Mega Trend/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
- little wing
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 187
- ผู้ติดตาม: 0
Mega Trend/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 1
โลกในมุมมองของ Value Investor 5 กุมภาพันธ์ 55
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ในการลงทุนระยะยาวนั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งก็คือ การรู้ว่าอะไรเป็น Mega Trend หรือแนวโน้มใหญ่ของสิ่งต่าง ๆ ในโลก หรือถ้าพูดถึงการลงทุนในประเทศไทยก็คือ แนวโน้มของประเทศไทย อย่างไรก็ตาม แนวโน้มในประเทศไทยนั้น ส่วนใหญ่ก็เป็นไปในแนวเดียวกับแนวโน้มของโลก ผมเองไม่ได้เป็นคนที่มองเห็น “อนาคต” ดีกว่าคนอื่น แต่ผมชอบสังเกตพฤติกรรมของคนอื่น รวมถึงตนเองว่า เราเคยทำอะไรและทำอย่างไรในอดีต และตอนนี้ทำอะไรแทน นอกจากนั้นผมก็ศึกษาพฤติกรรมของคนชาติอื่นที่ร่ำรวยกว่าเราว่าเขาทำอะไรมาก่อน เพราะผมเชื่อว่าในไม่ช้า เมื่อเรารวยเท่าเขา เราก็จะทำเหมือนกับเขา ผลก็คือ ผมก็จะมีไอเดียว่า Mega Trend ของเรามีอะไรบ้าง และต่อไปนี้ก็คือความคิดของผม
เริ่มจากสิ่งที่ใกล้ตัวที่สุดก็คือเรื่องของอาหารการกิน ผมคิดว่าคนไทยกินอาหารนอกบ้านมากขึ้นเรื่อย ๆ เหตุผลสำคัญก็คือ อาหารนอกบ้านในวันนี้ไม่ได้ “แพง” เหมือนในสมัยก่อน นี่ก็พูดโดยเปรียบเทียบกับเงินเดือนของคนทั่วไป และเทียบกับราคาอาหารที่ทำกินเองที่บ้าน อาหารที่เรากินนั้น ดูเหมือนว่าจะกินในภัตตาคารที่เป็นอาหารต่างชาติค่อนข้างมากโดยเฉพาะที่เป็นอาหารญี่ปุ่น หรือฟาสฟูดแบบอเมริกัน เทรนด์กินอาหารนอกบ้านนั้น ผมคิดว่าจะเพิ่มขึ้นไปอีกนาน ส่วนร้านอาหารหรือภัตตาคารที่เรากินนั้นก็มีแนวโน้มว่าเราจะเลือกกินจากร้านที่เป็นเชนหรือเครือข่ายมากกว่าร้านเดี่ยว ๆ ซึ่งมีความเสียเปรียบในหลาย ๆ ด้าน นอกจากการกินในภัตตาคารแล้ว อาหารกล่องและอาหารถาดทั้งหลายก็น่าจะเป็นเมกาเทรนด์ที่จะมีการบริโภคมากขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยเหตุผลเดียวกัน
อาหารประเภทหนึ่งที่ผมคิดว่าคนไทยกินมากขึ้นเรื่อย ๆ มายาวนานก็คือ เบเกอรี่ นี่เป็นขนมหรืออาหารว่างที่อร่อย สะดวก และราคาก็เรียกว่า “ถูกลง” เรื่อย ๆ เมื่อเทียบกับรายได้ของคนไทย การเกิดขึ้นของร้านค้าปลีกสมัยใหม่ที่ติดเครื่องปรับอากาศทำให้การกระจายสินค้าเบเกอรี่ทำได้กว้างขวางขึ้นและน่าจะทำให้อาหารเบเกอรี่เติบโตขึ้นได้อย่างรวดเร็ว
ในด้านของเครื่องดื่ม ผมคิดว่าน้ำอัดลมนั้นมีการบริโภคลดลงเช่นเดียวกับเหล้า ตรงกันข้าม น้ำประเภทอื่นที่ไม่อัดลม เช่น กาแฟ ชาเขียวหรือน้ำขวดน่าจะมีอัตราการบริโภคสูงขึ้นเรื่อย ๆ เช่นเดียวกับเบียร์ที่ผมคิดว่าคนบริโภคเพิ่มขึ้น ส่วนบุหรี่นั้น ผมคิดว่าคนคงลดการสูบลงอย่างช้า ๆ โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ที่ลดการสูบลงไปมาก
การใช้อินเตอร์เน็ตและโทรศัพท์มือถือที่เป็น Smart Phone นั้น ผมค่อนข้างมั่นใจว่าจะเป็น Mega Trend ที่จะมาค่อนข้างแรง เพราะนี่ดูเหมือนจะเป็นสิ่งจำเป็นและสะดวกสบายสำหรับ “ชีวิตสมัยใหม่” นอกจากนั้น ราคาของการใช้ก็ “ถูก” ลงเรื่อย ๆ ผลต่อเนื่องมาก็คือการขายบริการผ่านระบบอินเตอร์เน็ต เช่น หนังสือ E-Book เพลง และอื่น ๆ ก็มีแนวโน้มมากขึ้นแม้ว่าจะยังไม่มีนัยสำคัญมากนักในตลาดเมืองไทย อย่างไรก็ตาม การซื้อสินค้าผ่านระบบอินเตอร์เน็ตเองนั้น ยังไม่น่าจะเรียกว่าเป็น Mega Trend ได้ เหตุผลอาจจะเป็นเพราะว่าคนไทยสามารถซื้อสินค้าได้ค่อนข้างสะดวกมากตามห้างร้านที่อยู่ไม่ไกลบ้าน แต่เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ เราชอบเห็นและจับต้องของที่ต้องการซื้อและอยากได้มันทันทีมากกว่าที่จะต้องรอสินค้าที่เห็นในคาตาล็อก
