สิ่งที่ควรจะทำ(สำหรับนักลงทุนแนวพื้นฐาน) by hongvalue
โพสต์แล้ว: จันทร์ ม.ค. 02, 2012 8:16 pm
บทความล่าสุดของ K.hongvalue ครับ เผื่อเพื่อนๆบางท่านที่ยังไม่ได้อ่านครับ
ในชีวิตของคนเราจะต้องมีเรื่องที่ควรจะทำและไม่ควรจะทำเสมอ ถ้าใครทำในสิ่งที่ควรจะทำมากและทำในเรื่องที่ไม่สมควรจะทำน้อยที่สุดคนนั้นก็มีแนวโน้มจะประสบความสำเร็จมากกว่าคนอื่น สิ่งที่ควรจะทำในชีวิตก็เช่น การดูแลสุขภาพ การมีเวลาอยู่กับครอบครัว การหาหนังสือดีๆอ่านเพื่อพัฒนาตัวเอง การออกไปพบปะผู้คนเก่งๆเพื่อเสริมมุมมอง ส่วนเรื่องที่ไม่ควรจะทำก็เช่น การเอาเวลามานั่งนินทาคน นั่งใส่ใจเรื่องส่วนตัวของคนอื่น หรือเอาเวลามาคิดว่าถ้าสมัยก่อนชั้นขายหุ้นตัวนี้ไปได้รารานั้นป่านนี้รวยไปแล้ว หรือ ถ้าตอนนั้นชั้นซื้อหุ้นตัวนั้นได้ในราคานี้ชั้นก็รวยไปแล้วเหมือนกัน เรื่องแบบนี้ไม่ว่าจะคิดให้หัวระเบิดแค่ไหนก็ไม่เกิดประโยชน์
ในตลาดหุ้นนั้นมีการลงทุนหลายแนว ในที่นี้ผมขอพูดถึงมุมมองของนักลงทุนพื้นฐาน ผมคิดว่าการลงทุนแนวพื้นฐานนั้นจะให้ความสำคัญกับตัวหุ้นมากที่สุดมากกว่าทุกอย่าง ถ้าคุณเป็นนักลงทุนแนวพื้นฐานคุณก็จะไม่ออกมาบอกว่าคุณคิดว่าปีหน้า set จะเป็นอย่างไร จะดีหรือไม่ดี แน่นอนคนในตลาดหุ้นชอบฟังเรื่องพวกนี้ ผมเองแต่ก่อนก็เคยออกมาคาดการณ์ set แต่พอถึงจุดนึงผมก็เริ่มรู้ว่าจริงๆแล้วไม่มีใครรู้หรอกว่าตลาดจะเป็นอย่างไร ผมก็เลยเลิกคาดไปแล้ว มีนักลงทุนแนวพื้นฐานหลายๆคนที่ในช่วงตลาด sideway ช่วงปี 2004-2007 พอร์ตพวกเขาโต 6-8 เท่า ช่วงนั้น set ก็ไม่ใช่ขาขึ้นแต่พวกเขารวยขึ้นเยอะมาก พวกเขาไม่ได้ออกมาบอกว่าพวกเขาคาดการณ์ set ยังไง ในสมัยที่ผมเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับภาพใหญ่มากผมเคยไปตั้งคำถามกับ พี่ โจ ลูกอีสาน แห่งเว็บ tvi โดยถามว่าเขามีความเห็นอย่างไรเกี่ยวกับการลงทุนแบบ ศึกษาภาพกว้างก่อนแล้วค่อยเจาะรายบริษัท พี่โจ ตอบกลับมาว่าถ้าเราตามข่าวเศรษฐกิจมากๆก็จะรู้ได้ว่าเศรษฐกิจจะดี กลางๆ หรือ ไม่ดี ซึ่งเราไม่ต้องถึงขนาดไล่ล่าตัวเลขเศรษฐกิจเพราะ buffet กับ lynch ก็ให้เวลากับการติดตามตัวเลขเศรษฐกิจน้อยมากๆ ผมเองได้นำความเห็นของพี่โจมาใช้ในการลงทุนผมเอาเวลาไปดูหุ้นที่น่าสนใจผมก็เจอหุ้นที่ undervalue เรื่อยๆ แต่ถ้าตลาดแพงผมก็เจอหุ้น undervalue น้อย หรือถ้าเจอก็ต้องรอให้หุ้นตัวนั้นลงอีกหน่อยเพื่อเพิ่ม margin of safety ให้มากขึ้นแล้วค่อยลงทุน แต่ถ้าตลาดถูกมากๆผมจะเจอหุ้น undervalue เยอะมากจนตาลายไม่รู้จะเลือกตัวไหนดี จริงๆแล้วทุกๆปีจะมีหุ้นเทพที่ขึ้นมากกว่า 150-200% ตลอด(ยกเว้นปีวิกฤติเศรษฐกิจซึ่งตามสถิติจะมี 10 ปีครั้ง) ดังนั้นถ้าเราเจอหุ้นที่ undervalue หรือเป็นหุ้นเติบโตที่ไม่มีคนค้นพบเราก็ไม่โอกาสทำกำไรสูงๆในตลาด sideway ได้ เช่นในช่วงตลาด sideway รอบก่อนๆ คนที่มองการเปลี่ยน model ของ ticon ที่ขายโรงงานเข้า tfund ออกเป็นคนแรงๆก็จะสามารถทำกำไรจาก ticon ได้เป็นเท่าตัวในเวลาไม่นานเช่น คุณ invisible hand หรือคนที่มองหุ้นประมูลอย่าง ilink ออกว่ามีธุรกิจจัดจำหน่ายและวิศวกรรม ซึ่งในตอนที่ ilink ยังถูกแค่กำไรของธุรกิจจัดจำหน่าย pe ก็ไม่แพงแต่ถ้าปีไหนประมูลงานในส่วนธุรกิจวิศวกรรมได้มากๆกำไรก็พร้อมกระโดด คนที่ทำกำไรได้ก็เช่น คุณ naris คุณ yoyo หรือคนที่มอง oishi ออกตอนต่ำกว่า 20 บาทว่าตลาดให้ pe ต่ำเกินไปเพราะมองว่าชาเขียวน่าจะเป็นแฟชั่นแต่เมื่อตลาดพิสูจน์แล้วว่าชาเขียวไม่ใช่แฟชั่นหุ้น oishi ก็วิ่งขึ้นมาเกือบเท่าตัวในช่วงออกเคมเปน 30 ฝา 30 ล้านหรือกรณีของหุ้น pdi ที่เหมืองสังกะสีโดนพายุแคทรีน่าถล่มทำให้ stock เสียหายเป็นจำนวนมากและหุ้นก็ขึ้นเป็นเท่าตัวในเวลาไม่นานซึ่ง คุณหมอ สามัญชนก็สามารถทำกำไรจากตัวนี้ได้ในเวลารวดเร็ว หรือกรณีของพี่วิบูลย์ที่ได้กำไรจาก pttep เป็น 10 เท่าเพราะมองออกว่าบริษัทมีการ growth ของกำลังการผลิตต่อเนื่องและมี pe ที่ต่ำในขณะที่บริษัทมี five forced model ที่แข็งแกร่งมากหรือพี่โจ ลูกอีสาน ที่เข้าใจถึงธุรกิจประกันและเป็นคนแรกๆที่มองถึง model ของ bancasuurance ออกและมองออกว่าการขาดทุนของ scnyl ในปี 2004 เป็นเพราะต้องจ่ายค่าคอมเยอะในปีแรกแต่หลังจากนั้นจะค่อยมีเบี้ยรับเพิ่มขึ้นเสมอ หรือ พี่กาละมังแห่ง tvi ที่ทำกำไรจาก ums ได้ถึง 500% ในปีเดียวเพราะเห็นว่า pe ต่ำและมี dividend เยอะในขณะเดียวกันการที่น้ำมันราคาแพงก็สามารถชวนลูกค้าเปลี่ยน boiler ได้ง่าย ยังมีตัวอย่างอีกมากมายซึ่งผมไม่สามารถเขียนได้หมดแต่ผมกล้ายืนยันว่าในตลาด sideway นั้นจะมีหุ้นที่ทำผลตอบแทนสูงๆได้ตลอดและจะมีคนที่รวยจากหุ้นเหล่านี้ด้วย จะเห็นได้ว่าหลายๆครั้งโอกาสการลงทุนเกิดจากนักลงทุนคนอื่นยังมองตัวธุรกิจจริงๆของบริษัทไม่ออก หรือนักลงทุนไม่เข้าใจตัวธุรกิจเชิงลึกของหุ้นเหล่านี้ทำให้ผู้ที่ค้นพบหุ้นเหล่านี้ทำกำไรได้สูงในเวลาไม่นาน
ผมคิดว่าถ้าคุณเป็นนักลงทุนแนวพื้นฐานสิ่งที่คุณควรทำคือ การหาหุ้น undervalue หุ้น underestimate หุ้น change business model หุ้น growth ที่คนยังมองไม่เห็น หุ้นคอมโมดิตี้ที่คนไม่เข้าใจตัวธุรกิจหรือมีภัยธรรมชาติมาทำให้ stock เสียหายหุ้นประกันชีวิตที่เปลี่ยนช่องทางการขายและเติบโตเร็ว หรืออะไรต่างๆ ที่พี่ๆที่ลงทุนในแนวพื้นฐานรุ่นก่อนๆสามารถทำกำไรได้อย่างงดงาม ยิ่งคุณให้เวลากับการศึกษาหุ้นตัวใหม่ๆการอ่าน annual ฟัง clip oppday มากเท่าไหร่ก็ยิ่งมีโอกาสมากขึ้นเท่านั้น ผมคิดว่านี้คือสิ่งที่ควรทำของนักลงทุนแนวพื้นฐาน
ถามว่าเศรษฐกิจ usa ยุโรป มีผลต่อราคาหุ้นไหม คำตอบคือมี คำถามต่อมาคือแล้วเราควรใส่ใจไหม ในความเห็นของผมคือ ผมว่ามันเป็นปัจจัยที่เราควบคุมไม่ได้เนื่องจากว่าเราไม่มีทางรู้ว่า europe ประชุมรอบนี้จะเพิ่มเงินกองทุนเท่าไหร่ กรีซจะรอดไหมในเดือน ธันวาคม อิตาลีจะเป็นรายต่อไปเมื่อไหร่ ผมว่าเราตามข่าวได้แต่เราไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เราไม่รู้ว่าผู้นำเยอร์มันนีจะตัดสินใจอย่างไร ผมเลยคิดว่าถ้าเราต้องเสียเวลามหาศาลในการติดตามข่าวแต่ผลลัพธ์คือเราควบคุมอะไรไม่ได้ เราควบคุมให้ eu เตะ กรีซออกไปจากกลุ่มเพื่อให้มันจบเร็วๆเพราะเราเบื่อความครุมเครือไม่ได้ หลังๆผมเลยไม่ค่อยติดตามข่าวพวกนี้มากแล้ว และผมคิดว่าการติดตามข่าวพวกนี้มากจนเกินไปและให้น้ำหนักของปัจจัยพวกนี้มากกว่าการศึกษาพื้นฐานหุ้นน่าจะเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำสำหรับนักลงทุนแนวพื้นฐาน
ที่มา จาก web blog ของ K.hongvalue
http://hongvalue.wordpress.com/2012/01/ ... %e0%b8%b1/
ในชีวิตของคนเราจะต้องมีเรื่องที่ควรจะทำและไม่ควรจะทำเสมอ ถ้าใครทำในสิ่งที่ควรจะทำมากและทำในเรื่องที่ไม่สมควรจะทำน้อยที่สุดคนนั้นก็มีแนวโน้มจะประสบความสำเร็จมากกว่าคนอื่น สิ่งที่ควรจะทำในชีวิตก็เช่น การดูแลสุขภาพ การมีเวลาอยู่กับครอบครัว การหาหนังสือดีๆอ่านเพื่อพัฒนาตัวเอง การออกไปพบปะผู้คนเก่งๆเพื่อเสริมมุมมอง ส่วนเรื่องที่ไม่ควรจะทำก็เช่น การเอาเวลามานั่งนินทาคน นั่งใส่ใจเรื่องส่วนตัวของคนอื่น หรือเอาเวลามาคิดว่าถ้าสมัยก่อนชั้นขายหุ้นตัวนี้ไปได้รารานั้นป่านนี้รวยไปแล้ว หรือ ถ้าตอนนั้นชั้นซื้อหุ้นตัวนั้นได้ในราคานี้ชั้นก็รวยไปแล้วเหมือนกัน เรื่องแบบนี้ไม่ว่าจะคิดให้หัวระเบิดแค่ไหนก็ไม่เกิดประโยชน์
ในตลาดหุ้นนั้นมีการลงทุนหลายแนว ในที่นี้ผมขอพูดถึงมุมมองของนักลงทุนพื้นฐาน ผมคิดว่าการลงทุนแนวพื้นฐานนั้นจะให้ความสำคัญกับตัวหุ้นมากที่สุดมากกว่าทุกอย่าง ถ้าคุณเป็นนักลงทุนแนวพื้นฐานคุณก็จะไม่ออกมาบอกว่าคุณคิดว่าปีหน้า set จะเป็นอย่างไร จะดีหรือไม่ดี แน่นอนคนในตลาดหุ้นชอบฟังเรื่องพวกนี้ ผมเองแต่ก่อนก็เคยออกมาคาดการณ์ set แต่พอถึงจุดนึงผมก็เริ่มรู้ว่าจริงๆแล้วไม่มีใครรู้หรอกว่าตลาดจะเป็นอย่างไร ผมก็เลยเลิกคาดไปแล้ว มีนักลงทุนแนวพื้นฐานหลายๆคนที่ในช่วงตลาด sideway ช่วงปี 2004-2007 พอร์ตพวกเขาโต 6-8 เท่า ช่วงนั้น set ก็ไม่ใช่ขาขึ้นแต่พวกเขารวยขึ้นเยอะมาก พวกเขาไม่ได้ออกมาบอกว่าพวกเขาคาดการณ์ set ยังไง ในสมัยที่ผมเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับภาพใหญ่มากผมเคยไปตั้งคำถามกับ พี่ โจ ลูกอีสาน แห่งเว็บ tvi โดยถามว่าเขามีความเห็นอย่างไรเกี่ยวกับการลงทุนแบบ ศึกษาภาพกว้างก่อนแล้วค่อยเจาะรายบริษัท พี่โจ ตอบกลับมาว่าถ้าเราตามข่าวเศรษฐกิจมากๆก็จะรู้ได้ว่าเศรษฐกิจจะดี กลางๆ หรือ ไม่ดี ซึ่งเราไม่ต้องถึงขนาดไล่ล่าตัวเลขเศรษฐกิจเพราะ buffet กับ lynch ก็ให้เวลากับการติดตามตัวเลขเศรษฐกิจน้อยมากๆ ผมเองได้นำความเห็นของพี่โจมาใช้ในการลงทุนผมเอาเวลาไปดูหุ้นที่น่าสนใจผมก็เจอหุ้นที่ undervalue เรื่อยๆ แต่ถ้าตลาดแพงผมก็เจอหุ้น undervalue น้อย หรือถ้าเจอก็ต้องรอให้หุ้นตัวนั้นลงอีกหน่อยเพื่อเพิ่ม margin of safety ให้มากขึ้นแล้วค่อยลงทุน แต่ถ้าตลาดถูกมากๆผมจะเจอหุ้น undervalue เยอะมากจนตาลายไม่รู้จะเลือกตัวไหนดี จริงๆแล้วทุกๆปีจะมีหุ้นเทพที่ขึ้นมากกว่า 150-200% ตลอด(ยกเว้นปีวิกฤติเศรษฐกิจซึ่งตามสถิติจะมี 10 ปีครั้ง) ดังนั้นถ้าเราเจอหุ้นที่ undervalue หรือเป็นหุ้นเติบโตที่ไม่มีคนค้นพบเราก็ไม่โอกาสทำกำไรสูงๆในตลาด sideway ได้ เช่นในช่วงตลาด sideway รอบก่อนๆ คนที่มองการเปลี่ยน model ของ ticon ที่ขายโรงงานเข้า tfund ออกเป็นคนแรงๆก็จะสามารถทำกำไรจาก ticon ได้เป็นเท่าตัวในเวลาไม่นานเช่น คุณ invisible hand หรือคนที่มองหุ้นประมูลอย่าง ilink ออกว่ามีธุรกิจจัดจำหน่ายและวิศวกรรม ซึ่งในตอนที่ ilink ยังถูกแค่กำไรของธุรกิจจัดจำหน่าย pe ก็ไม่แพงแต่ถ้าปีไหนประมูลงานในส่วนธุรกิจวิศวกรรมได้มากๆกำไรก็พร้อมกระโดด คนที่ทำกำไรได้ก็เช่น คุณ naris คุณ yoyo หรือคนที่มอง oishi ออกตอนต่ำกว่า 20 บาทว่าตลาดให้ pe ต่ำเกินไปเพราะมองว่าชาเขียวน่าจะเป็นแฟชั่นแต่เมื่อตลาดพิสูจน์แล้วว่าชาเขียวไม่ใช่แฟชั่นหุ้น oishi ก็วิ่งขึ้นมาเกือบเท่าตัวในช่วงออกเคมเปน 30 ฝา 30 ล้านหรือกรณีของหุ้น pdi ที่เหมืองสังกะสีโดนพายุแคทรีน่าถล่มทำให้ stock เสียหายเป็นจำนวนมากและหุ้นก็ขึ้นเป็นเท่าตัวในเวลาไม่นานซึ่ง คุณหมอ สามัญชนก็สามารถทำกำไรจากตัวนี้ได้ในเวลารวดเร็ว หรือกรณีของพี่วิบูลย์ที่ได้กำไรจาก pttep เป็น 10 เท่าเพราะมองออกว่าบริษัทมีการ growth ของกำลังการผลิตต่อเนื่องและมี pe ที่ต่ำในขณะที่บริษัทมี five forced model ที่แข็งแกร่งมากหรือพี่โจ ลูกอีสาน ที่เข้าใจถึงธุรกิจประกันและเป็นคนแรกๆที่มองถึง model ของ bancasuurance ออกและมองออกว่าการขาดทุนของ scnyl ในปี 2004 เป็นเพราะต้องจ่ายค่าคอมเยอะในปีแรกแต่หลังจากนั้นจะค่อยมีเบี้ยรับเพิ่มขึ้นเสมอ หรือ พี่กาละมังแห่ง tvi ที่ทำกำไรจาก ums ได้ถึง 500% ในปีเดียวเพราะเห็นว่า pe ต่ำและมี dividend เยอะในขณะเดียวกันการที่น้ำมันราคาแพงก็สามารถชวนลูกค้าเปลี่ยน boiler ได้ง่าย ยังมีตัวอย่างอีกมากมายซึ่งผมไม่สามารถเขียนได้หมดแต่ผมกล้ายืนยันว่าในตลาด sideway นั้นจะมีหุ้นที่ทำผลตอบแทนสูงๆได้ตลอดและจะมีคนที่รวยจากหุ้นเหล่านี้ด้วย จะเห็นได้ว่าหลายๆครั้งโอกาสการลงทุนเกิดจากนักลงทุนคนอื่นยังมองตัวธุรกิจจริงๆของบริษัทไม่ออก หรือนักลงทุนไม่เข้าใจตัวธุรกิจเชิงลึกของหุ้นเหล่านี้ทำให้ผู้ที่ค้นพบหุ้นเหล่านี้ทำกำไรได้สูงในเวลาไม่นาน
ผมคิดว่าถ้าคุณเป็นนักลงทุนแนวพื้นฐานสิ่งที่คุณควรทำคือ การหาหุ้น undervalue หุ้น underestimate หุ้น change business model หุ้น growth ที่คนยังมองไม่เห็น หุ้นคอมโมดิตี้ที่คนไม่เข้าใจตัวธุรกิจหรือมีภัยธรรมชาติมาทำให้ stock เสียหายหุ้นประกันชีวิตที่เปลี่ยนช่องทางการขายและเติบโตเร็ว หรืออะไรต่างๆ ที่พี่ๆที่ลงทุนในแนวพื้นฐานรุ่นก่อนๆสามารถทำกำไรได้อย่างงดงาม ยิ่งคุณให้เวลากับการศึกษาหุ้นตัวใหม่ๆการอ่าน annual ฟัง clip oppday มากเท่าไหร่ก็ยิ่งมีโอกาสมากขึ้นเท่านั้น ผมคิดว่านี้คือสิ่งที่ควรทำของนักลงทุนแนวพื้นฐาน
ถามว่าเศรษฐกิจ usa ยุโรป มีผลต่อราคาหุ้นไหม คำตอบคือมี คำถามต่อมาคือแล้วเราควรใส่ใจไหม ในความเห็นของผมคือ ผมว่ามันเป็นปัจจัยที่เราควบคุมไม่ได้เนื่องจากว่าเราไม่มีทางรู้ว่า europe ประชุมรอบนี้จะเพิ่มเงินกองทุนเท่าไหร่ กรีซจะรอดไหมในเดือน ธันวาคม อิตาลีจะเป็นรายต่อไปเมื่อไหร่ ผมว่าเราตามข่าวได้แต่เราไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เราไม่รู้ว่าผู้นำเยอร์มันนีจะตัดสินใจอย่างไร ผมเลยคิดว่าถ้าเราต้องเสียเวลามหาศาลในการติดตามข่าวแต่ผลลัพธ์คือเราควบคุมอะไรไม่ได้ เราควบคุมให้ eu เตะ กรีซออกไปจากกลุ่มเพื่อให้มันจบเร็วๆเพราะเราเบื่อความครุมเครือไม่ได้ หลังๆผมเลยไม่ค่อยติดตามข่าวพวกนี้มากแล้ว และผมคิดว่าการติดตามข่าวพวกนี้มากจนเกินไปและให้น้ำหนักของปัจจัยพวกนี้มากกว่าการศึกษาพื้นฐานหุ้นน่าจะเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำสำหรับนักลงทุนแนวพื้นฐาน
ที่มา จาก web blog ของ K.hongvalue
http://hongvalue.wordpress.com/2012/01/ ... %e0%b8%b1/