เฮีย มนตรี เตือนว่า ตลาดหุ้นอย่ามัวหาแพะ Short Sell
โพสต์แล้ว: พุธ ต.ค. 05, 2011 1:55 am
มนตรี ศรไพศาล เขียนบทความตั้งข้อสังเกตุ..ถ้ามัวแต่หา"แพะ" ที่"ขาย" หรือ"ช็อตเซล" หุ้น...อาจไม่ได้พบ"สาเหตุ"ที่แท้จริง
โลกกำลังอยู่ท่ามกลางสถานการณ์ผันผวน คนไทยเราเห็นตลาดหุ้นไทยตกต่ำลงมาอย่างรวดเร็วตลอดหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา หลายคนก็รู้สึกหนักใจ กังวลใจ และหดหู่ใจ แต่เราอาจไม่ทราบว่า ตลาดหลักทรัพย์ยุโรป ลอนดอน และ อเมริกาตกหนักยิ่งกว่าของเราอย่างมาก และแกว่งแรงกว่าเรามาก
ผมจึงขอพักการถ่ายทอดคำเทศนาเรื่อง “เงิน เงิน เงิน” ออกไปอีกครั้งหนึ่ง เพื่อพูดเรื่องสภาวะตลาดในปัจจุบันเสียก่อน เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ก็มีคำถามพอสมควรว่า ที่ตลาดหุ้นไทยตกหนัก เป็นผลจากการช็อตเซลหรือไม่ ?
แล้วก็พบว่า ยอดขายจากการช็อตเซลนั้น มีเพียง 1-2% แทบไม่มีผลอะไร และโดยธรรมชาติ กลุ่มที่ขายช็อตนั้น จะไม่ใช่เป็นกลุ่มที่ช็อตหุ้นยาวๆ จนสามารถกดหุ้นลงไปได้ลึกๆ เพราะจะต้อง “ซื้อ” หุ้นเพื่อคืนหุ้นที่ยืมด้วย
การที่คิดเพียงแค่ว่า “ใคร” ขาย หรือ ช็อตเซล (ขายโดยยืมหุ้นมาขายก่อน แล้วจะซื้อมาคืนภายหลัง) จะเป็นเหมือนผู้ร้ายในตลาดหุ้น ก็อาจจะผิดเป้าเพราะเป็นส่วนน้อย แต่ที่สำคัญคือ อาจทำให้ไม่สามารถพบ “สาเหตุ” ที่แท้จริงที่ทำให้หุ้นลง แล้วจะทำให้ตัดสินใจลงทุนต่อไปอย่างผิดพลาด
รอบนี้ ก็ถือว่า พบแล้วว่า ตลาดหุ้นไทย กับตลาดอินโดนีเซีย และ ฟิลิปปินส์ เคยเป็นตลาดร้อนแรงในช่วงตลาดฟื้นตัวหลังวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ ดังที่เห็นว่าในปี 2009 ตลาดหุ้นไทยขึ้นมา 63% จาก 449.96 จุดสิ้นปี 2008 มาเป็น 734.54 จุดเมื่อสิ้นปี 2009 และโตอีก 40% มาปิดที่ 1,032.76 จุดปลายปี 2010 เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม ปีนี้ ตลาดหุ้นไทยขึ้นไปสูงสุด 1,148.28 เติบโตอีกถึง 11% โดยที่ต่างประเทศทรุดตัวอย่างรุนแรงต่อเนื่อง
ซึ่งอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ ที่ขึ้นแรงคู่ๆกัน ก็ปรับตัวลงไปก่อนแล้ว จึงทำให้ตลาดไทยต้องถูกแรงขายกดดันให้ปรับตัวตามไปด้วย
