หน้า 1 จากทั้งหมด 1

เซียนแนะ 'ถอยทัพ' ชั่วคราว ซื้อ 'ถูกจังหวะ' มีโอกาสเป็น 'เศร

โพสต์แล้ว: จันทร์ ต.ค. 03, 2011 7:59 pm
โดย tum_H
เซียนแนะ 'ถอยทัพ' ชั่วคราว ซื้อ 'ถูกจังหวะ' มีโอกาสเป็น 'เศรษฐีใหม่'

โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

วิกฤติหนี้ยุโรปที่รุนแรง กูรูวงการหุ้นหลายรายเริ่มเชื่อว่าตลาดการเงินโลกจะย้อนรอยเหตุการณ์เลห์แมน บราเธอร์ "ล้ม" เมื่อเดือนตุลาคม 2551 และเศรษฐกิจโลกมีโอกาสสูงจะก้าวเข้าสู่ภาวะถดถอยอีกครั้ง หรือเกิด Double-Dip Recession

ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ปรมาจาย์แวลูอินเวสเตอร์เมืองไทย แสดงความเห็นว่าการลงทุนหุ้นตอนนี้มี "ความเสี่ยงรุนแรงมาก" สถานการณ์ในขณะนี้มีโอกาสเกิดวิกฤติเศรษฐกิจรอบสอง แม้ส่วนตัวมองว่ารอบนี้ไม่น่าจะ "หนัก" เท่ากับสมัยปี 2551 แต่ใช่ว่า SET ลงมาต่ำสุดแล้วยังมีโอกาสที่จะ "ปรับลง" ได้อีก การลงทุนช่วงนี้จึงต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ

“ตอนนี้ยังไม่ต้องรีบซื้อ ราคาหุ้นก็ไม่ถูกมากจนน่าซื้อ อย่าเพิ่งเก็งกำไรเพราะเห็นหุ้นลงเยอะ หุ้นไทยถือว่ายังลงน้อยเมื่อเทียบกับประเทศอื่น เท่ากับว่ายังมีโอกาสถูกขายได้อีก SET Index ระดับนี้ยังอยู่ในระดับปกติของหุ้นไทยในอดีตที่ พี/อี ประมาณ 10 เท่า ถ้ามองการลงทุนแบบแวลูอินเวสเตอร์ก็ยังไม่น่าซื้อ”

ดร.นิเวศน์ บอกว่า หุ้นดีๆ หลายตัวราคายังลงมาไม่เยอะเท่าไร ถ้าคิดจะถือยาวต้องมั่นใจว่าหุ้นตัวนั้นสามารถอยู่รอดได้แม้ว่าจะเกิดวิกฤติ ส่วนตัวคิดว่าประเทศไทยยังมีฐานะเศรษฐกิจที่ดี โดยเฉพาะการบริโภคภายในประเทศ ถ้าต้องการซื้อหุ้นแบบปลอดภัยให้ลองดูบริษัทที่มีรายได้จากการบริโภคในประเทศเป็นหลัก ถ้าเป็นหุ้นที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจโลก อย่างสินค้าโภคภัณฑ์ต้องระวังให้มาก

"พอร์ตส่วนตัวของผมตอนนี้ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลง ไม่ได้ซื้อเพิ่มเพราะราคาหุ้นยังไม่จูงใจและก็ไม่ได้ขายออก(เพราะหุ้นที่ถืออยู่ต้นทุนต่ำ) ช่วงนี้คิดว่าทั้งหุ้นตัวเล็กและหุ้นตัวใหญ่มีโอกาสถูกขายได้อีก ช่วงนี้จึงอยากให้ชะลอการลงทุนไว้ก่อน" ดร.นิเวศน์ แนะนำ

ดร.สุวรรณ วลัยเสถียร ประธานชมรมคนออมเงิน แนะนำว่า การลงทุนช่วงนี้รอให้สถานการณ์เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาและยุโรป "นิ่ง" เสียก่อนค่อยลงทุน เพราะยังมีความเสี่ยงอีกมากที่ยังมองไม่เห็น...คติการลงทุนช่วงนี้ ห้ามซื้อและแอบซื้อทั้งหุ้น ทองคำ ที่ดิน ทุกอย่าง ถือเงินสดเอาไว้ก่อน

หนึ่งในผู้สะสมทองคำมากที่สุดคนหนึ่ง ย้ำว่า สถานการณ์ตอนนี้เริ่มที่จะใกล้เคียงกับสมัยเลห์แมนฯล้ม เมื่อปี 2551 แล้วตอนนั้นราคาทองคำก็ร่วงลงกว่า 30% ถ้านับจากราคาสูงสุดที่ 1,900 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ หมายความว่ามีโอกาสลงมาในระดับใกล้เคียงกันที่ 1,200 เหรียญ สำหรับที่ดินตอนนี้ก็ยังไม่น่าเก็บเพราะอาจจะเป็นภาระมากกว่าได้ผลตอบแทนที่ดี สำหรับหุ้นไทยมองว่าถ้าสถานการณ์ใกล้เคียงกับวิกฤติครั้งล่าสุด SET มีโอกาสลงไปอยู่ที่ 600 จุดได้ ถ้าซื้อหุ้นหรือทองได้ถูกจังหวะก็ยังมีโอกาสสร้างผลตอบแทนได้ในระดับสูง

สุทัศน์ ขันเจริญสุข ประธานชมรมไทยวีไอ มองว่าเป็นเรื่องปกติที่หุ้นจะลงแรงๆ ตามวัฏจักร ตอนนี้ถือได้ว่ามีโอกาสที่จะซื้อหุ้นดีๆ ในราคาที่เหมาะสมได้แล้ว นานๆ ครั้งถึงจะมีการลดราคาทั้งตลาดเยอะๆ แบบนี้ ถ้าเปรียบตลาดหุ้นเหมือน "มหาสมุทร" และ "ปลา" คือ "หุ้น" ช่วงนี้ฝูงปลากำลังแตกตื่น เราต้องรู้ให้ได้ว่าปลาจะว่ายไปทางไหนและต้องหาทางดักให้ทัน

“ถ้าคุณถือเงินเย็นอยู่ และต้องการดอกผลจากการลงทุนและคิดว่าสามารถถือหุ้นยาวไปจนกว่าเหตุการณ์เลวร้ายผ่านพ้นไปได้ ซื้อหุ้นช่วงนี้ปิดโอกาสขาดทุนเลยทีเดียว ตอนนี้เราสามารถหาหุ้นปันผลระดับ 10% ต่อปีถือแล้วหลับสบายมีหลายตัวให้เลือกแล้ว" สุทัศน์ มองต่าง

