เซียนแนะ 'ถอยทัพ' ชั่วคราว ซื้อ 'ถูกจังหวะ' มีโอกาสเป็น 'เศร
โพสต์แล้ว: จันทร์ ต.ค. 03, 2011 7:59 pm
เซียนแนะ 'ถอยทัพ' ชั่วคราว ซื้อ 'ถูกจังหวะ' มีโอกาสเป็น 'เศรษฐีใหม่'
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
วิกฤติหนี้ยุโรปที่รุนแรง กูรูวงการหุ้นหลายรายเริ่มเชื่อว่าตลาดการเงินโลกจะย้อนรอยเหตุการณ์เลห์แมน บราเธอร์ "ล้ม" เมื่อเดือนตุลาคม 2551 และเศรษฐกิจโลกมีโอกาสสูงจะก้าวเข้าสู่ภาวะถดถอยอีกครั้ง หรือเกิด Double-Dip Recession
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ปรมาจาย์แวลูอินเวสเตอร์เมืองไทย แสดงความเห็นว่าการลงทุนหุ้นตอนนี้มี "ความเสี่ยงรุนแรงมาก" สถานการณ์ในขณะนี้มีโอกาสเกิดวิกฤติเศรษฐกิจรอบสอง แม้ส่วนตัวมองว่ารอบนี้ไม่น่าจะ "หนัก" เท่ากับสมัยปี 2551 แต่ใช่ว่า SET ลงมาต่ำสุดแล้วยังมีโอกาสที่จะ "ปรับลง" ได้อีก การลงทุนช่วงนี้จึงต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ
“ตอนนี้ยังไม่ต้องรีบซื้อ ราคาหุ้นก็ไม่ถูกมากจนน่าซื้อ อย่าเพิ่งเก็งกำไรเพราะเห็นหุ้นลงเยอะ หุ้นไทยถือว่ายังลงน้อยเมื่อเทียบกับประเทศอื่น เท่ากับว่ายังมีโอกาสถูกขายได้อีก SET Index ระดับนี้ยังอยู่ในระดับปกติของหุ้นไทยในอดีตที่ พี/อี ประมาณ 10 เท่า ถ้ามองการลงทุนแบบแวลูอินเวสเตอร์ก็ยังไม่น่าซื้อ”
ดร.นิเวศน์ บอกว่า หุ้นดีๆ หลายตัวราคายังลงมาไม่เยอะเท่าไร ถ้าคิดจะถือยาวต้องมั่นใจว่าหุ้นตัวนั้นสามารถอยู่รอดได้แม้ว่าจะเกิดวิกฤติ ส่วนตัวคิดว่าประเทศไทยยังมีฐานะเศรษฐกิจที่ดี โดยเฉพาะการบริโภคภายในประเทศ ถ้าต้องการซื้อหุ้นแบบปลอดภัยให้ลองดูบริษัทที่มีรายได้จากการบริโภคในประเทศเป็นหลัก ถ้าเป็นหุ้นที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจโลก อย่างสินค้าโภคภัณฑ์ต้องระวังให้มาก
"พอร์ตส่วนตัวของผมตอนนี้ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลง ไม่ได้ซื้อเพิ่มเพราะราคาหุ้นยังไม่จูงใจและก็ไม่ได้ขายออก(เพราะหุ้นที่ถืออยู่ต้นทุนต่ำ) ช่วงนี้คิดว่าทั้งหุ้นตัวเล็กและหุ้นตัวใหญ่มีโอกาสถูกขายได้อีก ช่วงนี้จึงอยากให้ชะลอการลงทุนไว้ก่อน" ดร.นิเวศน์ แนะนำ
ดร.สุวรรณ วลัยเสถียร ประธานชมรมคนออมเงิน แนะนำว่า การลงทุนช่วงนี้รอให้สถานการณ์เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาและยุโรป "นิ่ง" เสียก่อนค่อยลงทุน เพราะยังมีความเสี่ยงอีกมากที่ยังมองไม่เห็น...คติการลงทุนช่วงนี้ ห้ามซื้อและแอบซื้อทั้งหุ้น ทองคำ ที่ดิน ทุกอย่าง ถือเงินสดเอาไว้ก่อน