ผมจึงอยากมีโอกาสให้เรามองเห็นว่า เรื่อง “ช็อตเซล” นั้น เป็นเรื่องที่เป็นที่ยอมรับ และใช้ประโยชน์กันทั่วไป โดยมีการเปิดเครื่องมือใหม่ๆมีมากมายที่อนุญาตให้เกิด “ช็อตเซล” เช่น ระบบการให้ยืมหุ้น อนุพันธ์สัญญาซื้อขายล่วงหน้า ทั้งของดัชนีตลาดฯ สินค้าโภคภัณฑ์ รวมถึงรายหุ้น ก็เปิดโอกาสให้ช็อตเซลได้อยู่แล้ว ด้วยเห็นว่ามีประโยชน์เหตุผลสนับสนุนดังนี้
1. เป็นการเพิ่มทางเลือกกลยุทธให้กับนักลงทุน ที่เห็นว่าตลาดเป็น “ขาลง” แม้จะยังไม่มีหุ้น แต่สามารถขอยืมหุ้นมา ขายไปก่อน แล้วซื้อคืนภายหลัง
2. เป็นการเพิ่มทางเลือกกลยุทธให้กับนักลงทุน ที่เห็นว่าตลาด “ผันผวน” จับจังหวะซื้อขายไม่ถูก ยินดีถือหุ้นระยะยาว แต่ต้องการผลตอบแทนเพิ่มจากหุ้นที่ถือ ก็ให้ยืมหุ้นได้ ซึ่งหุ้นก็ยังถืออยู่ แต่จะได้ดอกเบี้ยจากการให้ยืมหุ้น และส่วนใหญ่จะขอหุ้นคืนเมื่อไรก็ได้ ซึ่งก็ไม่แน่ว่าคนยืมไปขายแล้ว จะแม่นทุกคน เขาอาจขายแล้ว ถูกตลาดฟื้นตัวตีกลับ และต้องเร่งซื้อหุ้นคืนจนตลาดปรับตัวสูงขึ้นก็ได้
3. เป็นการเพิ่มทางเลือกกลยุทธให้กับนักลงทุน ที่เห็นว่าตลาด “ปรับลึกแล้ว” แต่นักลงทุนที่ถือก็ถือ ไม่ยอมขาย แต่กลุ่มที่ยินดีช็อตหุ้น เป็นผู้เสนอขายได้ ก็ทำให้เขาซื้อได้
อีกครั้ง เพราะคนที่ช็อตหุ้น ก็ไม่แน่ว่าช็อตแล้วจะถูกทาง อาจกลายเป็นมาขายก่อนในราคาต่ำแล้วราคากลับสูงขึ้นไปก็ได้
4. การช็อตเซลจึงมีส่วนเพิ่มสภาพคล่อง ในยามลำบาก ซึ่งในทุกสภาวะตลาด สภาพคล่องหมายถึงหุ้นมีแรงซื้อแรงขายมากสม่ำเสมอดีเป็นความแข็งแรงของตลาดและเป็นประโยชน์แก่นักลงทุน
5. มีนักเศรษฐศาสตร์กล่าวด้วยว่า การมีช็อตเซลนั้น มีส่วนช่วยให้ตลาดปรับตัวสู่สมดุลทางกลไกตลาดเร็วขึ้น
อย่างจอร์จ โซรอส เคยเป็นแพะที่ถูกประณาม กรณีทุบเงินปอนด์ หรือทุบเงินบาท แต่ก็ช่วยให้ค่าเงิน ปรับตัวไปตามกลไกตลาด (แต่ถ้าใครทุบให้เกินกลไกตลาด เพื่อฉวยโอกาสก็ถือว่าไม่ดี เป็นการทำบาป)
