หน้า 1 จากทั้งหมด 1

สัญญาณเตือนจากครุกแมน : เศรษฐกิจจีนกำลังจะล่ม?

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ม.ค. 06, 2012 7:09 pm
โดย matee
โดย ดำรง ลีนานุรักษ์ มหาวิทยาลัยแม่โจ้




(ที่มา : มติชนรายวัน ฉบับวันที่ 5 ม.ค.2555)







พอล ครุกแมน ศาสตราจารย์ นักเศรษฐ ศาสตร์ รางวัลโนเบล ปี 2550 และคอลัมนิสต์ประจำหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์ เพิ่งเขียนบทความส่งสัญญาณเตือนว่า ทุกวันนี้ทั้งโลกกำลังจุกอกกันอยู่จากวิกฤตเศรษฐกิจที่เริ่มจากสหรัฐอเมริกา และที่กำลังแผ่สะเทือนไปทั้งโลกจากกลุ่มประชาคมยุโรปหรืออียู โลกเราไม่ได้ต้องการศูนย์กลางวิกฤตเศรษฐกิจตัวใหม่ที่จะส่งผลสะท้านสะเทือนโลกเพิ่มขึ้นอีกเลย แต่เราน่าจะหลีกเลี่ยงไม่ได้ด้วย ภาวะฟองสบู่อสังหาฯในเมืองจีนได้เริ่มแตกแล้ว (http://www.nytimes.com/2011/12/19/ opinion/krugman-will-china-break.html?src= me&ref=general)

พอลว่า ให้ลองพิจารณาภาพต่อไปนี้ : การเจริญทางเศรษฐกิจที่เป็นอยู่ ขึ้นอยู่กับการบูมของสิ่งก่อสร้างขนาดยักษ์ใหญ่ๆ ที่ถูกกระตุ้นโดยการพุ่งสูงขึ้นของราคาอสังหาฯ ร่วมกับสัญญาณที่คลาสสิกของฟองสบู่

นั่นคือ การเพิ่มขยายตัวอย่างสูงในการปล่อยสินเชื่อ โดยที่สินเชื่อส่วนใหญ่เหล่านั้นไม่ได้ถูกปล่อยจากระบบธนาคารที่เป็นสากล แต่กลับถูกปล่อยจากระบบธนาคารเงา (shadow banking) ที่ไม่ได้ถูกควบคุมกำกับ ไม่ว่าจะเป็นการดูแลหรือมีการประกันหนุนหลังโดยรัฐบาล ขณะนี้ฟองสบู่กำลังแตก และเป็นเรื่องที่น่าหวาดวิตกต่อการเกิดวิกฤตทางการเงินและเศรษฐกิจ

ภาพข้างบนดูแล้วอย่างกับว่ากำลังอธิบายปรากฏการณ์ฟองสบู่แตกในปลายปี 2523 ที่ญี่ปุ่น หรือไม่ก็ที่อเมริกา เมื่อปี 2550 แต่สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดนั้นกำลังเกิดขึ้นที่จีน และกำลังก่อตัวขึ้นเป็นจุดอันตรายจุดใหม่ในเศรษฐกิจโลก

เขาออกตัวว่าเขาลังเลอยู่เหมือนกันที่จะให้น้ำหนักกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในจีน ส่วนหนึ่งเป็น เพราะว่า มันยากที่จะรู้ว่าจริงๆ แล้วอะไรที่เกิดขึ้นอยู่ในประเทศจีน ด้วยข้อมูลสถิติทางด้านเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่ดูแล้วน่าเบื่อแบบนิยายวิทยาศาสตร์ แต่ตัวเลขของจีนกลับแปร่งๆ แบบนิยายกว่าเขาหมด เขาเคยลองปรึกษาเรื่องนี้กับผู้เชี่ยวชาญทางเศรษฐศาสตร์จีน พบว่าผู้เชี่ยวชาญแต่ละคนไม่เคยอธิบายผลออกมาในทางเดียวกันเลย แม้ว่าข้อมูลที่เป็นทางการของจีนจะมีปัญหาอยู่ แต่ข่าวสารที่มีอยู่ในปัจจุบันก็รุนแรงเพียงพอที่จะต้องตีระฆังเตือนกัน

