวvi ไปเหมือนกัน ดีที่คิดถึงแต่ รองบๆๆ
ไม่งั้นคงเป็น mr.market กับเขาด้วยเหมือนกัน
vi ใจแข็งแกร่ง ถือหุ้นพื้นฐานดี จะขายเมื่อกิจการไม่ดี ไม่ได้ขายเพราะราคาลง ถูกต้องแล้วท่าน superboy
ช่วงนี้อิ่มหมี พลีมัน กับปันผล หลายตัว
Re: ยิ้มกันถ้วนหน้า
โพสต์แล้ว: เสาร์ ส.ค. 13, 2011 12:50 pm
โดย superboy
Jeng เขียน:superboy เขียน:ช่วง2อาทิตย์ผ่านมาตลาดผันผวนมาก
ผมเกือบหลุดแนวvi ไปเหมือนกัน ดีที่คิดถึงแต่ รองบๆๆ
ไม่งั้นคงเป็น mr.market กับเขาด้วยเหมือนกัน
vi ใจแข็งแกร่ง ถือหุ้นพื้นฐานดี จะขายเมื่อกิจการไม่ดี ไม่ได้ขายเพราะราคาลง ถูกต้องแล้วท่าน superboy
ช่วงนี้อิ่มหมี พลีมัน กับปันผล หลายตัว
ผมได้ข้อคิดดีๆ จากพี่เจ็งเยอะนะ
บางทีคุยกัน พี่ก้อให้ความรู้ดีๆๆ หลายต่อหลายเรื่อง
บางครั้งพี่เตือนผมก้อรีบไปดูว่า ใช่มั้ย
ขอบคุณพี่เจ็งด้วยครับ
Re: ยิ้มกันถ้วนหน้า
โพสต์แล้ว: เสาร์ ส.ค. 13, 2011 3:03 pm
โดย zephyr
น้อมรับความคิดเห็นทุกท่านครับ
ผมไม่ได้คาดเดาราคาได้แม่นยำหรอกครับ มันก็แค่การคาดเดาแบบงูๆปลาๆ
ซึ่งผมอาจจะขายหมูก็ได้ เพียงแต่ strategy ตอนนี้คือพยายามรักษาเงินต้นให้ได้มากที่สุดครับ
เงิน 1 ล้านผมก็เป็นเงินที่ไม่ได้มีความต้องการใช้ครับผม เพราะมันก็อยู่ในพอร์ตตั้งแต่เริ่มต้นที่ 200,000 บาทเมื่อเกือบ 7 ปีที่แล้ว ไม่เคยเอาออกมาใช้เลย และผมมีส่วนที่กันไว้สำหรับการใช้จ่ายอยู่แล้วครับ
ผมเป็นคนไม่ค่อยได้ซื้อขายบ่อยด้วยครับ ปีนึงไม่กี่ transaction
จริงๆแล้วหลักการลงทุนคงไม่ต่างกันไม่งั้นผมคงไม่สิงสถิตย์อยุ่ในบอร์ด ตั้งแต่ปี 2005
เพียงแต่วิธีการบริหารพอร์ตแตกต่างกันนิดหน่อย
ไม่ได้คิดว่าตัวเองถูกครับ และยอมรับว่ามีความกลัวเงินต้นหายอยู่บ้าง