เส้นทางรวยหุ้น 'ร้อยล้าน' 'ทิวา ชินธาดาพงศ์'
โพสต์แล้ว: อังคาร ส.ค. 23, 2011 2:05 pm
ประวัติพี่SAIของเรา ภาค2ครับ
ติดตามภาคแรกได้ที่
http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=7&t=48980
เรียนจบ ม.3 จากวินมอเตอร์ไซค์รับจ้าง ขายสินค้ามาสารพัดอย่าง ชีวิตล้มลุกคลุกคลาน เคยติดพนันบอลจนหมดตัว วันนี้เป็นเซียนหุ้น 'ร้อยล้าน'
ฉากหลังชีวิตของ "มี่" ทิวา ชินธาดาพงศ์ มาจากก้อนดิน การศึกษาน้อย วงศ์ตระกูลไร้เกียรติยศชื่อเสียง เขาจึงเตือนตัวเองอยู่เสมอให้รู้จัก "ถ่อมตน" เป็นเอกลักษณ์หนึ่งที่ทำให้นักลงทุนด้วยกันต่างเอ็นดูเขาเป็นพิเศษ
โดยเฉพาะกลุ่มนักลงทุนรายใหญ่ไม่ว่าจะเป็น "โยโย่" สันติ สิงหวังชา และ "Blue Blood" ม.ล.กมลสวัสดิ์ วิสุทธิ เจ้าของพอร์ตลงทุน "หลายร้อยล้านบาท" รวมถึง "lek smile" อธิภู ลือชัยชนะกุล เซียนหุ้น VI รายใหญ่ระดับ "ร้อนล้านบาท" เพื่อนเหล่านี้ทิวาน้อมคารวะในความ "คม" ทางความคิด ทั้งๆ ที่อายุยังน้อย
หลังจบการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 จากโรงเรียนพร้อมพรรณวิทยา ย่านถนนประชาสงเคราะห์ ทิวาตัดสินใจไม่เรียนต่อชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 เขาเริ่มอาชีพขี่ "มอเตอร์ไซค์รับจ้าง" ก่อนที่พ่อซึ่งอับอายเพื่อนบ้านที่มีลูกชายคนโต
"ไม่เอาถ่าน" ตัดสินใจส่งเขาไปอยู่กับพี่ชายต่างมารดาเรียนภาษาจีนกลางที่เมืองกวางโจว ประเทศจีน เป็นเวลา 2 ปีครึ่ง กลับมาเริ่มอาชีพ "ไกด์นำเที่ยว" เป็น "เซลส์แมน" ขายเครื่องเสียงตามร้านคาราโอเกะ เป็นพนักงานขายประกันชีวิต "เอไอเอ" เป็นพนักงานขายรถยนต์ยี่ห้อ "มิตซูบิชิ" แถวสามย่าน ไปเป็นลูกจ้างไปขายคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์มือถือ ก่อนจะเซ้งร้านมาเป็น "เถ้าแก่" เอง ช่วงนั้นเงินทองไหลมาเทมามีเงินเป็น "ล้าน" ชีวิตก็ไปติด "พนันบอล" จน "หมดตัว"
ชีวิตเขาหมดตัวถึงขนาดเหลือเงินติดกระเป๋า 100 บาท จะกินข้าวยังต้องมานั่งคำนวณกับภรรยาว่าจะพอกินหรือไม่ ก่อนจะไปยืมเงินญาติ "หลักหมื่นบาท" มาลงทุนธุรกิจระบายสีตุ๊กตาปูนปั้น แล้วขยับไปทำร้านเกมอินเทอร์เน็ต ขยาย 5-6 สาขา จนมีเงิน "หลายล้านบาท"
จากวินมอเตอร์ไซค์รับจ้างก้าวสู่เซียนหุ้น VI เจ้าของพอร์ตหุ้นหลัก "ร้อยล้านบาท" ฉากหลังชีวิตที่ยิ่งกว่านิยาย ทิวา เริ่มลงทุนในตลาดหุ้นด้วยเงินก้อนแรก 500,000 บาท โดยมี ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร เป็นแรงบันดาลใจ หลังเข้าสู่ตลาดหุ้นได้ไม่กี่เดือนใส่เงินลงไปหลายล้านบาท เขาก็เจอ "วิกฤติซับไพร์ม" เล่นงานจนขาดทุนเป็นตัวเลข "หลักล้านบาท" จากการเล่นหุ้นตามคนอื่นใครว่าตัวไหนดีก็ซื้อตัวนั้น วิกฤติครั้งนั้นเขาตัดสินใจเปลี่ยนวิธีการลงทุนใหม่หันมาศึกษาหุ้นที่จะลง ทุนอย่างละเอียด เน้นเรื่องงบการเงิน และโฟกัสไปที่หุ้น "เติบโตสูง"