ด้วยประสบการณ์กว่า 2 ทศวรรษเขาเชื่อว่าหุ้นที่แข็งแกร่งจะต้องมีธุรกิจที่สามารถผ่านพ้นช่วงวิกฤติไปได้ นั่นคือ "ต้องมีกระแสเงินสดที่แน่นอน" ถ้าต้องคอยลุ้นผลประกอบการทุกไตรมาสว่าจะแย่ลงหรือไม่อันนี้ไม่ไหว ตอนนี้มีบริษัทที่ดีและไม่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจโลกเลยก็มี ก่อนหน้านี้หุ้นราคาแพงมาก แต่ตอนนี้พวกฝรั่งหนีกลับไปแล้วกำลังเคาะประตูเรียกให้เราไปซื้อหุ้นอยู่ แต่ต้องถือเพื่อลงทุนรับดอกผลระยะยาวนะไม่ใช่เข้าๆ ออกๆ แบบนั้นเสี่ยงมาก

สุทัศน์ ย้ำว่า ลงทุนช่วงนี้ต้องใช้ “สติ” ให้มากโดยเฉพาะผู้ที่เล่นหุ้นในห้องค้าอารมณ์จะอ่อนไหวตามราคาหุ้น หลักการคือต้องทำตัวเป็นนักลงทุนไม่ใช่นักเล่นหุ้น อย่าไปตื่นเต้นกับเหตุการณ์ภายนอกมากเพราะประเทศไทยยังห่างไกลจากวิกฤติแค่ติดตามข่าวสารอย่างละเอียด

“ซื้อหุ้นช่วงนี้เป็นโอกาสที่ "นักลงทุน" จะได้ผลตอบแทนจากดอกผลที่ดี แต่ถ้าเป็น "นักเล่นหุ้น" ช่วงนี้คุณจะได้ความเสี่ยงไปแทน” นักลงทุนรายใหญ่เตือน

ภาววิทย์ กลิ่นประทุม นักลงทุนรุ่นใหม่ แสดงความเห็นว่าการปรับฐานแรงรอบนี้เป็นโอกาสที่จะเข้าซื้อได้ ส่วนตัวคิดว่า "ลงแรง" แล้วน่าจะ "ขึ้นแรงกว่าเก่า" ด้วย คิดว่าสถานการณ์ไม่น่าจะแรงเหมือนสมัยเลห์แมน บราเธอร์ แต่ต้องใช้ความระมัดระวังอย่างมากเพราะยังไม่รู้เลยว่าจะลงไปลึกอีกแค่ไหน เพราะสถานการณ์ตอนนี้เป็น Panic Sale มากกว่าเรื่องพื้นฐาน

“พอร์ตผมตอนนี้ไม่มีการเปลี่ยนแปลงและยังไม่ได้เข้าไปเก็บเพิ่ม ส่วนตัวคิดว่าเป็นโอกาสที่จะทยอยเก็บเป็นก้อนๆ ได้ กลุ่มที่แนะนำก็ยังเป็น "พลังงาน" กับ "แบงก์" ที่ลงมาเยอะ ผมคิดว่าราคาตอนนี้เมื่อเทียบกับคาดการณ์กำไรใน 2 ปีข้างหน้าถือว่า "ถูกมาก" ถ้ามีคนกล้าเข้าไปน่าจะมีโอกาสในวิกฤติสร้างผลตอบแทนได้เหมือนปี 2551”

หนุ่มแพทบอกด้วยว่า สถานการณ์เวลานี้เป็นเครื่องพิสูจน์จิตใจนักลงทุนเป็นอย่างดีว่าคุณจะเลือกเป็นนักลงทุนระยะยาว (วีไอ) หรือนักลงทุนระยะสั้นที่ใช้เทคนิคช่วยตัดสินใจ ถ้ามองในเชิงเทคนิคดู MACD, RSI ยังยืนยัน “ขาลง” อยู่ ถ้าอธิบายด้วย "ทฤษฎีดาว" (Dow Theory) จะเห็นว่ากราฟจะยังเป็น "ขาลง" อาจจะมีปรับขึ้นบ้างแต่ก็ขึ้นเล็กน้อยแล้ว "ลงต่อ" ต้องรอให้หุ้นสามารถทะลุแนวต้านสำคัญไปได้ก่อนถึงจะ "ซื้อตาม" สรุปว่าถ้าเป็นนักเล่นเทคนิค ช่วงนี้ "ยังไม่ซื้อหุ้น" แต่ถ้ามองที่ปัจจัยพื้นฐานราคาหุ้นตอนนี้ถือว่า "ราคาไม่แพง" และสามารถ "ซื้อได้"

ภาววิทย์ เสริมอีกว่าถ้าวิเคราะห์ในเชิงเศรษฐศาสตร์การที่ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นช่วงนี้ยังคงเป็นแค่ "ระยะสั้น" เพราะตอนนี้สหรัฐฯพิมพ์เงินในระบบออกมาจำนวนมาก ระยะยาวมันจะ "ด้อยค่าลง" และเงินจะไหลไปอยู่ใน "สินทรัพย์เสี่ยง" อย่าง "หุ้น" หรือ "ทองคำ" แน่นอน เพียงแต่ตอนนี้ต้องจับตาการแก้ไขปัญหาของชาติตะวันตกเสียก่อน แต่ถ้าจะไปฝากเงินธนาคารก็ไม่ได้อะไร

“ตอนนี้ต้องตั้งสติดีๆ เศรษฐกิจไทยยังคงไปได้(ดี)แค่ตอนนี้มีความกังวลจากฝั่งตะวันตก เป็นโอกาสสำหรับคนที่ยังไม่ได้เล่นหุ้นด้วยซ้ำ” เขากล่าว

สุกิจ อุดมศิริกุล ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนลูกค้าบุคคล บล.ไทยพาณิชย์ กล่าวว่า สิ่งที่กำหนดทิศทางตลาดหุ้นไทยตอนนี้คือ "ปัจจัยภายนอก" ซึ่งมีความไม่แน่นอนสูง ช่วงนี้ขอให้ลงทุนระยะกลางถึงยาวจะแน่นอนกว่าเก็งกำไรระยะสั้น ความเสี่ยงที่สุดตอนนี้คือคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจโลกจะเกิดภาวะถดถอย แต่ บล.ไทยพาณิชย์ ไม่มองเหตุการณ์แย่ขนาดนั้น ในเดือนตุลาคมนี้ทั้งยุโรปและอเมริกาจะมีความชัดเจนเรื่องแผนการกู้วิกฤติ โดยเฉพาะการจัดตั้งกองทุนยุโรปเพื่อเพิ่มทุนให้กับภาคธนาคารและกดอัตราดอกเบี้ยให้ต่ำ ระหว่างที่รอความชัดเจนนี้ตลาดหุ้นทั่วโลกจะยังมีความผันผวนสูง