การเดินทางในกรุงเทพนั้น นับวันคนจะใช้รถไฟฟ้าทั้งบนดินและใต้ดินมากขึ้นเรื่อย ๆ ยิ่งในอนาคตที่จะมีการสร้างเส้นทางเดินรถมากขึ้น จำนวนคนใช้บริการก็จะเพิ่มขึ้น สิ่งที่จะตามมาอีกอย่างหนึ่งก็คือ ห้างและคอนโดมิเนียมที่อยู่ตามเส้นทางหรือใกล้สถานีรถไฟฟ้าจะมีเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เหตุผลก็คือ นอกจากความสะดวกและประหยัดเวลาในการเดินทางแล้ว ราคาค่าบริการก็ต้องถือว่า “ลดลง” เรื่อย ๆ เมื่อเทียบกับเงินเดือนของคนทำงาน ผมยังเชื่อว่าเมื่อโครงข่ายเดินรถใหม่ ๆ สร้างเสร็จ รัฐบาลจะรวมโครงข่ายทั้งหมดหรือหลาย ๆ เส้นทางเข้าด้วยกันในการคิดค่าโดยสารซึ่งจะทำให้ค่าใช้จ่ายในการเดินทางโดยระบบรถไฟฟ้าถูกลงมหาศาลและจะส่งผลให้จำนวนผู้ใช้บริการโตขึ้นแบบก้าวกระโดดซึ่งจะทำให้คนส่วนใหญ่ในกรุงเทพเดินทางด้วยระบบรถไฟฟ้านี้เหมือนอย่างในประเทศที่พัฒนาแล้ว
ห้างร้านที่เป็นศูนย์การค้ามีทุกอย่างให้เลือกซื้อในที่เดียวกันนั้นผมคิดว่าก็ยังเป็น Mega Trend ต่อไป แต่ที่จะขยายตัวไปมากกว่าก็คือในต่างจังหวัด เพราะกรุงเทพเองนั้น ดูเหมือนว่าใกล้จะอิ่มตัวแล้ว การขยายตัวน่าจะเป็นคอมมูนิตี้มอลซึ่งเป็นศูนย์การค้าขนาดเล็กที่เน้นชุมชนใกล้เคียงเป็นหลัก ในส่วนของห้างประเภท Discount Store หรือแม้แต่ห้างอย่างอื่นที่เป็นประเภท Super Store ทั้งหลายนั้น แนวโน้มดูเหมือนว่าขนาดของห้างจะเล็กลงมากกว่าที่จะใหญ่ขึ้น เหตุผลคงเป็นเรื่องของความคุ้มค่าที่เริ่มค้นพบว่าขนาดของร้านที่มีอยู่ในปัจจุบันนั้นอาจจะเกินความจำเป็น อีกส่วนหนึ่งอาจจะอยู่ที่ข้อจำกัดทางด้านของผังเมืองที่ห้ามการสร้างร้านที่ใหญ่มากในทำเลใกล้ชุมชนด้วย
ธุรกิจการเงินโดยเฉพาะธนาคารพาณิชย์นั้นดูเหมือนว่าจะใช้เท็คโนโลยีมากขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้งานมาตรฐานต่าง ๆ เช่นการฝากหรือถอนเงินนั้นถูกทำผ่านเครื่องเป็นหลัก พนักงานแบงค์ถูกใช้ไปทำงานที่มีความซับซ้อนหรือที่ต้องอาศัย “คน” ในการชักชวนลูกค้าเช่น การขายประกันชีวิต ขายกองทุนรวม และอื่น ๆ
ธุรกิจความสวยงาม เฉพาะอย่างยิ่งการทำศัลยกรรมและตกแต่งใบหน้าด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์นั้น ก็น่าจะยังเป็น Mega Trend ต่อไปอีก เหตุผลก็คือเรื่องของต้นทุนหรือค่าใช้จ่ายที่ต่ำลงมาก บวกกับความปลอดภัยที่เพิ่มขึ้น นี่ทำให้สาวจำนวนมากและรวมถึงหนุ่มสมัยใหม่บางส่วน เข้าไปใช้บริการคลินิกเสริมสวยเป็นประจำและเพิ่มขึ้น
คงเป็นเรื่องยากที่จะพูดถึง Mega Trend ต่าง ๆ ได้หมด ประเด็นก็คือ เราต้องการรู้ว่าธุรกิจอะไรจะเติบโตและอะไรจะถดถอยในระยะยาว แต่ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ เราต้องสังเกตว่าบริษัทไหนจะได้ประโยชน์ นั่นก็คือ ขั้นแรกเราต้องดูเสียก่อนว่าตลาดที่โตขึ้นนั้น มันได้ดึงดูดผู้เล่นหน้าใหม่เข้ามามากเสียยิ่งกว่าความต้องการที่เพิ่มขึ้นหรือไม่ ถ้าใช่ เราก็ต้องระวังว่าบริษัทที่อยู่ในธุรกิจโดยรวมแล้วไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย ตรงกันข้าม ถ้าการเข้าสู่ธุรกิจทำได้ค่อนข้างยาก แบบนี้บริษัทที่มีอยู่เดิมก็จะได้ประโยชน์ ขั้นตอนต่อมาก็คือ เราต้องดูว่าใครหรือบริษัทไหนเป็น “ผู้ชนะ” นี่ไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นรายเดียว ผู้ชนะในธุรกิจอาจจะมีได้หลายราย แต่โดยทั่วไปผมคิดว่ามีไม่เกิน 2-3 ราย ผู้ชนะนั้นสิ่งสำคัญที่จะดูก็คือ เป็นบริษัทที่ได้ส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นหรือไม่ลดลง มาร์จินหรือกำไรต่อยอดขายเพิ่มขึ้นหรือไม่ลดลง ที่สำคัญก็คือ มองไปในระยะยาวแล้วบริษัทสามารถแข่งขันได้ในตลาดเนื่องจากบริษัทมีจุดเด่นหรือจุดแข็งบางอย่างที่คู่แข่งไม่สามารถทำลายได้ง่าย แน่นอน ผู้ชนะแต่ละรายมีดีกรีที่ต่างกัน บางบริษัทนั้นเป็นผู้ชนะที่เด็ดขาดเหนือคู่แข่งมาก ซึ่งก็ทำให้บริษัทมีคุณค่าทางธุรกิจสูงมาก บางบริษัทอาจจะชนะแต่ก็เป็นการชนะที่ไม่ได้เหนือกว่าคู่แข่งมากนัก แบบนี้คุณค่าของธุรกิจก็จะไม่มากนัก ขั้นตอนสุดท้ายก็คือ เราก็ต้องไปดูราคาหุ้นว่าถูกหรือแพงแค่ไหนเทียบกับคุณค่าที่เราเห็น และนี่ก็คือการลงทุนแบบ VI ที่มองระยะยาวและเล่นกับ Mega Trend
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ในการลงทุนระยะยาวนั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งก็คือ การรู้ว่าอะไรเป็น Mega Trend หรือแนวโน้มใหญ่ของสิ่งต่าง ๆ ในโลก หรือถ้าพูดถึงการลงทุนในประเทศไทยก็คือ แนวโน้มของประเทศไทย อย่างไรก็ตาม แนวโน้มในประเทศไทยนั้น ส่วนใหญ่ก็เป็นไปในแนวเดียวกับแนวโน้มของโลก ผมเองไม่ได้เป็นคนที่มองเห็น “อนาคต” ดีกว่าคนอื่น แต่ผมชอบสังเกตพฤติกรรมของคนอื่น รวมถึงตนเองว่า เราเคยทำอะไรและทำอย่างไรในอดีต และตอนนี้ทำอะไรแทน นอกจากนั้นผมก็ศึกษาพฤติกรรมของคนชาติอื่นที่ร่ำรวยกว่าเราว่าเขาทำอะไรมาก่อน เพราะผมเชื่อว่าในไม่ช้า เมื่อเรารวยเท่าเขา เราก็จะทำเหมือนกับเขา ผลก็คือ ผมก็จะมีไอเดียว่า Mega Trend ของเรามีอะไรบ้าง และต่อไปนี้ก็คือความคิดของผม
เริ่มจากสิ่งที่ใกล้ตัวที่สุดก็คือเรื่องของอาหารการกิน ผมคิดว่าคนไทยกินอาหารนอกบ้านมากขึ้นเรื่อย ๆ เหตุผลสำคัญก็คือ อาหารนอกบ้านในวันนี้ไม่ได้ “แพง” เหมือนในสมัยก่อน นี่ก็พูดโดยเปรียบเทียบกับเงินเดือนของคนทั่วไป และเทียบกับราคาอาหารที่ทำกินเองที่บ้าน อาหารที่เรากินนั้น ดูเหมือนว่าจะกินในภัตตาคารที่เป็นอาหารต่างชาติค่อนข้างมากโดยเฉพาะที่เป็นอาหารญี่ปุ่น หรือฟาสฟูดแบบอเมริกัน เทรนด์กินอาหารนอกบ้านนั้น ผมคิดว่าจะเพิ่มขึ้นไปอีกนาน ส่วนร้านอาหารหรือภัตตาคารที่เรากินนั้นก็มีแนวโน้มว่าเราจะเลือกกินจากร้านที่เป็นเชนหรือเครือข่ายมากกว่าร้านเดี่ยว ๆ ซึ่งมีความเสียเปรียบในหลาย ๆ ด้าน นอกจากการกินในภัตตาคารแล้ว อาหารกล่องและอาหารถาดทั้งหลายก็น่าจะเป็นเมกาเทรนด์ที่จะมีการบริโภคมากขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยเหตุผลเดียวกัน
อาหารประเภทหนึ่งที่ผมคิดว่าคนไทยกินมากขึ้นเรื่อย ๆ มายาวนานก็คือ เบเกอรี่ นี่เป็นขนมหรืออาหารว่างที่อร่อย สะดวก และราคาก็เรียกว่า “ถูกลง” เรื่อย ๆ เมื่อเทียบกับรายได้ของคนไทย การเกิดขึ้นของร้านค้าปลีกสมัยใหม่ที่ติดเครื่องปรับอากาศทำให้การกระจายสินค้าเบเกอรี่ทำได้กว้างขวางขึ้นและน่าจะทำให้อาหารเบเกอรี่เติบโตขึ้นได้อย่างรวดเร็ว
ในด้านของเครื่องดื่ม ผมคิดว่าน้ำอัดลมนั้นมีการบริโภคลดลงเช่นเดียวกับเหล้า ตรงกันข้าม น้ำประเภทอื่นที่ไม่อัดลม เช่น กาแฟ ชาเขียวหรือน้ำขวดน่าจะมีอัตราการบริโภคสูงขึ้นเรื่อย ๆ เช่นเดียวกับเบียร์ที่ผมคิดว่าคนบริโภคเพิ่มขึ้น ส่วนบุหรี่นั้น ผมคิดว่าคนคงลดการสูบลงอย่างช้า ๆ โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ที่ลดการสูบลงไปมาก