เมื่อใช้เวลาศึกษาสักระยะก็ตัดสินใจขายหุ้นทุกตัวแบบ “ขาดทุน” เพื่อนำเงินมาซื้อหุ้น โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ (HMPRO) ให้ครบ 1 ล้านหุ้น ราคาเฉลี่ย 2.80-3.10 บาท หลังพบว่าเป็นหุ้นเพียงตัวเดียวในพอร์ตที่มีอนาคตรุ่งเรืองที่สุด
จากนั้นไม่นานเขาก็ขายหุ้น HMPRO บางส่วน เพื่อนำเงินไปซื้อหุ้น พฤกษา เรียลเอสเตท (PS) ต้นทุน 4 บาท หุ้น ศุภาลัย (SPALI) ต้นทุน 3 บาทกว่า หุ้น เอสวีไอ (SVI) ต้นทุน 1 บาท หุ้น ดีเอสจี อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) หรือ DSGT ต้นทุน 3 บาทกว่า
รวมถึงหุ้น ควอลลีเทค (QLT) ต้นทุน 3 บาท และหุ้น แฮลเซี่ยน เทคโนโลยี่ (HTECH) ต้นทุน 1.7 บาท เพราะเห็นว่า P/E ต่ำ และกิจการกำลังอยู่ในช่วงของการเติบโตสูง การเล่นหุ้นครั้งนั้นเขาเล่นแบบ Switch ไปมาราวๆ 1 ปี ผลในครั้งนั้นทำให้ในสิ้นปี 2552 เขาได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนสูงถึง 300%
ทิวา เล่าให้กรุงเทพธุรกิจ BizWeek ฟังว่า ตั้งแต่มารู้จักคนเก่งๆ ในเว็บไซต์ Thaivi โดยเฉพาะ "โยโย่" สันติ สิงหวังชา "Blue Blood" ม.ล.กมลสวัสดิ์ วิสุทธิ เจ้าของพอร์ตลงทุนเกือบ 300 ล้านบาท และ อธิภู ลือชัยชนะกุล หรือ leksmile เจ้าของพอร์ตลงทุนหลักร้อยล้านบาท ทำให้ตัวเองได้พัฒนาไปมาก
"ทำให้ผมรู้ว่า เราควรเลือกลงทุนหุ้นแบบโฟกัสเพียง 3-4 ตัวเท่านั้น เพื่อที่จะเจาะรายละเอียดต่างๆ มากขึ้น ไม่ใช่ดูเพียงงบกำไรขาดทุน และงบกระแสเงินสดไม่พอ แต่ต้องดูหมายเหตุประกอบงบการเงินด้วย ตัวนี้สำคัญที่สุด เพราะสามารถบ่งบอกทิศทางราคาหุ้น และอนาคตของบริษัทนั้นได้ รวมถึงต้องดูงบย้อนหลัง 5 ปีด้วย"
ทิวา ถ่อมตัวว่า ตัวเขายังต้องเรียนรู้อีกมาก และมักจะโทรไปขอคำแนะนำจากบุคคล (เซียน) เหล่านั้นบ่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการแกะงบ อ่านงบ โดยอาศัยการเรียนรู้แบบ "ครูพักลักจำ"
"ทุกวันนี้ก็ยัง "ลักจำ" เขาตลอด (หัวเราะ) ผมว่าการได้อยู่ใกล้คนเก่งๆ มันเป็นโชคดีอย่างหนึ่ง 3-4 เดือน จะนัดเจอกันสักครั้ง เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลต่างๆ ส่วนใหญ่จะเจอกันใน MSN มากกว่า คุยกันทุกวัน ผมความรู้น้อย แต่เขาก็ยินดีช่วยเหลือแบบไม่มีเงื่อนไขจริงๆ ซึ้งน้ำใจมาก”
สำหรับเทคนิคการลงทุน ทิวา กล่าวว่า ก่อนจะลงทุนหุ้นสักตัวจะทำประมาณการงบการเงินล่วงหน้า 1-2 ปี (หยิบไอแพดขึ้นมาเปิดให้ดูข้อมูลหุ้นเด่นๆ หลายตัว) เปรียบเหมือนเราเป็นนักวิเคราะห์ จะเก็บข้อมูลการเงินย้อนหลัง 4-5 ปี โดยเฉพาะ "งบกำไรขาดทุน" และ "งบกระแสเงินสด" ตัวเลขสองตัวนี้จะสามารถบ่งบอกได้ว่าบริษัทนี้กำไรจริง หรือกำไรทางบัญชี เมื่อได้ข้อมูลครบถ้วนก็จะทำประมาณการกำไรในอนาคตเพื่อประเมินมูลค่าหุ้น
