สรุปความรู้ที่ได้จากงาน VI meeting#2 ชลบุรี 18 ธ.ค.54
โพสต์แล้ว: เสาร์ ธ.ค. 24, 2011 1:39 pm
เนื่องด้วยได้มีโอกาสไปร่วมงาน VI meeting ชลบุรีครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 18 ธันวาคมที่ผ่านมา จึงอยากจะสรุปความรู้ที่ได้จากงานครั้งนี้บางส่วน เผื่ออาจจะมีประโยชน์ต่อเพื่อนนักลงทุนท่านอื่นบ้างครับ (เนื่องจากในงานนี้ผมไม่ได้จดความรู้ใส่สมุด จึงขอรบกวนพี่ๆเพื่อนๆท่านอื่น ช่วย comment, แนะนำด้วยครับ ถ้าผมจำผิดหรือเข้าใจในประเด็นคาดเคลื่อน รวมไปถึงช่วยเพิ่มเติมข้อมูลด้วยครับ ถ้ามีประเด็นอะไรอื่นๆเพิ่มเติม)
1.เราเองสามารถเป็นนักลงทุนที่ดีขึ้นได้ โดยการหัดเป็นคนช่างสังเกต (ยกตัวอย่างเช่นการขับรถจากจุดหนึ่งไปยังจุดหนึ่งนั้น เราอาจจะสังเกตเห็นสิ่งรอบตัวมากมายในการเดินทาง เช่นสังเกตเห็น condo ใหม่ของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ เราก็อาจจะเห็นว่าทำเลของ condo เป็นอย่างไร ราคาเมื่อเทียบกับ condo อื่นๆที่อยู่ระแวกใกล้เคียงเป็นอย่างไร จากนั้นเราก็อาจจะมาหาข้อมูลเพิ่มเติมเช่น ยอดขาย, ยอดจองของ condo รวมไปถึงตัวเลขทางการเงินของบริษัท) ซึ่งจริงๆแล้วมีบริษัทมากมายในตลาดหลักทรัพย์ที่มีสินค้า,บริการ ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของเราเช่นร้านอาหาร, ห้างสรรพสินค้า, โรงพยาบาล
2.แหล่งข้อมูลที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งในการลงทุนคือการอ่านข่าวหนังสือพิมพ์ แต่เวลาเราอ่านข่าวเราควรจะคิดวิเคราะห์ตามด้วยว่าถ้าเกิดเหตุการณ์นั้นขึ้นจริงๆจะส่งผลกระทบอย่างไรกับบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ (ยกตัวอย่างเช่นการที่รัฐบาลจะปรับลดอัตราภาษีของบริษัทจดทะเบียนจาก 30% เหลือ 23% ก็จะทำให้บริษัทที่ปัจจุบันเสียภาษีในอัตรา 30% ได้รับประโยชน์สูงสุดเพราะว่าจะทำให้กำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 10% เพราะเสียภาษีน้อยลง เช่นก่อนหน้านั้นกำไรก่อนภาษี 100 บาท เสียภาษี 30% ก็จะเหลือกำไรสุทธิ 70 บาท แต่ถ้าเสีย 23% กำไรสุทธิก็จะเพิ่มเป็น 77 บาท แต่ถ้าบริษัทที่เสียภาษีในอัตรา 25% ก็จะได้รับประโยชน์ไม่มากนัก รวมไปถึงบริษัทที่ได้รับสิทธิ์ BOI เอง (ไม่เสียภาษี) ก็จะไม่ได้รับประโยชน์จากเหตุการณ์ดังกล่าว
3.เวลาเราอ่านตัวเลขทางการเงิน หรืองบการเงินนั้นเราไม่ควรที่ใช้จะตัวเลขทางการเงินเพียงแค่ปีเดียวมาตัดสินภาพของบริษัท