การใช้อินเตอร์เน็ตและโทรศัพท์มือถือที่เป็น Smart Phone นั้น ผมค่อนข้างมั่นใจว่าจะเป็น Mega Trend ที่จะมาค่อนข้างแรง เพราะนี่ดูเหมือนจะเป็นสิ่งจำเป็นและสะดวกสบายสำหรับ “ชีวิตสมัยใหม่” นอกจากนั้น ราคาของการใช้ก็ “ถูก” ลงเรื่อย ๆ ผลต่อเนื่องมาก็คือการขายบริการผ่านระบบอินเตอร์เน็ต เช่น หนังสือ E-Book เพลง และอื่น ๆ ก็มีแนวโน้มมากขึ้นแม้ว่าจะยังไม่มีนัยสำคัญมากนักในตลาดเมืองไทย อย่างไรก็ตาม การซื้อสินค้าผ่านระบบอินเตอร์เน็ตเองนั้น ยังไม่น่าจะเรียกว่าเป็น Mega Trend ได้ เหตุผลอาจจะเป็นเพราะว่าคนไทยสามารถซื้อสินค้าได้ค่อนข้างสะดวกมากตามห้างร้านที่อยู่ไม่ไกลบ้าน แต่เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ เราชอบเห็นและจับต้องของที่ต้องการซื้อและอยากได้มันทันทีมากกว่าที่จะต้องรอสินค้าที่เห็นในคาตาล็อก
การเดินทางในกรุงเทพนั้น นับวันคนจะใช้รถไฟฟ้าทั้งบนดินและใต้ดินมากขึ้นเรื่อย ๆ ยิ่งในอนาคตที่จะมีการสร้างเส้นทางเดินรถมากขึ้น จำนวนคนใช้บริการก็จะเพิ่มขึ้น สิ่งที่จะตามมาอีกอย่างหนึ่งก็คือ ห้างและคอนโดมิเนียมที่อยู่ตามเส้นทางหรือใกล้สถานีรถไฟฟ้าจะมีเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เหตุผลก็คือ นอกจากความสะดวกและประหยัดเวลาในการเดินทางแล้ว ราคาค่าบริการก็ต้องถือว่า “ลดลง” เรื่อย ๆ เมื่อเทียบกับเงินเดือนของคนทำงาน ผมยังเชื่อว่าเมื่อโครงข่ายเดินรถใหม่ ๆ สร้างเสร็จ รัฐบาลจะรวมโครงข่ายทั้งหมดหรือหลาย ๆ เส้นทางเข้าด้วยกันในการคิดค่าโดยสารซึ่งจะทำให้ค่าใช้จ่ายในการเดินทางโดยระบบรถไฟฟ้าถูกลงมหาศาลและจะส่งผลให้จำนวนผู้ใช้บริการโตขึ้นแบบก้าวกระโดดซึ่งจะทำให้คนส่วนใหญ่ในกรุงเทพเดินทางด้วยระบบรถไฟฟ้านี้เหมือนอย่างในประเทศที่พัฒนาแล้ว
ห้างร้านที่เป็นศูนย์การค้ามีทุกอย่างให้เลือกซื้อในที่เดียวกันนั้นผมคิดว่าก็ยังเป็น Mega Trend ต่อไป แต่ที่จะขยายตัวไปมากกว่าก็คือในต่างจังหวัด เพราะกรุงเทพเองนั้น ดูเหมือนว่าใกล้จะอิ่มตัวแล้ว การขยายตัวน่าจะเป็นคอมมูนิตี้มอลซึ่งเป็นศูนย์การค้าขนาดเล็กที่เน้นชุมชนใกล้เคียงเป็นหลัก ในส่วนของห้างประเภท Discount Store หรือแม้แต่ห้างอย่างอื่นที่เป็นประเภท Super Store ทั้งหลายนั้น แนวโน้มดูเหมือนว่าขนาดของห้างจะเล็กลงมากกว่าที่จะใหญ่ขึ้น เหตุผลคงเป็นเรื่องของความคุ้มค่าที่เริ่มค้นพบว่าขนาดของร้านที่มีอยู่ในปัจจุบันนั้นอาจจะเกินความจำเป็น อีกส่วนหนึ่งอาจจะอยู่ที่ข้อจำกัดทางด้านของผังเมืองที่ห้ามการสร้างร้านที่ใหญ่มากในทำเลใกล้ชุมชนด้วย
ธุรกิจการเงินโดยเฉพาะธนาคารพาณิชย์นั้นดูเหมือนว่าจะใช้เท็คโนโลยีมากขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้งานมาตรฐานต่าง ๆ เช่นการฝากหรือถอนเงินนั้นถูกทำผ่านเครื่องเป็นหลัก พนักงานแบงค์ถูกใช้ไปทำงานที่มีความซับซ้อนหรือที่ต้องอาศัย “คน” ในการชักชวนลูกค้าเช่น การขายประกันชีวิต ขายกองทุนรวม และอื่น ๆ
ธุรกิจความสวยงาม เฉพาะอย่างยิ่งการทำศัลยกรรมและตกแต่งใบหน้าด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์นั้น ก็น่าจะยังเป็น Mega Trend ต่อไปอีก เหตุผลก็คือเรื่องของต้นทุนหรือค่าใช้จ่ายที่ต่ำลงมาก บวกกับความปลอดภัยที่เพิ่มขึ้น นี่ทำให้สาวจำนวนมากและรวมถึงหนุ่มสมัยใหม่บางส่วน เข้าไปใช้บริการคลินิกเสริมสวยเป็นประจำและเพิ่มขึ้น
