หน้า 1 จากทั้งหมด 1

รายได้เพิ่มไม่ใช่จะดีเสมอไป

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ม.ค. 19, 2012 9:36 pm
โดย miracle
รายได้เพิ่มนั้น โดยทั่วไปคิดว่าบริษัทนั้นดีขึ้นแน่นอน
แต่พวกเราเป็น VI ต้องคำนึงถึงคุณภาพของรายได้ว่า
รายได้ 1 บาทที่ลงทุนไปนั้น มีต้นทุนเท่าไร แล้วกำไรที่ตอบสนองกลับมาเท่าไร
ไม่ใช่ว่า พอเห็นรายได้โตแบบก้าวกระโดดก็รุมกันใหญ่ มันไม่ใช่ ต้องดูด้วยว่า
Cost เพิ่มขึ้นหรือไม่ ไล่ตั้งแต่ต้นทุนการผลิต ว่าเมื่อขายมากขึ้น ใช้วัตถุดิบเพิ่มขึ้นหรือไม่
ต่อมา การจัดการและการบริหาร ทั้งในส่วนของการขายที่ต้องดำเนินการ Entertain ลูกค้ามากขึ้นหรือไม่
หรือ ต้องจ่ายค่านายหน้าเพิ่มขึ้นด้วย เมื่อยอดขายเพิ่มขึ้น
และส่วนที่สำคัญคือ การใช้จ่ายในการบริการของคณะกรรมการ ที่เพิ่มขึ้นหรือไม่ ถ้าเพิ่มขึ้นสมเหตุสมผล หรือไม่
เห็นฝีมือในการบริหารยอดขาย ต้นทุนแล้วหรือยัง
ต่อมาคือ ลูกค้าที่ขายนั้นเป็นรายใหญ่ หรือรายย่อยกระจายกันไป ซึ่งถ้าเป็นรายใหญ่ควรตั้งคำถามว่า
ถ้าเราขึ้นราคาสินค้าของเราแล้ว ทำให้ลูกค้ายังคงซื้อกับเราหรือไม่ หรือหนีไปซื้อเจ้าอื่นเลย หรือเราต้องขายในราคาเดิมซักระยะก่อนให้ลูกค้าปรับตัว แล้วค่อยๆขึ้นเป็นขั้นบันได

เหล่านี้พวกเราควรใส่ใจในการพิจารณากันด้วยล่ะ
ไม่ใช่ละเลยไป
:)

Re: รายได้เพิ่มไม่ใช่จะดีเสมอไป

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ม.ค. 19, 2012 10:11 pm
โดย kabu
รายได้เพิ่มแต่อัตราการทำกำไรตกลงอย่างมีนัยยะก็ใช่ว่าจะแย่เสมอไป

กรณีที่ผมเคยเห็นก็คือไปลงทุนในบริษัทย่อยจนต้องทำเป็นงบรวม แต่บังเอิญว่าบริษัทย่อยมียอดขายสูงมากเนื่องจากเป็นธุรกิจซื้อมาขายไปและมี NPM ต่ำ ทำให้บริษัทหลักซึ่งทำธุรกิจทางด้านบริการประกอบไปด้วย โดนดึง NPM โดยรวมให้ต่ำลง และมียอดขายกระโดด จนคนอาจมองว่ารายได้เพิ่มขึ้นเยอะจริงๆ แต่ NPM ต่ำลงเยอะสงสัยคุม cost ไม่ได้รึป่าว???

Re: รายได้เพิ่มไม่ใช่จะดีเสมอไป

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ม.ค. 19, 2012 11:00 pm
โดย getkung
จริงครับ

รายได้โต แต่ต้นทุนขายโตกว่า ก็ทำให้กำไรขั้นต้นลดลง
รายได้โต แต่ค่าใช้จ่ายโตกว่า ก็ทำให้กำไรจากการดำเนินงานน้อยลง
รายได้โต แต่ลูกหนี้การค้าโตกว่า ก็ทำให้กำไรดี (แต่ไม่มีเงิน อันนี้น่ากลัวนะ)
รายได้โต แต่ลูกหนี้การค้าโตกว่า ก็ทำให้กำไรดี เจ้าหนี้การค้าก็โตด้วย อย่างงี้ก็ยังโอเค
ฯลฯ

ดังนั้น ดูแต่รายได้โตอย่างเดียวอาจจะพลาดได้ครับ

ขอบคุณครับที่ตั้งกระทู้เตือนเพื่อนๆนักลงทุน

Re: รายได้เพิ่มไม่ใช่จะดีเสมอไป

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ม.ค. 20, 2012 11:04 am
โดย pat4310
เวลาวิแคะต้องดู business model เป็นรายๆไป กิจการที่ต้องใช้ working capital เยอะหรือ capital investment มากยิ่งขยายกิจการยิ่งเงินขาดมือหมุนกันมือระวิง ถ้าโชคร้ายอาจต้องเพิ่มทุนอีก