ถามว่าหุ้นไทยระดับนี้น่าสนใจหรือไม่ สุกิจ ตอบว่า "น่าสนใจ" ถ้ายุโรปและอเมริกามีความชัดเจนเรื่องแผนการกู้วิกฤติ หุ้นอาจจะขึ้นได้ตลอดช่วงเวลาที่เหลือของปีนี้ สำหรับกลุ่มที่น่าลงทุนจะแบ่งเป็น 2 กลุ่มคือกลุ่มเสี่ยงต่ำ เช่น สื่อสารและค้าปลีก กลุ่มนี้ "ลงไม่เยอะ" อีกกลุ่มคือหุ้นที่ "ลงมาเยอะ" เช่น พลังงาน, ปิโตรเคมี, ธนาคารพาณิชย์ ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจโลก พวกนี้ถ้า "ถือยาวได้" จะมีความเสี่ยง "ต่ำ" ลง

“เราแนะนำให้ลงทุนหุ้นที่เป็นตัวนำของกลุ่ม สำหรับหุ้นกลุ่มเสี่ยงต่ำแนะนำ ADVANC และ CPALL ส่วนหุ้นเสี่ยงสูงแนะนำ PTT, PTTCH, KBANK พวกนี้สามารถทยอยสะสมหุ้นได้หมด”

ประภาส ตันพิบูลย์ศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุน บลจ.กรุงศรี มองว่า ผู้มีอำนาจทั้งฝั่งสหรัฐฯและยุโรปเห็นตัวอย่างวิกฤติการเงินที่เกิดขึ้นในปี 2551 มาแล้ว เขามีบทเรียนที่จะแก้ไขก่อนจะเกิดวิกฤติอีกรอบ หุ้นไทยแม้ว่าพื้นฐานเศรษฐกิจเราจะโอเคแต่ถ้านักลงทุนต่างชาติขายหุ้นเพื่อนำเงินกลับไปหักกลบผลขาดทุนจากฝั่งตะวันตก อย่างไร SET Index ก็ไม่น่ารอดมีโอกาสจะปรับลงได้อีก

“ผมมองว่ามีโอกาส 50% ที่ปีนี้ผลตอบแทนจากหุ้นไทยน่าจะ "ติดลบ" หรือปิดต่ำว่า 1,033 จุด เป้าที่เรามองกันไว้ว่าดัชนีจะอยู่ที่ 1,200 จุด ไม่น่าจะถึง 1,100 จุด ยังไม่แน่ว่าจะผ่านได้หรือเปล่า เราให้มุมมองตลาดหุ้นช่วงนี้น่าจะยังซึมๆ"

อย่างไรก็ตาม ถ้ายุโรปสามารถแก้ปัญหาได้ ฟันด์โฟลว์น่าจะไหลกลับเข้ามาในเอเชียรวมถึงหุ้นไทยอีกครั้ง แต่ถ้ากรีซไม่รอด รับรองว่าปัญหาจะลามไปทั่วโลกแน่นอน แต่ประเด็นน่าสนใจอยู่ที่ "ปีหน้า" (2555) ถ้าปีนี้หุ้นลงแรงปีหน้าจะกลับขึ้นมาแรงแน่นอน ตอนนี้ฝ่ายจัดการลงทุนของเราก็ยังมองโอกาสซื้อหุ้นอยู่ถ้าราคาลงมาเยอะ (บลจ.กรุงศรีจะเข้าไปเก็บ) โดยยังคงนโยบายถือเงินสดเพียง 2-3% เท่าเดิม

วนา พูลผล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.ยูโอบี มองว่า ทิศทางตลาดหุ้นต้องรอดูความชัดเจนของการแก้ไขปัญหาที่ยุโรป ระหว่างนี้ตลาดหุ้นคงจะขึ้นลงตามข่าวเป็นหลัก สำหรับบลจ.ยูโอบี มองเศรษฐกิจโลกคงไม่เกิด Recession ง่ายๆ แต่ไม่ใช่ว่าจะไม่มีสิทธิเลย เท่าที่ประเมินกำไรต่อหุ้นบริษัทใหญ่ๆ ไม่น่าจะได้รับผลกระทบและน่าจะยังเติบโตได้ในระดับเดิมด้วย

“ผมมอง SET Index ที่ต่ำกว่า 1,000 จุด ยังสามารถซื้อลงทุนได้ สำหรับใครที่ยังไม่ได้ซื้อหุ้นเลย และให้ค่อยๆทยอยซื้อไม่ต้องรีบ และขอให้เป็นการลงทุนระยะกลางถึงยาวเพราะระยะสั้นการเก็งกำไรจะเสี่ยงมาก กลยุทธ์การลงทุนช่วงนี้ให้รอซื้อของถูก ถือเงินสดไว้บางส่วนอย่าใส่ในหุ้นเต็มพอร์ต”

การจัดพอร์ตลงทุนช่วงนี้ วนา แนะนำให้ถือตราสารหนี้ในสัดส่วนที่มากหน่อยเพื่อป้องกันความผันผวนในระดับ 70% และขอให้ถือเป็น "พันธบัตรระยะสั้น" เนื่องจากยีลด์ของตราสารระยะสั้นกับยาวตอนนี้ห่างกันไม่มาก สำหรับหุ้นให้มีไว้ในพอร์ต 20-25% ที่เหลือเป็นการลงทุนทางเลือก เช่น ทองคำ อสังหาริมทรัพย์ 5-10%

"สำหรับผู้ที่สนใจทองคำยังเป็นสินทรัพย์ที่น่าลงทุนอยู่ ที่ราคาปรับลงแรงเนื่องจากมีการขายทำกำไรบางส่วนไปชดเชยการขาดทุนหุ้น แต่ระยะยาวทองคำยังคงเป็น Safe Haven แน่นอน บลจ.ยูโอบี เรามองราคาทองคำมีสิทธิพุ่งขึ้นไปแตะ 2,300 เหรียญในสิ้นปี 2555" วนา กล่าว

เอกยุทธ อัญชันบุตร นักลงทุนรายใหญ่ แนะนำว่า นักลงทุนระยะกลาง-ยาว รอสะสมตอนดัชนีลงมายืน 880-920 จุด ให้ซื้อหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ อาหาร และพลังงาน 30-40% ของพอร์ต เพราะวิกฤติการเงินของต่างประเทศจริงๆ แล้วกระทบกับเศรษฐกิจของไทยน้อย อย่างไรก็ตาม กรณีที่วิกฤติการเงินในต่างประเทศรุนแรงมากก็มีความเป็นไปได้ที่ดัชนีหุ้นไทยจะลงมาที่ 680-740 จุด



:oops:

Re: เซียนแนะ 'ถอยทัพ' ชั่วคราว ซื้อ 'ถูกจังหวะ' มีโอกาสเป็น

โพสต์แล้ว: จันทร์ ต.ค. 03, 2011 8:03 pm
โดย tum_H
หนี้กรีซ ฉุดSETทิ้งดิ่ง

เซียนหุ้น ฟันธง SETวันนี้ยังขาลง เหตุปัญหาหนี้กรีซกดดันสั่งเกาะติดการชำระหนี้ใกล้ชิด มองแนวรับสัปดาห์นี้อยู่ที่ 850 จุด แนะWait&See ฟากโบรกฯ ชี้ หากศก.ยุโรปวิกฤต ดัชนีเสี่ยงขาลงถึง 634 จุด เหมือนช่วงวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ เผยตลาดฯระยะกลาง-ยาวยังเสี่ยงสูง "ขุนคลัง" ระบุหุ้นไทยร่วงตามตลาดหุ้นทั่วโลก เชื่อเป็นแค่ระยะสั้น ด้าน"จรัมพร"เตือน ระมัดระวังการลงทุน