วิธีการหาความรู้ เซียนหุ้น ม.3 บอกว่า ก็อาศัยอ่านหนังสือที่เกี่ยวข้องกับการวิเคราะห์งบการเงิน แล้วก็โทรไปถามคนเก่งๆ เวลาทำแล้วรู้สึกติดขัดตรงไหน ตารางที่คำนวณได้ก็จะออกแนวบ้านๆ อย่างที่เราเข้าใจไม่ได้ซับซ้อนเหมือนนักวิเคราะห์ทำ แต่ถือว่าสร้างผลตอบแทนได้ดีตลอด ยกตัวอย่างปี 2553 พอร์ตที่ลงทุนได้กำไรประมาณ 200% ขณะที่ในปี 2552 ได้กำไร 300% ในปี 2552 ที่ได้กำไรเยอะเป็นเพราะตลาดหุ้นเพิ่งฟื้นตัวหลังวิกฤติซับไพร์ม ตลาดหุ้นก็เลยโดดเด่นเป็นพิเศษ
ปัจจุบัน ทิวา มีหุ้นอยู่ในพอร์ต 10 ตัว หุ้นทุกตัวที่ลงทุนจะมี "อัตราผลตอบแทนต่อส่วนผู้ถือหุ้น (ROE) เกิน 15%" และ "ราคาหุ้นมีอัพไซด์ (โอกาสขึ้น) เกิน 30%" ตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันสามารถสร้างผลตอบแทนได้แล้ว 60% โดยหุ้น จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล (JAS) ถือเป็น "พระเอก" ของปีนี้ แต่ตอนนี้ "ขายทิ้ง" ไปหมดแล้ว
สำหรับหุ้นตัวหลักในพอร์ต มีหุ้น ศุภาลัย (SPALI) ตัวนี้มี ROE ประมาณ 30% สูงกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมที่ประมาณ 15% ขณะที่อัตรากำไรสุทธิยังสูง 23% มากกว่าอุตสาหกรรมที่อยู่ 15% ที่สำคัญค่า (Forward) P/E ยังต่ำแค่ 6 เท่า แต่ P/E ของอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์สูงถึง 9 เท่า และกำไรสุทธิในปี 2554 ยังมีโอกาสขยายตัว 15-20% เพราะมียอดขายที่ยังไม่รับรู้รายได้ (Backlog) ค่อนข้างมาก
ตัวที่สองคือหุ้น แสนสิริ (SIRI) ซื้อเพราะราคาหุ้นยังต่ำกว่าพื้นฐาน หากเทียบกับค่า P/E ที่อยู่ 4 เท่า นอกจากนั้นสินค้าของบริษัทยังมีคุณภาพ แม้จะขายแพงกว่าคนอื่น 20% ผลประกอบการปี 2554 น่าจะดีกว่าปีที่ผ่านมา ที่สำคัญ เศรษฐา ทวีสิน ผู้บริหารได้ซื้อหุ้น SIRI เพิ่ม นั่นแปลว่า เขาต้องทำงานให้หนักมากขึ้นเมื่อบริษัทดี เขาก็จะได้ผลประโยชน์ตามไปด้วย
ตัวต่อไปคือหุ้น ไทยคม (THCOM) เชื่อว่าปีนี้บริษัทจะขาดทุนเป็นปีสุดท้าย หลังธุรกิจไอพีสตาร์ ขยายตลาดใหม่ๆ เพิ่มขึ้น เช่น ประเทศจีนและฟิลิปปินส์ ยิ่งในปี 2555 แนวโน้มผลประกอบการจะดีกว่านี้มาก เพราะอัตราการใช้ดาวเทียมมีทิศทางจะขยายตัวมากขึ้น
ทิวา กล่าวต่อว่า หุ้นกลุ่ม "สินเชื่อรากหญ้า" ก็เป็นหุ้นที่เลือกซื้อเก็บเอาไว้ "ดักหน้า" นโยบายรัฐบาลพรรคเพื่อไทยที่เอาใจชนชั้น "รากหญ้า" ไม่ว่าจะเป็นหุ้น กรุ๊ปลีส (GL) ฐิติกร (TK) และ ราชธานีลิสซิ่ง (THANI) เมื่อภาพรวมเศรษฐกิจกำลังอยู่ในช่วงขาขึ้น ขณะที่คนรากหญ้าเริ่มมีเงิน เขาก็จะนำเงินไปซื้อรถมอเตอร์ไซค์ (ผมรู้ดีเพราะเคยจนมาก่อน) ซึ่งคนกลุ่มนี้เขาไม่ได้สนใจหรอกว่าเดือนหนึ่งต้องเสียดอกเบี้ยเท่าไร ขอแค่ผ่อนน้อยก็พอ