ขณะนี้ สหรัฐฯกลับอยากให้มีคนมาช็อตขายดอลลาร์มากขึ้น ถึงกับบ่นอยู่หลายครั้ง ว่าค่าเงินของสหรัฐฯแข็งเกินไป ในการปรับตัวเพื่อให้สอดคล้องกับกลไกตลาด สหรัฐฯขาดดุลการค้า และดุลบัญชีเดินสะพัดอย่างต่อเนื่อง จีนและเอเซียก็เกินดุลอย่างต่อเนื่อง ประธานาธิบดีโอบามา ถึงกับบอกว่า “หยวนควรแข็งกว่านนี้ เพื่อให้การค้าขายมีสมดุลมากขึ้น” ซึ่งกลไกตลาดที่ปรับตัวช้า อาจถือว่า เพราะ แรงขายดอลลาร์ และแรงช็อตเซลดอลลาร์ไม่พอเพียงเช่นนี้ ก็จึงทำให้ปัญหาทางเศรษฐกิจยังหนักอยู่ คนว่างงานสูงถึง 9% มากว่า 3 ปีแล้วก็ยังสูงระดับนี้ต่อไป
หากกลไกตลาดทำงานได้เร็ว ค่าเงินเขาอ่อน คงไม่ถึงกับที่จะมาทำสินค้าสิ่งทอ รองเท้าทดแทนจีนได้ แต่อาจทำให้คนจีน ไปเที่ยวเวกัส แอลเอ หรือฟลอริด้ากันได้มากขึ้น ซื้ออสังหาริมทรัพย์ในอเมริกา หรือในยุโรปได้มากขึ้น ก็น่าจะช่วยฟื้นเศรษฐกิจที่ดีขึ้น
นักเศรษฐศาตร์ จึงเชื่อในหลักของกลไกตลาด ว่าจะเป็นไปตาม Invisible Hand คือ พระหัตถ์ที่มองไม่เห็น หรือ พระหัตถ์ของพระเจ้า และเครื่องมือใด ที่ช่วยทำให้กลไกตลาดทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมถึงการช็อตเซลด้วย ก็ควรจะให้ทำได้ต่อไป
นักลงทุนจึงควรติดตามสาเหตุของปัญหาที่แท้จริง เมื่อมองไปในโลกแล้ว ก็ยอมรับว่า มีความน่าเป็นห่วงน่ากังวลกับการแก้ปัญหาในปัจจุบัน เพราะ ดูเหมือนไม่ใช่ว่าสูตรเคนเซียนนั้น จะทำได้ผลเป็นสูตรสำเร็จอย่างที่คาดหวังง่ายๆแล้ว คงต้องติดตามกันต่อไปอย่างใกล้ชิด
ติดตามปัจจัยที่ถูกต้องอย่างมีปัจจัยพื้นฐาน จะช่วยให้ตัดสินใจลงทุนได้ถูกต้องมากขึ้นครับ
http://www.bangkokbiznews.com/home/deta ... B8%A5.html
โลกกำลังอยู่ท่ามกลางสถานการณ์ผันผวน คนไทยเราเห็นตลาดหุ้นไทยตกต่ำลงมาอย่างรวดเร็วตลอดหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา หลายคนก็รู้สึกหนักใจ กังวลใจ และหดหู่ใจ แต่เราอาจไม่ทราบว่า ตลาดหลักทรัพย์ยุโรป ลอนดอน และ อเมริกาตกหนักยิ่งกว่าของเราอย่างมาก และแกว่งแรงกว่าเรามาก
ผมจึงขอพักการถ่ายทอดคำเทศนาเรื่อง “เงิน เงิน เงิน” ออกไปอีกครั้งหนึ่ง เพื่อพูดเรื่องสภาวะตลาดในปัจจุบันเสียก่อน เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ก็มีคำถามพอสมควรว่า ที่ตลาดหุ้นไทยตกหนัก เป็นผลจากการช็อตเซลหรือไม่ ?