หนึ่งในผู้สะสมทองคำมากที่สุดคนหนึ่ง ย้ำว่า สถานการณ์ตอนนี้เริ่มที่จะใกล้เคียงกับสมัยเลห์แมนฯล้ม เมื่อปี 2551 แล้วตอนนั้นราคาทองคำก็ร่วงลงกว่า 30% ถ้านับจากราคาสูงสุดที่ 1,900 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ หมายความว่ามีโอกาสลงมาในระดับใกล้เคียงกันที่ 1,200 เหรียญ สำหรับที่ดินตอนนี้ก็ยังไม่น่าเก็บเพราะอาจจะเป็นภาระมากกว่าได้ผลตอบแทนที่ดี สำหรับหุ้นไทยมองว่าถ้าสถานการณ์ใกล้เคียงกับวิกฤติครั้งล่าสุด SET มีโอกาสลงไปอยู่ที่ 600 จุดได้ ถ้าซื้อหุ้นหรือทองได้ถูกจังหวะก็ยังมีโอกาสสร้างผลตอบแทนได้ในระดับสูง
สุทัศน์ ขันเจริญสุข ประธานชมรมไทยวีไอ มองว่าเป็นเรื่องปกติที่หุ้นจะลงแรงๆ ตามวัฏจักร ตอนนี้ถือได้ว่ามีโอกาสที่จะซื้อหุ้นดีๆ ในราคาที่เหมาะสมได้แล้ว นานๆ ครั้งถึงจะมีการลดราคาทั้งตลาดเยอะๆ แบบนี้ ถ้าเปรียบตลาดหุ้นเหมือน "มหาสมุทร" และ "ปลา" คือ "หุ้น" ช่วงนี้ฝูงปลากำลังแตกตื่น เราต้องรู้ให้ได้ว่าปลาจะว่ายไปทางไหนและต้องหาทางดักให้ทัน
“ถ้าคุณถือเงินเย็นอยู่ และต้องการดอกผลจากการลงทุนและคิดว่าสามารถถือหุ้นยาวไปจนกว่าเหตุการณ์เลวร้ายผ่านพ้นไปได้ ซื้อหุ้นช่วงนี้ปิดโอกาสขาดทุนเลยทีเดียว ตอนนี้เราสามารถหาหุ้นปันผลระดับ 10% ต่อปีถือแล้วหลับสบายมีหลายตัวให้เลือกแล้ว" สุทัศน์ มองต่าง
ด้วยประสบการณ์กว่า 2 ทศวรรษเขาเชื่อว่าหุ้นที่แข็งแกร่งจะต้องมีธุรกิจที่สามารถผ่านพ้นช่วงวิกฤติไปได้ นั่นคือ "ต้องมีกระแสเงินสดที่แน่นอน" ถ้าต้องคอยลุ้นผลประกอบการทุกไตรมาสว่าจะแย่ลงหรือไม่อันนี้ไม่ไหว ตอนนี้มีบริษัทที่ดีและไม่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจโลกเลยก็มี ก่อนหน้านี้หุ้นราคาแพงมาก แต่ตอนนี้พวกฝรั่งหนีกลับไปแล้วกำลังเคาะประตูเรียกให้เราไปซื้อหุ้นอยู่ แต่ต้องถือเพื่อลงทุนรับดอกผลระยะยาวนะไม่ใช่เข้าๆ ออกๆ แบบนั้นเสี่ยงมาก
สุทัศน์ ย้ำว่า ลงทุนช่วงนี้ต้องใช้ “สติ” ให้มากโดยเฉพาะผู้ที่เล่นหุ้นในห้องค้าอารมณ์จะอ่อนไหวตามราคาหุ้น หลักการคือต้องทำตัวเป็นนักลงทุนไม่ใช่นักเล่นหุ้น อย่าไปตื่นเต้นกับเหตุการณ์ภายนอกมากเพราะประเทศไทยยังห่างไกลจากวิกฤติแค่ติดตามข่าวสารอย่างละเอียด
“ซื้อหุ้นช่วงนี้เป็นโอกาสที่ "นักลงทุน" จะได้ผลตอบแทนจากดอกผลที่ดี แต่ถ้าเป็น "นักเล่นหุ้น" ช่วงนี้คุณจะได้ความเสี่ยงไปแทน” นักลงทุนรายใหญ่เตือน
ภาววิทย์ กลิ่นประทุม นักลงทุนรุ่นใหม่ แสดงความเห็นว่าการปรับฐานแรงรอบนี้เป็นโอกาสที่จะเข้าซื้อได้ ส่วนตัวคิดว่า "ลงแรง" แล้วน่าจะ "ขึ้นแรงกว่าเก่า" ด้วย คิดว่าสถานการณ์ไม่น่าจะแรงเหมือนสมัยเลห์แมน บราเธอร์ แต่ต้องใช้ความระมัดระวังอย่างมากเพราะยังไม่รู้เลยว่าจะลงไปลึกอีกแค่ไหน เพราะสถานการณ์ตอนนี้เป็น Panic Sale มากกว่าเรื่องพื้นฐาน
“พอร์ตผมตอนนี้ไม่มีการเปลี่ยนแปลงและยังไม่ได้เข้าไปเก็บเพิ่ม ส่วนตัวคิดว่าเป็นโอกาสที่จะทยอยเก็บเป็นก้อนๆ ได้ กลุ่มที่แนะนำก็ยังเป็น "พลังงาน" กับ "แบงก์" ที่ลงมาเยอะ ผมคิดว่าราคาตอนนี้เมื่อเทียบกับคาดการณ์กำไรใน 2 ปีข้างหน้าถือว่า "ถูกมาก" ถ้ามีคนกล้าเข้าไปน่าจะมีโอกาสในวิกฤติสร้างผลตอบแทนได้เหมือนปี 2551”
หนุ่มแพทบอกด้วยว่า สถานการณ์เวลานี้เป็นเครื่องพิสูจน์จิตใจนักลงทุนเป็นอย่างดีว่าคุณจะเลือกเป็นนักลงทุนระยะยาว (วีไอ) หรือนักลงทุนระยะสั้นที่ใช้เทคนิคช่วยตัดสินใจ ถ้ามองในเชิงเทคนิคดู MACD, RSI ยังยืนยัน “ขาลง” อยู่ ถ้าอธิบายด้วย "ทฤษฎีดาว" (Dow Theory) จะเห็นว่ากราฟจะยังเป็น "ขาลง" อาจจะมีปรับขึ้นบ้างแต่ก็ขึ้นเล็กน้อยแล้ว "ลงต่อ" ต้องรอให้หุ้นสามารถทะลุแนวต้านสำคัญไปได้ก่อนถึงจะ "ซื้อตาม" สรุปว่าถ้าเป็นนักเล่นเทคนิค ช่วงนี้ "ยังไม่ซื้อหุ้น" แต่ถ้ามองที่ปัจจัยพื้นฐานราคาหุ้นตอนนี้ถือว่า "ราคาไม่แพง" และสามารถ "ซื้อได้"
ภาววิทย์ เสริมอีกว่าถ้าวิเคราะห์ในเชิงเศรษฐศาสตร์การที่ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นช่วงนี้ยังคงเป็นแค่ "ระยะสั้น" เพราะตอนนี้สหรัฐฯพิมพ์เงินในระบบออกมาจำนวนมาก ระยะยาวมันจะ "ด้อยค่าลง" และเงินจะไหลไปอยู่ใน "สินทรัพย์เสี่ยง" อย่าง "หุ้น" หรือ "ทองคำ" แน่นอน เพียงแต่ตอนนี้ต้องจับตาการแก้ไขปัญหาของชาติตะวันตกเสียก่อน แต่ถ้าจะไปฝากเงินธนาคารก็ไม่ได้อะไร
“ตอนนี้ต้องตั้งสติดีๆ เศรษฐกิจไทยยังคงไปได้(ดี)แค่ตอนนี้มีความกังวลจากฝั่งตะวันตก เป็นโอกาสสำหรับคนที่ยังไม่ได้เล่นหุ้นด้วยซ้ำ” เขากล่าว
สุกิจ อุดมศิริกุล ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนลูกค้าบุคคล บล.ไทยพาณิชย์ กล่าวว่า สิ่งที่กำหนดทิศทางตลาดหุ้นไทยตอนนี้คือ "ปัจจัยภายนอก" ซึ่งมีความไม่แน่นอนสูง ช่วงนี้ขอให้ลงทุนระยะกลางถึงยาวจะแน่นอนกว่าเก็งกำไรระยะสั้น ความเสี่ยงที่สุดตอนนี้คือคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจโลกจะเกิดภาวะถดถอย แต่ บล.ไทยพาณิชย์ ไม่มองเหตุการณ์แย่ขนาดนั้น ในเดือนตุลาคมนี้ทั้งยุโรปและอเมริกาจะมีความชัดเจนเรื่องแผนการกู้วิกฤติ โดยเฉพาะการจัดตั้งกองทุนยุโรปเพื่อเพิ่มทุนให้กับภาคธนาคารและกดอัตราดอกเบี้ยให้ต่ำ ระหว่างที่รอความชัดเจนนี้ตลาดหุ้นทั่วโลกจะยังมีความผันผวนสูง
ถามว่าหุ้นไทยระดับนี้น่าสนใจหรือไม่ สุกิจ ตอบว่า "น่าสนใจ" ถ้ายุโรปและอเมริกามีความชัดเจนเรื่องแผนการกู้วิกฤติ หุ้นอาจจะขึ้นได้ตลอดช่วงเวลาที่เหลือของปีนี้ สำหรับกลุ่มที่น่าลงทุนจะแบ่งเป็น 2 กลุ่มคือกลุ่มเสี่ยงต่ำ เช่น สื่อสารและค้าปลีก กลุ่มนี้ "ลงไม่เยอะ" อีกกลุ่มคือหุ้นที่ "ลงมาเยอะ" เช่น พลังงาน, ปิโตรเคมี, ธนาคารพาณิชย์ ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจโลก พวกนี้ถ้า "ถือยาวได้" จะมีความเสี่ยง "ต่ำ" ลง
“เราแนะนำให้ลงทุนหุ้นที่เป็นตัวนำของกลุ่ม สำหรับหุ้นกลุ่มเสี่ยงต่ำแนะนำ ADVANC และ CPALL ส่วนหุ้นเสี่ยงสูงแนะนำ PTT, PTTCH, KBANK พวกนี้สามารถทยอยสะสมหุ้นได้หมด”
ประภาส ตันพิบูลย์ศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุน บลจ.กรุงศรี มองว่า ผู้มีอำนาจทั้งฝั่งสหรัฐฯและยุโรปเห็นตัวอย่างวิกฤติการเงินที่เกิดขึ้นในปี 2551 มาแล้ว เขามีบทเรียนที่จะแก้ไขก่อนจะเกิดวิกฤติอีกรอบ หุ้นไทยแม้ว่าพื้นฐานเศรษฐกิจเราจะโอเคแต่ถ้านักลงทุนต่างชาติขายหุ้นเพื่อนำเงินกลับไปหักกลบผลขาดทุนจากฝั่งตะวันตก อย่างไร SET Index ก็ไม่น่ารอดมีโอกาสจะปรับลงได้อีก
“ผมมองว่ามีโอกาส 50% ที่ปีนี้ผลตอบแทนจากหุ้นไทยน่าจะ "ติดลบ" หรือปิดต่ำว่า 1,033 จุด เป้าที่เรามองกันไว้ว่าดัชนีจะอยู่ที่ 1,200 จุด ไม่น่าจะถึง 1,100 จุด ยังไม่แน่ว่าจะผ่านได้หรือเปล่า เราให้มุมมองตลาดหุ้นช่วงนี้น่าจะยังซึมๆ"
อย่างไรก็ตาม ถ้ายุโรปสามารถแก้ปัญหาได้ ฟันด์โฟลว์น่าจะไหลกลับเข้ามาในเอเชียรวมถึงหุ้นไทยอีกครั้ง แต่ถ้ากรีซไม่รอด รับรองว่าปัญหาจะลามไปทั่วโลกแน่นอน แต่ประเด็นน่าสนใจอยู่ที่ "ปีหน้า" (2555) ถ้าปีนี้หุ้นลงแรงปีหน้าจะกลับขึ้นมาแรงแน่นอน ตอนนี้ฝ่ายจัดการลงทุนของเราก็ยังมองโอกาสซื้อหุ้นอยู่ถ้าราคาลงมาเยอะ (บลจ.กรุงศรีจะเข้าไปเก็บ) โดยยังคงนโยบายถือเงินสดเพียง 2-3% เท่าเดิม
วนา พูลผล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.ยูโอบี มองว่า ทิศทางตลาดหุ้นต้องรอดูความชัดเจนของการแก้ไขปัญหาที่ยุโรป ระหว่างนี้ตลาดหุ้นคงจะขึ้นลงตามข่าวเป็นหลัก สำหรับบลจ.ยูโอบี มองเศรษฐกิจโลกคงไม่เกิด Recession ง่ายๆ แต่ไม่ใช่ว่าจะไม่มีสิทธิเลย เท่าที่ประเมินกำไรต่อหุ้นบริษัทใหญ่ๆ ไม่น่าจะได้รับผลกระทบและน่าจะยังเติบโตได้ในระดับเดิมด้วย
“ผมมอง SET Index ที่ต่ำกว่า 1,000 จุด ยังสามารถซื้อลงทุนได้ สำหรับใครที่ยังไม่ได้ซื้อหุ้นเลย และให้ค่อยๆทยอยซื้อไม่ต้องรีบ และขอให้เป็นการลงทุนระยะกลางถึงยาวเพราะระยะสั้นการเก็งกำไรจะเสี่ยงมาก กลยุทธ์การลงทุนช่วงนี้ให้รอซื้อของถูก ถือเงินสดไว้บางส่วนอย่าใส่ในหุ้นเต็มพอร์ต”
การจัดพอร์ตลงทุนช่วงนี้ วนา แนะนำให้ถือตราสารหนี้ในสัดส่วนที่มากหน่อยเพื่อป้องกันความผันผวนในระดับ 70% และขอให้ถือเป็น "พันธบัตรระยะสั้น" เนื่องจากยีลด์ของตราสารระยะสั้นกับยาวตอนนี้ห่างกันไม่มาก สำหรับหุ้นให้มีไว้ในพอร์ต 20-25% ที่เหลือเป็นการลงทุนทางเลือก เช่น ทองคำ อสังหาริมทรัพย์ 5-10%
"สำหรับผู้ที่สนใจทองคำยังเป็นสินทรัพย์ที่น่าลงทุนอยู่ ที่ราคาปรับลงแรงเนื่องจากมีการขายทำกำไรบางส่วนไปชดเชยการขาดทุนหุ้น แต่ระยะยาวทองคำยังคงเป็น Safe Haven แน่นอน บลจ.ยูโอบี เรามองราคาทองคำมีสิทธิพุ่งขึ้นไปแตะ 2,300 เหรียญในสิ้นปี 2555" วนา กล่าว
เอกยุทธ อัญชันบุตร นักลงทุนรายใหญ่ แนะนำว่า นักลงทุนระยะกลาง-ยาว รอสะสมตอนดัชนีลงมายืน 880-920 จุด ให้ซื้อหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ อาหาร และพลังงาน 30-40% ของพอร์ต เพราะวิกฤติการเงินของต่างประเทศจริงๆ แล้วกระทบกับเศรษฐกิจของไทยน้อย อย่างไรก็ตาม กรณีที่วิกฤติการเงินในต่างประเทศรุนแรงมากก็มีความเป็นไปได้ที่ดัชนีหุ้นไทยจะลงมาที่ 680-740 จุด