(ตัวอย่างเช่น การใช้อัตราส่วน ROE นั้น ถ้าเราไปดูบางบริษัท ในบางปีอัตราส่วน ROE จะมี % ที่ค่อนข้างสูง เพราะว่าในปีนั้นบริษัทเองมีกำไรพิเศษ ซึ่งไม่ใช่กำไรปกติจากการดำเนินงาน) นอกจากนั้นเราเองควรที่จะอ่านหมายเหตุประกอบงบการเงินของบริษัทด้วยครับเพราะในบางครั้งเราอาจจะไปพบข้อมูลที่เป็นปัจจัยเสี่ยงของบริษัทอยู่ในหมายเหตุประกอบงบการเงิน
4.นักลงทุนบางท่านที่มีประสบการณ์จะใช้วิธี switch หุ้น โดยวิธีการคือเขาจะทำการประเมินมูลค่าหุ้นของบริษัทที่เขาสนใจ เทียบกับราคาหุ้นในปัจจุบันเพื่อดูว่ามี upside อยู่ขนาดไหน แล้วทำการเทียบกับ upside ของหุ้นในบริษัทที่เขาลงทุนอยู่ ซึ่งถ้าราคาหุ้นของบริษัทที่เขาถืออยู่เพิ่มขึ้น ก็จะทำให้ upside นั้นน้อยลง จนถึงจุดนึงที่ upside นั้นน้อยกว่าบริษัทที่เขาสนใจในระดับนึงเขาก็จะทำการขายหุ้นบริษัทที่ถืออยู่แล้วนำเงินนั้นไปซื้อหุ้นของบริษัทที่เขาสนใจใหม่แทน (แต่มีข้อควรระวังอยู่ว่าถ้าเป็นบริษัทใหม่ที่เราพึ่งจะศึกษาข้อมูล % upside ที่จะ switch มาลงทุนแทนบริษัทที่เราถืออยู่ควรจะมี upside ที่มากกว่าในระดับนึงเช่น 20% เพราะบริษัทที่เราถืออยู่นั้นเราจะมีความเข้าใจ และข้อมูลในการลงทุนที่มากกว่าบริษัทใหม่ที่เราพึ่งจะศึกษา)
สำหรับเพื่อนๆที่สนใจสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับประเด็นนี้ สามารถดูได้จาก web P'yoyo หัวข้อ การบริหาร port style yoyo 26 Jan 2008
http://www.yoyoway.com/
5.ระดับทางการศึกษาไม่ได้เป็นตัวกำหนดขนาดของความสำเร็จในการลงทุน มีพี่นักลงทุนบางท่านที่ไม่ได้จบปริญญาแต่ก็สามารถพัฒนาความสามารถในการลงทุนจนสามารถประสบความสำเร็จในด้านการลงทุน รวมไปถึงการที่มีบางคนพูดว่า "เวลามีไม่พอ (ไม่มีเวลา)" จริงๆแล้วนั่นหมายถึงการที่คนๆนั้นมีความต้องการในการประสบความสำเร็จไม่เพียงพอต่างหาก เพราะคนที่จะประสบความสำเร็จต่อให้ต้องตื่นไปทำงานแต่เช้า และกว่าจะกลับถึงบ้านดึกดื่น คนๆนั้นก็จะสามารถหาวิธีจัดสรรเวลาเพื่อมาศึกษาข้อมูล ความรู้ในการลงทุนได้
6.หนึ่งในวิธีการเลือกหุ้น คือการที่เรามองไปยังอนาคต เพื่อดูว่าอุตสาหกรรมอะไรที่จะได้ประโยชน์จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอนาคต จากนั้นเราก็มาดูแต่ละบริษัทในอุตสาหกรรมนั้นๆ ว่าถ้ามีเหตุการณ์เกิดขึ้นจะได้รับประโยชน์ขนาดไหน โดยการนำข้อมูลมาทำประมาณการกำไรในอนาคตของบริษัท จากนั้นจึงนำข้อมูลดังกล่าวเพื่อใช้ในการประเมินมูลค่าหุ้น แล้วจึงนำมาเปรียบเทียบกับ Upside ของบริษัท เพื่อเลือกหาบริษัทที่มี Upside ที่มาพอต่อการตัดสินใจลงทุน (ซึ่งนอกจากจะมองโอกาสในการทำกำไรแล้วควรจะดูโอกาสในการขาดทุน downside risk ของบริษัทด้วยเพื่อป้องกันการขาดทุนหนักจากการลงทุน)
