เปิดหุ้นเต็ง 'ทิวา ชินธาดาพงศ์' ปีนี้..ลุ้น 'INTUCH-SIRI-JAS
โพสต์แล้ว: จันทร์ ม.ค. 09, 2012 12:01 pm
เปิด 3 หุ้นเต็ง..เซียนหุ้นร้อยล้าน 'ทิวา ชินธาดาพงศ์' ปีนี้ลุ้น INTUCH-SIRI-JAS ปีที่ผ่านมาทำกำไรหุ้นเข้ากระเป๋า 60% สร้างสถิติใหม่ส่งท้ายปี
ตลาดหุ้นปี 2555 จะเป็น "งูใหญ่ดุร้าย" หรือ "มังกรทองนำโชค" ยังต้องติดตามกันต่อไป ท่ามกลางข่าวร้ายเดิมๆ ที่ยังไม่เจือจาง ขณะที่การเมืองปีนี้ทำท่าจะกลับมาร้อนแรงอีกครั้ง สำหรับตลาดหุ้นปีกระต่าย (2554) ที่ผ่านมา นับเป็นปีที่ "ย่ำแย่" สำหรับการลง เพราะปี 2553 ดัชนีปิดที่ 1,032 จุด ปี 2554 ดัชนีปิดที่ 1,025 จุด ปิดขาดทุน 7 จุดใครจับหุ้นผิดตัวส่วนใหญ่จะ "มือพอง"
แต่สำหรับเซียนหุ้นอดีตวินมอเตอร์ไซค์ "มี่" ทิวา ชินธาดาพงศ์ กลับเป็นปีที่ดีสำหรับเขา สร้างผลตอบแทนทะลุเป้าที่ตั้งไว้ 20% สามารถทำกำไรได้ถึง 60% โดยปีนี้ เซียนหุ้นร้อยล้านเปิดโพยหุ้นเต็ง 3 ตัวที่ถือมาตั้งแต่ปีที่แล้ว ได้แก่ บมจ.ชิน คอร์ปอเรชั่น (INTUCH) บริษัทแม่ ADVANC และ THCOM บมจ.จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล (JAS) ของ พิชญ์ โพธารามิก และ บมจ.แสนสิริ (SIRI) ของ เศรษฐา ทวีสิน
ทิวาเป็นหนึ่งในเซียนหุ้นลูกทุ่ง หนุ่มวัย 30 แก่ๆ ผู้กล้าได้กล้าเสียเจ้าของนามแฝง SAI ในเว็บไซต์หุ้นชื่อดัง ผู้ที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร เขาจบการศึกษาเพียงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 จากโรงเรียนพร้อมพรรณวิทยา ย่านประชาสงเคราะห์ เคยประกอบอาชีพมาสารพัดอย่างทั้งไกด์นำเที่ยว, เซลส์แมน, ขายประกัน, เป็นลูกจ้างขายโทรศัพท์มือถือ
รวมทั้งเคยขี่มอเตอร์ไซค์รับจ้าง และเคยติดการพนันจนหมดเนื้อหมดตัว ชีวิตที่ผ่านมาประสบความสำเร็จบ้างแต่ล้มเหลวเป็นส่วนใหญ่ จนวันหนึ่งก้าวเข้ามาสู่ตลาดหุ้นแล้วประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วในยุคหลังแฮมเบอร์เกอร์ ไครซีส (2552-2554) เส้นทางชีวิตของเซียนหุ้นรายนี้กรุงเทพธุรกิจ BizWeek เคยนำเสนอผ่านสายตาผู้อ่านไปแล้ว
"ปี 2554 ถือเป็น “ปีกระต่ายทอง” ของผมก็ว่าได้ เพราะสามารถทำกำไรสูงกว่าเป้าหมายค่อนข้างมากตั้งเป้าไว้ 20% แต่ทำได้ถึง 60% หุ้นในพอร์ต 8-9 ตัว เป็น “พระเอก” ทุกตัว" ทิวา เปิดฉากเล่า