ความกังวลต่อปัญหาหนี้สินของกรีซที่ยังไม่ชัดเจน จนส่งผลให้ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลงในการซื้อขายเมื่อวันที่ 3 ต.ค. 54 โดยเฉพาะตลาดหุ้นไทยปิดตลาดดัชนีฯลงแรงเกือบ 50 จุด โดยปิดที่ 869.31 จุด ลดลง 46.90 จุด หรือ 5.12% ทั้งนี้ ยังต้องลุ้นว่ากรีซจะได้รับเงินช่วยเหลือรอบต่อไปในกลางเดือนต.ค.นี้จาก EU และ IMF มูลค่า 8.8 พันล้านยูโรหรือไม่ และหากได้รับการช่วยเหลือรอบนี้แล้ว กรีซจะผ่านพ้นการผิดนัดชำระหนี้ไปได้จริงหรือไม่ นอกจากนี้ ยังมีรายงานว่าภาคการผลิตของจีนและยอดค้าปลีกของเยอรมนีหดตัวลง และยังได้รับแรงกดดันจากข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอของสหรัฐกดดันอีกทาง

*เซียนหุ้น ชี้ SET วันนี้ยังขาลง ชี้ปัญหาหนี้กรีซกดดัน สั่งเกาะติดการชำระหนี้ใกล้ชิด ส่วนแนวรับสัปดาห์นี้ ประเมินอยู่ที่ที่ 850 จุด แนะWait&See

นางสาวธีรดา ชาญยิ่งยงค์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทย(3 ต.ค.54)ปรับตัวลดลงแรงกว่าที่หลายฝ่ายได้คาดการณ์ไว้ เนื่องจากได้รับปัจจัยกดดันจากต่างประเทศ โดยเฉพาะปัญหาหนี้สินในยุโรปกับการชำระหนี้ของประเทศกรีซที่จะมีขึ้นในช่วงกลางเดือนตุลาคมนี้ ซึ่งหากกรีซผิดนัดชำระหนี้ก็อาจจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในประเทศแถบในยุโรปให้มีปัญหาเกิดขึ้นตามไปด้วย ซึ่งคงต้องติดตามต่อไปว่าจะสามารถชำระหนี้ได้ตามนัดหรือไม่ โดยตลาดหุ้นไทยได้เกิดแรงขายจากการตื่นตระหนกของนักลงทุน (Panic Sell) ทำให้นักลงทุนต่างชาติยังคงเทขายในหุ้นกลุ่มหลัก ทั้งกลุ่มธนาคารและกลุ่มพลังงาน ซึ่งเป็นหุ้นกลุ่มที่ชี้นำดัชนีตลาดหุ้นไทย
สำหรับแนวโน้มดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยในวันนี้ คาดว่าจะยังเป็นขาลง เพราะปัญหาหนี้สินในประเทศแถบยุโรปยังไม่มีความชัดเจน โดยเฉพาะการชำระหนี้ของประเทศกรีซ ซึ่งยังต้องติดตามความคืบหน้าต่อไปว่าจะชำระหนี้ได้ตามนัดหรือไม่ รวมไปถึงการนัดหารือของผู้นำประเทศในแถบยุโรปว่าจะมีมาตรการเพิ่มเติมเพื่อเข้ามาช่วยเหลือในการแก้ไขปัญหาหนี้สินในแถบประเทศยุโรปได้อย่างไร ซึ่งเชื่อว่าหากมีความคืบหน้าในทิศทางเชิงบวกก็อาจจะส่งผลให้ตลาดหุ้นรีบาวน์ได้ในระยะสั้น แต่ยังมีกรอบที่จำกัด เพราะปัญหาหนี้สินในประเทศยุโรปยังไม่มีแนวทางแก้ไขที่ชัดเจนและเห็นสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ
กลยุทธ์การลงทุน แนะนำ Wait&See เพราะมองว่าตลาดฯยังอยู่ในทิศทางขาลง แต่หากดัชนีฯดีดตัวกลับก็ควรให้ขายหุ้นออกไปก่อน โดยประเมินแนวรับไว้ที่ 860-850 จุด ประเมินแนวต้าน 880-890 จุด
นางสาวธีรดา กล่าวเพิ่มเติมว่า หากประเมินดัชนีตลาดหุ้นไทยตลอดทั้งสัปดาห์นี้ยังคงมีแนวโน้มที่จะเคลื่อนไหวอยู่ในทิศทางขาลง เพราะปัญหาหนี้สินในยุโรปยังไม่มีความชัดเจนในเชิงบวก แต่หากประเทศกรีซสามารถชำระหนี้ได้ตามกำหนดก็อาจจะเป็นปัจจัยสนับสนุนให้ตลาดหุ้นไทยฟื้นตัวได้ในระยะสั้น โดยมีโอกาสขึ้นไปทดสอบแนวต้านที่ 950 จุด แต่หากประเทศกรีซผิดชำระหนี้ก็จะส่งผลให้ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลดลงได้ แต่ในเบื้องต้นได้ประเมินแนวรับระยะสั้นในสัปดาห์นี้ไว้ที่ 850 จุด
อย่างไรก็ดีในช่วงสัปดาห์ที่ 3 ของเดือนตุลาคมนี้ก็จะมีการทยอยประกาศผลประกอบการไตรมาส 3 ของบริษัทจดทะเบียนในตลาหลักทรัพย์ฯ ซึ่งก็เชื่อว่าจะมีการเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นเพิ่มขึ้นตลอดไปจนถึงปลายเดือนตุลาคมนี้ แต่ในภาพรวมตลาดฯยังคงขึ้นอยู่กับปัจจัยในต่างประเทศ ทำให้ภาพรวมยังเป็นขาลง จากภาวะเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะปัญหานี้สินในยุโรปยังคงมีปัญหาอยู่
ด้านกลยุทธ์การลงทุน แนะนำถือเงินสดให้มากที่สุด แต่หากนักลงทุนสนใจในหุ้นควรเก็งกำไรในสัดส่วน 25% ของพอร์ต โดยเน้นเก็งกำไรในหุ้นที่มีข่าวหรือรับประโยชน์จากนโยบายภาครัฐและมีพื้นฐานดี โดยต้องเป็นหุ้น Defensive ประเมินแนวรับ 850 จุด แนวต้าน 890 จุด

*โนมูระ ชี้ หากศก.ยุโรปวิกฤต เสี่ยงดัชนีขาลงถึง 634 จุด เหมือนช่วงวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ มองตลาดฯช่วงกลาง-ยาวยังเสี่ยงสูงจากปัญหายุโรป