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
วิกฤติหนี้ยุโรปที่รุนแรง กูรูวงการหุ้นหลายรายเริ่มเชื่อว่าตลาดการเงินโลกจะย้อนรอยเหตุการณ์เลห์แมน บราเธอร์ "ล้ม" เมื่อเดือนตุลาคม 2551 และเศรษฐกิจโลกมีโอกาสสูงจะก้าวเข้าสู่ภาวะถดถอยอีกครั้ง หรือเกิด Double-Dip Recession
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ปรมาจาย์แวลูอินเวสเตอร์เมืองไทย แสดงความเห็นว่าการลงทุนหุ้นตอนนี้มี "ความเสี่ยงรุนแรงมาก" สถานการณ์ในขณะนี้มีโอกาสเกิดวิกฤติเศรษฐกิจรอบสอง แม้ส่วนตัวมองว่ารอบนี้ไม่น่าจะ "หนัก" เท่ากับสมัยปี 2551 แต่ใช่ว่า SET ลงมาต่ำสุดแล้วยังมีโอกาสที่จะ "ปรับลง" ได้อีก การลงทุนช่วงนี้จึงต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ
“ตอนนี้ยังไม่ต้องรีบซื้อ ราคาหุ้นก็ไม่ถูกมากจนน่าซื้อ อย่าเพิ่งเก็งกำไรเพราะเห็นหุ้นลงเยอะ หุ้นไทยถือว่ายังลงน้อยเมื่อเทียบกับประเทศอื่น เท่ากับว่ายังมีโอกาสถูกขายได้อีก SET Index ระดับนี้ยังอยู่ในระดับปกติของหุ้นไทยในอดีตที่ พี/อี ประมาณ 10 เท่า ถ้ามองการลงทุนแบบแวลูอินเวสเตอร์ก็ยังไม่น่าซื้อ”
ดร.นิเวศน์ บอกว่า หุ้นดีๆ หลายตัวราคายังลงมาไม่เยอะเท่าไร ถ้าคิดจะถือยาวต้องมั่นใจว่าหุ้นตัวนั้นสามารถอยู่รอดได้แม้ว่าจะเกิดวิกฤติ ส่วนตัวคิดว่าประเทศไทยยังมีฐานะเศรษฐกิจที่ดี โดยเฉพาะการบริโภคภายในประเทศ ถ้าต้องการซื้อหุ้นแบบปลอดภัยให้ลองดูบริษัทที่มีรายได้จากการบริโภคในประเทศเป็นหลัก ถ้าเป็นหุ้นที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจโลก อย่างสินค้าโภคภัณฑ์ต้องระวังให้มาก
"พอร์ตส่วนตัวของผมตอนนี้ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลง ไม่ได้ซื้อเพิ่มเพราะราคาหุ้นยังไม่จูงใจและก็ไม่ได้ขายออก(เพราะหุ้นที่ถืออยู่ต้นทุนต่ำ) ช่วงนี้คิดว่าทั้งหุ้นตัวเล็กและหุ้นตัวใหญ่มีโอกาสถูกขายได้อีก ช่วงนี้จึงอยากให้ชะลอการลงทุนไว้ก่อน" ดร.นิเวศน์ แนะนำ
ดร.สุวรรณ วลัยเสถียร ประธานชมรมคนออมเงิน แนะนำว่า การลงทุนช่วงนี้รอให้สถานการณ์เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาและยุโรป "นิ่ง" เสียก่อนค่อยลงทุน เพราะยังมีความเสี่ยงอีกมากที่ยังมองไม่เห็น...คติการลงทุนช่วงนี้ ห้ามซื้อและแอบซื้อทั้งหุ้น ทองคำ ที่ดิน ทุกอย่าง ถือเงินสดเอาไว้ก่อน
หนึ่งในผู้สะสมทองคำมากที่สุดคนหนึ่ง ย้ำว่า สถานการณ์ตอนนี้เริ่มที่จะใกล้เคียงกับสมัยเลห์แมนฯล้ม เมื่อปี 2551 แล้วตอนนั้นราคาทองคำก็ร่วงลงกว่า 30% ถ้านับจากราคาสูงสุดที่ 1,900 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ หมายความว่ามีโอกาสลงมาในระดับใกล้เคียงกันที่ 1,200 เหรียญ สำหรับที่ดินตอนนี้ก็ยังไม่น่าเก็บเพราะอาจจะเป็นภาระมากกว่าได้ผลตอบแทนที่ดี สำหรับหุ้นไทยมองว่าถ้าสถานการณ์ใกล้เคียงกับวิกฤติครั้งล่าสุด SET มีโอกาสลงไปอยู่ที่ 600 จุดได้ ถ้าซื้อหุ้นหรือทองได้ถูกจังหวะก็ยังมีโอกาสสร้างผลตอบแทนได้ในระดับสูง
สุทัศน์ ขันเจริญสุข ประธานชมรมไทยวีไอ มองว่าเป็นเรื่องปกติที่หุ้นจะลงแรงๆ ตามวัฏจักร ตอนนี้ถือได้ว่ามีโอกาสที่จะซื้อหุ้นดีๆ ในราคาที่เหมาะสมได้แล้ว นานๆ ครั้งถึงจะมีการลดราคาทั้งตลาดเยอะๆ แบบนี้ ถ้าเปรียบตลาดหุ้นเหมือน "มหาสมุทร" และ "ปลา" คือ "หุ้น" ช่วงนี้ฝูงปลากำลังแตกตื่น เราต้องรู้ให้ได้ว่าปลาจะว่ายไปทางไหนและต้องหาทางดักให้ทัน
“ถ้าคุณถือเงินเย็นอยู่ และต้องการดอกผลจากการลงทุนและคิดว่าสามารถถือหุ้นยาวไปจนกว่าเหตุการณ์เลวร้ายผ่านพ้นไปได้ ซื้อหุ้นช่วงนี้ปิดโอกาสขาดทุนเลยทีเดียว ตอนนี้เราสามารถหาหุ้นปันผลระดับ 10% ต่อปีถือแล้วหลับสบายมีหลายตัวให้เลือกแล้ว" สุทัศน์ มองต่าง
ด้วยประสบการณ์กว่า 2 ทศวรรษเขาเชื่อว่าหุ้นที่แข็งแกร่งจะต้องมีธุรกิจที่สามารถผ่านพ้นช่วงวิกฤติไปได้ นั่นคือ "ต้องมีกระแสเงินสดที่แน่นอน" ถ้าต้องคอยลุ้นผลประกอบการทุกไตรมาสว่าจะแย่ลงหรือไม่อันนี้ไม่ไหว ตอนนี้มีบริษัทที่ดีและไม่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจโลกเลยก็มี ก่อนหน้านี้หุ้นราคาแพงมาก แต่ตอนนี้พวกฝรั่งหนีกลับไปแล้วกำลังเคาะประตูเรียกให้เราไปซื้อหุ้นอยู่ แต่ต้องถือเพื่อลงทุนรับดอกผลระยะยาวนะไม่ใช่เข้าๆ ออกๆ แบบนั้นเสี่ยงมาก
สุทัศน์ ย้ำว่า ลงทุนช่วงนี้ต้องใช้ “สติ” ให้มากโดยเฉพาะผู้ที่เล่นหุ้นในห้องค้าอารมณ์จะอ่อนไหวตามราคาหุ้น หลักการคือต้องทำตัวเป็นนักลงทุนไม่ใช่นักเล่นหุ้น อย่าไปตื่นเต้นกับเหตุการณ์ภายนอกมากเพราะประเทศไทยยังห่างไกลจากวิกฤติแค่ติดตามข่าวสารอย่างละเอียด
“ซื้อหุ้นช่วงนี้เป็นโอกาสที่ "นักลงทุน" จะได้ผลตอบแทนจากดอกผลที่ดี แต่ถ้าเป็น "นักเล่นหุ้น" ช่วงนี้คุณจะได้ความเสี่ยงไปแทน” นักลงทุนรายใหญ่เตือน
ภาววิทย์ กลิ่นประทุม นักลงทุนรุ่นใหม่ แสดงความเห็นว่าการปรับฐานแรงรอบนี้เป็นโอกาสที่จะเข้าซื้อได้ ส่วนตัวคิดว่า "ลงแรง" แล้วน่าจะ "ขึ้นแรงกว่าเก่า" ด้วย คิดว่าสถานการณ์ไม่น่าจะแรงเหมือนสมัยเลห์แมน บราเธอร์ แต่ต้องใช้ความระมัดระวังอย่างมากเพราะยังไม่รู้เลยว่าจะลงไปลึกอีกแค่ไหน เพราะสถานการณ์ตอนนี้เป็น Panic Sale มากกว่าเรื่องพื้นฐาน
“พอร์ตผมตอนนี้ไม่มีการเปลี่ยนแปลงและยังไม่ได้เข้าไปเก็บเพิ่ม ส่วนตัวคิดว่าเป็นโอกาสที่จะทยอยเก็บเป็นก้อนๆ ได้ กลุ่มที่แนะนำก็ยังเป็น "พลังงาน" กับ "แบงก์" ที่ลงมาเยอะ ผมคิดว่าราคาตอนนี้เมื่อเทียบกับคาดการณ์กำไรใน 2 ปีข้างหน้าถือว่า "ถูกมาก" ถ้ามีคนกล้าเข้าไปน่าจะมีโอกาสในวิกฤติสร้างผลตอบแทนได้เหมือนปี 2551”