แล้วก็พบว่า ยอดขายจากการช็อตเซลนั้น มีเพียง 1-2% แทบไม่มีผลอะไร และโดยธรรมชาติ กลุ่มที่ขายช็อตนั้น จะไม่ใช่เป็นกลุ่มที่ช็อตหุ้นยาวๆ จนสามารถกดหุ้นลงไปได้ลึกๆ เพราะจะต้อง “ซื้อ” หุ้นเพื่อคืนหุ้นที่ยืมด้วย
การที่คิดเพียงแค่ว่า “ใคร” ขาย หรือ ช็อตเซล (ขายโดยยืมหุ้นมาขายก่อน แล้วจะซื้อมาคืนภายหลัง) จะเป็นเหมือนผู้ร้ายในตลาดหุ้น ก็อาจจะผิดเป้าเพราะเป็นส่วนน้อย แต่ที่สำคัญคือ อาจทำให้ไม่สามารถพบ “สาเหตุ” ที่แท้จริงที่ทำให้หุ้นลง แล้วจะทำให้ตัดสินใจลงทุนต่อไปอย่างผิดพลาด
รอบนี้ ก็ถือว่า พบแล้วว่า ตลาดหุ้นไทย กับตลาดอินโดนีเซีย และ ฟิลิปปินส์ เคยเป็นตลาดร้อนแรงในช่วงตลาดฟื้นตัวหลังวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ ดังที่เห็นว่าในปี 2009 ตลาดหุ้นไทยขึ้นมา 63% จาก 449.96 จุดสิ้นปี 2008 มาเป็น 734.54 จุดเมื่อสิ้นปี 2009 และโตอีก 40% มาปิดที่ 1,032.76 จุดปลายปี 2010 เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม ปีนี้ ตลาดหุ้นไทยขึ้นไปสูงสุด 1,148.28 เติบโตอีกถึง 11% โดยที่ต่างประเทศทรุดตัวอย่างรุนแรงต่อเนื่อง
ซึ่งอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ ที่ขึ้นแรงคู่ๆกัน ก็ปรับตัวลงไปก่อนแล้ว จึงทำให้ตลาดไทยต้องถูกแรงขายกดดันให้ปรับตัวตามไปด้วย
ผมจึงอยากมีโอกาสให้เรามองเห็นว่า เรื่อง “ช็อตเซล” นั้น เป็นเรื่องที่เป็นที่ยอมรับ และใช้ประโยชน์กันทั่วไป โดยมีการเปิดเครื่องมือใหม่ๆมีมากมายที่อนุญาตให้เกิด “ช็อตเซล” เช่น ระบบการให้ยืมหุ้น อนุพันธ์สัญญาซื้อขายล่วงหน้า ทั้งของดัชนีตลาดฯ สินค้าโภคภัณฑ์ รวมถึงรายหุ้น ก็เปิดโอกาสให้ช็อตเซลได้อยู่แล้ว ด้วยเห็นว่ามีประโยชน์เหตุผลสนับสนุนดังนี้
1. เป็นการเพิ่มทางเลือกกลยุทธให้กับนักลงทุน ที่เห็นว่าตลาดเป็น “ขาลง” แม้จะยังไม่มีหุ้น แต่สามารถขอยืมหุ้นมา ขายไปก่อน แล้วซื้อคืนภายหลัง
2. เป็นการเพิ่มทางเลือกกลยุทธให้กับนักลงทุน ที่เห็นว่าตลาด “ผันผวน” จับจังหวะซื้อขายไม่ถูก ยินดีถือหุ้นระยะยาว แต่ต้องการผลตอบแทนเพิ่มจากหุ้นที่ถือ ก็ให้ยืมหุ้นได้ ซึ่งหุ้นก็ยังถืออยู่ แต่จะได้ดอกเบี้ยจากการให้ยืมหุ้น และส่วนใหญ่จะขอหุ้นคืนเมื่อไรก็ได้ ซึ่งก็ไม่แน่ว่าคนยืมไปขายแล้ว จะแม่นทุกคน เขาอาจขายแล้ว ถูกตลาดฟื้นตัวตีกลับ และต้องเร่งซื้อหุ้นคืนจนตลาดปรับตัวสูงขึ้นก็ได้
