Thai Value Investor การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุน VI หุ้นวีไอ Webboard

ว่าด้วย Fundamental Analysis
Fundamental Analysis วิเคราะห์โดยอาศัยปัจจัยพื้นฐานบริษัท เชื่อว่า ราคามักจะเข้าสู่มูลค่าตามผลประกอบการ
บางอาจจะเรียกว่า Value investor ต่างกันกับ Fundamental analysis เหมือนหรือต่างอย่างไร

โดยเนื้อผ้าการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานเหมือนกัน
แต่แก่นของ Value investor คืออะไร
Undervalue อาจจะเป็นคำที่สามารถอธิบายได้ง่ายที่สุด

ปัจจัยพื้นฐานบริษัท เปลี่ยนแปลงช้า ไม่ว่าหุ้นจะลงจาก 1030 จุดเหลือ 950 จุด พื้นฐานบริษัทอาจจะดีขึ้นด้วยซ้ำ
ในทางกลับกันขณะที่หุ้นขึ้นจาก 300 จุด สู่ 1030 จุด ก็เช่นเดียวกัน

สมมติ ฝน ถือหุ้น A
หากฝนซื้อที่ PE 10 ผลตอบแทนประมาณ 10% ต่อปี
แต่หากฝนซื้อใน PE 25 หมายถึง ราคา 25 บาท ได้กำไร 1 บาท
ผลตอบแทนคิดเป็น % คือ 4% โดยบริษัทต้องปันผล 100% ของกำไร
มองไปรอบๆ ฝนเห็นพันธบัตรรัฐบาล ผลตอบแทน 4% เช่นกัน แต่... market risk premium ต่างกันมาก
แบบนี้ฝนจะลงทุนในอะไรดี

สัปดาห์ที่ผ่านมาหุ้นลงประมาณ 7% หลายท่านถามว่า ถือหุ้นกี่ % พื้นฐานบริษัทเปลี่ยนแปลงรึเปล่า
ฝนมองว่า นอกจากพื้นฐานบริษัทหากไม่เปลี่ยนแปลงแล้ว
แก่นสำคัญคือ ราคาที่เราซื้อ Undervalue ???

นอกจากการคิดแบบ PE ที่เป็นวิธีการง่ายๆ

นักการเงินเค้าคิดตัวแปรต่างๆขึ้นมา
ยกตัวอย่างเช่น Cost of Equity = Risk free rate + (Beta stock * Market risk premium)
หาก Market risk premium ต่างจากเดิม อาจจะทำให้ valuation ลดลงหรือเพิ่มขึ้นด้วย
แต่นั่นเป็นแค่ทางทฤษฏี
หากบริษัทที่เราถือไม่กระทบจากภาวะเศรษฐกิจแม้แต่นิดเดียวเลย อาจจะฟังแล้วผ่านไปก็ได้ค่ะ

ฝนมองว่า สิ่งที่ฝนควรทำตอนนี้คือ
ในแง่กิจการ ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลก ราคาโภคภันฑ์ การส่งออก ค่าเงิน บลาๆๆๆ หรือไม่
ในแง่มูลค่า หุ้นที่ฝนถือยังคง undervalue หรือไม่

ถ้าทั้งทางกิจการและมูลค่าฝนยังไม่ผ่านเกณฑ์ บางครั้งการ hold stock 100% อาจจะไม่ใช่คำตอบ

เป็นกำลังใจให้ตัวฝนเองและพี่ๆทุกคนด้วยค่ะ สู้ต่อไป โย่วๆ
(นานๆทีเข้าบอร์ด เม้าท์ซะเยอะเลย ^^ )

ปกติถือหุ้น 90% ครับ อีก 10% มักเป็นที่ดินหรืออะไรที่รักษามูลค่าได้ดีเพียงแต่สภาพคล่องอาจจะต่ำหน่อย แต่ตอนนี้ใน port มีเกือบ 70% เพราะมีขายออกไปเมื่อเดือนก่อน เพราะจะเก็บเงินรอซื้อหุ้นที่ดูอยู่ครับ ผมเองคาดการณ์ตลาดไม่เก่งเลยไม่ค่อยสนใจจังหวะเท่าไหร่ ก็อาศัยดูพื้นฐานและ MOS เท่านั้นครับ
ส่วนหุ้นที่ถืออยู่ก่อนแล้วราคาก็ยังไม่ Under value นะ เพราะต้นทุนผมต่ำเนื่องจากผมรอจังหวะซื้อที่มี MOS พอก็เท่านั้น ตอนนี้ผมก็เริ่มเห็นบางตัวมี MOS ดีขึ้นนะเพียงแต่ไม่ใช่ที่ผมสนใจ ผมจะรอตัวที่ผมสนใจเพราะผมมีเงินทุนไม่มากการซื้อขายสลับไปมา เสียค่า com หมดครับ