บทวิเคราะห์หลักทรัพย์จาก บล.โนมูะ พัฒนสิน ระบุว่า แนวโน้มตลาดหุ้นเดือนตุลาคม เรามีมุมมองด้านลบต่อตลาดหุ้นระยะกลาง และมองโอกาส 50% อาจเกิดวิกฤตยุโรปนำไปสู่ปัญหาแบงก์ล้มและเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ทำให้ความเสี่ยงขาลงดัชนีฯอาจลงไปถึง 634-905 จุด อิง PER 7-9 เท่า เหมือน Hamberger Case สำหรับทางเทคนิคระยะ 3-6 เดือน ดัชนีฯฟอร์มเป็นรูปแบบขาลง แนวรับหลัก 871/848 แนวต้าน 950/972 จุด
ส่วนแนวโน้มเดือนตุลาคม คาดดัชนีฯผันผวนสูงตามข่าว แนวทางแก้ปัญหาหนี้ยุโรป ซึ่งระยะกลาง-ยาว คาดว่าตลาดยังมีความเสี่ยง เพราะปัญหาหนี้ยุโรปยังต้องใช้เวลาในการปรับโครงสร้าง ผ่านการเพิ่มทุนของแบงก์ที่ถือตราสารหนี้ยุโรปจากการขาดทุนเงินลงทุนตรสารหนี้ยุโรป
ดังนั้นข่าวดีต่อมาตรการแก้ปัญหาหนี้ยุโรปในเดือนนี้ เราคาดเป็นเพียงปัจจัยหนุนการรีบาวน์ของดัชนีฯระยะสั้น
กลยุทธ์รายเดือน แนะนำ Short term trading โดยเน้นหุ้นที่มี Earning cushion ปันผลสูง
Investment theme :
(+) คาดกำไรดีขึ้น (3Q1F) แบงก์ (รับปันผลวายุภักดิ์ KTB SCB BAY) ยานยนต์ (Supply chain กลับมาผลิตได้ตามปกติ),Special event drive earning THCOM (พลิกมีกำไร),MINT,THAI (FX Gain และกลับรายการสำรองค่าใช้จ่ายคดี Anti trust) RATCH (รับรู้รายได้ TSI fund)
(-) กำไรมีแนวโน้มแย่กว่าตลาดคาด กลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ โรงกลั่น (ขาดทุนสต็อกน้ำมัน) TVO STA,AOT FX Loss,BLA และกลุ่มหลักทรัพย์ อาจมีผลขาดทุนจากพอร์ตลงทุน
(+) ปันผลดี DTAC INTUCH DCC LHBANK
(+) Special events driven LHBANK

* ทิสโก้ ชี้ หากดัชนีฯ หลุด 865 จุดจะเป็นสัญญาณลงต่อเนื่อง 4 สัปดาห์เดือนนี้ สู่แนวรับ 760 จุด

บทวิเคราะห์ บล.ทิสโก้ ระบุว่า แนวโน้มเดือน ต.ค. ; คาด SET แกว่งตัว (Sideways) กรอบ 870 – 950 จุด SET เปิด GAP ขาลง กว้าง 17 จุด ที่ 972 – 990 จุด กลายเป็นแนวต้านที่ 990 จุด เดือน ต.ค. 54 – เก็งกำไรผลประกอบการไตรมาส 3 บวก SET ลงแรงมา 2 เดือนแล้ว แนวโน้ม 2 สัปดาห์นี้ ; คาด SET แกว่งตัว ( Sideways ) กรอบ 900 – 950 จุด รอ Break Out หาก SET ขึ้นทะลุ 955 จุด จะเกิด Buy Signal ไป 990 จุด ( ขึ้นปิด GAP แล้วลง ) ในกรณีแย่กว่าคาด หาก SET ลงต่ำกว่า 900 จุด จะเป็นสัญญาณลบ SET จะซึมลงทดสอบแนวรับ 870 จุด ( หลุด 865 จุดจะเป็นสัญญาณลงต่อเนื่อง 4 สัปดาห์สู่แนวรับ 760 จุด

*รมว.คลังเผยหุ้นไทยร่วงตามตลาดหุ้นทั่วโลกเชื่อเป็นแค่ระยะสั้น

นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยที่ร่วงแรงในขณะนี้ เป็นการตอบรับระยะสั้นจากตลาดหุ้นทั่วโลก หลังนักลงทุนต่างชาติต้องเร่งขายหุ้นในเอเชีย เพื่อนำเงินไปคืนผู้ถือหน่วยลงทุนที่วิตกต่อปัญหาเศรษฐกิจโลก ไม่ได้เกิดจากปัญหาบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ หรือปัญหาที่เกิดขึ้นในบ้านเราเอง
ซึ่งเชื่อว่าจะเป็นการตอบรับระยะสั้นจากตลาดหุ้นทั่วโลกเท่านั้น นักลงทุนในตลาดหุ้นไม่ควรตื่นตามการขายของนักลงทุนต่างประเทศ แต่ควรลงทุนระมัดระวังและทำใจเรื่องการลงทุนไว้หน่อย
"นักลงทุนต่างชาติถูกบังคับขายจากการถอนหน่วยลงทุนของผู้ลงทุน จึงต้องการสภาพคล่องซึ่งต่างชาติลงทุนในตลาดเอเชียมาก ดังนั้นจึงต้องการเงินเพื่อไปคืนผู้ถือหน่วย "รมว.คลังกล่าว
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าจากปัจจัยพื้นฐานของไทยที่แข็งแกร่ง ในช่วงต่อไปนักลงทุนต่างชาติจะกลับมาลงทุนในตลาดหุ้นเอเชีย เนื่องจากยังเป็นตลาดที่มีศักยภาพ ซึ่งยังบอกไม่ได้ว่านักลงทุนจะขายอีกนานเท่าไหร่และจะกลับมาลงทุนเมื่อไร

"จรัมพร" ชี้เหตุหุ้นไทยร่วงแรงเพราะความไม่ชัดเจนปัญหาหนี้ยุโรป แนะ นลท. ระมัดระวังการลงทุนให้มาก แถมยันระบบเทรดไม่มีปัญหาเพราะวอลุ่มไม่เยอะ