เขาบอกว่า ก่อนลงทุนหุ้นทุกตัวจะศึกษารายละเอียดจนแน่ใจแล้วว่าหุ้นตัวนั้นไม่มีความเสี่ยง และสามารถสร้างผลตอบแทนได้สูงตามเป้าหมาย โดยยึดเรื่อง "ความเสี่ยง" มาก่อนปัจจัยอื่น อย่างแย่ที่สุดลงทุน "ถูก 2 ต้องผิดแค่ 1" และถ้าเป็นไปได้ต้อง "ถูก 3 ครั้ง และพลาดให้น้อยที่สุด"
ทิวา เลือกวิเคราะห์หุ้นเด่นในพอร์ตให้ฟัง 3 ตัว โดย บมจ.ชิน คอร์ปอเรชั่น (INTUCH) เป็นหุ้นดาวเด่นในพอร์ตมาตั้งแต่ปี 2554 เด่นทั้งผลประกอบการ เด่นทั้งการจ่ายเงินปันผล โดยเข้าเก็บหุ้นตัวนี้มาได้พักใหญ่แล้ว เจ้าตัวยืนยันจะถือต่อไปเรื่อยๆ ถ้ามีจังหวะช่วงที่หุ้นตกจะซื้อเพิ่ม ส่วนตัวเชื่อว่าในปี 2555 นี้ ชิน คอร์ปอเรชั่นอาจมีรายได้ขยายตัวประมาณ 10% แต่กำไรจะเติบโตโดดเด่นมาก นี่ยังไม่รวมกำไรจาก 3G ที่จะเปิดประมูลภายในปีนี้ มั่นใจว่าอนาคตต้องสดใสอย่างแน่นอน
"เอไอเอส (บริษัทลูก) มีฐานลูกค้าในมือ 34 ล้านราย ส่วนใหญ่เป็นลูกค้าระดับกลาง-บน และมีส่วนแบ่งการตลาดสูงที่สุดในระบบ 55% จุดเด่นนี้ทำให้หุ้น (แม่) INTUCH ดีไปด้วย นอกจากนี้ผลประกอบการปี 2554 ยังได้กำไรจากการขายหุ้น ADVANC จำนวน 61 ล้านหุ้น ที่ราคา 130 บาทต่อหุ้น เอากำไรทั้งหมดมาจ่ายปันผลหุ้นละ 2.34 บาท เป็นเงินทั้งสิ้น 7,503 ล้านบาท"
หุ้นอีกตัวที่เก็บเข้าพอร์ตคือ บมจ.แสนสิริ (SIRI) หุ้นตัวนี้ก็สะสมมาได้ระยะหนึ่งแล้ว ซึ่งผู้บริหารของบริษัทออกมาประเมินว่าปี 2555 อาจมียอดขาย 26,000-27,000 ล้านบาท ถือว่าสูงเป็นอันดับหนึ่งแทนที่ บมจ.พฤกษา เรียลเอสเตท ที่ประกาศเปิดโครงการลดลงเพราะเจอพิษน้ำท่วม แต่แสนสิริได้รับความเสียหายจากน้ำท่วมเพียง 4 โครงการ แต่น้ำเข้าไปถึงในตัวบ้านแค่ 2 โครงการ
"ผมมองว่าหุ้น SIRI ราคายังต่ำกว่าพื้นฐาน หุ้นตัวนี้ยังมีช่องว่างให้ขึ้นได้อีกมาก"
ตัวสุดท้าย บมจ.จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล (JAS) ทิวา กล่าวว่า เก็บมาตั้งแต่ราคา 1.80 บาท มองว่าโอกาสไปต่อยังมี เพราะปี 2555 ผู้บริหารเขาคาดว่าจะมีรายได้เติบโต 15% จากปี 2554 ที่คาดว่าจะมีรายได้ประมาณ 10,000 ล้านบาท
"ผมมองว่าอุตสาหกรรมสื่อสารมีโอกาสเติบโตเกิน 10% ต่อปี เชื่อว่าภายใน 3-5 ปีข้างหน้า คนไทยจะใช้อินเทอร์เน็ตความเร็วสูงเพิ่มขึ้นเป็น 36-37 ล้านราย จากปัจจุบันยังใช้กันไม่มาก ซึ่งดูตัวเลขเติบโตขึ้นทุกปีสถิติปี 2551 มีคนใช้ 11 ล้านราย ปี 2552 เพิ่มเป็น 18.3 ล้านราย และปี 2553 จำนวน 24 ล้านราย"