ส่วนที่เหลือยังไม่ได้เจาะรายละเอียดเท่าไร เช่น หุ้นพรีเมียร์ มาร์เก็ตติ้ง (PM) และหุ้น โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น (DTAC) ซื้อเพื่อจะได้สิทธิไปประชุมผู้ถือหุ้น แต่เชื่อว่า DTAC จะได้ประโยชน์จาก 3G แน่นอน เพราะปัจจุบันทั่วโลกสนใจใน Social Network มากขึ้น คนไทยใช้เกือบ 10 ล้านคนแล้วเติบโตเร็วมาก แพ็คเกจที่ผู้ประกอบการโทรศัพท์มือถือนำออกมาขายมีราคาค่อนข้างแพง แต่ผู้บริโภคก็เต็มใจซื้อ
"ปัจจุบันผมจะแบ่งสัดส่วนการลงทุนออกเป็น 3 ขา โดยขาแรกจะนำไปลงทุนในหุ้น 60% เก็บให้ลูก (ผ่านกองทุน) 30% ที่เหลือจะเก็บเป็นเงินสด 10% แต่ถ้าเป็นช่วงก่อนหน้านี้ที่ตลาดหุ้นบูมๆ จะลงหุ้น 90% เก็บไว้เลี้ยงลูก 10%"
ตลาดหุ้นที่ปรับตัวสูงขึ้นมาตลอดในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ทิวาเริ่มแบ่งเงินไปลงทุนในหุ้นลดลง สำหรับเขาวันนี้ถือว่า "รวยแล้ว"
"วันนี้ผมพอใจในสิ่งที่มี ในชีวิตไม่เคยคาดฝันว่าจะมีอย่างวันนี้ (มีเงินเป็นร้อยล้านบาท) มันเกินความฝัน บางครั้งผมยังแบ่งเงินเล่นหุ้นไปซื้อกองทุน 30-40% เพราะมีความเสี่ยงต่ำกลัวจะไม่มีเงินเลี้ยงลูก (หัวเราะ) จึงต้องลดความบ้าระห่ำของตัวเองลงบ้าง"
เขาบอกว่า ก่อนหน้านี้เคยคิดจะทำอพาร์ตเมนต์ให้เช่า มีที่ดินแถวสี่แยกวังหินพื้นที่ 148 ตารางวา จะทำอพาร์ตเมนต์สูง 5 ชั้น 40-50 ห้อง เก็บค่าเช่าเดือนละ 2,000 บาท สุดท้ายก็ไม่ได้ทำมาคิดอีกทีว่าปัญหามันจุกจิก ปัจจุบันไม่ได้สะสมอสังหาริมทรัพย์มากมาย มีเพียงบ้านให้พ่อกับแม่และลูกสาววัย 7 ขวบ อยู่ในซอยโชคชัย 4 ส่วนตัวเองและภรรยา (นภาพร นพกรแดนไทย) อยู่ตึกแถวย่านวังหิน
"ผมคลุกคลีในแวดวงหุ้นมาเกือบ 4 ปี ได้เพื่อนดีๆ มากมาย และได้เจองานที่ชอบ คือ อาชีพนักลงทุน ผมมีความสุขทุกครั้งที่ต้องตื่นมานั่งอ่านบทวิเคราะห์ที่โบรกเกอร์ส่งมาให้ อ่านทุกเช้า"
จากชีวิตที่ไม่เคยมีอะไรเลยมาจาก "ศูนย์" เคยเหลือเงินติดกระเป๋าแค่ 100 บาท วันนี้มีเป็น "ร้อยล้าน" เขาบอกว่า จากนี้ไปไม่ได้คาดหวังว่าจะมีเพิ่มอีกเท่าไร ส่วนตัวหันมานับถือศาสนาคริสต์ตามภรรยา ศาสนาคริสต์สอนว่า ความพอใจไม่ได้ขึ้นอยู่ที่จำนวนของเงินตรา แต่อยู่ที่การทำให้คนรอบข้างมีความสุข มีเงินพอใช้ จากนี้ไปผมจะเป็นนักลงทุนและเป็นพ่อที่ดีของลูก
"ใครที่สนใจเล่นหุ้นแล้วรู้สึกว่า "ยาก" ให้ดูผมเป็นตัวอย่าง การศึกษาน้อย เพื่อนไม่มี ผมไม่ยากกว่าเหรอ! แต่ก็สามารถผ่านมาได้ ขอแค่เรามีความพยายาม มุ่งมั่น เชื่อผม..คุณทำได้" นี่คือกำลังใจดีๆ จาก เซียนหุ้น ม.3 "ทิวา ชินธาดาพงศ์" จากก้อนดิน...ก้าวสู่ดวงดาว