คงเป็นเรื่องยากที่จะพูดถึง Mega Trend ต่าง ๆ ได้หมด ประเด็นก็คือ เราต้องการรู้ว่าธุรกิจอะไรจะเติบโตและอะไรจะถดถอยในระยะยาว แต่ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ เราต้องสังเกตว่าบริษัทไหนจะได้ประโยชน์ นั่นก็คือ ขั้นแรกเราต้องดูเสียก่อนว่าตลาดที่โตขึ้นนั้น มันได้ดึงดูดผู้เล่นหน้าใหม่เข้ามามากเสียยิ่งกว่าความต้องการที่เพิ่มขึ้นหรือไม่ ถ้าใช่ เราก็ต้องระวังว่าบริษัทที่อยู่ในธุรกิจโดยรวมแล้วไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย ตรงกันข้าม ถ้าการเข้าสู่ธุรกิจทำได้ค่อนข้างยาก แบบนี้บริษัทที่มีอยู่เดิมก็จะได้ประโยชน์ ขั้นตอนต่อมาก็คือ เราต้องดูว่าใครหรือบริษัทไหนเป็น “ผู้ชนะ” นี่ไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นรายเดียว ผู้ชนะในธุรกิจอาจจะมีได้หลายราย แต่โดยทั่วไปผมคิดว่ามีไม่เกิน 2-3 ราย ผู้ชนะนั้นสิ่งสำคัญที่จะดูก็คือ เป็นบริษัทที่ได้ส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นหรือไม่ลดลง มาร์จินหรือกำไรต่อยอดขายเพิ่มขึ้นหรือไม่ลดลง ที่สำคัญก็คือ มองไปในระยะยาวแล้วบริษัทสามารถแข่งขันได้ในตลาดเนื่องจากบริษัทมีจุดเด่นหรือจุดแข็งบางอย่างที่คู่แข่งไม่สามารถทำลายได้ง่าย แน่นอน ผู้ชนะแต่ละรายมีดีกรีที่ต่างกัน บางบริษัทนั้นเป็นผู้ชนะที่เด็ดขาดเหนือคู่แข่งมาก ซึ่งก็ทำให้บริษัทมีคุณค่าทางธุรกิจสูงมาก บางบริษัทอาจจะชนะแต่ก็เป็นการชนะที่ไม่ได้เหนือกว่าคู่แข่งมากนัก แบบนี้คุณค่าของธุรกิจก็จะไม่มากนัก ขั้นตอนสุดท้ายก็คือ เราก็ต้องไปดูราคาหุ้นว่าถูกหรือแพงแค่ไหนเทียบกับคุณค่าที่เราเห็น และนี่ก็คือการลงทุนแบบ VI ที่มองระยะยาวและเล่นกับ Mega Trend
-
- Verified User
- โพสต์: 39
- ผู้ติดตาม: 0
Re: Mega Trend/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 3
เยี่ยมครับ ดร.
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 957
- ผู้ติดตาม: 0
Re: Mega Trend/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 4
ขอบคุณท่านดร. มาช่วยกระตุ้น เปิดมุมมอง อีกครั้ง " การลงทุนแบบ VI ที่มองระยะยาวและเล่นกับ Mega Trend "
น่าจะเป็นคำตอบหนึ่งให้ผมได้ ผมถามตัวเองบ่อยๆว่าอะไร ที่ทำให้จำนวนหุ้นส่วนใหญ่ยังคงมีผู้ถือหุ้นอยู่ได้ แม้ในยามหุ้นตกมากๆ
ผมเคยพยายามคิดว่า เวลาหุ้นตกมากๆ จำนวนหุ้นที่ยังคงถูกถืออยู่ กับจำนวนหุ้นที่ขายทิ้งหนี ใครมากกว่ากัน แต่ความเป็นจริงแล้ว จำนวนขายกับจำนวนซื้อมันต้องเท่ากัน ฝั่งขายเหตุผลการขายเรารู้ง่ายมาก เริ่มเข้าตลาดมาเราก็ได้ยินประจำ แต่ฝั่งซื้อสิเขาคิดอะไรกันอยู่? ผมเชื่อว่าทุกคนต้องการเป็นผู้ชนะ หรือจุดเวลาตัดสินของแต่ละคนต่างกัน? หรืออื่นๆ?
ขอบคุณท่านดร.อีกครั้ง และคุณlittle wing ด้วย ครับ
น่าจะเป็นคำตอบหนึ่งให้ผมได้ ผมถามตัวเองบ่อยๆว่าอะไร ที่ทำให้จำนวนหุ้นส่วนใหญ่ยังคงมีผู้ถือหุ้นอยู่ได้ แม้ในยามหุ้นตกมากๆ
ผมเคยพยายามคิดว่า เวลาหุ้นตกมากๆ จำนวนหุ้นที่ยังคงถูกถืออยู่ กับจำนวนหุ้นที่ขายทิ้งหนี ใครมากกว่ากัน แต่ความเป็นจริงแล้ว จำนวนขายกับจำนวนซื้อมันต้องเท่ากัน ฝั่งขายเหตุผลการขายเรารู้ง่ายมาก เริ่มเข้าตลาดมาเราก็ได้ยินประจำ แต่ฝั่งซื้อสิเขาคิดอะไรกันอยู่? ผมเชื่อว่าทุกคนต้องการเป็นผู้ชนะ หรือจุดเวลาตัดสินของแต่ละคนต่างกัน? หรืออื่นๆ?