สิ่งที่เด่นชัดเกี่ยวกับเศรษฐกิจจีนในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาคือ เรื่องของอัตราการบริโภคในครัวเรือนที่สูงขึ้น แต่อยู่ในอัตราที่ต่ำกว่าการขยายตัวทางเศรษฐกิจโดยรวม

ในเรื่องนี้พบว่าการใช้จ่ายในครัวเรือนอยู่ที่เพียง 35 เปอร์เซ็นต์ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ซึ่งต่ำกว่าสัดส่วนเดียวกันนี้ของอเมริกาอยู่ครึ่งหนึ่ง

อเมริกาคือผู้ซื้อรายใหญ่ของสินค้าและบริการที่ผลิตจากจีน แต่กำลังซื้อได้หดลงเพราะวิกฤตการณ์ทางการเงิน จีนยิ่งต้องผลักดันการส่งออกให้มากขึ้น เพื่อรักษาให้ภาคอุตสาหกรรมอยู่รอด แต่เรื่องที่ใหญ่กว่าเรื่องนี้ของจีนอยู่ที่การใช้จ่ายเพื่อการลงทุน ซึ่งได้พุ่งทะยานขึ้นสูงเกือบครึ่งหนึ่งของ GDP

คำถามที่เกิดขึ้นคือ ในขณะที่ความต้องการหรืออุปสงค์เพื่อการบริโภคค่อนข้างต่ำ อะไรที่จูงใจให้มีการใช้จ่ายเพื่อการลงทุนที่สูงมากๆ นั้น

คำตอบที่ชัดๆ คือ มันสืบเนื่องจากภาวะฟองสบู่ของอสังหาฯที่สั่งสมมานาน

การลงทุนในภาคอสังหาฯได้เพิ่มขึ้นประมาณหนึ่งเท่าตัวในสัดส่วนของ GDP ตั้งแต่ปี 2543 หรือมากกว่าครึ่งหนึ่งของการลงทุนรวมทั้งหมดที่เพิ่มขึ้น และเป็นที่มั่นใจได้ว่าการลงทุนในภาคอื่นๆ ที่เพิ่มขึ้นนั้น เป็นการลงทุนในการขยายกิจการร้านค้าที่ทำธุรกรรมกับกลุ่มอุตสาหกรรมการก่อสร้าง

แล้วเรารู้จริงๆ หรือว่าเกิดภาวะฟองสบู่ในธุรกิจอสังหาฯ ในจีน?

เขาว่า พบว่าสัญญาณต่างๆ มันแสดงออกอย่างนั้น : ไม่ใช่แค่ราคาพุ่งสูงขึ้น แต่บรรยากาศเต็มไปด้วยการปั่นการเก็งกำไรที่คุ้นๆ กันอยู่ในอเมริกาก่อนหน้านี้ เช่นแถบชายฝั่งฟลอริดา

ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่เหมือนกับกำลังเดินคู่อยู่ในแนวทางเดียวกับประสบการณ์ของอเมริกา : เมื่อการให้สินเชื่อบูม สินเชื่อส่วนใหญ่ไม่ได้มาจากธนาคาร แต่จะมาจากการปล่อยสินเชื่ออย่างขาดการให้คำแนะนำที่ดี จากระบบธนาคารเงาที่ผู้กู้ไม่ได้รับความคุ้มครอง จริงอยู่ที่จะมีความแตกต่างอย่างมากในรายละเอียด : ธนาคารเงาหรือ shadow banking ในสไตล์แบบอเมริกามักปล่อยกู้กับบริษัทใหญ่ๆ ดังๆ แถบวอลสตรีตและกลุ่มธุรกรรมทางการเงินที่ซับซ้อน

ในขณะที่เวอร์ชั่นของจีนมีแนวโน้มที่จะผ่านไปทางธนาคารหรือสถาบันทางการเงินใต้ดินและแม้แต่โรงจำนำ แต่แน่นอนว่า ผลเบื้องปลายของมันไม่ต่างกัน ในจีนจะเจอเหมือนอเมริกาเมื่อหลายปีก่อน ระบบการเงินอาจจะเลวร้ายรุนแรงมากกว่าตัวเลขความเสียหายที่จะถูกเปิดเผยโดยธนาคาร

พอล ครุกแมน กล่าวว่า ขณะนี้ถือว่าได้เห็นการแตกของฟองสบู่แล้ว มันจะทำความเสียหายให้แก่เศรษฐกิจจีนและโลกเพียงใด?