หนุ่มแพทบอกด้วยว่า สถานการณ์เวลานี้เป็นเครื่องพิสูจน์จิตใจนักลงทุนเป็นอย่างดีว่าคุณจะเลือกเป็นนักลงทุนระยะยาว (วีไอ) หรือนักลงทุนระยะสั้นที่ใช้เทคนิคช่วยตัดสินใจ ถ้ามองในเชิงเทคนิคดู MACD, RSI ยังยืนยัน “ขาลง” อยู่ ถ้าอธิบายด้วย "ทฤษฎีดาว" (Dow Theory) จะเห็นว่ากราฟจะยังเป็น "ขาลง" อาจจะมีปรับขึ้นบ้างแต่ก็ขึ้นเล็กน้อยแล้ว "ลงต่อ" ต้องรอให้หุ้นสามารถทะลุแนวต้านสำคัญไปได้ก่อนถึงจะ "ซื้อตาม" สรุปว่าถ้าเป็นนักเล่นเทคนิค ช่วงนี้ "ยังไม่ซื้อหุ้น" แต่ถ้ามองที่ปัจจัยพื้นฐานราคาหุ้นตอนนี้ถือว่า "ราคาไม่แพง" และสามารถ "ซื้อได้"
ภาววิทย์ เสริมอีกว่าถ้าวิเคราะห์ในเชิงเศรษฐศาสตร์การที่ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นช่วงนี้ยังคงเป็นแค่ "ระยะสั้น" เพราะตอนนี้สหรัฐฯพิมพ์เงินในระบบออกมาจำนวนมาก ระยะยาวมันจะ "ด้อยค่าลง" และเงินจะไหลไปอยู่ใน "สินทรัพย์เสี่ยง" อย่าง "หุ้น" หรือ "ทองคำ" แน่นอน เพียงแต่ตอนนี้ต้องจับตาการแก้ไขปัญหาของชาติตะวันตกเสียก่อน แต่ถ้าจะไปฝากเงินธนาคารก็ไม่ได้อะไร
“ตอนนี้ต้องตั้งสติดีๆ เศรษฐกิจไทยยังคงไปได้(ดี)แค่ตอนนี้มีความกังวลจากฝั่งตะวันตก เป็นโอกาสสำหรับคนที่ยังไม่ได้เล่นหุ้นด้วยซ้ำ” เขากล่าว
สุกิจ อุดมศิริกุล ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนลูกค้าบุคคล บล.ไทยพาณิชย์ กล่าวว่า สิ่งที่กำหนดทิศทางตลาดหุ้นไทยตอนนี้คือ "ปัจจัยภายนอก" ซึ่งมีความไม่แน่นอนสูง ช่วงนี้ขอให้ลงทุนระยะกลางถึงยาวจะแน่นอนกว่าเก็งกำไรระยะสั้น ความเสี่ยงที่สุดตอนนี้คือคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจโลกจะเกิดภาวะถดถอย แต่ บล.ไทยพาณิชย์ ไม่มองเหตุการณ์แย่ขนาดนั้น ในเดือนตุลาคมนี้ทั้งยุโรปและอเมริกาจะมีความชัดเจนเรื่องแผนการกู้วิกฤติ โดยเฉพาะการจัดตั้งกองทุนยุโรปเพื่อเพิ่มทุนให้กับภาคธนาคารและกดอัตราดอกเบี้ยให้ต่ำ ระหว่างที่รอความชัดเจนนี้ตลาดหุ้นทั่วโลกจะยังมีความผันผวนสูง
ถามว่าหุ้นไทยระดับนี้น่าสนใจหรือไม่ สุกิจ ตอบว่า "น่าสนใจ" ถ้ายุโรปและอเมริกามีความชัดเจนเรื่องแผนการกู้วิกฤติ หุ้นอาจจะขึ้นได้ตลอดช่วงเวลาที่เหลือของปีนี้ สำหรับกลุ่มที่น่าลงทุนจะแบ่งเป็น 2 กลุ่มคือกลุ่มเสี่ยงต่ำ เช่น สื่อสารและค้าปลีก กลุ่มนี้ "ลงไม่เยอะ" อีกกลุ่มคือหุ้นที่ "ลงมาเยอะ" เช่น พลังงาน, ปิโตรเคมี, ธนาคารพาณิชย์ ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจโลก พวกนี้ถ้า "ถือยาวได้" จะมีความเสี่ยง "ต่ำ" ลง
“เราแนะนำให้ลงทุนหุ้นที่เป็นตัวนำของกลุ่ม สำหรับหุ้นกลุ่มเสี่ยงต่ำแนะนำ ADVANC และ CPALL ส่วนหุ้นเสี่ยงสูงแนะนำ PTT, PTTCH, KBANK พวกนี้สามารถทยอยสะสมหุ้นได้หมด”