แม้ใครจะมองว่าตลาดหุ้นปี 2555 จะไม่สดใสอีกปี แต่สำหรับเซียนหุ้น ม.3 เจ้าของพอร์ตหลักร้อยล้านบาท กลับมองว่า ตลาดหุ้นปีนี้ "ยังน่าลงทุนมากกว่าสินทรัพย์ประเภทอื่นๆ" เขามองเศรษฐกิจไทยปีนี้น่าจะดีกว่าปีที่ผ่านมา และยังได้แรงกระตุ้นจากเม็ดเงินฟื้นฟูของรัฐบาล บริษัทในตลาดหลักทรัพย์ได้ประโยชน์จากภาษีนิติบุคคลจาก 30% เหลือ 23%
"วันนี้ยังไม่มีใครทำนายได้ว่าปัญหาหนี้ยุโรปจะจบลงช่วงไหน แต่ผมยังเชื่อว่าตลาดหุ้นยังน่าลงทุน แต่ให้เน้นหุ้นบริษัทที่มีกระแสเงินสดยั่งยืน หุ้นพวกดีแค่ปีเดียวอย่าไปซื้อ สำหรับกลยุทธ์ส่วนตัวของผม ปีนี้เล็งจะซื้อหุ้นกลุ่มสื่อสารเพิ่มคิดว่าน่าจะมาแรง คงจะซื้อทั้งตัวใหม่และตัวเก่า"
ทิวา ย้ำว่าก่อนจะลงทุนหุ้นตัวใด ขอให้นักลงทุนทำประมาณการงบการเงินของบริษัทนั้นล่วงหน้า 2 ปี (ข้างหน้า) เน้นเก็บข้อมูล "งบกำไรขาดทุน" และ "งบกระแสเงินสด" ย้อนหลัง 4-5 ปีเอามาวิเคราะห์ ซึ่งตัวเลข 2 ตัวนี้สำคัญมาก เพราะจะบ่งบอกได้ว่าบริษัทนี้มีกำไรจริงๆ หรือเป็นเพียงกำไรทางบัญชี รวมทั้งควรหาข้อมูลและศึกษาเพิ่มพูนความรู้ตลอดเวลา..ถ้าอยากจะประสบความสำเร็จในตลาดหุ้น "ผมยังทำได้...คุณก็ต้องทำได้"
ตลาดหุ้นปี 2555 จะเป็น "งูใหญ่ดุร้าย" หรือ "มังกรทองนำโชค" ยังต้องติดตามกันต่อไป ท่ามกลางข่าวร้ายเดิมๆ ที่ยังไม่เจือจาง ขณะที่การเมืองปีนี้ทำท่าจะกลับมาร้อนแรงอีกครั้ง สำหรับตลาดหุ้นปีกระต่าย (2554) ที่ผ่านมา นับเป็นปีที่ "ย่ำแย่" สำหรับการลง เพราะปี 2553 ดัชนีปิดที่ 1,032 จุด ปี 2554 ดัชนีปิดที่ 1,025 จุด ปิดขาดทุน 7 จุดใครจับหุ้นผิดตัวส่วนใหญ่จะ "มือพอง"
แต่สำหรับเซียนหุ้นอดีตวินมอเตอร์ไซค์ "มี่" ทิวา ชินธาดาพงศ์ กลับเป็นปีที่ดีสำหรับเขา สร้างผลตอบแทนทะลุเป้าที่ตั้งไว้ 20% สามารถทำกำไรได้ถึง 60% โดยปีนี้ เซียนหุ้นร้อยล้านเปิดโพยหุ้นเต็ง 3 ตัวที่ถือมาตั้งแต่ปีที่แล้ว ได้แก่ บมจ.ชิน คอร์ปอเรชั่น (INTUCH) บริษัทแม่ ADVANC และ THCOM บมจ.จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล (JAS) ของ พิชญ์ โพธารามิก และ บมจ.แสนสิริ (SIRI) ของ เศรษฐา ทวีสิน