บางคนอาจจะกล่าวว่า ไม่ต้องห่วงหรอก จีนมีผู้นำประเทศที่เข้มแข็งและฉลาด ที่จะทำทุกอย่าง เพื่อสกัดการไหลเลื่อนลงเหวของเศรษฐกิจ และเขาจะทำได้ทุกอย่างโดยไม่ต้องห่วงเรื่องละเมิดประชาธิปไตย

พอลว่า ฟังแล้วเหมือนการสัญญารับรองสุดท้าย ที่คุ้นๆ ที่เขาจำได้เมื่อวิกฤตของญี่ปุ่นช่วง 3 ทศวรรษก่อน เมื่อเจ้าหน้าที่ที่เก่งๆ ของกระทรวงการคลัง ที่ทุกคนเชื่อว่าแก้ไขปัญหาทุกอย่างในตอนนั้นได้อย่างดี แต่ต่อมาก็พบว่าล้มเหลวและเป็นการรับรองที่ทำให้ญี่ปุ่นเกิดภาวะเศรษฐกิจชะงักงันไปร่วมทศวรรษ คำรับรองแบบที่อเมริกาไม่ควรตามและผิดซ้ำ

แต่ปรากฏว่าพอถึงทีของอเมริกากลับทำได้ห่วยแตกกว่าที่ญี่ปุ่นทำเสียอีก

ในวันเดียวกันกับการตีพิมพ์บทความเรื่องนี้ของพอล ครุกแมน นิตยสาร Forbes ได้ตีพิมพ์บทความของ Gordon G, Chang เรื่อง The No.1 Problem of the Chinese Economy (http://www.forbes.com/sites/gordonchang/ 2011/12/18/the-no-1-problem-of-the-chinese-economy/) ได้ให้ข้อมูลจากการประชุมระดับนโยบายทางเศรษฐกิจของประเทศ (China′s Central Economic Work Conference) ที่ปักกิ่งในวันพุธที่ 14 ธ.ค.ที่ผ่านมานี้ การประชุมครั้งนี้ มีความสำคัญด้วยเป็นการประชุมครั้งสุดท้ายก่อนการประชุมใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์ครั้งที่ 18 ใน ปีหน้า

ข้อสรุปจากที่ประชุมดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่า รัฐบาลจีนยังดำเนินการทุกอย่างให้เดินไปตามปกติ หรือ Business as usual โดยเป้าหมายทางเศรษฐกิจของปีหน้าจีนจะ "ดำเนินการให้ก้าวหน้าต่อไป ในขณะที่จะรักษาเสถียรภาพ" เสถียรภาพตามที่ประกาศจากที่ประชุมหมายถึง "ยังคงรักษานโยบายเศรษฐศาสตร์มหภาคตามที่ดำเนินมา เศรษฐกิจมีการขยายตัวอย่างสัมพัทธ์ ดัชนีผู้บริโภคที่คงตัว และมีความสงบในสังคม" Chang กล่าวว่า ปฏิญญาที่ประกาศออกมาชี้ให้เห็นว่า เป็นการส่งเสริมการขยายตัวทางเศรษฐกิจมากกว่าปีที่ผ่านมา นักวิเคราะห์ทั้งหลายส่วนใหญ่ไม่สนใจคำประกาศ แต่บอกให้เน้นดูว่ารัฐบาลจีนจะทำอะไรจริงๆ มากกว่า

โดยข้อเท็จจริงรัฐบาลจีนกำลังจะเดินหน้ากระตุ้นเศรษฐกิจ ในช่วงเดือน พ.ย.ที่ผ่านมารัฐบาล โดยธนาคารกลางได้ผ่อนคลายมาตรการเรื่องสัดส่วนทุนสำรองของธนาคารเพื่อการสหกรณ์ลง 20 ธนาคาร ตามมาด้วยการผ่อนคลายมาตรการนี้ให้แก่ธนาคารทั้งใหญ่และเล็กอย่างครบถ้วน การปล่อยสินเชื่อของธนาคารจึงเพิ่มสูงขึ้นในเดือน พ.ย. สูงกว่าการประมาณการที่เคยตั้งไว้

Chang ตั้งคำถามว่า "ควรหรือไม่ที่นโยบายเหล่านี้จะต้องเปลี่ยนทิศทาง?"