ขอบคุณท่านดร.อีกครั้ง และคุณlittle wing ด้วย ครับ
- lengmanutd
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 143
- ผู้ติดตาม: 0
Re: Mega Trend/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 6
ขอบคุณมากครับ
ลงทุนในบริษัทที่ดี ราคาหุ้นมี MOS (Downside = Limited) และแนวโน้มกำไรมี Growth (Upside = Infinity)
- chukieat30
- Verified User
- โพสต์: 3531
- ผู้ติดตาม: 0
Re: Mega Trend/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 8
คงเป็นเรื่องยากที่จะพูดถึง Mega Trend ต่าง ๆ ได้หมด ประเด็นก็คือ เราต้องการรู้ว่าธุรกิจอะไรจะเติบโตและอะไรจะถดถอยในระยะยาว แต่ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ เราต้องสังเกตว่าบริษัทไหนจะได้ประโยชน์
ขอบคุณครับ ท่านอาจารย์
ขอบคุณครับ ท่านอาจารย์
ถ้าคุณตีลูกตามไทเกอร์ คุณก้ไม่มีทางจะเหนือกว่า ไทเกอร์ จงนำวงสวิงของไทเกอร์มาปรับใช้ให้เหมาะกับคุณ
หวิ่งชุนหวอซาน หวิ่งชุนยิปมันจีทคุดโด้ พื้นฐานก้มาจากหวิ่งชุน แม้ชื่อจะต่าง
แต่หวิ่งชุนก้คือ หวิ่งชุน
ทำวันนี้ให้ดี ทำพรุ่งนี้ให้ดีกว่า และทำวันข้างหน้าให้ดีที่สุด
หวิ่งชุนหวอซาน หวิ่งชุนยิปมันจีทคุดโด้ พื้นฐานก้มาจากหวิ่งชุน แม้ชื่อจะต่าง
แต่หวิ่งชุนก้คือ หวิ่งชุน
ทำวันนี้ให้ดี ทำพรุ่งนี้ให้ดีกว่า และทำวันข้างหน้าให้ดีที่สุด
- wisdom_way
- Verified User
- โพสต์: 13
- ผู้ติดตาม: 0
Re: Mega Trend/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 12
ขอบคุณมากครับอาจารย์
Think Easy, Make It Simple
- Chicken and Egg
- Verified User
- โพสต์: 230
- ผู้ติดตาม: 0
Re: Mega Trend/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 17
ขอบคุณครับ ผมคิดว่ายังมีอย่างอื่นๆ ดร มาช่วยจุดประกายให้มอง ภาพใหญ่ อีกครั้ง
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 991
- ผู้ติดตาม: 0
Re: Mega Trend/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 18
ขอบคุณครับ อาจารย์เหมือนแว่นตาที่ช่วยให้มองโลกได้แจ่มชัดขึ้นจริงๆ ครับ
"Look at market fluctuations as your friend rather than your enemy; profit from folly rather than participate in it." – Warren Buffett
- dome@perth
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 4741
- ผู้ติดตาม: 1
Re: Mega Trend/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 20
ถ้าเป็นอย่างอาจารย์ว่า ผมก็มีหุ้น เมกกะเทรนด์ 3 ตัวหละ ครับ
"ไม่มีสุตรสำเร็จ ไม่มีทางลัด ไม่ใช่แค่โชค
หนทางจะได้มาซึ่ง อิสระภาพทางการเงิน
มันมาจาก ความขยัน การไขว่คว้า หาความรู้
เชื่อและตั้งมั้นในหลักการลงทุนที่ถูกต้อง"
หนทางจะได้มาซึ่ง อิสระภาพทางการเงิน
มันมาจาก ความขยัน การไขว่คว้า หาความรู้
เชื่อและตั้งมั้นในหลักการลงทุนที่ถูกต้อง"
- WK
- Verified User
- โพสต์: 18
- ผู้ติดตาม: 0
15 เทรนด์ชี้ชะตาเศรษฐกิจโลกปี 55 โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
โพสต์ที่ 21
15 เทรนด์ชี้ชะตาเศรษฐกิจโลกปี 55
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
ปี 2555 เป็นปีที่ต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด เพราะภาวะเศรษฐกิจโลกยังเสี่ยงจากวิกฤตหนี้ยุโรปและเศรษฐกิจสหรัฐที่ยังเปราะบาง
"บลูมเบิร์ก" นำเสนอ 15 เทรนด์สำคัญที่จะมีส่วนชี้ชะตาเศรษฐกิจโลกในปีนี้ เริ่มจาก 1.ฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์ในจีนที่เริ่มแฟบ หลังจากก่อนหน้านี้ ราคาอสังหาริมทรัพย์ในเขตเมืองของจีนโตร้อนแรงมาก แม้แต่ทางการปักกิ่งยังต้องยอมรับภาวะฟองสบู่ที่ก่อตัวขึ้น ทว่าปัจจุบัน คนจีนที่มีฐานะร่ำรวย เริ่มมองหาการลงทุนในรูปแบบอื่นๆ มากขึ้น