Re: รายได้เพิ่มไม่ใช่จะดีเสมอไป

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ม.ค. 20, 2012 12:06 pm
โดย Rocker
miracle เขียน:รายได้เพิ่มนั้น โดยทั่วไปคิดว่าบริษัทนั้นดีขึ้นแน่นอน
แต่พวกเราเป็น VI ต้องคำนึงถึงคุณภาพของรายได้ว่า
รายได้ 1 บาทที่ลงทุนไปนั้น มีต้นทุนเท่าไร แล้วกำไรที่ตอบสนองกลับมาเท่าไร
ไม่ใช่ว่า พอเห็นรายได้โตแบบก้าวกระโดดก็รุมกันใหญ่ มันไม่ใช่ ต้องดูด้วยว่า
Cost เพิ่มขึ้นหรือไม่ ไล่ตั้งแต่ต้นทุนการผลิต ว่าเมื่อขายมากขึ้น ใช้วัตถุดิบเพิ่มขึ้นหรือไม่
ต่อมา การจัดการและการบริหาร ทั้งในส่วนของการขายที่ต้องดำเนินการ Entertain ลูกค้ามากขึ้นหรือไม่
หรือ ต้องจ่ายค่านายหน้าเพิ่มขึ้นด้วย เมื่อยอดขายเพิ่มขึ้น
และส่วนที่สำคัญคือ การใช้จ่ายในการบริการของคณะกรรมการ ที่เพิ่มขึ้นหรือไม่ ถ้าเพิ่มขึ้นสมเหตุสมผล หรือไม่
เห็นฝีมือในการบริหารยอดขาย ต้นทุนแล้วหรือยัง
ต่อมาคือ ลูกค้าที่ขายนั้นเป็นรายใหญ่ หรือรายย่อยกระจายกันไป ซึ่งถ้าเป็นรายใหญ่ควรตั้งคำถามว่า
ถ้าเราขึ้นราคาสินค้าของเราแล้ว ทำให้ลูกค้ายังคงซื้อกับเราหรือไม่ หรือหนีไปซื้อเจ้าอื่นเลย หรือเราต้องขายในราคาเดิมซักระยะก่อนให้ลูกค้าปรับตัว แล้วค่อยๆขึ้นเป็นขั้นบันได

เหล่านี้พวกเราควรใส่ใจในการพิจารณากันด้วยล่ะ
ไม่ใช่ละเลยไป
:)

รบกวน พี่ จิว ช่วย ยกตัวอย่าง CASE จริงสัก 3 Case ด้วยครับ เพื่อนๆจะได้เห็นภาพชัดๆครับ

Re: รายได้เพิ่มไม่ใช่จะดีเสมอไป

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ม.ค. 20, 2012 12:45 pm
โดย chukieat30
รายได้กับกำไร นี่มันคนละเรื่องนะครับ

รายได้มากแต่กำไรน้อยก้มีพวก ค้าส่งไงครับ

รายได้มากบางที ก้มาจากการขายสินทรัพย์ทิ้ง (สินทรัพย์ที่ทำเงิน) ซึ่งก้ไม่ได้มีบ่อย

รายได้กับกำไรมันต้องไปคู่กัน

ไม่งั้นทำงานเหนื่อยเปล่า กำไรน้อยต่อให้วอลุ่มมากแค่ไหน ถ้าต้นทุนปรับขึ้นแล้วเรา

ขึ้นราคาไม่ได้ อันนี้เสร็จ

ผมว่าเป็นนักลงทุน สบายสุดแล้ว ของก้ไม่ต้องลงมาขาย ไม่ต้องเช็ดฝุ่น ไม่ต้องกลัว

ของหมดอายุ ไม่ต้องแคร์ลูกค้า ไม่ต้องสต๊อคของ ไม่ต้องกลัวจะโดนฟ้องร้อง

อยากไปไหนก้ไป อยากเที่ยวก้ได้เที่ยว

ผมว่านักลงทุน สวรรค์สุดๆแล้ว

ลูกจ้าง---ทำให้คนอื่นรวย --จ่ายภาษีก่อนได้เงินก้ไม่ครบ --ทนรับอารมณ์

เจ้าของกิจการ--ทำเองรวยเอง--ปิดร้านก้ไม่มีรายได้--ทนอารมณ์ลูกค้า

นักลงทุน--มองหากิจการที่ดี ที่จะสร้างเงิน --ลงทุนและหาข้อมูล---ถือไว้กระทั่งมูลค่า

มันแสดงออกมา

Re: รายได้เพิ่มไม่ใช่จะดีเสมอไป

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ม.ค. 20, 2012 1:03 pm
โดย chukieat30
สิ่งที่ท่านอาจารย์ได้เขียน งานไม่ทำเงิน อันนั้นผมว่า เรื่องจริงเลยหล่ะครับ

เริ่มแรกในชีวิต ลูกจ้าง ทำเงินให้เจ้าของรวย ชีวิตประทังได้แค่ เงินเดือน ที่เหมือน

เวลาเจ้าของสุนัข เอาข้าวให้กินเป็นมื๊อๆ(ขออภัยถ้าเปรียบ แรงส์)

พอคิดได้ เริ่มทำเอง ก้เริ่มดีหน่อย ถ้าบางคนเริ่มจากกิจการประเภท มารจจิ้นท์ต่ำ

ก้ต้องได้วอลุ่มที่สูง และมีวินัยในการใช้เงิน

เช่น ปิ้งหมูขาย กำไรดี แต่กว่าจะได้เงินเยอะ ต้องขายมาก หน้าดำ พอดี

พอคิดได้ ก้คงหันมาจับกิจการมาจิ้นท์สูงเช่น พวกซ่อมเครื่องจักร งานขายของชิ้นใหญ่ๆ

หันมาทางอสังหา


แต่สุดท้าย เมื่อพวกนี้มันมีเรื่องจุกจิก ลงทุนอย่างเดียว ง่ายสุด

Re: รายได้เพิ่มไม่ใช่จะดีเสมอไป

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ม.ค. 20, 2012 2:16 pm
โดย chukieat30
รายได้เพิ่มไม่ได้การันตี ว่า บริษัทจะอยู่รอดได้