จริงอยู่เศรษฐกิจจีนที่ขยายตัวอย่างแรงเมื่อต้นปี ได้ลดความร้อนแรงลงมาเหลือแค่ตัวเลขหลักเดียว หรือหดตัวเสียด้วยซ้ำไป ทุกวันนี้ไม่มีอะไรในจีน ที่เดินไปในทิศทางที่ถูกต้อง ไม่ว่าการส่งออก การบริโภคภายในประเทศ คำสั่งซื้อสินค้า หรือราคาอสังหาฯ

และปัญหาเหล่านี้จะเพิ่มความเลวร้ายมากขึ้น ใน ขณะที่เศรษฐกิจทั่วโลกกำลังวิ่งเข้าสู่สภาพทุพพลภาพ

ความน่าเป็นห่วงต่อเศรษฐกิจจีนว่าจะล่มตามข้อเขียนของพอล ครุกแมน ดูท่าเราท่าน นักอะไรทั้งหลายคงต้องโฟกัสกัน การวางนโยบายเดินหน้ารักษาฟองสบู่ที่เป่งเต่งจะแตกปุ๊ป๊ะของจีน เสมือนยืนยันประกันว่า ทุกอย่างอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาลอย่างดีแบบ บ่ๆ มีหยังดอก มังกรจีนเรามีความโดดเด่นไม่เหมือนเขา ฟองสบู่ของจีนแตกไม่เป็นว่านั้นเถอะ

ปีหน้าปีมะโรง ปีงูใหญ่ มันจะยิ่งไปเสริมความหลงของเล่ามังกรจีนว่าเป็นปีแห่งความเจริญรุ่งเรือง แบบมังกรทองสะท้านฟ้า เราท่านก็เตรียมตัวกันให้ดีเถอะครับ ปีหน้ามีคนคาดคะเนไว้ว่า ทั้งเศรษฐกิจโลกล่ม ทั้งสภาวะอากาศวิปริต และเมืองไทยเราเขาว่าน้ำจะท่วมใหญ่กว่าปีนี้อีก

การเตรียมพร้อมมีแผนรองรับความไม่แน่นอนที่เลวร้ายจากการคาดคะเนหรือพยากรณ์ (Forcast, ไม่ใช่ดูหมอเอา) อย่างสงบ ไม่วุ่นวายใจ และไม่กลัว ภายใต้ความเป็นจริงของข้อมูลที่มีอยู่ ถ้าเหตุร้ายเกิดขึ้นตามการคาดคะเนจริง ก็จะได้ผ่อนหนักเป็นเบา เขาเรียกว่ามีวิชั่นหรือมีวิสัยทัศน์ แต่ถ้าเตรียมการแล้วเหตุร้ายไม่เกิด ทางพระเรียกว่าตั้งอยู่ในความไม่ประมาทครับ

Re: สัญญาณเตือนจากครุกแมน : เศรษฐกิจจีนกำลังจะล่ม?

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ม.ค. 06, 2012 9:27 pm
โดย Tsar
ต้องมีสักวันหล่ะครับ แต่จะเป็นเมื่อไหร่ ?
:8)

Re: สัญญาณเตือนจากครุกแมน : เศรษฐกิจจีนกำลังจะล่ม?

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ม.ค. 06, 2012 11:21 pm
โดย vim
ที่ GDP Growth ลดลงมาอยู่ในระดับนี้เป็นสิ่งที่จีนพยายามควบคุมครับ ถ้าปรับให้ค่อยๆลดลงมาเรื่อยๆได้เศรษฐกิจก็จะเข้าสู่ำภาวะเสถียร เรียกว่า Soft Landing (คือร่อนลงแล้วสามารถบินต่อได้) ถ้าปรับตัวลงรุนแรงจะเรียกว่า Bubble Burst หรือฟองสบู่แตก (คือลงทีเดียวแล้วก็หายไป) ทีนี้ก็ต้องมาวิเคราะห์กันว่าตัวเลขปัจจุบันนี้เป็นอย่างไหน

Re: สัญญาณเตือนจากครุกแมน : เศรษฐกิจจีนกำลังจะล่ม?

โพสต์แล้ว: พุธ ม.ค. 11, 2012 11:11 pm
โดย messier87
นึกถึงปี 40 แล้ว :wall:

Re: สัญญาณเตือนจากครุกแมน : เศรษฐกิจจีนกำลังจะล่ม?