ประภาส ตันพิบูลย์ศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุน บลจ.กรุงศรี มองว่า ผู้มีอำนาจทั้งฝั่งสหรัฐฯและยุโรปเห็นตัวอย่างวิกฤติการเงินที่เกิดขึ้นในปี 2551 มาแล้ว เขามีบทเรียนที่จะแก้ไขก่อนจะเกิดวิกฤติอีกรอบ หุ้นไทยแม้ว่าพื้นฐานเศรษฐกิจเราจะโอเคแต่ถ้านักลงทุนต่างชาติขายหุ้นเพื่อนำเงินกลับไปหักกลบผลขาดทุนจากฝั่งตะวันตก อย่างไร SET Index ก็ไม่น่ารอดมีโอกาสจะปรับลงได้อีก
“ผมมองว่ามีโอกาส 50% ที่ปีนี้ผลตอบแทนจากหุ้นไทยน่าจะ "ติดลบ" หรือปิดต่ำว่า 1,033 จุด เป้าที่เรามองกันไว้ว่าดัชนีจะอยู่ที่ 1,200 จุด ไม่น่าจะถึง 1,100 จุด ยังไม่แน่ว่าจะผ่านได้หรือเปล่า เราให้มุมมองตลาดหุ้นช่วงนี้น่าจะยังซึมๆ"
อย่างไรก็ตาม ถ้ายุโรปสามารถแก้ปัญหาได้ ฟันด์โฟลว์น่าจะไหลกลับเข้ามาในเอเชียรวมถึงหุ้นไทยอีกครั้ง แต่ถ้ากรีซไม่รอด รับรองว่าปัญหาจะลามไปทั่วโลกแน่นอน แต่ประเด็นน่าสนใจอยู่ที่ "ปีหน้า" (2555) ถ้าปีนี้หุ้นลงแรงปีหน้าจะกลับขึ้นมาแรงแน่นอน ตอนนี้ฝ่ายจัดการลงทุนของเราก็ยังมองโอกาสซื้อหุ้นอยู่ถ้าราคาลงมาเยอะ (บลจ.กรุงศรีจะเข้าไปเก็บ) โดยยังคงนโยบายถือเงินสดเพียง 2-3% เท่าเดิม
วนา พูลผล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.ยูโอบี มองว่า ทิศทางตลาดหุ้นต้องรอดูความชัดเจนของการแก้ไขปัญหาที่ยุโรป ระหว่างนี้ตลาดหุ้นคงจะขึ้นลงตามข่าวเป็นหลัก สำหรับบลจ.ยูโอบี มองเศรษฐกิจโลกคงไม่เกิด Recession ง่ายๆ แต่ไม่ใช่ว่าจะไม่มีสิทธิเลย เท่าที่ประเมินกำไรต่อหุ้นบริษัทใหญ่ๆ ไม่น่าจะได้รับผลกระทบและน่าจะยังเติบโตได้ในระดับเดิมด้วย
“ผมมอง SET Index ที่ต่ำกว่า 1,000 จุด ยังสามารถซื้อลงทุนได้ สำหรับใครที่ยังไม่ได้ซื้อหุ้นเลย และให้ค่อยๆทยอยซื้อไม่ต้องรีบ และขอให้เป็นการลงทุนระยะกลางถึงยาวเพราะระยะสั้นการเก็งกำไรจะเสี่ยงมาก กลยุทธ์การลงทุนช่วงนี้ให้รอซื้อของถูก ถือเงินสดไว้บางส่วนอย่าใส่ในหุ้นเต็มพอร์ต”
การจัดพอร์ตลงทุนช่วงนี้ วนา แนะนำให้ถือตราสารหนี้ในสัดส่วนที่มากหน่อยเพื่อป้องกันความผันผวนในระดับ 70% และขอให้ถือเป็น "พันธบัตรระยะสั้น" เนื่องจากยีลด์ของตราสารระยะสั้นกับยาวตอนนี้ห่างกันไม่มาก สำหรับหุ้นให้มีไว้ในพอร์ต 20-25% ที่เหลือเป็นการลงทุนทางเลือก เช่น ทองคำ อสังหาริมทรัพย์ 5-10%
"สำหรับผู้ที่สนใจทองคำยังเป็นสินทรัพย์ที่น่าลงทุนอยู่ ที่ราคาปรับลงแรงเนื่องจากมีการขายทำกำไรบางส่วนไปชดเชยการขาดทุนหุ้น แต่ระยะยาวทองคำยังคงเป็น Safe Haven แน่นอน บลจ.ยูโอบี เรามองราคาทองคำมีสิทธิพุ่งขึ้นไปแตะ 2,300 เหรียญในสิ้นปี 2555" วนา กล่าว
เอกยุทธ อัญชันบุตร นักลงทุนรายใหญ่ แนะนำว่า นักลงทุนระยะกลาง-ยาว รอสะสมตอนดัชนีลงมายืน 880-920 จุด ให้ซื้อหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ อาหาร และพลังงาน 30-40% ของพอร์ต เพราะวิกฤติการเงินของต่างประเทศจริงๆ แล้วกระทบกับเศรษฐกิจของไทยน้อย อย่างไรก็ตาม กรณีที่วิกฤติการเงินในต่างประเทศรุนแรงมากก็มีความเป็นไปได้ที่ดัชนีหุ้นไทยจะลงมาที่ 680-740 จุด