มันต้องมีให้เสียวเล่นกันบ้างครับ

ของผมเสียวมากหน่อยกำไรหายไป 70% ใน 2 เดือน

สมควรโดนเพราะนิ่งเกินไป เชื่อมั่นพื้นฐานเกิน 100 และคิดว่าตัวเองมี mos เพียบ พูดตรงๆผมคิดว่า mos ผมระดับสูงแล้วยังโดนขนาด 70%

อยากระแวงหรือระวังมากกว่านี้หน่อย แต่ทำไม่ได้ ตอนนี้เป็นปัญหาใหญ่เลยครับ

ขอผมจากบวก 30 % ตอนนี้ ลบ 2 % แล้วครับ

เพราะคิดว่าเศรษฐกิจไม่แย่(ไทย) แล้วตัวที่ถือก็ไม่เกี่ยวกับการส่งออก หรือ ตปท แต่มันก็ลงกับเค้าด้วย

ไม่ว่าจะยึดจะอ้างหลักการหรือแนวคิดใดๆ
สุดท้ายตัววัดผลก็อยู่ที่มูลค่าหุ้นในพอร์ต
และกำไรที่ทำได้จริงต่างหากครับ

เห็นด้วยครับ ในภาวะที่ข้างนอกปั่นป่วนหนักมากๆ เราก็ต้องทำ worst case scenario ของพอร์ตเราเหมือนกัน ถ้าดูแล้วราคานี้ในภาวะแบบนี้เราเองยังไม่ซื้อ ก็ต้องหาตัวอื่นที่น่าสนใจกว่า ชัวร์กว่า ถ้าหาไม่เจอจริงๆสำหรับผมการถือเงินสดก็ไม่ได้ผิดกติกาแต่อย่างใด

ขอบคุณมากครับ

ถามใครที่ลงทุนในหุ้น ร้อยทั้งร้อยก็บอกว่าลงตามพื้นฐาน
แต่มันมีสองมุมมองคือ
พื้นฐานดี กำไรจะโตขึ้น ราคาไปได้อีกสู่มูลค่าพื้นฐาน
และ
พื้นฐานดี กำไรจะโตขึ้น ราคาน่าจะเลิกถูกได้แล้ว

สองข้อนี้ กุญแจแห่งความสำเร็จอยู่ที่การประเมิณมูลค่าให้ออก แล้วซื้อที่ราคามีส่วนลด แต่การประเมิณมูลค่าให้ถูกต้องนั้น สำหรับผม ผมว่ายากมาก ผมขอเลือก กลุ่ม 2 สบายใจกว่า

Fon^^ เขียน:ว่าด้วย Fundamental Analysis
Fundamental Analysis วิเคราะห์โดยอาศัยปัจจัยพื้นฐานบริษัท เชื่อว่า ราคามักจะเข้าสู่มูลค่าตามผลประกอบการ
บางอาจจะเรียกว่า Value investor ต่างกันกับ Fundamental analysis เหมือนหรือต่างอย่างไร

โดยเนื้อผ้าการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานเหมือนกัน
แต่แก่นของ Value investor คืออะไร
Undervalue อาจจะเป็นคำที่สามารถอธิบายได้ง่ายที่สุด
.........

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า เน้นคุณค่า ไม่ใช่ราคาหุ้น
ราคาขึ้นไม่ได้แปลว่าถูก ราคาลงไม่ได้แปลว่าผิด
ต้นตำรับvi วอเรน บัฟเฟต ซื้อแต่หุ้นที่ไม่คิดจะขาย (ที่ขายก็มีเพราะรู้ว่าคิดผิด)

หลักการก็เรียบง่าย (แต่ทำยาก)
ประเมินกำไร 10 ปี แล้วคิดย้อนกลับเป็นมูลค่าปัจจุบัน
ก่อนซื้อ บัฟเฟต ขอ mos อีก เห็นราคาเข้าเป้า ก็ซื้อ จบ ตลาดช่างมัน
แล้วก็สนใจแต่กิจการ ไม่ใช่ราคาหุ้น

ส่วนมากที่เรา Fundamental analysis กัน
ก็มีแค่ราคาเป้าหมาย กับกำไรปีหน้า
แล้วก็ซื้อเพื่อจะขายมากกว่า เพื่อถือ

Blueblood เขียน:เห็นด้วยครับ ในภาวะที่ข้างนอกปั่นป่วนหนักมากๆ เราก็ต้องทำ worst case scenario ของพอร์ตเราเหมือนกัน ถ้าดูแล้วราคานี้ในภาวะแบบนี้เราเองยังไม่ซื้อ ก็ต้องหาตัวอื่นที่น่าสนใจกว่า ชัวร์กว่า ถ้าหาไม่เจอจริงๆสำหรับผมการถือเงินสดก็ไม่ได้ผิดกติกาแต่อย่างใด