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ม.ค. 12, 2012 4:40 pm
โดย kudochiniji
ถ้าเกิดแล้วหุ้นพื้นฐานดีๆถูกก็ "ซื้อ" เลยครับ (หนี้น้อยๆนะครับ)

Re: สัญญาณเตือนจากครุกแมน : เศรษฐกิจจีนกำลังจะล่ม?

โพสต์แล้ว: อังคาร ก.พ. 07, 2012 7:05 am
โดย matee
'โล่งอก'เศรษฐกิจจีนไม่มีทีท่า'ร่วงดิ่งโหม่งพสุธา'
เก็บความจากเอเชียไทมส์ออนไลน์ www.atimes.com)

China's slowdown fears ease
By Robert M Cutler
19/01/2012

เคยมีความหวาดผวากันว่า การที่จีนพยายามอย่างหนักหน่วงเพื่อควบคุมภาวะเงินเฟ้อให้อยู่หมัดนั้น อาจจะลามปามกลายเป็นการฉุดดึงอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจให้ดำดิ่งลงสู่ระดับอันตราย แต่เวลานี้ความวิตกดังกล่าวกำลังคลี่คลาย เมื่อตัวเลขการขยายตัวในช่วงไตรมาสสุดท้ายปีที่แล้วของแดนมังกร ออกมาแข็งแกร่งยิ่งกว่าที่คาดหมายกันไว้ และถึงแม้เป็นที่คาดการณ์กันว่า เศรษฐกิจจีนยังน่าจะชะลอตัวต่อเนื่องในครึ่งแรกของปีนี้ ทว่าเท่าที่มองกันอยู่ในเวลานี้ ไม่น่าเป็นไปได้หรอกที่จะทรุดหนักถึงขั้นร่วงดิ่งลงโหม่งพสุธา

