Thai Value Investor การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุน VI หุ้นวีไอ Webboard

ให้น้ำหนักในการลงทุน อะไรเป็นอันดับต้นๆ
กำไรโตสม่ำเสมอ ขยายกำลังผลิต
หนี้สินน้อย ผู้บริหารไล่ซื้อหุ้น ฯลฯ

หลายๆคนคงจะตอบว่า mos เยอะ
แล้วเอาอะไรมาคิด mos เป็นอันดับต้นๆครับ

โดยส่วนตัว ผมเริ่มต้นจากข้อมูลเชิงปริมาณก่อน เพราะว่า มันจะบอกได้ว่าปัจจุบันราคาหุ้นนี้มี MOS มากแค่ไหน (ผมก็มองว่า MOS สำคัญที่สุด เพราะ กำไรโตสม่ำเสมอ หนี้สินน้อย อะไีรพวกนี้เป็นแค่ข้อมูลเชิงปริมาณในอดีต ซึ่งจะสะท้อนว่าตอนนี้ราคาหุ้่นมี MOS มากหรือไม่ ถ้าพวกนี้ห่วย ไม่ต้องคิดว่าจะซื้อเลยครับ) หลักจากนั้นถึงไปสนใจข้อมูลเชิงคุณภาพ เช่น Visionผู้บริืหาร(มีโครงการขยายกำลังการผลิต โดยใช้เงินอย่างไร เป็นต้น) Positioningของบริษัทวางตัวเองได้เหมาะสมหรือไม่ ธุรกิจนี้มีความสามารถในการป้องกันจากคู่แข่งหรือไม่ ธุรกิจนี้อยู่ในTrandหรือเปล่า อะไรอย่างนี้เป็นต้นครับ

สรุป ผมว่าข้อมูลเชิงปริมาณ ช่วยป้องกันการขาดทุน ส่วนข้อมูลเชิงคุณภาพ ช่วยเพิ่มกำไร ครับ แต่สำหรับมือใหม่ ๆ อย่างผม ผมว่าถ้าขาดทุนมันเจ็บมาก ดังนั้น อย่าขาดทุนจะดีกว่า ดังนั้น MOS สำคัญที่สุดจริง ๆ ครับ (แต่ถ้าอยากรวย ต้องดูอนาคตครับ)

ผมมองว่ามอง parmeter ตัวใดตัวหนึ่งไม่ได้ครับ ต้องมองหลายส่วนประกอบกัน
ทั้งปัจจัยเชิงปริมาณและคุณภาพทั้งคู่

เชิงปริมาณ > ใช้บอกอดีตและแนวโน้วที่ผ่านมา
เชิงคุณภาพ > ใช้บอกแนวโน้มในอนาคต

เช่น ถ้ามองแต่เชิงคุณภาพเป็นหลักอย่างเดียว อาจไปเลือกหุ้นที่มีแนวโน้มในอนาคตจะดีมาก แต่พื้นฐานในอดีตไม่แน่น (เช่น มีหนี้สินบาน กำไรก็ไม่ดี แต่มองว่าอนาคตอันใกล้มันกำลังจะเปลี่ยนเป็นดีอย่างมาก เช่น อาจมีมีโอกาสทางธุรกิจบางอย่างจะเข้ามา) ถ้าอนาคตดันไม่เป็นอย่างที่คิดมันจะเสี่ยงมากกว่า ผมว่าถ้าเลือกได้ ควรเลือกบริษัทที่พื้นฐานในอดีตแกร่งด้วย

ส่วนmosก็สำคัญแหละครับ พื้นฐานสุดก็ดูจากPE, P/BVนั่นแหละ
ถ้าadvance ก็หา firm value ตามวิธีที่ถนัด แล้วซื้อในราคาที่มีส่วนต่างมากๆ

KamiSama เขียน:ให้น้ำหนักในการลงทุน อะไรเป็นอันดับต้นๆ

ความสุขในการลงทุนครับ

ถ้าลงทุนแล้วนอนขวัญผวา ต้องเปิดดูราคา ดูข่าวทุกเช้าทุกเที่ยงทุกเย็น คงจะไม่เอา เอาธุรกิจที่เข้าใจง่าย ไม่หวือหวา ได้ปันผล พอร์ตโตไปพร้อมๆกับธุรกิจโต ก็พอใจแล้วครับ