7.สำหรับหุ้น Turnaround นั้นสิ่งที่เราควรจะสนใจคือปัจจัยต่างๆที่จะทำให้บริษัทสามารถฟื้นตัวได้เช่น การเปลี่ยนทีมผู้บริหารที่มีความรู้ความสามารถมาบริหารแทนผู้บริหารชุดเดิม, การที่เปลี่ยน business model ของบริษัทเช่นเปลี่ยนการขายสินค้าหนึ่งซึ่งมีความเสี่ยงจากการดำเนินงานสูง มาเป็นขายสินค้าอีกอย่างนึงซึ่งมีความเสี่ยงจากการดำเนินงานน้อยกว่า, การหาวิธีลดต้นทุนในการดำเนินการของบริษัทเช่นการปิดโรงงานที่ผลิตสินค้าหรือลดจำนวนพนักงานแล้วเปลี่ยนมาใช้ outsource แทนเป็นต้น อย่างไรก็ตามการลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้นั้นมีความเสี่ยงค่อนข้างสูง จึงควรที่จะต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ สำหรับผู้ที่สนใจในการลงทุนหุ้นกลุ่มนี้สามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้จากกระทู้ "รวมหุ้น turnaround" ที่ P'pak ได้ post ข้อมูลและประสบการณ์มากมายในกระทู้นี้ครับ http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=1&t=43317
8.นักลงทุนแนว VI เองควรจะศึกษาการลงทุนโดย Technical Analysis ไหม จริงแล้วๆก็เป็นประเด็นที่นี้ก็มีข้อถกเถียงกันมายาวนาน ซึ่งจริงๆแล้วการลงทุนโดยแนว VI เพียงอย่างเดียวก็พบว่ามีนักลงทุนหลายๆท่านที่ประสบความสำเร็จ และก็มีนักลงทุนหลายๆท่านที่ใช้ทั้งแนวทาง VI และใช้ Technical analysis ควบคู่กันก็ประสบความสำเร็จเช่นเดียวกัน แต่จากที่ได้มีการคุยกับหลายๆท่านๆที่ใช้ทั้งแนวทาง VI และใช้ Technical Analysis ควบคู่กันแล้วได้ % ผลตอบแทนสูงนั้นท่านเหล่านั้นก็ยังมองว่าปัจจัยนึงที่สำคัญมากก็คือ Stock selection วิธีการเลือกหุ้น
9.การแบ่งปันสู่สังคม จากการที่ได้พูดคุยกับนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จหลายๆท่าน พบว่าสิ่งหนึ่งที่แทบทุกคนมีเหมือนกันคือการแบ่งปันคืนสู่สังคม เช่นการที่พี่ลูกอีสานบริจาคเงินเป็นจำนวนมากในช่วงวิกฤติน้ำท่วมที่ผ่านมา หรือการที่ K.hongvalue, P'sai, P'pak อธิบายหลักการลงทุนให้กับเพื่อนๆนักลงทุนหน้าใหม่อย่างเต็มที่ หรือการที่ post ความรู้เกี่ยวกับหลักการลงทุนดีๆให้กับเพื่อนๆท่านอื่นของ พี่วิบูลย์, พี่ลูกอีสาน, พี่ naris, พี่หมอสามัญชน, พี่สุมาอี้, พี่ Invisible hand , พี่ yoyo เป็นต้น
อยากให้ทั้งสังคม thaivi และสังคมไทยเป็นสังคมแห่งการแบ่งปันครับ คิดว่าสังคมที่เป็นอยู่จะน่าอยู่ขึ้นอีกเยอะเลยครับ