แต่รายได้เพิ่ม กำไรเพิ่ม สม่ำเสมอ ค่อยๆโต ธุรกิจเฉพาะ nitch player

โดยเฉพาะ nitch player

เช่น ถ้า ผม คิดค้นและผลิตยาแก้โรคเอดส์ ได้เป็นคนแรกของโลก อันนี้ก้ถือว่า นิช

เพราะไม่มีใครผลิตได้ ก้ จะตั้งราคายาเท่าไหร่ก้ได้

หรือกิจการอย่าง ฐิติกร ที่เน้นกลุ่มจักรยานยนต์ เพราะ แบงค์เองคงไม่สนใจ

ตลาดเล็ก แบงค์เค้าปล่อยแคมรี่ไฮบริด ใช้พนักงาน1คน ได้วงเงิน 1600000 แต่ถ้า

จะปล่อยมอไซดฟีีโน่ 45000 ต้องปล่อยเป็นสามสี่ร้อยคัน TK ก้ถือว่า มีนิชข้อนี้ครับ

ผมมองว่า กิจการที่ดี ต้องมีข้อเด่น ของตัวเอง ถึงจะรอด ในสถานการณ์

น่านน้ำสีแดง ในประเทศ ยังไม่รวมว่า ถ้าเปิดเสรีอาเซี่ยนปี 58 น่านน้ำคงแดงเข้ม

Re: รายได้เพิ่มไม่ใช่จะดีเสมอไป

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ม.ค. 20, 2012 2:33 pm
โดย picatos
chukieat30 เขียน:...
ผมว่าเป็นนักลงทุน สบายสุดแล้ว ของก้ไม่ต้องลงมาขาย ไม่ต้องเช็ดฝุ่น ไม่ต้องกลัว

ของหมดอายุ ไม่ต้องแคร์ลูกค้า ไม่ต้องสต๊อคของ ไม่ต้องกลัวจะโดนฟ้องร้อง

อยากไปไหนก้ไป อยากเที่ยวก้ได้เที่ยว

ผมว่านักลงทุน สวรรค์สุดๆแล้ว
...
ผมว่าขึ้นอยู่กับตัวบุคคลนะครับ... เท่าที่เคยเป็นนักลงทุนมา... มันจะมีช่วงเวลาใจเราเหมือนตกอยู่ในนรกมากๆ... ตอนที่กิเลสมันพุ่งพล่านมากๆ จะอยู่อย่างเป็นสุขไม่ได้เลย เดิน กิน นั่ง นอน ก็คิดถึงแต่เรื่องหุ้น หรือ เรื่องที่เกี่ยวกับหุ้น จะไปเที่ยว ไปไหนอย่างสงบสุขเป็นไม่ได้ ต้องพะวงกับตลาดอยู่เรื่อยๆ เป็นระยะๆ จนรู้สึกอยากที่จะตัดขาดกับตลาดให้ได้บ้าง อยากจะไปเที่ยวอยากสงบไม่ต้องคิดเรื่องหุ้น แต่จนแล้วจนรอดก็ต้องเปิดเน็ตมาดู แล้วก็ต้องกลับมาคิดเรื่องหุ้นอยู่ดี...

ผมว่า... การเป็นนักลงทุนเป็นอาชีพที่ต้องต่อสู้กับจิตใจของตัวเองเป็นอย่างมาก ถึงแม้งานจะไม่ได้ใช้แรงกายมากนัก แต่ใช้ใจหนักใจมากเลยทีเดียว


มีช่วงหนึ่งที่ผมทุกข์ใจ ใจก็จะประมาณ... ได้แล้วก็อยากได้อีก มีแล้วก็อยากมีอีก พยายามไล่ตามคนอื่น อยากจะมีเยอะๆ เหมือนคนอื่นเค้าบ้าง พอเรามีแล้ว แซงคนอื่นได้แล้ว ก็กลัวโดนคนอื่นแซงบ้าง อิจฉาคนอื่นบ้าง คิดย้อนกลับไปกลับมาว่าไม่น่าทำอย่างนู้น อย่างนี้เลย ไม่มั่นใจว่าควรทำสิ่งนี้หรือไม่ กลัวไปหมดว่าที่ทำลงไปจะพลาดหรือไม่ มันจริงหรือไม่ หุ้นตกหนักๆ พวกเซียนๆ เทพๆ แอบขายรึเปล่าหว่า หุ้นขึ้น นี่เราซื้อน้อยเกินไปไหม โอ้ว ทำไมเราไม่ใช้มาร์จิ้นอย่างคนอื่นเค้าบ้าง ฯลฯ

ทุกข์ใจ จนรู้สึกว่า ไม่ใช่แล้ว... ทำไมยิ่งลงทุนยิ่งทุกข์ใจ ทำไมพอเราถึงเป้าหมายแล้วจิตใจเราถึงไม่สงบ กลับมีกองไฟลูกใหม่เกิดขึ้นในใจ... สุดท้ายเลยต้องหนีไปบวช สงบกาย สงบใจ จึงเริ่มที่จะจัดการกับจิตใจของตัวเองได้มากขึ้น

ดังนั้น สำหรับผมแล้ว อาชีพ นักลงทุน เป็นอาชีพที่หาความสงบได้ยากมาก เป็นอาชีพที่นำความทุกข์มาได้ง่ายๆ เมื่อเทียบกับอาชีพอื่นที่ผมเคยทำมา... แถมเป็นอาชีพที่ไม่ได้รับประกันเลยว่าจะประสบความสำเร็จได้ชัวร์ๆ... เราอาจจะเจ๊งหมดตัวสักวันหนึ่งก็ได้... ถ้าเราประสบความสำเร็จในการลงทุน เราอาจจะมีเงินทองมากมายพอที่จะปรนเปรอตัวเราเหมือนอยู่ในสวรรค์ มีเวลาไปเที่ยวเล่นมากมาย... แต่เราอาจจะไม่เคยพบความสงบในใจเลยแม้จะเป็นวันตายของเรา

ปล. เอ... นี่มันเกี่ยวอะไรกับกระทู้หว่า...

Re: รายได้เพิ่มไม่ใช่จะดีเสมอไป

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ม.ค. 20, 2012 2:41 pm
โดย atsu
picatos เขียน:ปล. เอ... นี่มันเกี่ยวอะไรกับกระทู้หว่า...
เกี่ยวตรง "รายได้(ของเรา)เพิ่มไม่ใช่จะดีเสมอไป ถ้าใจยังทุกข์อยู่"

ช่วยมั่วให้มันเกี่ยว.... :mrgreen:

Re: รายได้เพิ่มไม่ใช่จะดีเสมอไป

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ม.ค. 20, 2012 4:30 pm
โดย et al.
case study จริง เท่าที่พอนึกได้ ILINK น่าจะพอเข้าข่ายไหมครับ

Re: รายได้เพิ่มไม่ใช่จะดีเสมอไป

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ม.ค. 20, 2012 5:12 pm
โดย avatar2009
picatos เขียน:
chukieat30 เขียน:...
ผมว่าเป็นนักลงทุน สบายสุดแล้ว ของก้ไม่ต้องลงมาขาย ไม่ต้องเช็ดฝุ่น ไม่ต้องกลัว

ของหมดอายุ ไม่ต้องแคร์ลูกค้า ไม่ต้องสต๊อคของ ไม่ต้องกลัวจะโดนฟ้องร้อง

อยากไปไหนก้ไป อยากเที่ยวก้ได้เที่ยว

ผมว่านักลงทุน สวรรค์สุดๆแล้ว
...
ผมว่าขึ้นอยู่กับตัวบุคคลนะครับ... เท่าที่เคยเป็นนักลงทุนมา... มันจะมีช่วงเวลาใจเราเหมือนตกอยู่ในนรกมากๆ... ตอนที่กิเลสมันพุ่งพล่านมากๆ จะอยู่อย่างเป็นสุขไม่ได้เลย เดิน กิน นั่ง นอน ก็คิดถึงแต่เรื่องหุ้น หรือ เรื่องที่เกี่ยวกับหุ้น จะไปเที่ยว ไปไหนอย่างสงบสุขเป็นไม่ได้ ต้องพะวงกับตลาดอยู่เรื่อยๆ เป็นระยะๆ จนรู้สึกอยากที่จะตัดขาดกับตลาดให้ได้บ้าง อยากจะไปเที่ยวอยากสงบไม่ต้องคิดเรื่องหุ้น แต่จนแล้วจนรอดก็ต้องเปิดเน็ตมาดู แล้วก็ต้องกลับมาคิดเรื่องหุ้นอยู่ดี...

ผมว่า... การเป็นนักลงทุนเป็นอาชีพที่ต้องต่อสู้กับจิตใจของตัวเองเป็นอย่างมาก ถึงแม้งานจะไม่ได้ใช้แรงกายมากนัก แต่ใช้ใจหนักใจมากเลยทีเดียว


มีช่วงหนึ่งที่ผมทุกข์ใจ ใจก็จะประมาณ... ได้แล้วก็อยากได้อีก มีแล้วก็อยากมีอีก พยายามไล่ตามคนอื่น อยากจะมีเยอะๆ เหมือนคนอื่นเค้าบ้าง พอเรามีแล้ว แซงคนอื่นได้แล้ว ก็กลัวโดนคนอื่นแซงบ้าง อิจฉาคนอื่นบ้าง คิดย้อนกลับไปกลับมาว่าไม่น่าทำอย่างนู้น อย่างนี้เลย ไม่มั่นใจว่าควรทำสิ่งนี้หรือไม่ กลัวไปหมดว่าที่ทำลงไปจะพลาดหรือไม่ มันจริงหรือไม่ หุ้นตกหนักๆ พวกเซียนๆ เทพๆ แอบขายรึเปล่าหว่า หุ้นขึ้น นี่เราซื้อน้อยเกินไปไหม โอ้ว ทำไมเราไม่ใช้มาร์จิ้นอย่างคนอื่นเค้าบ้าง ฯลฯ

ทุกข์ใจ จนรู้สึกว่า ไม่ใช่แล้ว... ทำไมยิ่งลงทุนยิ่งทุกข์ใจ ทำไมพอเราถึงเป้าหมายแล้วจิตใจเราถึงไม่สงบ กลับมีกองไฟลูกใหม่เกิดขึ้นในใจ... สุดท้ายเลยต้องหนีไปบวช สงบกาย สงบใจ จึงเริ่มที่จะจัดการกับจิตใจของตัวเองได้มากขึ้น

ดังนั้น สำหรับผมแล้ว อาชีพ นักลงทุน เป็นอาชีพที่หาความสงบได้ยากมาก เป็นอาชีพที่นำความทุกข์มาได้ง่ายๆ เมื่อเทียบกับอาชีพอื่นที่ผมเคยทำมา... แถมเป็นอาชีพที่ไม่ได้รับประกันเลยว่าจะประสบความสำเร็จได้ชัวร์ๆ... เราอาจจะเจ๊งหมดตัวสักวันหนึ่งก็ได้... ถ้าเราประสบความสำเร็จในการลงทุน เราอาจจะมีเงินทองมากมายพอที่จะปรนเปรอตัวเราเหมือนอยู่ในสวรรค์ มีเวลาไปเที่ยวเล่นมากมาย... แต่เราอาจจะไม่เคยพบความสงบในใจเลยแม้จะเป็นวันตายของเรา

ปล. เอ... นี่มันเกี่ยวอะไรกับกระทู้หว่า...
เกี่ยวน่ะครับ เพราะรายได้เกี่ยวกับความโลภที่ทับถมในใจเรา

เพื่อนผมคนหนึ่งเล่นหุ้นแบบเก็งกำไรเก่งมาก แต่ไม่แนะนำแถมห้ามลูก ญาตฺพี่น้องมาเล่นหุ้น

เพราะทั้งใจและสมองไม่เคยสงบ เขาบอกว่าไขว่คว้าเงินไม่มีทางไปนิพพาน

Re: รายได้เพิ่มไม่ใช่จะดีเสมอไป

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ม.ค. 20, 2012 8:37 pm
โดย ซากคน
picatos เขียน:พยายามไล่ตามคนอื่น อยากจะมีเยอะๆ เหมือนคนอื่นเค้าบ้าง พอเรามีแล้ว แซงคนอื่นได้แล้ว ก็กลัวโดนคนอื่นแซงบ้าง อิจฉาคนอื่นบ้าง คิดย้อนกลับไปกลับมาว่าไม่น่าทำอย่างนู้น อย่างนี้เลย ไม่มั่นใจว่าควรทำสิ่งนี้หรือไม่ กลัวไปหมดว่าที่ทำลงไปจะพลาดหรือไม่ มันจริงหรือไม่ หุ้นตกหนักๆ พวกเซียนๆ เทพๆ แอบขายรึเปล่าหว่า หุ้นขึ้น นี่เราซื้อน้อยเกินไปไหม โอ้ว ทำไมเราไม่ใช้มาร์จิ้นอย่างคนอื่นเค้าบ้าง ฯลฯ

ปล. เอ... นี่มันเกี่ยวอะไรกับกระทู้หว่า...
นี่มันนรกบนดิน ดีๆนี่เอง หลังจากที่ซากได้อ่านประสบการณ์พี่ พิคาโตส แล้วคิดว่า อาจเป็นโชคดีของซากที่หลังจากอายุ 14 เป็นต้นไปซากไม่สามารถแซงใครต่อใครได้อีก จึงไม่ต้องติดบ่วงมายาที่คิดไปเองคนเดียว ด้วยความที่ขี้แพ้ เอาดีไม่ได้สักอย่างมาตั้งแต่เด็ก ซากพบว่าแค่ ทำให้ได้ตามแผนตามเส้นทางที่ตัวเองกำหนดไว้ ก็เกิดความทุกข์ทรมานใจมากพอแล้วกับการที่ต้องมีวินัย อยู่ในร่องในรอย มากขึ้น และยังต้องรอคอยผลของการกระทำของตัวเองให้นานพอ ที่จะเกิดผลลัพธ์ใหม่ซึ่งจะยืนยันว่า ซากทำได้ตามเป้าหมายจริงหรือไม่...ซึ่งสำหรับไอ้ขี้แพ้อย่างซาก ไม่เป็นที่ยอมรับของใครในสังคม วันแรกที่ทำได้ตามเป้าหมาย มันรู้สึกหายเหนื่อย คลายทุกข์เป็นปลิดทิ้งเลยจริงๆครับ

Re: รายได้เพิ่มไม่ใช่จะดีเสมอไป

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ม.ค. 20, 2012 10:44 pm
โดย miracle
ผมแค่ยกมาเตือนสติกันเท่านั้น
ส่วนใหญ่บทวิเคราะห์หรือคำพูดของผู้บริหารให้เฉพาะด้านของรายได้เพิ่ม
แต่บ้างครั้งไม่ได้ให้ส่วนของค่าใช้จ่ายมาให้ ซึ่งขาดสิ่งสำคัญไป
ดังนั้นนักลงทุนควรที่ ต้องคิดต่อว่า เมื่อรายได้เพิ่มแล้ว ต้นทุนสามารถควบคุมได้หรือเปล่า
ไ่ม่ใช่เล่นแร่แปรธาตุละ

ผมขอไม่ยก CASE ละกัน พอดีผมศึกษาแต่หุ้นในประเทศไทย
หุ้นต่างประเทศมี Port แต่ยังไม่มีเวลาว่างนั่งดูนั่งแกะครับ เลยขอไม่ยก CASE
ถ้ายก CASE ไปเดี๋ยวหาว่า ผมไม่มีหุ้นแล้วไปทำให้หุ้นเขาดีๆ เสียทรงหมดละครับ
:)

Re: รายได้เพิ่มไม่ใช่จะดีเสมอไป

โพสต์แล้ว: เสาร์ ม.ค. 21, 2012 3:12 pm
โดย AS965
thank krub

Re: รายได้เพิ่มไม่ใช่จะดีเสมอไป

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ม.ค. 22, 2012 6:31 pm
โดย crazyrisk
miracle เขียน:ผมแค่ยกมาเตือนสติกันเท่านั้น
ส่วนใหญ่บทวิเคราะห์หรือคำพูดของผู้บริหารให้เฉพาะด้านของรายได้เพิ่ม
แต่บ้างครั้งไม่ได้ให้ส่วนของค่าใช้จ่ายมาให้ ซึ่งขาดสิ่งสำคัญไป
ดังนั้นนักลงทุนควรที่ ต้องคิดต่อว่า เมื่อรายได้เพิ่มแล้ว ต้นทุนสามารถควบคุมได้หรือเปล่า
ไ่ม่ใช่เล่นแร่แปรธาตุละ

ผมขอไม่ยก CASE ละกัน พอดีผมศึกษาแต่หุ้นในประเทศไทย
หุ้นต่างประเทศมี Port แต่ยังไม่มีเวลาว่างนั่งดูนั่งแกะครับ เลยขอไม่ยก CASE
ถ้ายก CASE ไปเดี๋ยวหาว่า ผมไม่มีหุ้นแล้วไปทำให้หุ้นเขาดีๆ เสียทรงหมดละครับ
:)

ผมขอแย้งพี่มิ บ้างนะครับ
ผมว่า โดยปกติแล้ว การที่มีรายได้เพิ่ม นั้นเป็นหัวใจสำคัญของธุรกิจเลยครับ

ก่อนอื่น เราต้องแยกก่อนว่า ธุรกิจ ที่เราลงทุนนั้น เป็นธุรกิจประเภทไหน
1. ธุรกิจประเภทที่มี barrier to entry อย่างชัดเจน
เช่น
มีสาขาหลายสาขา เช่น CPALL,BGH
มี Brand ที่แข็งแกร่ง
มีอำนาจผูกขาด เช่น สัมปทานมือถือต่างๆ

ธุรกิจเหล่านี้ ผมเห็นว่า บางครั้งรายได้เพิ่ม อาจจะไม่สำคัญมากนัก
เพราะสุดท้ายแล้ว ความที่ธุรกิจพวกนี้ มีอำนาจการแข่งขันสูงเกินกว่า ที่พวกมือใหม่จะมาแหยมได้ นักลงทุนส่วนใหญ๋จะให้ valuation ที่สูงแล้ว สูงอีก
นักลงทุนหลายคน ที่มัวแต่นั่งแช่งให้ราคาหุ้นร่วงลงมาให้สอย ที่ P/E ต่ำๆ ก็เลย
นั่งรอเก้อ มาเรื่อยๆ

เพราะ ถึงแม้รายได้ ยอดขาย ไม่โตขึ้น อย่างมีนัยยะ
แต่สามารถ ทำกำไรที่ดีขึ้นจากการได้เปรียบในเรื่องของ Economy of scale

2. ธุรกิจ ที่ไม่มีความแข็งแกร่งในด้านของแบรนด์
พบเห็นด้วยไปในธุรกิจ ที่เป็น ธุรกิจโภคภัณฑ์ ธุรกิจ OEM ทั่วๆไป
ผมกลับมองว่า โดยทั่วไปนั้น ธุรกิจที่ มี marker share กลางๆ
แล้ว ไม่เพิ่มยอดขาย แต่ดันเล่น margin อย่างเดียวนั้น อันตรายมากๆครับ

เราจะได้ยินคำพูดพวกนี้บ่อยๆ

"สินค้าเรา เทพมากๆ ไม่มีใครในโลกทำได้อีกแล้ว"
"สินค้าเรา มีนวัตกรรมที่ เลียนแบบได้ยาก"

ผมว่า เรื่องพวกนี้ น่าจะบรรจุในหมวดนิยายปรัมปรามากกว่า

เพราะปีที่ผ่านๆมา ผมว่า เราคงได้ยินประโยคนี้ กับบางบริษัท
ที่สุดท้าย กลับไปเอาดีเรื่องทำ solar cell แทน... (ถ้าของเขาดีจริงๆ
เขาคงไม่ไปดิ้นรนทำ new business แบบนั้น)

สรุปคือ ในธุรกิจที่ไม่มีความแข็งแกร่งเพียงพอ
การที่เราจะอยู่รอดให้ได้นั้น จำเป็นต้อง ขยาย ยอดขายขึ้น ตลอด
เช่นการ ทำตลาดที่ดีขึ้น...


ทีนี้ มาสู่ประเด็นที่ผมจะแย้งพี่มิครับ
ผมว่า การที่ ผบห. ออกมาบอกว่า เน้น ยอดขายโต.... แต่ไม่ยักกะบอกเรื่อง
COGS หรือ SGA ที่ชัดเจน ระบุ NPM ไม่ได้ นั้น
ผมคิดว่า หากเรามีมุมมองของผู้บริหารจริงๆ
ในเมื่อเขาต้อง ขยาย เพื่อ survive และ แย่งชิงส่วนแบ่งการตลาดให้ได้

โดยมาก การเพิ่มยอดขาย โดยทั่วไปหากสินค้า ไม่มีความเฉพาะทางจริงๆ
มักจะส่งผลตามมาด้วย NPM ที่ลดลง
เช่น อุตสาหกรรม electronic การที่คุณเพิ่มยอดขายนั้น เชื่อเลยว่า
ไม่มีลูกค้ารายใด สั่งของคุณเพิ่มโดย ไม่ขอบีบ NPM หรอก (ทีเรายังชอบ
ไป platinum มากกว่า ไปสยาม ปะคับ)

แต่ ประเด็นต่อมาคือ หาก บริษัทสามารถเพิ่มยอดขายได้จุดนึง
มีลูกค้า หลายเจ้าเพิ่มขึ้น สินค้าของเขา ได้ economy of scale
ก็จะทำให้ ของเหล่านี้ ได้ ในแง่ของ NPM ที่ปรับขึ้นมา โดยอัตโนมัติ
และ อำนาจต่อรองของเขาก็เยอะขึ้นอีก หากว่า ยอดขายที่เพิ่มขึ้นมา
ส่งให้แบรนด์นั้นเป็นที่รู้จักมากขึ้นครับ

หนังสือธุรกิจบางเล่ม เคยบอกว่า
"ผู้บริหาร ที่อยากให้บริษัทเติบโต มักจะชอบพูดในแง่ของยอดขายมากกว่า
ขณะที่ ผู้บริหาร ที่ ไม่คิดเรื่องการเติบโตเท่าไหร่นัก ก็มักจะชอบพูดเรื่อง
bottom line มากกว่า " (ซึ่งอันนี้ ผมคิดว่า มีส่วนอยู่ค่อนข้างมาก ยกเว้น
บางบริษัท ที่ชอบให้เป้าเพื่อลากราคาหุ้น)

สุดท้ายเลยครับ ผมยกบทความในหนังสือพี่สุมาอี้ มาเล่าให้ฟัง

"การขยายขนาดของบริษัท จะ มีประโยชน์ ต่อเมื่อ เพิ่มอำนาจการแข่งขันของบริษัทให้มากขึ้น"

Re: รายได้เพิ่มไม่ใช่จะดีเสมอไป

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ม.ค. 22, 2012 7:21 pm
โดย ซุนเซ็ก
อืมมม...นี่เป็นสิ่งที่นักลงทุนต้องทำอยู่แล้วนะครับ
อย่างหุ้นเหล็ก ขายไปเถอะให้ยอดขายโต 2 เท่าก็ไม่สำคัญ
ถ้า scarp ที่เป็นต้นทุนมันขึ้นมากกว่า HRC
หรือ miracle อาจจะหมายถึงให้รุ่นน้องได้คิด
อันนี้ก็ขอบคุณที่แชร์ให้ทุกคนครับ :D

Re: รายได้เพิ่มไม่ใช่จะดีเสมอไป

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ม.ค. 22, 2012 7:31 pm
โดย miracle
ขอบคุณครับ crazyrisk
ที่มาเพิ่มรายละเอียดให้ครับ

Re: รายได้เพิ่มไม่ใช่จะดีเสมอไป

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ม.ค. 22, 2012 10:54 pm
โดย ซุนเซ็ก
ตั้งใจจะพิมพ์คำว่า พี่ miracle
แต่ตกคำว่า พี่ ไป, ขออภัยด้วยครับพี่มิ :-)

Re: รายได้เพิ่มไม่ใช่จะดีเสมอไป

โพสต์แล้ว: จันทร์ ม.ค. 23, 2012 1:18 am
โดย nut776
อะไรไม่ว่า
ฟังว่าโตเยอะๆทีไร
ต้องมีคำถาม
จะเพิ่มทุนไหมตามมาตลอดคับ

Re: รายได้เพิ่มไม่ใช่จะดีเสมอไป

โพสต์แล้ว: จันทร์ ม.ค. 23, 2012 9:12 am
โดย ซากคน
ดูงบดุล ก็พอทราบได้ครับว่า ไหว ไม่ไหว กับแผนการเติบโต

จุดที่น่าห่วงกว่าอย่างอื่นคือ เราเข้าใจในกิจการพอที่จะพยากรณ์ผลประกอบการล่วงหน้า
ได้อย่างถี่ถ้วนแค่ไหน :roll:

Re: รายได้เพิ่มไม่ใช่จะดีเสมอไป

โพสต์แล้ว: จันทร์ ม.ค. 23, 2012 2:40 pm
โดย chukieat30
nut776 เขียน:อะไรไม่ว่า
ฟังว่าโตเยอะๆทีไร
ต้องมีคำถาม
จะเพิ่มทุนไหมตามมาตลอดคับ
กิจการก้เหมือน คนครับ เกิด แก่ เจ็บ และตาย

ช่วงแรกเป็นเด็ก โตขึ้นก้เพิ่มทุน โตมากเข้า พอถึงจุดอิ้มตัวก้แก่ พอเจอแข่งขันมากเข้า

บางทีไปไม่ไหวก้ตาย

เด็กเริ่ม โตไม่เพิ่มทุน จะโตได้ไงครับ นึกถึงความจริง ถ้ากิจการดีๆไ่ม่มีเพิ่มทุน

สาขาต่างๆก้คงไม่เกิด รายได้ก้คงไม่เข้า

กิจการอะไรก้แล้วแต่ ถ้าขยายไปไม่ได้ แสดงว่ามันอิ่มตัวแล้ว ละมันก้คงใกล้จะแก่ และตาย

Re: รายได้เพิ่มไม่ใช่จะดีเสมอไป

โพสต์แล้ว: จันทร์ ม.ค. 23, 2012 2:44 pm
โดย chukieat30
ภาษาชาวบ้านสำหรับ คนที่เริ่มจะโตมากขึ้น คือ วัยรุ่น

วัยที่กำลังจะเปลี่ยนพาทร์ จาก เด็ก สู่ ผู้ใหญ่

ตอนเด็กแรงน้อย กิจการค่อยเป็นไป

ตอนผู้ใหญ่แรงดี กิจการก้ดำเนินไปเร็ว

พอกิจการอิ้มตัว ก้เริ่มจะแก่

พอมีบางอย่างแทนที่กิจการได้ หรือ กิจการประสบปัญหา บางทีก้ ตายครับ

อาจารย์ท่านเคยมีบทความ อ้วน สูง ไว้ ถ้าเด็กที่ค่อยๆโตและ โตจากการดำเนินงาน

ยังไง เด็กคนนั้นก้ต้องเป็นผู้ใหญ่ได้แน่นอนครับ

Re: รายได้เพิ่มไม่ใช่จะดีเสมอไป

โพสต์แล้ว: พุธ ก.พ. 01, 2012 11:45 pm
โดย pat4310
กิจการที่ต้องใช้ working capital สูงๆจะขายของได้ก็ต้อง ปล่อยเครดิตยาวๆ ตุนของเยอะๆ เจ้าหนี้การค้าขายเงินสด งบกำไรขาดทุนมีกำไรเพียบแต่ไม่เหลือเงินซักบาท หมุนเงินกันหัวปั่น

กิจการที่จะเพิ่มรายได้ก็ต้องลงทุนสินทรัพย์เยอะๆ เช่นปล่อยกู้ทั้งหลาย อยากได้รายได้เพิ่ม(ดอกเบี้ยรับ) ก็ต้องหาเงินมาปล่อยๆเยอะๆ ก็หมุนเงินกันหัวปั่นเช่นเดียวกัน จะเห็นว่าพวกนี้เพิ่มทุนบ่อยมากไม่เป็นผลดีกับผู้ถือหุ้นเลย

กิจการพวกนี้ยอดขายโตแต่ชีวิตรันทดครับ

Re: รายได้เพิ่มไม่ใช่จะดีเสมอไป

โพสต์แล้ว: พุธ ก.พ. 01, 2012 11:55 pm
โดย halogen
picatos เขียน:
chukieat30 เขียน:...
ผมว่าเป็นนักลงทุน สบายสุดแล้ว ของก้ไม่ต้องลงมาขาย ไม่ต้องเช็ดฝุ่น ไม่ต้องกลัว

ของหมดอายุ ไม่ต้องแคร์ลูกค้า ไม่ต้องสต๊อคของ ไม่ต้องกลัวจะโดนฟ้องร้อง

อยากไปไหนก้ไป อยากเที่ยวก้ได้เที่ยว

ผมว่านักลงทุน สวรรค์สุดๆแล้ว
...
ผมว่าขึ้นอยู่กับตัวบุคคลนะครับ... เท่าที่เคยเป็นนักลงทุนมา... มันจะมีช่วงเวลาใจเราเหมือนตกอยู่ในนรกมากๆ... ตอนที่กิเลสมันพุ่งพล่านมากๆ จะอยู่อย่างเป็นสุขไม่ได้เลย เดิน กิน นั่ง นอน ก็คิดถึงแต่เรื่องหุ้น หรือ เรื่องที่เกี่ยวกับหุ้น จะไปเที่ยว ไปไหนอย่างสงบสุขเป็นไม่ได้ ต้องพะวงกับตลาดอยู่เรื่อยๆ เป็นระยะๆ จนรู้สึกอยากที่จะตัดขาดกับตลาดให้ได้บ้าง อยากจะไปเที่ยวอยากสงบไม่ต้องคิดเรื่องหุ้น แต่จนแล้วจนรอดก็ต้องเปิดเน็ตมาดู แล้วก็ต้องกลับมาคิดเรื่องหุ้นอยู่ดี...

ผมว่า... การเป็นนักลงทุนเป็นอาชีพที่ต้องต่อสู้กับจิตใจของตัวเองเป็นอย่างมาก ถึงแม้งานจะไม่ได้ใช้แรงกายมากนัก แต่ใช้ใจหนักใจมากเลยทีเดียว


มีช่วงหนึ่งที่ผมทุกข์ใจ ใจก็จะประมาณ... ได้แล้วก็อยากได้อีก มีแล้วก็อยากมีอีก พยายามไล่ตามคนอื่น อยากจะมีเยอะๆ เหมือนคนอื่นเค้าบ้าง พอเรามีแล้ว แซงคนอื่นได้แล้ว ก็กลัวโดนคนอื่นแซงบ้าง อิจฉาคนอื่นบ้าง คิดย้อนกลับไปกลับมาว่าไม่น่าทำอย่างนู้น อย่างนี้เลย ไม่มั่นใจว่าควรทำสิ่งนี้หรือไม่ กลัวไปหมดว่าที่ทำลงไปจะพลาดหรือไม่ มันจริงหรือไม่ หุ้นตกหนักๆ พวกเซียนๆ เทพๆ แอบขายรึเปล่าหว่า หุ้นขึ้น นี่เราซื้อน้อยเกินไปไหม โอ้ว ทำไมเราไม่ใช้มาร์จิ้นอย่างคนอื่นเค้าบ้าง ฯลฯ

ทุกข์ใจ จนรู้สึกว่า ไม่ใช่แล้ว... ทำไมยิ่งลงทุนยิ่งทุกข์ใจ ทำไมพอเราถึงเป้าหมายแล้วจิตใจเราถึงไม่สงบ กลับมีกองไฟลูกใหม่เกิดขึ้นในใจ... สุดท้ายเลยต้องหนีไปบวช สงบกาย สงบใจ จึงเริ่มที่จะจัดการกับจิตใจของตัวเองได้มากขึ้น

ดังนั้น สำหรับผมแล้ว อาชีพ นักลงทุน เป็นอาชีพที่หาความสงบได้ยากมาก เป็นอาชีพที่นำความทุกข์มาได้ง่ายๆ เมื่อเทียบกับอาชีพอื่นที่ผมเคยทำมา... แถมเป็นอาชีพที่ไม่ได้รับประกันเลยว่าจะประสบความสำเร็จได้ชัวร์ๆ... เราอาจจะเจ๊งหมดตัวสักวันหนึ่งก็ได้... ถ้าเราประสบความสำเร็จในการลงทุน เราอาจจะมีเงินทองมากมายพอที่จะปรนเปรอตัวเราเหมือนอยู่ในสวรรค์ มีเวลาไปเที่ยวเล่นมากมาย... แต่เราอาจจะไม่เคยพบความสงบในใจเลยแม้จะเป็นวันตายของเรา

ปล. เอ... นี่มันเกี่ยวอะไรกับกระทู้หว่า...
หุ้นขึ้นก็หน้าบาน หุ้นตกก็หน้าเหี่ยว

ถึงบอกว่าเป็น VI ก็เหอะ พอหุ้นตกก็ใจเสียกันทุกคนแหละครับ

อยู่ที่ว่าเราจะทำใจได้เร็ว หรือ ช้า :D

Re: รายได้เพิ่มไม่ใช่จะดีเสมอไป

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.พ. 03, 2012 10:17 am
โดย แตงอ่อน
หุ้นขึ้นก็หน้าบาน หุ้นตกก็หน้าเหี่ยว

ถึงบอกว่าเป็น VI ก็เหอะ พอหุ้นตกก็ใจเสียกันทุกคนแหละครับ

อยู่ที่ว่าเราจะทำใจได้เร็ว หรือ ช้า


เห็นด้วยครับ :wall:

Re: รายได้เพิ่มไม่ใช่จะดีเสมอไป

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.พ. 03, 2012 11:19 am
โดย chukieat30
แตงอ่อน เขียน:หุ้นขึ้นก็หน้าบาน หุ้นตกก็หน้าเหี่ยว

ถึงบอกว่าเป็น VI ก็เหอะ พอหุ้นตกก็ใจเสียกันทุกคนแหละครับ

อยู่ที่ว่าเราจะทำใจได้เร็ว หรือ ช้า

เห็นด้วยครับ :wall:
หน้าไม่เหี่ยวครับพี่ หน้ามืดเลยหล่ะครับ :mrgreen: :mrgreen:

เสียใจเวลาหุ้นตกหรือกิจการไม่ตามหวังไหม

ก้เสียใจนะครับ แต่ก้ลุกขึ้นมา พร้อมรอยน้ำตา และก้ล้างหน้า และก้เอางบของ

กิจการที่ทำให้เสียใจมาอ่าน และก้พยายามหาว่าเราพลาดตรงไหน และเตือนตัวเองว่า

เราจะไม่กลับมาช้ำแบบนี้อีก ยิ่งแพ้ ยิ่งต้องหาความรู้ให้มากกว่าเดิม ยิ่งต้องหาจุดอ่อน

ของเราที่มีอยู่ แล้ว เดินต่อไปในเส้นทางการลงทุน


ถ้าเรามัวแต่จมกับความหลัง เราก้จะไม่เก่งขึ้น ถ้าเรามัวแต่โทษคนอื่น เราก้จะไม่ค้นพบ

จุดบอดของตัวเอง ถ้าเรามัวแต่โทษดวงชะตา เราคงไม่ใช่นักลงทุน เป็นแค่ คนหวังดวง

ถ้าเราไม่คิดเดินไปข้างหน้าต่อ เราก้ต้องอยู่ตรงนี้ เพื่อดูคนอื่นวิ่งแซงเราขึ้นไปถึงดวงดาว