มอนทรีออล, แคนาดา - ความผวาวิตกผ่อนคลายลงบ้างแล้วสำหรับกรณีที่หวาดหวั่นกันว่า ระบบเศรษฐกิจของจีนจะทรุดฮวบ หมดแรงขยายตัว และทำการดิ่งพสุธาลงมาย่อยยับคาผืนปฐพี สืบเนื่องจากการที่อัตราเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนได้ชะลอตัวลงอย่างสาหัส ในยามที่รัฐบาลเดินมาตรการหลายหลากเพื่อชะลอความร้อนแรงของภาวะเงินเฟ้อ ทั้งนี้ ในเมื่อข้อมูลใหม่สุดบ่งชี้ว่าอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกชะลอตัวน้อยกว่าที่คาดการณ์กัน ขณะที่ภาวะเงินเฟ้อกลับหดลงมาอยู่ในระดับต่ำสุดในรอบ 15 เดือน
ตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ของไตรมาส 4/2011 ขยายตัวที่อัตรา 8.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2010 ทั้งนี้เป้นตัวเลขจากสำนักงานสถิติแห่งชาติของจีน จีดีพีดังกล่าวแม้ว่าจะลดลงจากระดับ 9.1% ของเมื่อไตรมาส 3/2011 แต่ก็เป็นอะไรที่แข็งแกร่งเกินค่าประมาณการของฝ่ายต่างๆ
หากใช้ไตรมาส 3/2011 เป็นฐานการคำนวณ ตัวเลขของไตรมาส 4/2011 จะเท่ากับอัตราโตต่อปีที่ปรับตามปัจจัยตามฤดูกาลแล้ว ณ 8.2% ส่วนสำหรับตัวเลขเฉลี่ยตลอดปี 2011 แล้ว การขยายตัวทางเศรษฐกิจของจีนแผ่วลงเหลือพลังการโตเพียง 9.2% ซึ่งเป็นการโตน้อยลงจากเมื่อหนึ่งปีก่อนหน้าซึ่งเคยทำสถิติไว้ ณ ระดับ 10.4%
สำหรับครึ่งแรกของปีนี้ คาดกันว่าจีนจะมีการเติบโตทางเศรษฐกิจที่โรยราต่อเนื่องจากปีที่แล้ว ก่อนจะผงาดขึ้นใหม่ไปจนสิ้นปี
ส่วนในด้านเงินเฟ้อ ความร้อนแรงลดลงในเดือนธันวาคม สู่ระดับ 4.1% ต่อปี ซึ่งเป็นอัตราที่ต่ำสุดในรอบ 15 เดือน แต่อัตราเงินเฟ้อเต็มปีคาดกันว่าจะอยู่ที่ 5.4% ซึ่งยังสูงกว่าเป้าหมายของรัฐบาลปักกิ่งซึ่งกำหนดที่ 4%
ปัจจุบันนี้ ทางการจีนอนุญาตให้ 5 ธนาคารพาณิชย์รายใหญ่ที่สุดของประเทศสามารถขยายการปล่อยสินเชื่อ นอกจากนั้น ยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาแผนผ่อนปรนข้อกำหนดในด้านเงินทุน ทั้งนี้เป็นข่าวจากค่ายบลูมเบิกร์ก ซึ่งอ้างแหล่งข่าวว่าเป็น “สองท่านในแบงก์รัฐ”
ด้านสำนักข่าวซินหวา ออกรายงานมา ภายหลังการประชุม “ภารกิจการเงินแห่งชาติ” ซึ่งจัดขึ้นทุกๆ 5 ปีเพื่อจัดทำแผนพัฒนาภาคการเงิน โดยอ้างคำกล่าวของผู้ว่าแบงก์ชาติจีน (PBoC) โจว เสี่ยวชวน ซึ่งบอกว่า เวลานี้การต่อต้านเงินเฟ้อไม่ใช่เรื่องสำคัญดั่งที่เคยเป็นมาเมื่อหนึ่งปีก่อน กระนั้นก็ตาม ดัชนีเงินเฟ้อในหมวดอาหารยังคงทะยานด้วยอัตราต่อปีที่ 9.1% ในเดือนธันวาคม โดยที่ว่าเมื่อหนึ่งเดือนก่อนหน้า อัตราเคยอยู่ที่ 8.8% ต่อปีและเป็นอัตราที่ต่ำสุดในรอบหนึ่งปี
การเติบโตด้านสินเชื่อและปริมาณเงินในเดือนธันวาคมอยู่ในภาวะที่ล้นเกินประมาณการของเสียงส่วนใหญ่ในแวดวงการเงิน นั่นเป็นเครื่องสะท้อนการผ่อนปรนแก่สภาวะทางการเงินของประเทศ ซึ่งจะช่วยบรรเทาผลกระทบรุนแรงใดๆ ที่อาจเกิดจากวิกฤตในยุโรปและอเมริกาเหนือ ทั้งนี้ ปริมาณเงิน M2 (ซึ่งรวมตั้งแต่เหรียญกษาปณ์และธนบัตรทั้งหมด บวกด้วยเงินฝากเผื่อเรียก เงินฝากประจำ เงินฝากออมทรัพย์ ไปจนถึงกองทุนตลาดเงินประเภทที่มิใช่สถาบัน) พุ่งสูงขึ้นมา 13.6% เกินกว่าประมาณการที่วางไว้แค่ 12.9%
แบงก์ชาติของจีนได้ลดข้อกำหนดด้านสัดส่วนการตั้งสำรองเงินฝากตั้งแต่เมื่อปลายเดือนพฤศจิกายน เพื่อเพิ่มสภาพคล่องภายในแวดวงธนาคาร ในการนี้ แบงก์ชาติจีนเน้นให้มีปริมาณเงินเพียงพอแก่ช่วงเทศกาลตรุษจีน โดยบอกว่าจะชะลอการขายหนี้ และถ้าจำเป็นก็จะเร่งปริมาณเงินในตลาดหลักทรัพย์หรือภายในสถาบันการเงินผ่านการเข้าซื้อหลักทรัพย์
มาตรการดังกล่าวนับว่าสำคัญมาก เพราะดัชนีตลาดหลักทรัพย์เป็นเครื่องชี้บ่งระบบเศรษฐกิจโดยองค์รวม โดยทำหน้าที่สะท้อนความคาดหวังของผู้เข้าซื้อหลักทรัพย์ในช่วง 6-9 เดือนข้างหน้า ซึ่งถ้าราคาหลักทรัพย์ของจีนเดินหน้าในทิศทางอ่อนแอ นั่นย่อมสะท้อนถึงปัญหาการขาดความเชื่อมั่นในศักยภาพทางเศรษฐกิจของประเทศที่ต่อเนื่องยาวไปจรดปลายปี 2012 ทีเดียว
ที่ผ่านมา ในสัปดาห์ที่สามของเดือนมกราคม 2012 ดัชนีตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้ปิดตลาดวันพุธที่ 18 มกราคม ที่ระดับ 2,266 ซึ่งเท่ากับว่าสามารถฝ่าแนวต้านระดับกลางๆ ของ2,300 ได้สำเร็จ และเป็นการเพิ่มโอกาสที่จะพ้นออกมาจากแนวโน้มขาลงระยะปานกลางได้สำเร็จ
ดัชนีฮั่งเส็งของตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง ซึ่งมีแพทเทิร์นละม้ายกับดัชนีหลักทรัพย์ SSEC ของตลาดเซี่ยงไฮ้ สามารถทำผลงานได้ดีกว่ามาโดยตลอดนับจากเดือนตุลาคมปีที่แล้ว ด้านดัชนี TSEC ของตลาดหลักทรัพย์ไต้หวันสามารถประคองตัวยืนเหนือแนวรับที่ 7,200 ได้สำเร็จด้วยปัจจัยหนุนจากชัยชนะในการเลือกตั้งสมัยที่ 2 ของประธานาธิบดีหม่า อิงจิ่ว อย่างไรก็ตาม ตลาดแห่งนี้ต้องขับเคลื่อนขึ้นหน้าอีก 21% กว่าจะกลับคืนสู่สถิติเดิมที่ทำไว้เมื่อ 6 เดือนที่แล้ว ทั้งนี้ เศรษฐกิจของทั้งฮ่องกงและไต้หวันเป็นประดุจคู่แฝดกับเศรษฐกิจของจีนแผ่นดินใหญ่
ด้านดัชนี MSCI สำหรับเอเชีย แปซิฟิก ประกาศออกมาเป็นบวก 3.3% ณ เย็นวันพุธที่ 18 มกราคมตามเวลาในประเทศญี่ปุ่น โดยยืนจ่ออยู่ที่แนวต้านระดับ 118 อันเป็นช่วงที่เป็นสถิติเก่าในยุคหลังวิกฤตการเงิน
ประมาณการต่อศักยภาพทางเศรษฐกิจของจีนภายในปีนี้ทั้งปี จะมีอิทธิพลอย่างยิ่งต่อการที่ดัชนี MSCI จะฝ่าแนวต้านขึ้นไปสำเร็จ ในการนี้ แทบจะไม่ต้องสงสัยเลยว่าสภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวจะยืดเยื้อต่อเนื่องสืบไป
ตัวอย่างเช่น อัตราการสร้างที่อยู่อาศัยใหม่ในจีนแผ่นดินใหญ่ถดถอยลง 19% ในเดือนธันวาคมเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของหนึ่งปีก่อนหน้า และสภาพการณ์นี้จะไม่กระเตื้องขึ้นในเร็ววันนี้ ในเวลาเดียวกัน ในเมื่อการก่อสร้างที่อยู่อาศัยมีผลต่ออุปสงค์ด้านปูนซิเมนต์ เหล็กกล้า ฯลฯ ดังนั้น ภาคเศรษฐกิจตรงนี้จึงอยู่ในภาวะถดถอยเช่นกัน นอกจากนั้น ในเมื่อภาคเศรษฐกิจนี้มีสัดส่วนเป็น 8% ในระบบเศรษฐกิจทั้งหมด จึงคาดได้เลยว่าระบบเศรษฐกิจโดยรวมจะถูกฉุดลงไปอย่างต่อเนื่องอย่างมากมาย
ส่วนสำหรับภาพรวมแล้ว ตัวเลขเศรษฐกิจที่ทางการปักกิ่งประกาศมาในระยะนี้ ทำให้คาดกันอย่างกว้างขวางในบรรดานักวิเคราะห์ว่า เศรษฐกิจจีนจะชะลอตัวลงมาจากภาวะร้อนแรง จนถึงระดับเสถียรภาพได้อย่างค่อยเป็นค่อยไปแบบซอฟต์แลนดิ้ง มากกว่าจะทรุดฮวบรวดเร็จแบบฮาร์ดแลนดิ้ง กระนั้นก็ตาม ต้องไม่ลืมว่าปัจจัยอื่นๆ อย่างเหตุการณ์ความไม่สงบในด้านแรงงานและปัญหาทางสังคมอื่นๆ ยังเป็นปัจจัยเสี่ยงที่เอาแน่นอนไม่ได้ในการทำประมาณการ

ดร.โรเบิร์ต เอ็ม คัตเลอร์ (www.robertcutler.org) สำเร็จการศึกษาจากสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ (MIT) และมหาวิทยาลัยมิชิแกน และได้ทำงานวิจัยตลอดจนสอนอยู่ตามมหาวิทยาลัยหลายแห่ง ทั้งในสหรัฐฯ, แคนาดา, ฝรั่งเศส, สวิตเซอร์แลนด์, และรัสเซีย เวลานี้เขาเป็นนักวิจัยอาวุโสอยู่ที่ สถาบันเพื่อยุโรป, รัสเซีย, และยูเรเชียศึกษา (Institute of European, Russian and Eurasian Studies) มหาวิทยาลัยคาร์ลตัน (Carleton University) ประเทศแคนาดา เขายังรับเป็นที่ปรึกษาส่วนตัวในกิจการต่างๆ หลายหลาก

Re: สัญญาณเตือนจากครุกแมน : เศรษฐกิจจีนกำลังจะล่ม?

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. เม.ย. 26, 2012 10:47 pm
โดย miracle
สังเกตบ้างไหมว่า
จีนมาลงทุนที่พม่า ลาว เวียดนาม และไทย
เพื่อการเปิดทางให้ประเทศจีนสามารถส่งสินค้าออกทางทะเล
ไปยังมหาสมุทรอินเดีย และ มหาสมุทรแปซิฟิกเพิ่มเติม นอกเหนือจากชายฝั่งทางด้านตะวันตกของประเทศที่ผ่านเซี่ยงไฮ้

ตอนนี้ประเทศจีนก็ได้พัฒนาเรืองเรือบรรทุกเครื่องบิน เครื่องบินที่ลงจอดในเรือบรรทุกเครื่องบิน อยู่ ซึ่งในขณะเดียวกัน กองทัพสหรัฐอเมริการ ก็ซ้อมรบในน่านน้ำด้านสมุทรแปซิฟิก กับเหล่าประเทศพันธมิตร

เวลาเดียวกัน แต่มองเข้าไปในตอนลึกของจีน
รายได้ต่อหัวของประชาชนจีนโซนใน กับ รายได้ต่อหัวของประชาชนชาวจีนด้านตะวันตกแตกต่างกันมากมาย และ ความหนาแน่นของประชาชนผิดแตกต่างกันมากมาย ด้านในประชาชนอยู่อย่างเบาบางมาก แต่ด้านที่ติดทะเลนั้นประชากรอยู่แบบหนาแน่นมากๆ

ถ้าหากประเทศจีนนั้นมีปัญหา ไม่ได้เกิดจากภายนอก แต่เกิดจากภายในตัวเองมากกว่า เพราะการเลื่อมล้ำเรื่องของรายได้ประชากร การพัฒนาประเทศที่ก้าวไปอย่างไม่มั่นคง ซักมากกว่า
:)

Re: สัญญาณเตือนจากครุกแมน : เศรษฐกิจจีนกำลังจะล่ม?

โพสต์แล้ว: อังคาร พ.ค. 29, 2012 8:14 pm
โดย matee
ที่ด้านจะวันตก มีคนเบาบาง เพราะว่าม้นมีแต่ภูเขาสูงกับ ทะเลทราย
อเมริกา ก็เหมือนกันครับ บาง รัฐ คนเบาบางมาก เพราะว่าม้นเป็นทะเลทรายไง

เหมือนเมืองไทยนี่แหละ คนก็มากระจุดอยู่ที่ภาคกลางเยอะมาก

กทม มีพื้นที่นิดเดียว แต่มีคน มาเกือบ 10 กว่าล้านคน เท่ากับ 1 ใน 6 ของประชากรในประเทศเลย

ทุกประเทศนั่นแหละ ในชนบท หรือที่ห่างไกล คนเบาบางทั้งนั้น

Re: สัญญาณเตือนจากครุกแมน : เศรษฐกิจจีนกำลังจะล่ม?

โพสต์แล้ว: อังคาร พ.ค. 29, 2012 10:13 pm
โดย nut776
จีนก็ ระเบิด bubble ด้วยตัวเองแล้วนี่คับ
คงไม่ถึงกับล่ม แต่คงต้อง open หรือถูกกลืนเป็นทุนนิยมเต็มตัวมั้งคับ