2.อิทธิพลด้านพลังงานของรัสเซียที่เพิ่มขึ้น ราคาน้ำมันที่พุ่งสูงช่วยค้ำจุนรัฐบาลแดนหมีขาวมานับทศวรรษ ก่อนหน้านี้ รัสเซียส่งออกก๊าซธรรมชาติส่วนใหญ่ไปยังยุโรปผ่านประเทศยูเครน แต่เมื่อปลายปีที่แล้ว รัสเซียเพิ่งเปิดท่อส่งก๊าซเส้นใหม่ลอดใต้ทะเลบอลติกที่มีชื่อว่า "นอร์ด สตรีม" ซึ่งเท่ากับลดการพึ่งพาท่อส่งผ่านยูเครนที่มีข้อพิพาทกันอยู่
3.แบงก์อเมริกันเลิกจำกัดการปล่อยสินเชื่อ หลังจากเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย ผู้บริโภคกู้ยืมได้น้อยลง เนื่องจากธนาคารลดการปล่อยกู้ แต่ปัจจุบัน สินเชื่อสำหรับผู้บริโภคเพิ่มขึ้น ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างชาวอเมริกันและเงินพลาสติกกลับมาหวานชื่นอีกครั้ง
4.มนุษย์ทองคำ ไม่ได้เลิศลอยเหนืออาชีพอื่นอีกแล้ว เพราะทั้งเงินเดือนและโบนัสของพนักงานภาคการเงินและธนาคารลดลงจากเดิม ไม่ว่าจะเป็นโกลด์แมน แซคส์ ที่ปรับโบนัสให้เท่าเทียมกัน รวมถึง มอร์แกน สแตนเลย์ และแบงก์ ออฟ อเมริกา ที่จำกัดการจ่ายเงินสด ขณะที่เครดิต สวิส จ่ายโบนัสพนักงานในรูปของหุ้นกู้ เป็นวัฒนธรรมการจ่ายโบนัสแบบวิน-วิน ไม่ว่าจะอยู่ส่วนไหน และช่วยปกป้องระบบการเงินโลก
5.จุดเปลี่ยนดีลลดราคา ซึ่งเริ่มจาก "กรุปปอง" (Groupon) ลามไปถึงลีฟวิง โซเชียล และกูเกิล ออฟเฟอร์ส แต่หลังเกิดกระแสคลั่งดีลลดราคาในปีที่แล้ว ในปีนี้ เจ้าของธุรกิจเปลี่ยนมาเสนอดีลให้ลูกค้าที่ไม่พอใจบริการและไม่กลับมาอุดหนุนมากกว่า
6.กระแสการจัดเรียงดีเอ็นเอ ที่จะมีต้นทุนลดลงมาก และเป็นไปได้ที่จะลดต่ำกว่า 1,000 ดอลลาร์ โดยบริษัท "ทเวนตี้ทรีแอนด์มี" นำร่องโครงการทดสอบยีน 50 ล้านตัว ในราคา 999 ดอลลาร์ ขณะที่ราคาทดสอบยีนแบบจำกัดจำนวนก็ลดลงอยู่ที่ 99 ดอลลาร์ บวกกับค่าสมาชิกรายปีอีก 9 ดอลลาร์ต่อเดือน
7.ยุคของรถยนต์ไฟฟ้าและไฮบริด ถึงแม้จะมีปัญหาคันเร่งและเผชิญกับเรียกคืนรถหลายระลอก ที่กระทบต่อแบรนด์โตโยต้าเมื่อปี 2553-2554 แต่พริอุส ก็สามารถเรียกคะแนนกลับมาได้ ขณะที่ค่าย เทสลา เพิ่งเปิดตัวรถซีดานไฟฟ้าไฮเอนด์ ตอกย้ำว่า เทรนด์รถยนต์ไฟฟ้าที่พูดถึงกันมานานหลายปี กำลังเกิดขึ้นจริงในขณะนี้
8.ตลาดศิลปะโตกระฉูดเหนือคาดหมาย ดูอย่างการประมูลผลงานของ "จาง ต้าเฉียน" จิตรกรชาวจีน ที่ทำเงินได้ 506.7 ล้านดอลลาร์ในปีที่แล้ว ส่วนภาพของศิลปิน "ฉี ไป๋สือ" ทำเงินได้ 445.1 ล้านดอลลาร์ ขณะที่ผลงานของศิลปินร่วมสมัยอย่าง "ดาเมียน เฮิร์สต์" มีราคา 3.48 ล้านดอลลาร์
9.บริษัทประกัน หันมาจูบปากภาครัฐ หลังจากทั้งคู่เล่นบทคู่กัด ที่ยืนอยู่คนละฟากในกฎหมายสุขภาพ แต่ตอนนี้บริษัทประกันหันมาญาติดี เพราะต้องการเกาะกระแสภาครัฐ ที่ขยายบริการด้านสุขภาพ
10.ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์สยายปีก โดยสมาร์ทโฟนจำนวนมาก ใช้ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ของกูเกิล ขณะที่ "กูเกิล โครม" ได้รับความนิยมเป็นอันดับ 2 ในคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ และผลิตภัณฑ์ของอะเมซอน ช่วยเพิ่มจำนวนผู้ใช้แอนดรอยด์บนแท็บเลต เท่ากับปีนี้น่าจะเป็นยุคทองของกูเกิล
11.ภาคการผลิตมองหาแหล่งแรงงานราคาถูกกว่าจีน เพราะแม้จีน จะเคยมีต้นทุนค่าแรงถูกแสนถูก แต่ปัจจุบัน มีตลาดอื่นที่ราคาถูกกว่า อาทิเช่น เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และอินเดีย ที่อาจเป็นความหวังใหม่
12.หลีกเลี่ยงโทสะของผู้บริโภค ดูอย่างแบงก์ ออฟ อเมริกา ที่ต้องเลิกเก็บค่าธรรมเนียมเดบิตการ์ดภายใน 2 วัน หลังจากเกิดการประท้วงของลูกค้าบนอินเทอร์เน็ต หรือกรณีของเน็ทฟลิกซ์ ที่ต้องยอมพับแผนแยกธุรกิจเช่าดีวีดีทางไปรษณีย์ กับวิดีโอผ่านอินเทอร์เน็ต หลังถูกกระแสคัดค้านจากผู้ใช้
13.ละตินผงาด ประวัติศาสตร์เปลี่ยนโฉม เพราะยุโรปเข้าสู่โหมดรัดเข็มขัด ขณะที่ละตินอเมริกาเติบโตอย่างมาก อย่างกรณีของอาร์เจนตินาที่เติบโตกว่า 9% เช่นเดียวกับบราซิลที่ยังร้อนแรง