กำไร กำไร กำไร ธุรกิจที่มีกำไร นำมาซึ่ง ความร่ำรวย ของทุกๆคนที่เกี่ยวข้อง

cpall กำไร กำไร กำไร

makro กำไร กำไร กำไร

bigc กำไร กำไร กำไร

synex กำไร กำไร กำไร

sis กำไร กำไร กำไร

tks กำไร กำไร กำไร

มองกำไร เป็นตัวแรกครับ ที่เหลือก็ดูให้ละเอียด หลายแง่หลายมุม

ถือแล้วสบายใจ กินอิ่มนอนหลับครับ
ใครถือหุ้นตัวไหนแล้วกระสับกระส่าย ไม่เป็นอันกิน นอนไม่หลับ ขายหุ้นตัวนั้นไปเถอะครับ
ใครจะว่าดียังไง ก็ขายเถอะครับ

ความเข้าใจในกิจการ มองอนาคตในระยะยาวของกิจการนั้นๆ ออก

"อย่าขาดทุน" เป็นน้ำหนักการลงทุนอันดับแรก

picatos เขียน:ความเข้าใจในกิจการ มองอนาคตในระยะยาวของกิจการนั้นๆ ออก

ผมก็เหมือนพี่picatosครับ

มีอีกข้อหนึ่งที่ผมให้น้ำหนักพอๆกันคือ...
เลือกลงทุนในกิจการที่ราคายังถูกกว่ามูลค่าที่ควรจะเป็นครับ

"ธรรมภิบาล"
ไม่งั้นข้อมูลที่เห็น กำไรที่ได้ วิสัยทรรศน์ที่มอง จะกลายเป็นของหลอกลวงทั้งหมด

ความเข้าใจในกิจการ financial ratio ที่สวย พีอีไม่สูงเกินไป ผู้บริหารทำในสิ่งที่พูด แค่นี้เป็นพอครับ

อันดับแรกก่อนการลงทุนของผมคือเทรนครับ
โดยหน้าที่การงานของผมที่ต้องออกไปหา supplier ทุกวัน มีสินค้าหรือบริการไหนที่โดน เตะตา โดดเด่น หรือลูกค้ามากๆ ผมก็จะมาดูว่ามีบริษัทเหล่านั้นในตลาดหรือป่าว หากมีก็ใช้วิธีง่ายๆในการประเมินมูลค่า เช่า PE, PBV นี่ล่ะ วิธีการซับซ้อนผมทำไม่เป็นหรอก สุดท้ายก็มาดูที่ราคาในตลาด หากว่ามีส่วนต่างพอสมควร ก็ค่อยเข้าซื้อ
ต่อมาหากหุ้นนั้นมีราคาปรับขึ้นล่ะทำยังไง ผมก็มาดูว่า ณ ราคานี้คิดเป็น PE เท่าไหร่เมื่อเทียบกับการเติบโต หาก PE ไม่สูงเกินไปก็ถือ ถ้าสูงเกินไปก็ขายครับ
ในทำนองเดียวกัน หากราคาปรับลดลงมา ถ้าพื้นฐานไม่เปลี่ยน (พื้นฐานเปลี่ยนก็คือ 5 forces ตัวใดตัวหนึ่งเปลี่ยนไป) แล้วมีเงินก็ซื้อเพิ่มครับ หรือในกรณีไม่มีเงินก็นั่งลุ้นตัวเกร็งขณะทำงาน 555 (ในใจก็บอกของดีเดี๋ยวก็ขึ้นเอง ปลอบใจตัวเองประมาณนั้น)

ziannoom เขียน:อันดับแรกก่อนการลงทุนของผมคือเทรนครับ
โดยหน้าที่การงานของผมที่ต้องออกไปหา supplier ทุกวัน มีสินค้าหรือบริการไหนที่โดน เตะตา โดดเด่น หรือลูกค้ามากๆ ผมก็จะมาดูว่ามีบริษัทเหล่านั้นในตลาดหรือป่าว หากมีก็ใช้วิธีง่ายๆในการประเมินมูลค่า เช่า PE, PBV นี่ล่ะ วิธีการซับซ้อนผมทำไม่เป็นหรอก สุดท้ายก็มาดูที่ราคาในตลาด หากว่ามีส่วนต่างพอสมควร ก็ค่อยเข้าซื้อ
ต่อมาหากหุ้นนั้นมีราคาปรับขึ้นล่ะทำยังไง ผมก็มาดูว่า ณ ราคานี้คิดเป็น PE เท่าไหร่เมื่อเทียบกับการเติบโต หาก PE ไม่สูงเกินไปก็ถือ ถ้าสูงเกินไปก็ขายครับ
ในทำนองเดียวกัน หากราคาปรับลดลงมา ถ้าพื้นฐานไม่เปลี่ยน (พื้นฐานเปลี่ยนก็คือ 5 forces ตัวใดตัวหนึ่งเปลี่ยนไป) แล้วมีเงินก็ซื้อเพิ่มครับ หรือในกรณีไม่มีเงินก็นั่งลุ้นตัวเกร็งขณะทำงาน 555 (ในใจก็บอกของดีเดี๋ยวก็ขึ้นเอง ปลอบใจตัวเองประมาณนั้น)

+1ครับ ผมก้เน้นเทรนด์ เทรนด์ไม่มา ราคาไม่ไป

กำไรบริษัทต้องเติบโตขึ้นเท่านั้น อย่างน้อยต้องเติบโตมากกว่าเงินเฟ้อด้วยครับ ส่วนอื่นๆเป็นส่วนประกอบเพื่อดูว่า กำไรบริษัทจะเติบโตได้อย่างไร ถ้าบริษัทไหนกำไรไม่โต ราคาไม่ไปไหนหรอกครับ

ตอนผมเริ่ม ผมเอานสพ.กรุงเทพธุรกิจมากางแล้วเปิดเวปset แล้วที่ละตัว ดูเชิงปริมาณคร่าวๆ แล้วเกบไว้พวกที่ร่าสนใจไว้ จากนั่นมาดูว่ากลุ่มไหนน่าสนใจที่จะศึกษาก่อน ก้อจะโหลด56-1มาอ่านก่อน เสดปุ้บเข้าร้อยคนร้อยหุ้นอ่านตั้งแต่หน้าแรกถึงปัจจุบัน ร้อยคนร้อยหุ้นผมใช้เช็คเชิงคุณภาพครับ และเช็คผู้บริหาร เช่น ผู้บริหารให้ข่กาวว่าปีนั้นโตเท่าเนั้นเท่านี้ แล้วจริงๆทำได้มั้ย เหมือนศึกษาอดีตของหุ้นน่ะครับ ถ้าถามว่าให้ความสำคัญอะไรต้น คงเปนแนวโน้มการเติบโตครับ แล้วอาศัยข้อมูลหลายๆอย่างประกอบกันไปด้วย

ให้น้ำหนักการลงทุนกับ 3 เรื่องหลักๆครับ
1. ความสุข --> ถ้าลงทุนแล้วทุกข์อย่าลงทุนเลยดีกว่า
2. ความรู้ --> ความรู้เป็นการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุดรองลงมา
3. ไม่ใช่น้ำหนักการลงทุนเท่าไหร่ แต่เป็นการดูว่า การลงทุนนั้นจะต้องไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน และถ้าสร้างประโยชน์ให้แก่ส่วนรวมด้วยก้อจะดีมากคับ

1. คุณภาพของกำไร
2. บริษัททำอะไร เก่งแค่ไหนในอุตสาหกรรมของตัวเอง
3. ธรรมาภิบาลของผู้บริหาร
4. ศิลปะในการลงทุน เช่นการเข้าใจในอารมณ์ของตลาด มองบริษัทให้ตรงกับความจริง

ข้อสุดท้ายนี้ยากที่สุดครับ แต่การลงทุนแนว VI จะค่อยๆช่วยให้เรา เข้าใจมันมากขึ้น