3. เป็นการเพิ่มทางเลือกกลยุทธให้กับนักลงทุน ที่เห็นว่าตลาด “ปรับลึกแล้ว” แต่นักลงทุนที่ถือก็ถือ ไม่ยอมขาย แต่กลุ่มที่ยินดีช็อตหุ้น เป็นผู้เสนอขายได้ ก็ทำให้เขาซื้อได้
อีกครั้ง เพราะคนที่ช็อตหุ้น ก็ไม่แน่ว่าช็อตแล้วจะถูกทาง อาจกลายเป็นมาขายก่อนในราคาต่ำแล้วราคากลับสูงขึ้นไปก็ได้
4. การช็อตเซลจึงมีส่วนเพิ่มสภาพคล่อง ในยามลำบาก ซึ่งในทุกสภาวะตลาด สภาพคล่องหมายถึงหุ้นมีแรงซื้อแรงขายมากสม่ำเสมอดีเป็นความแข็งแรงของตลาดและเป็นประโยชน์แก่นักลงทุน
5. มีนักเศรษฐศาสตร์กล่าวด้วยว่า การมีช็อตเซลนั้น มีส่วนช่วยให้ตลาดปรับตัวสู่สมดุลทางกลไกตลาดเร็วขึ้น
อย่างจอร์จ โซรอส เคยเป็นแพะที่ถูกประณาม กรณีทุบเงินปอนด์ หรือทุบเงินบาท แต่ก็ช่วยให้ค่าเงิน ปรับตัวไปตามกลไกตลาด (แต่ถ้าใครทุบให้เกินกลไกตลาด เพื่อฉวยโอกาสก็ถือว่าไม่ดี เป็นการทำบาป)
ขณะนี้ สหรัฐฯกลับอยากให้มีคนมาช็อตขายดอลลาร์มากขึ้น ถึงกับบ่นอยู่หลายครั้ง ว่าค่าเงินของสหรัฐฯแข็งเกินไป ในการปรับตัวเพื่อให้สอดคล้องกับกลไกตลาด สหรัฐฯขาดดุลการค้า และดุลบัญชีเดินสะพัดอย่างต่อเนื่อง จีนและเอเซียก็เกินดุลอย่างต่อเนื่อง ประธานาธิบดีโอบามา ถึงกับบอกว่า “หยวนควรแข็งกว่านนี้ เพื่อให้การค้าขายมีสมดุลมากขึ้น” ซึ่งกลไกตลาดที่ปรับตัวช้า อาจถือว่า เพราะ แรงขายดอลลาร์ และแรงช็อตเซลดอลลาร์ไม่พอเพียงเช่นนี้ ก็จึงทำให้ปัญหาทางเศรษฐกิจยังหนักอยู่ คนว่างงานสูงถึง 9% มากว่า 3 ปีแล้วก็ยังสูงระดับนี้ต่อไป
หากกลไกตลาดทำงานได้เร็ว ค่าเงินเขาอ่อน คงไม่ถึงกับที่จะมาทำสินค้าสิ่งทอ รองเท้าทดแทนจีนได้ แต่อาจทำให้คนจีน ไปเที่ยวเวกัส แอลเอ หรือฟลอริด้ากันได้มากขึ้น ซื้ออสังหาริมทรัพย์ในอเมริกา หรือในยุโรปได้มากขึ้น ก็น่าจะช่วยฟื้นเศรษฐกิจที่ดีขึ้น
นักเศรษฐศาตร์ จึงเชื่อในหลักของกลไกตลาด ว่าจะเป็นไปตาม Invisible Hand คือ พระหัตถ์ที่มองไม่เห็น หรือ พระหัตถ์ของพระเจ้า และเครื่องมือใด ที่ช่วยทำให้กลไกตลาดทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมถึงการช็อตเซลด้วย ก็ควรจะให้ทำได้ต่อไป
นักลงทุนจึงควรติดตามสาเหตุของปัญหาที่แท้จริง เมื่อมองไปในโลกแล้ว ก็ยอมรับว่า มีความน่าเป็นห่วงน่ากังวลกับการแก้ปัญหาในปัจจุบัน เพราะ ดูเหมือนไม่ใช่ว่าสูตรเคนเซียนนั้น จะทำได้ผลเป็นสูตรสำเร็จอย่างที่คาดหวังง่ายๆแล้ว คงต้องติดตามกันต่อไปอย่างใกล้ชิด
ติดตามปัจจัยที่ถูกต้องอย่างมีปัจจัยพื้นฐาน จะช่วยให้ตัดสินใจลงทุนได้ถูกต้องมากขึ้นครับ
http://www.bangkokbiznews.com/home/deta ... B8%A5.html