สุดท้ายนี้ขอกราบขอบคุณพี่ sai, พี่ pak ครับที่นำความรู้และปะสบการณ์ดีๆ มา share ให้เพื่อนๆท่านอื่นครับ รวมไปถึงขอขอบคุณพี่ picklife, พี่ warlord ที่ช่วยเสริมข้อมูลและความรู้ให้กับนักลงทุนท่านอื่น รวมไปถึงขอขอบคุณเพื่อนๆท่านอื่นด้วยครับที่ช่วยแบ่งปันความรู้ให้กับผมในวันงานครับ
ขอบคุณครับ
earthcu/ 24 Dec 11
1.เราเองสามารถเป็นนักลงทุนที่ดีขึ้นได้ โดยการหัดเป็นคนช่างสังเกต (ยกตัวอย่างเช่นการขับรถจากจุดหนึ่งไปยังจุดหนึ่งนั้น เราอาจจะสังเกตเห็นสิ่งรอบตัวมากมายในการเดินทาง เช่นสังเกตเห็น condo ใหม่ของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ เราก็อาจจะเห็นว่าทำเลของ condo เป็นอย่างไร ราคาเมื่อเทียบกับ condo อื่นๆที่อยู่ระแวกใกล้เคียงเป็นอย่างไร จากนั้นเราก็อาจจะมาหาข้อมูลเพิ่มเติมเช่น ยอดขาย, ยอดจองของ condo รวมไปถึงตัวเลขทางการเงินของบริษัท) ซึ่งจริงๆแล้วมีบริษัทมากมายในตลาดหลักทรัพย์ที่มีสินค้า,บริการ ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของเราเช่นร้านอาหาร, ห้างสรรพสินค้า, โรงพยาบาล
2.แหล่งข้อมูลที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งในการลงทุนคือการอ่านข่าวหนังสือพิมพ์ แต่เวลาเราอ่านข่าวเราควรจะคิดวิเคราะห์ตามด้วยว่าถ้าเกิดเหตุการณ์นั้นขึ้นจริงๆจะส่งผลกระทบอย่างไรกับบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ (ยกตัวอย่างเช่นการที่รัฐบาลจะปรับลดอัตราภาษีของบริษัทจดทะเบียนจาก 30% เหลือ 23% ก็จะทำให้บริษัทที่ปัจจุบันเสียภาษีในอัตรา 30% ได้รับประโยชน์สูงสุดเพราะว่าจะทำให้กำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 10% เพราะเสียภาษีน้อยลง เช่นก่อนหน้านั้นกำไรก่อนภาษี 100 บาท เสียภาษี 30% ก็จะเหลือกำไรสุทธิ 70 บาท แต่ถ้าเสีย 23% กำไรสุทธิก็จะเพิ่มเป็น 77 บาท แต่ถ้าบริษัทที่เสียภาษีในอัตรา 25% ก็จะได้รับประโยชน์ไม่มากนัก รวมไปถึงบริษัทที่ได้รับสิทธิ์ BOI เอง (ไม่เสียภาษี) ก็จะไม่ได้รับประโยชน์จากเหตุการณ์ดังกล่าว
3.เวลาเราอ่านตัวเลขทางการเงิน หรืองบการเงินนั้นเราไม่ควรที่ใช้จะตัวเลขทางการเงินเพียงแค่ปีเดียวมาตัดสินภาพของบริษัท
(ตัวอย่างเช่น การใช้อัตราส่วน ROE นั้น ถ้าเราไปดูบางบริษัท ในบางปีอัตราส่วน ROE จะมี % ที่ค่อนข้างสูง เพราะว่าในปีนั้นบริษัทเองมีกำไรพิเศษ ซึ่งไม่ใช่กำไรปกติจากการดำเนินงาน) นอกจากนั้นเราเองควรที่จะอ่านหมายเหตุประกอบงบการเงินของบริษัทด้วยครับเพราะในบางครั้งเราอาจจะไปพบข้อมูลที่เป็นปัจจัยเสี่ยงของบริษัทอยู่ในหมายเหตุประกอบงบการเงิน
4.นักลงทุนบางท่านที่มีประสบการณ์จะใช้วิธี switch หุ้น โดยวิธีการคือเขาจะทำการประเมินมูลค่าหุ้นของบริษัทที่เขาสนใจ เทียบกับราคาหุ้นในปัจจุบันเพื่อดูว่ามี upside อยู่ขนาดไหน แล้วทำการเทียบกับ upside ของหุ้นในบริษัทที่เขาลงทุนอยู่ ซึ่งถ้าราคาหุ้นของบริษัทที่เขาถืออยู่เพิ่มขึ้น ก็จะทำให้ upside นั้นน้อยลง จนถึงจุดนึงที่ upside นั้นน้อยกว่าบริษัทที่เขาสนใจในระดับนึงเขาก็จะทำการขายหุ้นบริษัทที่ถืออยู่แล้วนำเงินนั้นไปซื้อหุ้นของบริษัทที่เขาสนใจใหม่แทน (แต่มีข้อควรระวังอยู่ว่าถ้าเป็นบริษัทใหม่ที่เราพึ่งจะศึกษาข้อมูล % upside ที่จะ switch มาลงทุนแทนบริษัทที่เราถืออยู่ควรจะมี upside ที่มากกว่าในระดับนึงเช่น 20% เพราะบริษัทที่เราถืออยู่นั้นเราจะมีความเข้าใจ และข้อมูลในการลงทุนที่มากกว่าบริษัทใหม่ที่เราพึ่งจะศึกษา)
สำหรับเพื่อนๆที่สนใจสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับประเด็นนี้ สามารถดูได้จาก web P'yoyo หัวข้อ การบริหาร port style yoyo 26 Jan 2008
http://www.yoyoway.com/
5.ระดับทางการศึกษาไม่ได้เป็นตัวกำหนดขนาดของความสำเร็จในการลงทุน มีพี่นักลงทุนบางท่านที่ไม่ได้จบปริญญาแต่ก็สามารถพัฒนาความสามารถในการลงทุนจนสามารถประสบความสำเร็จในด้านการลงทุน รวมไปถึงการที่มีบางคนพูดว่า "เวลามีไม่พอ (ไม่มีเวลา)" จริงๆแล้วนั่นหมายถึงการที่คนๆนั้นมีความต้องการในการประสบความสำเร็จไม่เพียงพอต่างหาก เพราะคนที่จะประสบความสำเร็จต่อให้ต้องตื่นไปทำงานแต่เช้า และกว่าจะกลับถึงบ้านดึกดื่น คนๆนั้นก็จะสามารถหาวิธีจัดสรรเวลาเพื่อมาศึกษาข้อมูล ความรู้ในการลงทุนได้
6.หนึ่งในวิธีการเลือกหุ้น คือการที่เรามองไปยังอนาคต เพื่อดูว่าอุตสาหกรรมอะไรที่จะได้ประโยชน์จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอนาคต จากนั้นเราก็มาดูแต่ละบริษัทในอุตสาหกรรมนั้นๆ ว่าถ้ามีเหตุการณ์เกิดขึ้นจะได้รับประโยชน์ขนาดไหน โดยการนำข้อมูลมาทำประมาณการกำไรในอนาคตของบริษัท จากนั้นจึงนำข้อมูลดังกล่าวเพื่อใช้ในการประเมินมูลค่าหุ้น แล้วจึงนำมาเปรียบเทียบกับ Upside ของบริษัท เพื่อเลือกหาบริษัทที่มี Upside ที่มาพอต่อการตัดสินใจลงทุน (ซึ่งนอกจากจะมองโอกาสในการทำกำไรแล้วควรจะดูโอกาสในการขาดทุน downside risk ของบริษัทด้วยเพื่อป้องกันการขาดทุนหนักจากการลงทุน)
7.สำหรับหุ้น Turnaround นั้นสิ่งที่เราควรจะสนใจคือปัจจัยต่างๆที่จะทำให้บริษัทสามารถฟื้นตัวได้เช่น การเปลี่ยนทีมผู้บริหารที่มีความรู้ความสามารถมาบริหารแทนผู้บริหารชุดเดิม, การที่เปลี่ยน business model ของบริษัทเช่นเปลี่ยนการขายสินค้าหนึ่งซึ่งมีความเสี่ยงจากการดำเนินงานสูง มาเป็นขายสินค้าอีกอย่างนึงซึ่งมีความเสี่ยงจากการดำเนินงานน้อยกว่า, การหาวิธีลดต้นทุนในการดำเนินการของบริษัทเช่นการปิดโรงงานที่ผลิตสินค้าหรือลดจำนวนพนักงานแล้วเปลี่ยนมาใช้ outsource แทนเป็นต้น อย่างไรก็ตามการลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้นั้นมีความเสี่ยงค่อนข้างสูง จึงควรที่จะต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ สำหรับผู้ที่สนใจในการลงทุนหุ้นกลุ่มนี้สามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้จากกระทู้ "รวมหุ้น turnaround" ที่ P'pak ได้ post ข้อมูลและประสบการณ์มากมายในกระทู้นี้ครับ http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=1&t=43317
8.นักลงทุนแนว VI เองควรจะศึกษาการลงทุนโดย Technical Analysis ไหม จริงแล้วๆก็เป็นประเด็นที่นี้ก็มีข้อถกเถียงกันมายาวนาน ซึ่งจริงๆแล้วการลงทุนโดยแนว VI เพียงอย่างเดียวก็พบว่ามีนักลงทุนหลายๆท่านที่ประสบความสำเร็จ และก็มีนักลงทุนหลายๆท่านที่ใช้ทั้งแนวทาง VI และใช้ Technical analysis ควบคู่กันก็ประสบความสำเร็จเช่นเดียวกัน แต่จากที่ได้มีการคุยกับหลายๆท่านๆที่ใช้ทั้งแนวทาง VI และใช้ Technical Analysis ควบคู่กันแล้วได้ % ผลตอบแทนสูงนั้นท่านเหล่านั้นก็ยังมองว่าปัจจัยนึงที่สำคัญมากก็คือ Stock selection วิธีการเลือกหุ้น
9.การแบ่งปันสู่สังคม จากการที่ได้พูดคุยกับนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จหลายๆท่าน พบว่าสิ่งหนึ่งที่แทบทุกคนมีเหมือนกันคือการแบ่งปันคืนสู่สังคม เช่นการที่พี่ลูกอีสานบริจาคเงินเป็นจำนวนมากในช่วงวิกฤติน้ำท่วมที่ผ่านมา หรือการที่ K.hongvalue, P'sai, P'pak อธิบายหลักการลงทุนให้กับเพื่อนๆนักลงทุนหน้าใหม่อย่างเต็มที่ หรือการที่ post ความรู้เกี่ยวกับหลักการลงทุนดีๆให้กับเพื่อนๆท่านอื่นของ พี่วิบูลย์, พี่ลูกอีสาน, พี่ naris, พี่หมอสามัญชน, พี่สุมาอี้, พี่ Invisible hand , พี่ yoyo เป็นต้น
อยากให้ทั้งสังคม thaivi และสังคมไทยเป็นสังคมแห่งการแบ่งปันครับ คิดว่าสังคมที่เป็นอยู่จะน่าอยู่ขึ้นอีกเยอะเลยครับ
สุดท้ายนี้ขอกราบขอบคุณพี่ sai, พี่ pak ครับที่นำความรู้และปะสบการณ์ดีๆ มา share ให้เพื่อนๆท่านอื่นครับ รวมไปถึงขอขอบคุณพี่ picklife, พี่ warlord ที่ช่วยเสริมข้อมูลและความรู้ให้กับนักลงทุนท่านอื่น รวมไปถึงขอขอบคุณเพื่อนๆท่านอื่นด้วยครับที่ช่วยแบ่งปันความรู้ให้กับผมในวันงานครับ
ขอบคุณครับ
earthcu/ 24 Dec 11