ปกติจะไม่เคยได้เห็น หนู บอกว่า ถือเงินสดในพอร์ต
มาวันนี้ ท่าทางตลาดจะหนักหนาสาหัส บลูบลัด แนะถือเงินสด

ปล.แต่ถ้าเมื่อไหร่หาเจอ กระซิบพี่บ้างเด้อ...เป็นครั้งแรกที่พี่ ถือเงินสดในมือ..ฮ่า

ขอบคุณมากครับคุณหมอฝน...เข้ากับเหตุการณ์ตอนนี้

ขอบคุณ คุณต่อครับ

ขาขึ้น แม้แต่ช้างยังบินได้

ขาลง แม้แต่หุ้นพื้นฐานไม่มีก้ยังบินได้

ขาลง เครื่องใหม่ใครๆๆก้ร่วงได้

หมอฝนหายไป

หมอเค้าไม่ไปงานMeetingเหรอครับ...ว่าเเต่ผมMarkกระทู้คุยกับ"อาจารย์ฝน"ไว้ก็ไม่เห็นUpdateนานเเล้วนะครับ

อ.fon. เขาเคยให้definition of value stocksไว้ว่า

Undervalue by fundamental ครับ

ผมกำลังคิดอยู่เหมือนกันว่า
จะวัดค่าทางพื้นฐานด้วยวิธีใหน
กับหุ้นประเภทใหน
และให้คุณค่ากะราคาเท่าไร

ยิ่งงงเข้าไปใหญ่
เลยตอนนี้ใช้พีอีกะพรีเมี่ยมไปก่อน

ขอบคุณ คุณ Fon สำหรับคำชี้แนะ ตอนนี้หุ้นที่ผมสนใจหลายตัว มันก็ยังไม่ยอมลงซะที มันยังไม่ถึงจุดราคา MOS ซะที หรือมันจะลงตอน SET เหลือ 800 เฮ้ย รอจนเหงือกแห้ง เงินสดที่เหลืออยู่น้อยนิดจะทนไม่ไหวอยู่แล้ว

ผมยังไม่เคยเห็นใครซื้อหุ้นที่ "มูลค่าเหมาะสม" ซักคน ทั้งๆที่ราคานั้นสะท้อน ผลตอบแทนที่คาดหวัง (Expected Return) แล้ว

ข้อความต่อไปนี้ ผมคัดลอกมาจาก Facebook ของคุณ Kittikun Poolsawat
ดังนี้ครับ...

ข้อแตกต่างระหว่าง สินค้า Brandname กับ หุ้น Brandname ถ้าคุณไปเดินห้าง พาราก้อน แล้วพบว่า ห้างประกาศลดราคาครั้งใหญ่ คนจะแหกันไปซื้อของแทบระเบิด แน่นอนถ้า คุณเห็นแว่น Ray ban หรือรองเท้า Fitflop ประกาศลดทุกรุ่น 80% คนจะรุมซื้อกันแบบได้ฟรี ซึ่งถ้าเป็นตลาดหุ้น ถ้าหุ้นราคาลดลงมา 30% คนจะวิตกกังวล ถ้าลดอีก 20% คนจะเริ่มกลัวมากขึ้น ยิ่งลดอีกยิ่งกลัว ซึ่งเป็นสถาณะการณ์ที่ตรงข้ามกับการซื้อของในชีวิตจริง ...สาเหตุเพราะ การลดราคาสินค้าเป็นเรื่องปกติทั่วไป คนซื้อเห็นสินค้าและประเมินมูลค่าได้ทันทีจากสายตา การลดราคาจะเกิดแค่ชั่วคราวเท่านั้น เมื่อหมดเวลา Sale สินค้าชนิดนั้นจะกลับขึ้นไปที่มูลค่าเดิมของมัน คนซื้อจะรู้สึกถึงนาทีทองแห่งชีวิต แต่กับหุ้นมันไม่มีมูลค่าติดไว้เสมอ การลดราคาของหุ้นยิ่งทำให้นักลงทุนไม่กล้าที่จะซื้อมัน เพราะไม่รู้ว่ามูลค่ามันอยู่ตรงไหน เพราะคนซื้อหุ้นทั่วไปมักจะจ่ายเงินให้ความสบายใจมากกกว่ามูลค่าของมัน นักซื้อที่แท้จริงจะไม่ซื้อความสบายใจแต่จะซื้อที่มูลค่าของมันเหมือนกับที่คนซื้อ แว่น หรือรองเท้า ตอนมัน Sale สุดท้ายนักซื้อหุ้นก็จะไปขายมันให้กับคนที่ปฎิเศษหุ้นในตอนที่มัน Sale นั่นเอง

Credit : K.Kittikun Poolsawat