นายจรัมพร โชติกเสถียร กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวถึง สถานการณ์ตลาดหุ้นไทยในช่วงเช้าวันนี้ที่ปรับตัวลดลงเกือบ 5% ว่า เกิดจากความกังวลของนักลงทุนต่อความไม่ชัดเจนของสถานการณ์ในสหรัฐฯ ซึ่งยังมีข้อขัดแย้งและทำให้ภาคการฟื้นตัวของยุโรปดูลำบากมากขึ้น ซึ่งนักลงทุนยังคงต้องติดตามการแก้ไขปัญหาจากในยุโรปอย่างต่อเนื่อง ตราบใดที่ยังไม่สามารถทราบมาตรการในการแก้ไขปัญหา รวมถึงความเสียหายที่ชัดเจนก็อาจทำให้นักลงทุนกังวลต่อปัจจัยข่าวต่างๆ
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ตลาดหลักทรัพย์ยังไม่ได้รับการติดต่อจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งในการดำเนินงานตามปกตินั้นจะมีขั้นตอน โดยหากดัชนีปรับตัวลดลงถึงระดับ 5% จะต้องทำการรายงานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และหากปรับตัวลดลงถึง 10% จะดำเนินการเซอร์กิต เบรกเกอร์ ตามลำดับ อย่างไรก็ตามยังคงยืนยันว่าระบบการทำงานของตลาดหุ้นยังมีความสมบูรณ์และไม่มีปัญหาเชิงเทคนิค เนื่องจากปริมาณการซื้อขายในวันนี้ไม่มาก จึงทำให้มั่นใจว่าจะไม่เกิดปัญหาเช่นเดียวกับเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา
สำหรับแนวทางที่จะให้บริษัทจดทะเบียนมาซื้อหุ้นคืนเพื่อพยุงราคาหุ้นในตลาดหลักทรัพย์นั้น ยอมรับว่ามีแนวคิดดังกล่าว แต่ขณะนี้ยังไม่มีความรุนแรงถึงจุดที่จะต้องดำเนินการดังกล่าว
นายจรัมพร เปิดเผยด้วยว่า ได้รับแจ้งจากนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พาณิชย์ ให้ชะลอแผนการแปรรูปตลาดทุนไทยอย่างไม่มีกำหนด โดยมีเหตุผลว่าตลาดทุนไทยยังสามารถแข่งขันได้แม้ไม่มีการแปรรูปดังกล่าว ทั้งนี้จะส่งผลทำให้แผนการเปิดเสรีตลาดทุนไทยชะลอออกไปเช่นกัน ดังนั้นจะมีการนำเรื่องดังกล่าวเข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมการสภาตลาดทุน ซึ่งคาดว่าจะสามารถจัดตั้งได้ในเร็วๆ นี้ เพื่อหารือในเชิงนโยบาย
อย่างไรก็ตาม ในส่วนการดำเนินงานของตลาดยังคงดำเนินงานตามปกติตามแผนการเดิม เนื่องจากได้มีการลงทุนในหลายส่วนแล้ว ทั้งด้านไอที การขยายฐานนักลงทุน และแผนลงทุนในตลาดต่างประเทศ รวมทั้งระดับอาเซียน ซึ่งถือว่าเป็นไปตามแผนยกระดับตลาดทุนไทยที่ได้วางแผนไว้ก่อนหน้านี้
ทั้งนี้ยอมรับว่าอาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นต่อนักลงทุนต่างชาติที่จะมองถึงความไม่ชัดเจนในการดำเนินงานของนโยบายของไทย แต่โดยส่วนตัวเชื่อว่าเป็นมุมมองที่ผิด เนื่องจากมั่นใจว่าตลาดทุนไทยมีศักยภาพในการเติบโตได้ดี อีกทั้งยังมีแนวโน้มที่ดีจากความสามารถ ส่วนนักลงทุนในไทยทั่วไปเชื่อว่ามีผลกระทบต่อความเชื่อมั่น เนื่องจากเรื่องดังกล่าวไม่ได้เป็นผลกระทบโดยตรงต่อตัวนักลงทุน
นอกจากนี้ ยังประเมินว่าการชะลอแผนแปรรูปดังกล่าวอาจส่งผลทำให้ตลาดทุนมีความตื่นตัวในอัตราที่ช้าลง จากเดิมที่เมื่อมีแผนการจะทำให้ตลาดมีความตื่นตัวเพื่อรองรับการแข่งขันในอนาคต
'ตอนนี้แผนแปรรูปชะลอแล้ว ท่านรองนายกฯ ได้แจ้งผ่านวาจาและสื่อ โดยท่านยืนยันว่าสามารถแข่งขันได้โดยไม่ต้องแปรรูป ซึ่งตอนนี้ยังไม่มีกำหนดว่าจะชะลอไปถึงเมื่อไหร่ แต่งานต่างๆ ก็ยังทำอยู่ตามปกติเพราะเรามีการลงทุนไปแล้วหลายๆ ด้าน ซึ่งเป็นไปตามแผนยกระดับตลาดทุนไทยด้วย จากนี้จะมีการหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของสภาตลาดทุนในการประชุมรอบหน้า เพื่อคุยกันในเชิงนโยบาย' นายจรัมพร กล่าว

*เลขาฯ สมาคมนักวิเคราะห์ เผย ระยะสั้นทุนนอกยังไหลออกจากตลาดฯ ได้อีก แต่ชี้ พื้นฐานศก.ไทยยังดี แนะเก็บหุ้นปันผลแจ่ม

นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการสมาคมนักวิเคราะห์ กล่าวว่า ระยะสั้นตลาดหุ้นไทยยังมีโอกาสเงินไหลออกอีก สาเหตุมาจากนักลงทุนยังวิตกกังวลกับปัญหาเศรษฐกิจในยุโรปที่ยังเสี่ยงอยู่มาก แต่พื้นฐานเศรษฐกิจของไทยยังดีอยู่ นักลงทุนควรรอช่วงเก็บหุ้น
ทั้งนี้มองว่าระยะสั้นโอกาสทำกำไรยังลำบาก แต่ระยะยาวแนะนำให้ซื้อหุ้นปันผล และทยอยสะสม LTF ซึ่งการที่เศรษฐกิจไทยพื้นฐานยังดี จึงเป็นโอกาสของนักลงทุนจะซื้อหุ้นปันผล และได้ผลกำไรจนถึงปี 2556

* กิมเอ็ง ปรับลดน้ำหนักการลงทุนหุ้นไทย ในเดือน ต.ค.นี้ สู่ "Neutral-to-Negative" จาก NEUTRAL เหตุปัจจัยนอกเสี่ยงสุดๆ