ทิวาเป็นหนึ่งในเซียนหุ้นลูกทุ่ง หนุ่มวัย 30 แก่ๆ ผู้กล้าได้กล้าเสียเจ้าของนามแฝง SAI ในเว็บไซต์หุ้นชื่อดัง ผู้ที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร เขาจบการศึกษาเพียงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 จากโรงเรียนพร้อมพรรณวิทยา ย่านประชาสงเคราะห์ เคยประกอบอาชีพมาสารพัดอย่างทั้งไกด์นำเที่ยว, เซลส์แมน, ขายประกัน, เป็นลูกจ้างขายโทรศัพท์มือถือ
รวมทั้งเคยขี่มอเตอร์ไซค์รับจ้าง และเคยติดการพนันจนหมดเนื้อหมดตัว ชีวิตที่ผ่านมาประสบความสำเร็จบ้างแต่ล้มเหลวเป็นส่วนใหญ่ จนวันหนึ่งก้าวเข้ามาสู่ตลาดหุ้นแล้วประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วในยุคหลังแฮมเบอร์เกอร์ ไครซีส (2552-2554) เส้นทางชีวิตของเซียนหุ้นรายนี้กรุงเทพธุรกิจ BizWeek เคยนำเสนอผ่านสายตาผู้อ่านไปแล้ว
"ปี 2554 ถือเป็น “ปีกระต่ายทอง” ของผมก็ว่าได้ เพราะสามารถทำกำไรสูงกว่าเป้าหมายค่อนข้างมากตั้งเป้าไว้ 20% แต่ทำได้ถึง 60% หุ้นในพอร์ต 8-9 ตัว เป็น “พระเอก” ทุกตัว" ทิวา เปิดฉากเล่า
เขาบอกว่า ก่อนลงทุนหุ้นทุกตัวจะศึกษารายละเอียดจนแน่ใจแล้วว่าหุ้นตัวนั้นไม่มีความเสี่ยง และสามารถสร้างผลตอบแทนได้สูงตามเป้าหมาย โดยยึดเรื่อง "ความเสี่ยง" มาก่อนปัจจัยอื่น อย่างแย่ที่สุดลงทุน "ถูก 2 ต้องผิดแค่ 1" และถ้าเป็นไปได้ต้อง "ถูก 3 ครั้ง และพลาดให้น้อยที่สุด"
ทิวา เลือกวิเคราะห์หุ้นเด่นในพอร์ตให้ฟัง 3 ตัว โดย บมจ.ชิน คอร์ปอเรชั่น (INTUCH) เป็นหุ้นดาวเด่นในพอร์ตมาตั้งแต่ปี 2554 เด่นทั้งผลประกอบการ เด่นทั้งการจ่ายเงินปันผล โดยเข้าเก็บหุ้นตัวนี้มาได้พักใหญ่แล้ว เจ้าตัวยืนยันจะถือต่อไปเรื่อยๆ ถ้ามีจังหวะช่วงที่หุ้นตกจะซื้อเพิ่ม ส่วนตัวเชื่อว่าในปี 2555 นี้ ชิน คอร์ปอเรชั่นอาจมีรายได้ขยายตัวประมาณ 10% แต่กำไรจะเติบโตโดดเด่นมาก นี่ยังไม่รวมกำไรจาก 3G ที่จะเปิดประมูลภายในปีนี้ มั่นใจว่าอนาคตต้องสดใสอย่างแน่นอน
"เอไอเอส (บริษัทลูก) มีฐานลูกค้าในมือ 34 ล้านราย ส่วนใหญ่เป็นลูกค้าระดับกลาง-บน และมีส่วนแบ่งการตลาดสูงที่สุดในระบบ 55% จุดเด่นนี้ทำให้หุ้น (แม่) INTUCH ดีไปด้วย นอกจากนี้ผลประกอบการปี 2554 ยังได้กำไรจากการขายหุ้น ADVANC จำนวน 61 ล้านหุ้น ที่ราคา 130 บาทต่อหุ้น เอากำไรทั้งหมดมาจ่ายปันผลหุ้นละ 2.34 บาท เป็นเงินทั้งสิ้น 7,503 ล้านบาท"