http://www.bangkokbiznews.com/home/deta ... B9%8C.html
ติดตามภาคแรกได้ที่
http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=7&t=48980
เรียนจบ ม.3 จากวินมอเตอร์ไซค์รับจ้าง ขายสินค้ามาสารพัดอย่าง ชีวิตล้มลุกคลุกคลาน เคยติดพนันบอลจนหมดตัว วันนี้เป็นเซียนหุ้น 'ร้อยล้าน'
ฉากหลังชีวิตของ "มี่" ทิวา ชินธาดาพงศ์ มาจากก้อนดิน การศึกษาน้อย วงศ์ตระกูลไร้เกียรติยศชื่อเสียง เขาจึงเตือนตัวเองอยู่เสมอให้รู้จัก "ถ่อมตน" เป็นเอกลักษณ์หนึ่งที่ทำให้นักลงทุนด้วยกันต่างเอ็นดูเขาเป็นพิเศษ
โดยเฉพาะกลุ่มนักลงทุนรายใหญ่ไม่ว่าจะเป็น "โยโย่" สันติ สิงหวังชา และ "Blue Blood" ม.ล.กมลสวัสดิ์ วิสุทธิ เจ้าของพอร์ตลงทุน "หลายร้อยล้านบาท" รวมถึง "lek smile" อธิภู ลือชัยชนะกุล เซียนหุ้น VI รายใหญ่ระดับ "ร้อนล้านบาท" เพื่อนเหล่านี้ทิวาน้อมคารวะในความ "คม" ทางความคิด ทั้งๆ ที่อายุยังน้อย
หลังจบการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 จากโรงเรียนพร้อมพรรณวิทยา ย่านถนนประชาสงเคราะห์ ทิวาตัดสินใจไม่เรียนต่อชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 เขาเริ่มอาชีพขี่ "มอเตอร์ไซค์รับจ้าง" ก่อนที่พ่อซึ่งอับอายเพื่อนบ้านที่มีลูกชายคนโต
"ไม่เอาถ่าน" ตัดสินใจส่งเขาไปอยู่กับพี่ชายต่างมารดาเรียนภาษาจีนกลางที่เมืองกวางโจว ประเทศจีน เป็นเวลา 2 ปีครึ่ง กลับมาเริ่มอาชีพ "ไกด์นำเที่ยว" เป็น "เซลส์แมน" ขายเครื่องเสียงตามร้านคาราโอเกะ เป็นพนักงานขายประกันชีวิต "เอไอเอ" เป็นพนักงานขายรถยนต์ยี่ห้อ "มิตซูบิชิ" แถวสามย่าน ไปเป็นลูกจ้างไปขายคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์มือถือ ก่อนจะเซ้งร้านมาเป็น "เถ้าแก่" เอง ช่วงนั้นเงินทองไหลมาเทมามีเงินเป็น "ล้าน" ชีวิตก็ไปติด "พนันบอล" จน "หมดตัว"
ชีวิตเขาหมดตัวถึงขนาดเหลือเงินติดกระเป๋า 100 บาท จะกินข้าวยังต้องมานั่งคำนวณกับภรรยาว่าจะพอกินหรือไม่ ก่อนจะไปยืมเงินญาติ "หลักหมื่นบาท" มาลงทุนธุรกิจระบายสีตุ๊กตาปูนปั้น แล้วขยับไปทำร้านเกมอินเทอร์เน็ต ขยาย 5-6 สาขา จนมีเงิน "หลายล้านบาท"
จากวินมอเตอร์ไซค์รับจ้างก้าวสู่เซียนหุ้น VI เจ้าของพอร์ตหุ้นหลัก "ร้อยล้านบาท" ฉากหลังชีวิตที่ยิ่งกว่านิยาย ทิวา เริ่มลงทุนในตลาดหุ้นด้วยเงินก้อนแรก 500,000 บาท โดยมี ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร เป็นแรงบันดาลใจ หลังเข้าสู่ตลาดหุ้นได้ไม่กี่เดือนใส่เงินลงไปหลายล้านบาท เขาก็เจอ "วิกฤติซับไพร์ม" เล่นงานจนขาดทุนเป็นตัวเลข "หลักล้านบาท" จากการเล่นหุ้นตามคนอื่นใครว่าตัวไหนดีก็ซื้อตัวนั้น วิกฤติครั้งนั้นเขาตัดสินใจเปลี่ยนวิธีการลงทุนใหม่หันมาศึกษาหุ้นที่จะลง ทุนอย่างละเอียด เน้นเรื่องงบการเงิน และโฟกัสไปที่หุ้น "เติบโตสูง"