บทวิเคราะห์ บล.กิงเอ็ง ระบุว่า การลงทุนตลอดเดือนก.ย.ที่ผ่านมา เต็มไปด้วยปัจจัยเสี่ยงจากต่างประเทศโดยเฉพาะฐานะการคลังในกรีซ หลังการประชุมระหว่าง กรีซ – IMF – EU วันที่ 2 ก.ย. เลื่อนออกไปจนถึงวันที่ 3 ต.ค. ระหว่างนั้น สภาพคล่องทางการเงินของระบบสถาบันการเงินในอียูเริ่มตึงตัว การรายงานจาก ECB พบว่าเงินฝากในสถาบันการเงินของยุโรปเริ่มลดลง ECB ต้องขอรับความช่วยเหลือจากธนาคารกลาง 4 ประเทศในการรับสินเชื่อสกุลเงินดอลลาร์ เพื่อนำไปปล่อยสินเชื่อให้แก่ธนาคารในยุโรปอีกทอดหนึ่ง รวมถึงตัวเลขเศรษฐกิจในสหรัฐฯ ออกมาแย่กว่าที่ตลาดคาดการประชุมเฟดออกมาส่งสัญญาณเตือนเศรษฐกิจสหรัฐฯ ตกอยู่ในภาวะเสี่ยงอย่างมีนัยยะสำคัญ IMF ออกมาปรับลดเศรษฐกิจโลกปีนี้และปีหน้าลง กลายเป็นเหตุให้เกิด Unwind US Dollar Carry Trade ทั่วโลก กดดันให้ SET INDEX หลุด 1,000 จุด วันที่ 22 ก.ย. มาปิด ณ วันที่ 23 ก.ย.ที่ 958.16 จุด ลดลง 111.89 จุด จาก ณ สิ้นเดือนส.ค.
มุมมองต่อการลงทุนในเดือนต.ค. KimEng ลดน้ำหนักการลงทุนเป็นเดือนที่ 3 สู่ "Neutral-to-Negative" จาก NEUTRAL เดือนก.ย. ทั้งนี้ปัจจัยสำคัญต่อการกำหนด Downside Risk ของตลาดหุ้นทั่วโลก รวมถึงตลาดหุ้นไทยคงหนีไม่พ้น
1. กรีซจะได้รับเงินช่วยเหลือรอบที่ 6 หรือไม่ : ตามตารางเวลาจะมีการประชุมระดับผู้นำของกรีซ - IMF -EU วันที่ 3 ต.ค. คาดว่าจะพิจารณาอนุมัติเงินช่วยเหลือ 6 พันล้านยูโรในกลางเดือนต.ค. แต่ประเด็น ที่ตามมาคือ เงื่อนไขเพิ่มเติมในการรับเงินช่วยเหลือรอบที่ 2 แต่หากไม่ผ่านภายในสิ้นเดือนต.ค. อาจทำให้รัฐบาลกรีซไม่มีเงินมาชำระหนี้และค่าใช้จ่ายได้
2. การครบกำหนดของพันธบัตรอิตาลี และสเปน : วงเงิน 1.35 หมื่นล้านยูโรของอิตาลี ณ สิ้นเดือนก.ย. และ 1.41 หมื่นล้านยูโรของสเปน ณ สิ้นเดือนต.ค.
3. การขยายวงเงิน EFSF : ตลาดเชื่อว่าสภาฯ เยอรมันจะอนุมัติผ่านร่างดังกล่าวและจะทำให้ประเทศสมาชิกอื่นๆ ในกลุ่มอียู อนุมัติตามมา ทำให้เงินกองทุนดังกล่าวจะถูกขยายได้เต็มจำนวนที่ 4.4 แสนล้านยูโร ภายในกลางเดือน ต.ค. แต่ประเด็นอยู่ที่ วงเงินดังกล่าวอาจไม่เพียงพอต่อการรักษาเสถียรภาพระบบสถาบันการเงินในกลุ่มยุโรปได้เช่นกัน ณ ปัจจุบันมีการคาดไว้สูงถึง 9.0-10.0 แสนล้านยูโร
4. ความคืบหน้าของแผนกระตุ้นการจ้างงานและภาษีของสหรัฐฯ : คาดว่าตลอดเดือน ต.ค. จะมีการหารือ และการโต้แย้งจากพรรคฝ่ายค้าน Republican อย่างแน่นอน อาจกลายเป็นความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ ระยะกลางถึงยาว
5. งบ 3Q54 ธนาคารในสหรัฐฯ : อาจเริ่มส่งสัญญาณเสี่ยงต่อการตัดเงินลงทุน/ตั้งสำรองจากพันธบัตรรัฐบาลกรีซ / อิตาลี ที่ราคาปรับตัวลงอย่างมีนัยสำคัญในเดือนก.ย. นี้ แม้ว่าจะไม่มาก แต่กลายเป็นจุดเสี่ยง
ด้านปัจจัยในประเทศ ดูเหมือนว่ากลุ่มธนาคารจะเสี่ยงมากขึ้น ทั้งในแง่ของสินเชื่อเดือนก.ย. ที่น่าจะออกมาแย่กว่าคาด เพราะปัญหาน้ำท่วมในหลายจังหวัด รวมถึงโอกาสเห็นความผิดหวังจากผลการดำเนินงาน 3Q54 ของกลุ่มธนาคารมีมากขึ้น เพราะหากย้อนกลับไปในช่วงที่งบ 2Q54 ของกลุ่มนี้ออกมาดีกว่าคาด กลายเป็นจุดที่ตลาดปรับประมาณการปีนี้และปีหน้าขึ้นอย่างโดดเด่นนั้นย่อมเท่ากับว่าตลาดมีมุมมองเชิงบวกต่อผลการดำเนินงานใน 2H54 และปีหน้าไปมากแล้ว โอกาสเกิด Positive Surprise เหมือนกับ 2Q54 เป็นไปได้ยาก แต่ในทางตรงกันข้าม หากออกมาแย่กว่าคาด บวกกับภาพรวมเศรษฐกิจโลกที่เสี่ยงต่อการเติบโตในระดับต่ำ กลายเป็นจุดที่จะมีการปรับประมาณการลงได้เช่นกัน
เมื่อภาพการลงทุนในเดือนต.ค. เต็มไปด้วยประเด็นเสี่ยงทั้งในและต่างประเทศ เงินทุนต่างชาติที่คาดว่าจะชะลอตัวลงต่อเนื่องจากเดือนก.ย. KimEng ปรับช่วงด้านล่างและด้านบนลงเป็นเดือนที่ 2 ติดต่อกันสู่ (820) 850-950 (980) จุด จากเดือนก่อนหน้า (1,000) 1,020-1,080 (1,100) จุด
ภาวการณ์ลงทุนในเดือนต.ค.ผ่านมุมมองของ KimEng มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นจากปัจจัยภายนอก ขณะที่แนวโน้มผลการดำเนินงาน 3Q54 ของกลุ่มธนาคารอาจไม่โดดเด่น กลายเป็น Downside Risk ที่เปิดมากขึ้น ดังนั้นการเลือกหุ้นในเดือนต.ค. จึงควรเป็นหุ้นกึ่ง Defensive พร้อมปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งอย่าง HMPRO , PYLON , RATCH และ TCAP
กระแสเงินเงินทุนต่างชาติไหลออกจากตลาดหุ้นเอเชียหนาแน่นในเดือนก.ย. นำโดยตลาดหุ้นไต้หวัน เกาหลีใต้ อินโดนีเซีย ไทย และฟิลิปปินส์ (ยกเว้นตลาดอินเดียที่กลับมาซื้อสุทธิเล็กน้อย US$232.5 ล้าน) คิดเป็นมูลค่าขายสุทธิรวม US$5.5 พันล้าน จากความกังวลต่อปัญหาหนี้สินยุโรปทวีความรุนแรงมากขึ้นและอาจกระทบต่อระบบสถาบันการเงินของยุโรป กอปรกับความกังวลว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจกลับเข้าสู่ภาวะถดถอยอีกครั้ง หลังแถลงการณ์ของประธานเฟดระบุว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลให้กระแสเงินทุนไหลออกจากสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลกอย่างหนักเพื่อลดความเสี่ยง หากเกิดวิกฤตเศรษฐกิจอีกระลอก
สำหรับภาพรวม SET INDEX เดือนก.ย. ปรับฐานลงแรงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 จากแรงกดดันประเด็นภายนอกประเทศ เป็นหลักจากความกังวลต่อปัญหาหนี้สินยุโรป และแนวโน้มการขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ กดดันให้ SET INDEX ปรับฐานลงแรง 10.5% MTD แต่ยัง Outperform ดัชนี MSCI Asia Pacific ex Japan ที่ปรับตัวลงถึง 15.2% MTD ทำให้ล่าสุดผลตอบแทน YTD ของ SET INDEX อยู่ที่ -7.2% เทียบกับ MSCI Asia Pacific ex Japan ที่ -22.4% YTD คิดเป็น Premium สูงถึง 15.1% เพิ่มขึ้นจาก 11.9% ในเดือน ส.ค. (ข้อมูล ณ วันที่ 23 ก.ย.)