หุ้นอีกตัวที่เก็บเข้าพอร์ตคือ บมจ.แสนสิริ (SIRI) หุ้นตัวนี้ก็สะสมมาได้ระยะหนึ่งแล้ว ซึ่งผู้บริหารของบริษัทออกมาประเมินว่าปี 2555 อาจมียอดขาย 26,000-27,000 ล้านบาท ถือว่าสูงเป็นอันดับหนึ่งแทนที่ บมจ.พฤกษา เรียลเอสเตท ที่ประกาศเปิดโครงการลดลงเพราะเจอพิษน้ำท่วม แต่แสนสิริได้รับความเสียหายจากน้ำท่วมเพียง 4 โครงการ แต่น้ำเข้าไปถึงในตัวบ้านแค่ 2 โครงการ
"ผมมองว่าหุ้น SIRI ราคายังต่ำกว่าพื้นฐาน หุ้นตัวนี้ยังมีช่องว่างให้ขึ้นได้อีกมาก"
ตัวสุดท้าย บมจ.จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล (JAS) ทิวา กล่าวว่า เก็บมาตั้งแต่ราคา 1.80 บาท มองว่าโอกาสไปต่อยังมี เพราะปี 2555 ผู้บริหารเขาคาดว่าจะมีรายได้เติบโต 15% จากปี 2554 ที่คาดว่าจะมีรายได้ประมาณ 10,000 ล้านบาท
"ผมมองว่าอุตสาหกรรมสื่อสารมีโอกาสเติบโตเกิน 10% ต่อปี เชื่อว่าภายใน 3-5 ปีข้างหน้า คนไทยจะใช้อินเทอร์เน็ตความเร็วสูงเพิ่มขึ้นเป็น 36-37 ล้านราย จากปัจจุบันยังใช้กันไม่มาก ซึ่งดูตัวเลขเติบโตขึ้นทุกปีสถิติปี 2551 มีคนใช้ 11 ล้านราย ปี 2552 เพิ่มเป็น 18.3 ล้านราย และปี 2553 จำนวน 24 ล้านราย"
แม้ใครจะมองว่าตลาดหุ้นปี 2555 จะไม่สดใสอีกปี แต่สำหรับเซียนหุ้น ม.3 เจ้าของพอร์ตหลักร้อยล้านบาท กลับมองว่า ตลาดหุ้นปีนี้ "ยังน่าลงทุนมากกว่าสินทรัพย์ประเภทอื่นๆ" เขามองเศรษฐกิจไทยปีนี้น่าจะดีกว่าปีที่ผ่านมา และยังได้แรงกระตุ้นจากเม็ดเงินฟื้นฟูของรัฐบาล บริษัทในตลาดหลักทรัพย์ได้ประโยชน์จากภาษีนิติบุคคลจาก 30% เหลือ 23%
"วันนี้ยังไม่มีใครทำนายได้ว่าปัญหาหนี้ยุโรปจะจบลงช่วงไหน แต่ผมยังเชื่อว่าตลาดหุ้นยังน่าลงทุน แต่ให้เน้นหุ้นบริษัทที่มีกระแสเงินสดยั่งยืน หุ้นพวกดีแค่ปีเดียวอย่าไปซื้อ สำหรับกลยุทธ์ส่วนตัวของผม ปีนี้เล็งจะซื้อหุ้นกลุ่มสื่อสารเพิ่มคิดว่าน่าจะมาแรง คงจะซื้อทั้งตัวใหม่และตัวเก่า"
ทิวา ย้ำว่าก่อนจะลงทุนหุ้นตัวใด ขอให้นักลงทุนทำประมาณการงบการเงินของบริษัทนั้นล่วงหน้า 2 ปี (ข้างหน้า) เน้นเก็บข้อมูล "งบกำไรขาดทุน" และ "งบกระแสเงินสด" ย้อนหลัง 4-5 ปีเอามาวิเคราะห์ ซึ่งตัวเลข 2 ตัวนี้สำคัญมาก เพราะจะบ่งบอกได้ว่าบริษัทนี้มีกำไรจริงๆ หรือเป็นเพียงกำไรทางบัญชี รวมทั้งควรหาข้อมูลและศึกษาเพิ่มพูนความรู้ตลอดเวลา..ถ้าอยากจะประสบความสำเร็จในตลาดหุ้น "ผมยังทำได้...คุณก็ต้องทำได้"