เมื่อใช้เวลาศึกษาสักระยะก็ตัดสินใจขายหุ้นทุกตัวแบบ “ขาดทุน” เพื่อนำเงินมาซื้อหุ้น โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ (HMPRO) ให้ครบ 1 ล้านหุ้น ราคาเฉลี่ย 2.80-3.10 บาท หลังพบว่าเป็นหุ้นเพียงตัวเดียวในพอร์ตที่มีอนาคตรุ่งเรืองที่สุด
จากนั้นไม่นานเขาก็ขายหุ้น HMPRO บางส่วน เพื่อนำเงินไปซื้อหุ้น พฤกษา เรียลเอสเตท (PS) ต้นทุน 4 บาท หุ้น ศุภาลัย (SPALI) ต้นทุน 3 บาทกว่า หุ้น เอสวีไอ (SVI) ต้นทุน 1 บาท หุ้น ดีเอสจี อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) หรือ DSGT ต้นทุน 3 บาทกว่า
รวมถึงหุ้น ควอลลีเทค (QLT) ต้นทุน 3 บาท และหุ้น แฮลเซี่ยน เทคโนโลยี่ (HTECH) ต้นทุน 1.7 บาท เพราะเห็นว่า P/E ต่ำ และกิจการกำลังอยู่ในช่วงของการเติบโตสูง การเล่นหุ้นครั้งนั้นเขาเล่นแบบ Switch ไปมาราวๆ 1 ปี ผลในครั้งนั้นทำให้ในสิ้นปี 2552 เขาได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนสูงถึง 300%
ทิวา เล่าให้กรุงเทพธุรกิจ BizWeek ฟังว่า ตั้งแต่มารู้จักคนเก่งๆ ในเว็บไซต์ Thaivi โดยเฉพาะ "โยโย่" สันติ สิงหวังชา "Blue Blood" ม.ล.กมลสวัสดิ์ วิสุทธิ เจ้าของพอร์ตลงทุนเกือบ 300 ล้านบาท และ อธิภู ลือชัยชนะกุล หรือ leksmile เจ้าของพอร์ตลงทุนหลักร้อยล้านบาท ทำให้ตัวเองได้พัฒนาไปมาก
"ทำให้ผมรู้ว่า เราควรเลือกลงทุนหุ้นแบบโฟกัสเพียง 3-4 ตัวเท่านั้น เพื่อที่จะเจาะรายละเอียดต่างๆ มากขึ้น ไม่ใช่ดูเพียงงบกำไรขาดทุน และงบกระแสเงินสดไม่พอ แต่ต้องดูหมายเหตุประกอบงบการเงินด้วย ตัวนี้สำคัญที่สุด เพราะสามารถบ่งบอกทิศทางราคาหุ้น และอนาคตของบริษัทนั้นได้ รวมถึงต้องดูงบย้อนหลัง 5 ปีด้วย"
ทิวา ถ่อมตัวว่า ตัวเขายังต้องเรียนรู้อีกมาก และมักจะโทรไปขอคำแนะนำจากบุคคล (เซียน) เหล่านั้นบ่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการแกะงบ อ่านงบ โดยอาศัยการเรียนรู้แบบ "ครูพักลักจำ"
"ทุกวันนี้ก็ยัง "ลักจำ" เขาตลอด (หัวเราะ) ผมว่าการได้อยู่ใกล้คนเก่งๆ มันเป็นโชคดีอย่างหนึ่ง 3-4 เดือน จะนัดเจอกันสักครั้ง เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลต่างๆ ส่วนใหญ่จะเจอกันใน MSN มากกว่า คุยกันทุกวัน ผมความรู้น้อย แต่เขาก็ยินดีช่วยเหลือแบบไม่มีเงื่อนไขจริงๆ ซึ้งน้ำใจมาก”
สำหรับเทคนิคการลงทุน ทิวา กล่าวว่า ก่อนจะลงทุนหุ้นสักตัวจะทำประมาณการงบการเงินล่วงหน้า 1-2 ปี (หยิบไอแพดขึ้นมาเปิดให้ดูข้อมูลหุ้นเด่นๆ หลายตัว) เปรียบเหมือนเราเป็นนักวิเคราะห์ จะเก็บข้อมูลการเงินย้อนหลัง 4-5 ปี โดยเฉพาะ "งบกำไรขาดทุน" และ "งบกระแสเงินสด" ตัวเลขสองตัวนี้จะสามารถบ่งบอกได้ว่าบริษัทนี้กำไรจริง หรือกำไรทางบัญชี เมื่อได้ข้อมูลครบถ้วนก็จะทำประมาณการกำไรในอนาคตเพื่อประเมินมูลค่าหุ้น
วิธีการหาความรู้ เซียนหุ้น ม.3 บอกว่า ก็อาศัยอ่านหนังสือที่เกี่ยวข้องกับการวิเคราะห์งบการเงิน แล้วก็โทรไปถามคนเก่งๆ เวลาทำแล้วรู้สึกติดขัดตรงไหน ตารางที่คำนวณได้ก็จะออกแนวบ้านๆ อย่างที่เราเข้าใจไม่ได้ซับซ้อนเหมือนนักวิเคราะห์ทำ แต่ถือว่าสร้างผลตอบแทนได้ดีตลอด ยกตัวอย่างปี 2553 พอร์ตที่ลงทุนได้กำไรประมาณ 200% ขณะที่ในปี 2552 ได้กำไร 300% ในปี 2552 ที่ได้กำไรเยอะเป็นเพราะตลาดหุ้นเพิ่งฟื้นตัวหลังวิกฤติซับไพร์ม ตลาดหุ้นก็เลยโดดเด่นเป็นพิเศษ
ปัจจุบัน ทิวา มีหุ้นอยู่ในพอร์ต 10 ตัว หุ้นทุกตัวที่ลงทุนจะมี "อัตราผลตอบแทนต่อส่วนผู้ถือหุ้น (ROE) เกิน 15%" และ "ราคาหุ้นมีอัพไซด์ (โอกาสขึ้น) เกิน 30%" ตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันสามารถสร้างผลตอบแทนได้แล้ว 60% โดยหุ้น จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล (JAS) ถือเป็น "พระเอก" ของปีนี้ แต่ตอนนี้ "ขายทิ้ง" ไปหมดแล้ว
สำหรับหุ้นตัวหลักในพอร์ต มีหุ้น ศุภาลัย (SPALI) ตัวนี้มี ROE ประมาณ 30% สูงกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมที่ประมาณ 15% ขณะที่อัตรากำไรสุทธิยังสูง 23% มากกว่าอุตสาหกรรมที่อยู่ 15% ที่สำคัญค่า (Forward) P/E ยังต่ำแค่ 6 เท่า แต่ P/E ของอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์สูงถึง 9 เท่า และกำไรสุทธิในปี 2554 ยังมีโอกาสขยายตัว 15-20% เพราะมียอดขายที่ยังไม่รับรู้รายได้ (Backlog) ค่อนข้างมาก
ตัวที่สองคือหุ้น แสนสิริ (SIRI) ซื้อเพราะราคาหุ้นยังต่ำกว่าพื้นฐาน หากเทียบกับค่า P/E ที่อยู่ 4 เท่า นอกจากนั้นสินค้าของบริษัทยังมีคุณภาพ แม้จะขายแพงกว่าคนอื่น 20% ผลประกอบการปี 2554 น่าจะดีกว่าปีที่ผ่านมา ที่สำคัญ เศรษฐา ทวีสิน ผู้บริหารได้ซื้อหุ้น SIRI เพิ่ม นั่นแปลว่า เขาต้องทำงานให้หนักมากขึ้นเมื่อบริษัทดี เขาก็จะได้ผลประโยชน์ตามไปด้วย
ตัวต่อไปคือหุ้น ไทยคม (THCOM) เชื่อว่าปีนี้บริษัทจะขาดทุนเป็นปีสุดท้าย หลังธุรกิจไอพีสตาร์ ขยายตลาดใหม่ๆ เพิ่มขึ้น เช่น ประเทศจีนและฟิลิปปินส์ ยิ่งในปี 2555 แนวโน้มผลประกอบการจะดีกว่านี้มาก เพราะอัตราการใช้ดาวเทียมมีทิศทางจะขยายตัวมากขึ้น
ทิวา กล่าวต่อว่า หุ้นกลุ่ม "สินเชื่อรากหญ้า" ก็เป็นหุ้นที่เลือกซื้อเก็บเอาไว้ "ดักหน้า" นโยบายรัฐบาลพรรคเพื่อไทยที่เอาใจชนชั้น "รากหญ้า" ไม่ว่าจะเป็นหุ้น กรุ๊ปลีส (GL) ฐิติกร (TK) และ ราชธานีลิสซิ่ง (THANI) เมื่อภาพรวมเศรษฐกิจกำลังอยู่ในช่วงขาขึ้น ขณะที่คนรากหญ้าเริ่มมีเงิน เขาก็จะนำเงินไปซื้อรถมอเตอร์ไซค์ (ผมรู้ดีเพราะเคยจนมาก่อน) ซึ่งคนกลุ่มนี้เขาไม่ได้สนใจหรอกว่าเดือนหนึ่งต้องเสียดอกเบี้ยเท่าไร ขอแค่ผ่อนน้อยก็พอ