:oops:

Re: เซียนแนะ 'ถอยทัพ' ชั่วคราว ซื้อ 'ถูกจังหวะ' มีโอกาสเป็น

โพสต์แล้ว: จันทร์ ต.ค. 03, 2011 8:41 pm
โดย lengmanutd
ขอบคุณครับ :)

Re: เซียนแนะ 'ถอยทัพ' ชั่วคราว ซื้อ 'ถูกจังหวะ' มีโอกาสเป็น

โพสต์แล้ว: จันทร์ ต.ค. 03, 2011 8:48 pm
โดย Sumeth6
tum_H เขียน: “ผมมองว่ามีโอกาส 50% ที่ปีนี้ผลตอบแทนจากหุ้นไทยน่าจะ "ติดลบ" หรือปิดต่ำว่า 1,033 จุด เป้าที่เรามองกันไว้ว่าดัชนีจะอยู่ที่ 1,200 จุด ไม่น่าจะถึง 1,100 จุด ยังไม่แน่ว่าจะผ่านได้หรือเปล่า เราให้มุมมองตลาดหุ้นช่วงนี้น่าจะยังซึมๆ"
ผมว่ามากกว่า 50% ได้แล้วนะ... :cry:

Re: เซียนแนะ 'ถอยทัพ' ชั่วคราว ซื้อ 'ถูกจังหวะ' มีโอกาสเป็น

โพสต์แล้ว: จันทร์ ต.ค. 03, 2011 9:07 pm
โดย prichar s.
ไม่มีใครสามารถทำนายอัตราดอกเบี้ย แนวโน้มเศรษฐกิจ หรือตลาดหุ้นได้ ดังนั้น จงติดตามบริษัทที่คุณได้ทำการลงทุนไปอย่างสม่ำเสมอ - ลินซ์

Re: เซียนแนะ 'ถอยทัพ' ชั่วคราว ซื้อ 'ถูกจังหวะ' มีโอกาสเป็น

โพสต์แล้ว: จันทร์ ต.ค. 03, 2011 9:39 pm
โดย otakung
tum_H เขียน: ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
“ถ้ามองการลงทุนแบบแวลูอินเวสเตอร์ก็ยังไม่น่าซื้อ”
:oops:

Re: เซียนแนะ 'ถอยทัพ' ชั่วคราว ซื้อ 'ถูกจังหวะ' มีโอกาสเป็น

โพสต์แล้ว: จันทร์ ต.ค. 03, 2011 11:19 pm
โดย beaeaebe
otakung เขียน:
tum_H เขียน: ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
“ถ้ามองการลงทุนแบบแวลูอินเวสเตอร์ก็ยังไม่น่าซื้อ”
:oops:
จริงครับ ผมก็ไม่รู้ทำไมว่าหลายคนบอกตอนนี้น่าซื้อ

มองไปไม่เห็นจะเจอของถูก fair price น่ะมีบ้าง แต่ถูกยังไม่เห็นเยอะ

Re: เซียนแนะ 'ถอยทัพ' ชั่วคราว ซื้อ 'ถูกจังหวะ' มีโอกาสเป็น

โพสต์แล้ว: อังคาร ต.ค. 04, 2011 7:31 am
โดย tum_H
หุ้นสหรัฐร่วงต่ำสุดในรอบปี

โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์


ความกังวลในเรื่องวิกฤติหนี้ยุโรป และข่าวลือเรื่องบริษัทแม่อเมริกัน แอร์ไลน์สจ่อล้มละลาย ฉุดหุ้นสหรัฐร่วงหนักสุดในรอบปี

ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ของสหรัฐ ปิดซื้อขายวานนี้ (3 ต.ค.) ดิ่งลง 258.08 จุด (2.36%) ที่ 10,655.30 จุด แตะระดับต่ำสุดนับแต่เดือน ก.ย. 2553 เป็นต้นมา

ขณะที่ดัชนีเอส แอนด์ พี 500 ร่วงลง 32.19 จุด (2.85%) ที่ 1,099.23 จุด และดัชนีแนสแด็กทรุดลง 79.57 จุด (3.29%) ที่ 2,335.83 จุด

เทรดเดอร์ชี้ว่า แม้ตลาดจะได้ข่าวดี จากดัชนีภาคการผลิตสหรัฐ ที่ขยับสูงเกินความคาดหมาย แต่นักลงทุนยังมีความกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจอยู่ ทั้งจากเรื่องวิกฤติหนี้ยุโรป หลังกรีซยอมรับว่า ไม่สามารถทำเป้าขาดดุลงบประมาณสำหรับปีนี้ และปีหน้า ได้ตามเป้าที่วางไว้ ประกอบกับ ข่าวลือเรื่องเอเอ็มอาร์ คอร์ป บริษัทแม่ของสายการบินอเมริกัน แอร์ไลน์ จะยื่นเรื่องล้มละลาย

ส่วนราคาน้ำมันดิบก็ทรุดลงมาแตะระดับต่ำสุดในรอบ 1 ปีเช่นเดียวกัน จากเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้น เพราะความกังวลถึงปัญหาเศรษฐกิจโลก ทำนักลงทุนเทขายน้ำมันเพื่อทำกำไร

ราคาน้ำมันดิบไลท์สวีท เวสต์เท็กซัสอินเตอร์มีเดียท ส่งมอบเดือนพ.ย. ดิ่งลง 1.59 ดอลลาร์ มาอยู่ที่ 77.61 ดอลลาร์ต่อบาร์ เรล ต่ำสุดนับแต่ปลายเดือนก.ย.ปีที่แล้วเป็นต้นมา

ด้านราคาน้ำมันดิบเบรนท์ ทะเลเหนือ ที่ตลาดลอนดอน อังกฤษ ส่งมอบเดือนเดียวกัน ลดลง 1.05 ดอลลาร์ ที่ 101.71 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล



:roll: