Thai Value Investor การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุน VI หุ้นวีไอ Webboard

ท่านคิดว่า ยังไง สำหรับผม

นักลงทุนจะมองเห็นความจริงในธุรกิจมากขึ้น และอีก10ปีก้จะไม่มีแมงเม่ามีแต่

นักลงทุน ที่จะมองเห็นลู่ทาง และหนทางแห่งความเป็นจริงบนโลกแห่ง

การแข่งขันเสรีมองด้วยเหตุผลไม่ใช่อารมณ์

ผมคิดว่าอีก10ปี คนจะมีความรู้ มีข้อมูลสื่อสาร มีวิชั่นที่ไกล

ถึงเวลานั้น หุ้นตัวไหนที่พื้นฐานมันดีจริงๆๆ เซียนไม่ต้องเจิม หุ้นก้ขึ้นครับ

ขึ้นด้วยแรงส่งของนักลงทุนรายย่อยที่ประสานเสียงกัน ขึ้นด้วยวิชันของรายย่อย

อีก10ปี ก้คงหมดยุค การชี้นำทางตลาด การเทรดแบบไร้ความรู้

ค่อนข้างยากคับสำหรับเวลาแค่ 10 ปี
ตลาดอาจจะมีประสิทธิภาพมากขึ้นบ้าง
แต่ความผันผวน ตื่นตระหนก ก็ยังคงอยู่เสมอ

นักลงทุนระยะปานกลาง (3-5 ปีขึ้นไป) อาจจะมีความรู้มากขึ้น แต่ก็จะมีเพียงส่วนน้อยเท่านั้น
ที่มีความเข้าใจอย่างแท้จริง เพราะต้องใช้เวลาในการเรียนรู้ ประสบการณ์ และความอดทนมาก

นักลงทุนระยะยาว (5-10 ปีขึ้นไป) ที่เข้าใจการลงทุนจริงๆ ก็คงยังน้อยเหมือนเดิม แต่คงจะมีกิจการลงทุนให้เลือกได้มากขึ้น

นักลงทุนระยะสั้น และนักเก็งกำไรก็จะมีมากเหมือนเดิม เพราะธรรมชาติของคนเราไม่ชอบรอ
อยากรวยเร็วว่างั้น (Instant Gratification)

นักลงทุนสถาบันทั้งไทยทั้งเทศ ควรจะมากขึ้น เพราะการเติบโตของกองทุนรวม ประกันชีวิต เศรษฐกิจไทย

และตลาดหุ้นก็ยังเต็มไปด้วยความโลภ และความกลัวเหมือนเดิม

Tibular เขียน:ค่อนข้างยากคับสำหรับเวลาแค่ 10 ปี
ตลาดอาจจะมีประสิทธิภาพมากขึ้นบ้าง
แต่ความผันผวน ตื่นตระหนก ก็ยังคงอยู่เสมอ

นักลงทุนระยะปานกลาง (3-5 ปีขึ้นไป) อาจจะมีความรู้มากขึ้น แต่ก็จะมีเพียงส่วนน้อยเท่านั้น
ที่มีความเข้าใจอย่างแท้จริง เพราะต้องใช้เวลาในการเรียนรู้ ประสบการณ์ และความอดทนมาก

นักลงทุนระยะยาว (5-10 ปีขึ้นไป) ที่เข้าใจการลงทุนจริงๆ ก็คงยังน้อยเหมือนเดิม แต่คงจะมีกิจการลงทุนให้เลือกได้มากขึ้น

นักลงทุนระยะสั้น และนักเก็งกำไรก็จะมีมากเหมือนเดิม เพราะธรรมชาติของคนเราไม่ชอบรอ
อยากรวยเร็วว่างั้น (Instant Gratification)

นักลงทุนสถาบันทั้งไทยทั้งเทศ ควรจะมากขึ้น เพราะการเติบโตของกองทุนรวม ประกันชีวิต เศรษฐกิจไทย

และตลาดหุ้นก็ยังเต็มไปด้วยความโลภ และความกลัวเหมือนเดิม

เห็นด้วยครับ คุณรู้อะไรมั้ย ว่าคนรอบตัวผมที่อยู่ในตลาดหุ้น มีไม่ถึง 5 เปอร์เซนต์ ที่ลงทุนแนวVI ทั้งๆที่ผมก็พูดกับพวกเค้า พวกเค้าก็รู้นะว่าVIคืออะไร พวกเค้าก็เห็นตัวอย่างจากคนที่ประสบความสำเร็จ แต่พวกเค้าก็เลือกที่จะเก็งกำไรต่อไป ด้วยเหตุผลต่างๆนาๆ.....มันเป็นความจริง

Tibular เขียน:และตลาดหุ้นก็ยังเต็มไปด้วยความโลภ และความกลัวเหมือนเดิม

เป็นความจริงอย่างยิ่งครับ ไม่ว่า อีก สิบปี หรือ ร้อยปี ประโยคนี้ ก็ยังเป็นความจริงครับ

The market will always be irrational and there will always be sheep for wolves to slaughter...sad but true.

เพื่อนๆว่า ตลาดหุ้นที่เค้าว่ากันว่าพัฒนาแล้ว อย่างอเมริกา ยุโรป หรือ ฮ่องกง นักลงทุนส่วนใหญ่เป็นแนวอะไร?

ในความคิดผม ผมยังไม่เห็นแววเลยครับว่าจะเป็นไปได้ในสิบยี่สิบปีนี้
ผมมีเพื่อนๆหลายคน เป็นคนมุ่งมั่นหาความรู้ ขยัน อ่านหนังสือตลอดเวลา แต่พวกเขามักจะแบ่งเงินส่วนหนึ่ง(หรือส่วนใหญ่)ที่จะเล่นหุ้นมากกว่า แม้เขาจะมีความรู้แต่พวกเขายังรู้สึกสนุกกับการเล่นกับความโลภและความกลัวของคนอื่น

เมกา ยังไปไม่ถึงไหนเลยคับ

ยากครับ อีก 10 ปี ก็ยังเก็งกำไรกันเยอะ เพราะมันสนุก
ส่วนแบบน่าเบื่อ แต่ได้ตังค์ ( VI ) ก็คงมีคนเดินตามน้อยเหมือนเดิม เพราะมันไม่สนุก

ตราบใดที่มนุษย์ยังมีกิเลส ฉันใด
การเก็งกำไรเพื่อหวังรวยเร็ว ย่อมมีมากกว่าเน้นลงทุนที่แท้จริง ฉันนั้น

ส่วนของผมคิดว่าคนยังมีความโลภและความกลัว ซึ่งเป็นธรรมชาติของคน ยังไงก็เปลี่ยนแปลงยากครับ

ผมว่าการเก็งกำไรที่ได้เงิน ไม่ได้เสียเงินก็ไม่ได้สนุกนะครับ โซรอสยังบอกเลย การลงทุนที่ทำเงินให้เค้ามากๆเป็นตอนที่น่าเบื่อที่สุด ส่วนตอนที่สนุกตื่นเต้น มักไม่ค่อยได้อะไรเท่าไร ^.^

ขอบคุณที่ยังมีแมงเม่าในสัดส่วนที่มาก ในตลาดแห่งนี้ครับ

ส่วนตัวอยากให้ตลาดหุ้นเป็นอย่างที่คุณ chukieat30 ว่านะครับ แต่อย่างว่า 10 ปีอาจจะยังน้อยไปสำหรับตลาดบ้านเรา เพราะปัจจุบันนักลงทุนในตลาดหุ้นไทยยังมีไม่มากสักเท่าไหร่ และนักลงทุนหน้าใหม่ๆ ก็ยังทยอยเข้ามาอยู่เรื่อย

ดังนั้นนักลงทุนเหล่านี้เริ่มแรกสไตล์การลงทุนเป็นยังไง คิดว่าหลายท่านคงน่าจะรู้ดีนะครับ ของแบบนี้ต้องใช้เวลาซึ่งค่อนข้างมากพอสมควรทีเดียว กว่าจะบ่มเพาะประสบการณ์อะไรต่างๆ นานา สุดท้ายบางคนอาจเปลี่ยนสไตล์ไปบ้าง บางคนอาจจะยังเหมือนเดิม ก็ต้องตามดูกันไปครับ

ทุกท่านครับ ตอนนี้ผมก้เริ่มมองว่า นักลงทุนส่วนใหญ่ เริ่มหาสไตล์หรือวงสวิงเจอแล้วนะครับ

เมื่อเทียบกับ10ปีที่แล้ว ที่วิธีการเทรดและความรู้การเทรดยังเป็นอะไรที่เข้าถึงยาก

ส่วนตัวก้ยังเชื่อมั่นไว้ว่า อีก10ปี รายย่อยเมืองไทยจะค้นหาสไตล์ได้ครบ 100 จนไม่ถูก

คนชักจูงง่ายและก้จะไม่สนใจอีกต่อไปว่า


หุ้นหรือกิจการนั้น มีเซียนมาเจิมหรือเปล่า แต่จะมองว่า กิจการนั้นอนาคตมันจะดีหรือเปล่า

อีกหน่อยผมว่า เกิดขึ้นแน่นอน วันที่เหตุผลและความถูกต้อง จะมาก่อนอารมณ์

ผมว่ายังยากอยู่ เพราะส่วนใหญ่นักลงทุนเน้นคุณค่ายังคงน้อย รอบข้างที่ผมรู้จักส่วนมากจะเน้นไปที่เก็งกำไรเพราะได้เงินเร็วแม้ว่าจะเสียเป็นประจำแต่คงเห็นว่าเร้าใจดี ไม่ต้องรอนาน ไม่ต้องไปวิเคราะงบการเงิน ทำนายอนาคตของธุรกิจที่ซื้อ และที่สำคัญ ผมยังเห็นนักลงทุนโทรไปถามพวกแนวรับ-ต้านของหุ้นแต่ละตัวบ่อยๆในรายการที่วิเคราะห์หุ้นว่าซื้อมาเท่านี้จะทำไงดี (ทั้งที่ซื้อเองยังจะถามว่าทำไง??)

ถ้าตลาดมีประสิทธิภาพ ผมคงต้องเลิกเล่นหุ้น

ayethebing เขียน:ถ้าตลาดมีประสิทธิภาพ ผมคงต้องเลิกเล่นหุ้น

ถ้าตลาดมีประสิทธิภาพตลอดเวลา ผมเลิกด้วยคน

ถ้าตลาดไม่มีประสิทธิภาพตลอดเวลา ผมก็เลิกด้วยคน

น่าจะยากที่ทุกคนจะไม่เก็งกำไร

ผมรู้แต่ว่าถ้าเซียนมาเจิมหุ้นผมเมื่อไหร่ ผมจะเตรียมตัวขายครับ เพราะ effect ของการเจิมเท่าที่เห็นส่วนหนึ่งมันก็แค่ชั่วคราวเท่านั้น

เวลาเซียนบอกอะไร คิดให้ดีก่อนว่า ถ้าเซียนบอกกับไม่บอก หุ้นมันจะขึ้นลงต่างกันหรือเปล่า เพราะถ้ามันขึ้นเพราะเซียนบอก คนที่รวยก็คือเซียนครับ คนซื้อตามจริง ๆ ก็เป็นแค่ฟันเฟืองหนึ่งที่จะเร่งให้ราคาเป็นไปอย่างที่บอก ถ้าท่านไม่ซื้อตามมันก็อาจจะไม่ไปเลยก็ได้ครับ

ระยะสั้นราคาตามข่าว ระยะยาวตามผลกำไร มอตโต้คุณนริส อมตะวาจา

Oatarm เขียน:ระยะสั้นราคาตามข่าว ระยะยาวตามผลกำไร มอตโต้คุณนริส อมตะวาจา

แต่ข่าวจะสร้างเขื่อนหรือทำฝายก้ไม่ได้ทำให้ ทาทาของผมดีขึ้นได้เลย

ครั้งแรกที่เจอข่าวกับหุ้นไม่ไปทางเดียวกัน


ก้ต้องยอมรับว่า เรามองพลาดไป แต่ที่เสียใจ คือ เพื่อนเราก้ต้องมาเจ็บกับเรา

เจ็บแบบนี้ มันร้าวเข้าไปถึงกระดูกดำทีเดียว

เจ็บครั้งนี้ทำให้รู้ว่า ต่อให้อนาคตงานจะมีแค่ไหน แต่ถ้ากิจการนั้นเราตีไม่แตก

ก้ต้องเจ็บแบบนี้




ผมได้ประสบการณ์ชีวิตอีกบทหนึ่งแล้ว

Nicolas Dravas นักเล่นหุ้นรุ่นเก๋าของเมกา บอกหุ้นที่จะไป คือ Fashionable Stock พื้นฐานดีแค่ไหน คนไม่สนใจ หุ้นก็ขึ้นยาก ตรงกันข้าม หุ้นไร้พื้นฐาน แต่ Story น่าสนใจ คนนิยมกัน หุ้นก็ขึ้นกระจาย ดังนั้น หลักการลงทุนของ Dravas ต้องวิเคราะห์ให้ได้ว่า Fashionable Stock ของซีซั่นนี้ คือ อะไร

ผมคิดว่า นักลงทุนยุคนี้ ก็ใช้หลักการนี้มาลงทุน อย่าง โอนีล ก็ดูที่สถาบัน เพราะ สถาบันอเมริกา คือ นักลงทุนมือใหญ่ มีอำนาจในการผลักดันหุ้น ถ้าตลาดไทย ใช้หลักการเดียวกัน ก็ คือ วิเคราะห์หุ้นใน SET50 ที่ต่างชาติกับกองทุน เป็นเจ้าตลาด แต่ถ้าเป็นหุ้นเล็ก ยังไงก็ต้องเป็นเสี่ยทั้งหลายในตลาด ที่มีพลังอำนาจในการผลักดันราคา หรือถ้าไม่มีเจ้า ก็ต้องมีคนเห็นเหมือนเรา คิดเหมือนเรา เยอะๆ ราคาก็จะวิ่งเป็นรถไฟเหาะ

กลับมาที่แนว VI ผมคิดว่า คนที่ลงทุนหุ้นพื้นฐานที่ไม่ใช่ Fashionable Stock ต้องทนถือได้จริง ต่อให้หุ้นเรา underperform คนอื่น 1-2-3 ปี สุดท้ายก็ออกดอกออกผล แต่ปัญหาคือ มีซักกี่คนที่ทนถือลงทุนได้จริง

อาจจะดีขึ้นครับ
เพราะนักลงทุนหน้าใหม่จะเข้าใจตลาดหุ้นได้ดีกว่าเดิม
ทำให้ผู้บริหารโกงได้ยากขึ้น

แต่สิ่งที่ไม่หายไปจากใจของนักลงทุน(เกือบทุกคน)
คือ ความโลภ กับ ความกลัว ครับ

และสองสิ่งนี้ก็จะทำให้ตลาดไม่มีประสิทธิภาพเสมอ
ต่อให้บริษัทดีแค่ไหน เมื่อภาวะความกลัวมาเยือน
ราคาก็ร่วงระนาวไม่ต่างกัน

แต่ถ้านักลงทุนในอนาคตมีความเข้าใจมากขึ้น
ก็อาจจะทำให้ตลาดไม่ซึมยาว
เพราะต่างก็รู้ว่าเราควรซื้อหุ้นในภาวะตลาดหมี
ซึ่งน่าจะทำให้ตลาดมีความมั่นคงขึ้น


แต่สิ่งที่เข้าถึงได้ยากจริงๆ
คือความเข้าใจในหลักการลงทุน และจิตใจที่มั่นคงครับ

เพราะคนที่เข้ามาแรกๆ(ส่วนใหญ่) มักจะมาด้วยความโลภเข้าสิง
คิดแต่จะได้ ไม่มีเสีย
เหตุผลนึงเพราะเค้าได้ยินมาจากคนที่ประสบความเสร็จแล้วอีกที
จึงมองว่าการลงทุนนั้น ไม่น่าจะยากอะไร

แต่คนที่ผ่านตลาดหุ้นมาพอสมควรโดนเฉพาะแนว VI
จะรู้อยู่แก่ใจครับว่า การลงทุนนั้นไม่ง่ายเลย โดยเฉพาะช่วงแรกๆ
ต้องผ่านอะไรเยอะ ทั้งอ่านหนังสือ และ ประสบการณ์จริง

ผมว่ายากครับ ดูอย่างประเทศที่ตลาดเกิดก่อนเรา หลายสิบปีกิเลสมนุษย์ยังเหมือนเดิมครับ ทำให้เป็นไปได้ยากครับ

ถ้าเป็นแบบที่ท่าน จขกท.ว่า ราคาหุ้นก็จะขึ้นลงตามผลประกอบและเงินปันผลที่จะได้รับ อย่างสมเหตุสมผลซิครับ เพราะว่า ถ้านักลงทุนเค้าซื้อหุ้นด้วยเหตุผล แปลว่า ถ้าราคาหุ้นมาถึงจุดๆนึงซึ่งซื้อแล้วปันผลมันได้น้อย(เช่นน้อยกว่าเงินฝากธนาคาร) ราคามันก็จะหยุด แล้ว ก็จะโยกไปหาหุ้นตัวอื่นหรือ การลงทุนอื่นที่คุ้มค่ากว่า จริงๆ แล้วผมว่ามันควรจะเป็นแบบนี้มาตั้งนานแล้วนะครับ แต่เท่าที่ดู มันคงเป็นไปได้ยากในความเป็นจริงมั้งครับ เหมือนอย่างที่ท่านข้างบนว่า ถ้าตลาดมีประสิทธิภาพตลอดเวลา คงจะลงทุนในหุ้นยากแล้วล่ะครับ