ส่วนที่เหลือยังไม่ได้เจาะรายละเอียดเท่าไร เช่น หุ้นพรีเมียร์ มาร์เก็ตติ้ง (PM) และหุ้น โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น (DTAC) ซื้อเพื่อจะได้สิทธิไปประชุมผู้ถือหุ้น แต่เชื่อว่า DTAC จะได้ประโยชน์จาก 3G แน่นอน เพราะปัจจุบันทั่วโลกสนใจใน Social Network มากขึ้น คนไทยใช้เกือบ 10 ล้านคนแล้วเติบโตเร็วมาก แพ็คเกจที่ผู้ประกอบการโทรศัพท์มือถือนำออกมาขายมีราคาค่อนข้างแพง แต่ผู้บริโภคก็เต็มใจซื้อ
"ปัจจุบันผมจะแบ่งสัดส่วนการลงทุนออกเป็น 3 ขา โดยขาแรกจะนำไปลงทุนในหุ้น 60% เก็บให้ลูก (ผ่านกองทุน) 30% ที่เหลือจะเก็บเป็นเงินสด 10% แต่ถ้าเป็นช่วงก่อนหน้านี้ที่ตลาดหุ้นบูมๆ จะลงหุ้น 90% เก็บไว้เลี้ยงลูก 10%"
ตลาดหุ้นที่ปรับตัวสูงขึ้นมาตลอดในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ทิวาเริ่มแบ่งเงินไปลงทุนในหุ้นลดลง สำหรับเขาวันนี้ถือว่า "รวยแล้ว"
"วันนี้ผมพอใจในสิ่งที่มี ในชีวิตไม่เคยคาดฝันว่าจะมีอย่างวันนี้ (มีเงินเป็นร้อยล้านบาท) มันเกินความฝัน บางครั้งผมยังแบ่งเงินเล่นหุ้นไปซื้อกองทุน 30-40% เพราะมีความเสี่ยงต่ำกลัวจะไม่มีเงินเลี้ยงลูก (หัวเราะ) จึงต้องลดความบ้าระห่ำของตัวเองลงบ้าง"
เขาบอกว่า ก่อนหน้านี้เคยคิดจะทำอพาร์ตเมนต์ให้เช่า มีที่ดินแถวสี่แยกวังหินพื้นที่ 148 ตารางวา จะทำอพาร์ตเมนต์สูง 5 ชั้น 40-50 ห้อง เก็บค่าเช่าเดือนละ 2,000 บาท สุดท้ายก็ไม่ได้ทำมาคิดอีกทีว่าปัญหามันจุกจิก ปัจจุบันไม่ได้สะสมอสังหาริมทรัพย์มากมาย มีเพียงบ้านให้พ่อกับแม่และลูกสาววัย 7 ขวบ อยู่ในซอยโชคชัย 4 ส่วนตัวเองและภรรยา (นภาพร นพกรแดนไทย) อยู่ตึกแถวย่านวังหิน
"ผมคลุกคลีในแวดวงหุ้นมาเกือบ 4 ปี ได้เพื่อนดีๆ มากมาย และได้เจองานที่ชอบ คือ อาชีพนักลงทุน ผมมีความสุขทุกครั้งที่ต้องตื่นมานั่งอ่านบทวิเคราะห์ที่โบรกเกอร์ส่งมาให้ อ่านทุกเช้า"
จากชีวิตที่ไม่เคยมีอะไรเลยมาจาก "ศูนย์" เคยเหลือเงินติดกระเป๋าแค่ 100 บาท วันนี้มีเป็น "ร้อยล้าน" เขาบอกว่า จากนี้ไปไม่ได้คาดหวังว่าจะมีเพิ่มอีกเท่าไร ส่วนตัวหันมานับถือศาสนาคริสต์ตามภรรยา ศาสนาคริสต์สอนว่า ความพอใจไม่ได้ขึ้นอยู่ที่จำนวนของเงินตรา แต่อยู่ที่การทำให้คนรอบข้างมีความสุข มีเงินพอใช้ จากนี้ไปผมจะเป็นนักลงทุนและเป็นพ่อที่ดีของลูก
"ใครที่สนใจเล่นหุ้นแล้วรู้สึกว่า "ยาก" ให้ดูผมเป็นตัวอย่าง การศึกษาน้อย เพื่อนไม่มี ผมไม่ยากกว่าเหรอ! แต่ก็สามารถผ่านมาได้ ขอแค่เรามีความพยายาม มุ่งมั่น เชื่อผม..คุณทำได้" นี่คือกำลังใจดีๆ จาก เซียนหุ้น ม.3 "ทิวา ชินธาดาพงศ์" จากก้อนดิน...ก้าวสู่ดวงดาว
http://www.bangkokbiznews.com/home/deta ... B9%8C.html