14.แรงต้านสถาบันการศึกษาเน้นฟันกำไร เพราะนักศึกษาไม่พอใจ บวกกับกฎระเบียบของภาครัฐในเรื่องนี้ ทำให้จำนวนนักศึกษาที่เข้าเรียนในสถาบันเหล่านี้ลดลง
เทรนด์สุดท้าย พนักงานภาครัฐต้องดิ้นรนอย่างหนัก เนื่องจากรัฐบาลของประเทศ พยายามปรับลดจำนวนพนักงานลง หลังเผชิญแรงกดดันให้รัดเข็มขัดรายจ่าย ทั้งสหรัฐและยุโรป ทำให้พนักงานรัฐทั้งหลายต้องต่อสู้เพื่อปากท้อง
Tags : 15เทรนด์
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
ปี 2555 เป็นปีที่ต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด เพราะภาวะเศรษฐกิจโลกยังเสี่ยงจากวิกฤตหนี้ยุโรปและเศรษฐกิจสหรัฐที่ยังเปราะบาง
"บลูมเบิร์ก" นำเสนอ 15 เทรนด์สำคัญที่จะมีส่วนชี้ชะตาเศรษฐกิจโลกในปีนี้ เริ่มจาก 1.ฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์ในจีนที่เริ่มแฟบ หลังจากก่อนหน้านี้ ราคาอสังหาริมทรัพย์ในเขตเมืองของจีนโตร้อนแรงมาก แม้แต่ทางการปักกิ่งยังต้องยอมรับภาวะฟองสบู่ที่ก่อตัวขึ้น ทว่าปัจจุบัน คนจีนที่มีฐานะร่ำรวย เริ่มมองหาการลงทุนในรูปแบบอื่นๆ มากขึ้น
2.อิทธิพลด้านพลังงานของรัสเซียที่เพิ่มขึ้น ราคาน้ำมันที่พุ่งสูงช่วยค้ำจุนรัฐบาลแดนหมีขาวมานับทศวรรษ ก่อนหน้านี้ รัสเซียส่งออกก๊าซธรรมชาติส่วนใหญ่ไปยังยุโรปผ่านประเทศยูเครน แต่เมื่อปลายปีที่แล้ว รัสเซียเพิ่งเปิดท่อส่งก๊าซเส้นใหม่ลอดใต้ทะเลบอลติกที่มีชื่อว่า "นอร์ด สตรีม" ซึ่งเท่ากับลดการพึ่งพาท่อส่งผ่านยูเครนที่มีข้อพิพาทกันอยู่
3.แบงก์อเมริกันเลิกจำกัดการปล่อยสินเชื่อ หลังจากเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย ผู้บริโภคกู้ยืมได้น้อยลง เนื่องจากธนาคารลดการปล่อยกู้ แต่ปัจจุบัน สินเชื่อสำหรับผู้บริโภคเพิ่มขึ้น ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างชาวอเมริกันและเงินพลาสติกกลับมาหวานชื่นอีกครั้ง
4.มนุษย์ทองคำ ไม่ได้เลิศลอยเหนืออาชีพอื่นอีกแล้ว เพราะทั้งเงินเดือนและโบนัสของพนักงานภาคการเงินและธนาคารลดลงจากเดิม ไม่ว่าจะเป็นโกลด์แมน แซคส์ ที่ปรับโบนัสให้เท่าเทียมกัน รวมถึง มอร์แกน สแตนเลย์ และแบงก์ ออฟ อเมริกา ที่จำกัดการจ่ายเงินสด ขณะที่เครดิต สวิส จ่ายโบนัสพนักงานในรูปของหุ้นกู้ เป็นวัฒนธรรมการจ่ายโบนัสแบบวิน-วิน ไม่ว่าจะอยู่ส่วนไหน และช่วยปกป้องระบบการเงินโลก
5.จุดเปลี่ยนดีลลดราคา ซึ่งเริ่มจาก "กรุปปอง" (Groupon) ลามไปถึงลีฟวิง โซเชียล และกูเกิล ออฟเฟอร์ส แต่หลังเกิดกระแสคลั่งดีลลดราคาในปีที่แล้ว ในปีนี้ เจ้าของธุรกิจเปลี่ยนมาเสนอดีลให้ลูกค้าที่ไม่พอใจบริการและไม่กลับมาอุดหนุนมากกว่า
6.กระแสการจัดเรียงดีเอ็นเอ ที่จะมีต้นทุนลดลงมาก และเป็นไปได้ที่จะลดต่ำกว่า 1,000 ดอลลาร์ โดยบริษัท "ทเวนตี้ทรีแอนด์มี" นำร่องโครงการทดสอบยีน 50 ล้านตัว ในราคา 999 ดอลลาร์ ขณะที่ราคาทดสอบยีนแบบจำกัดจำนวนก็ลดลงอยู่ที่ 99 ดอลลาร์ บวกกับค่าสมาชิกรายปีอีก 9 ดอลลาร์ต่อเดือน
7.ยุคของรถยนต์ไฟฟ้าและไฮบริด ถึงแม้จะมีปัญหาคันเร่งและเผชิญกับเรียกคืนรถหลายระลอก ที่กระทบต่อแบรนด์โตโยต้าเมื่อปี 2553-2554 แต่พริอุส ก็สามารถเรียกคะแนนกลับมาได้ ขณะที่ค่าย เทสลา เพิ่งเปิดตัวรถซีดานไฟฟ้าไฮเอนด์ ตอกย้ำว่า เทรนด์รถยนต์ไฟฟ้าที่พูดถึงกันมานานหลายปี กำลังเกิดขึ้นจริงในขณะนี้
8.ตลาดศิลปะโตกระฉูดเหนือคาดหมาย ดูอย่างการประมูลผลงานของ "จาง ต้าเฉียน" จิตรกรชาวจีน ที่ทำเงินได้ 506.7 ล้านดอลลาร์ในปีที่แล้ว ส่วนภาพของศิลปิน "ฉี ไป๋สือ" ทำเงินได้ 445.1 ล้านดอลลาร์ ขณะที่ผลงานของศิลปินร่วมสมัยอย่าง "ดาเมียน เฮิร์สต์" มีราคา 3.48 ล้านดอลลาร์
9.บริษัทประกัน หันมาจูบปากภาครัฐ หลังจากทั้งคู่เล่นบทคู่กัด ที่ยืนอยู่คนละฟากในกฎหมายสุขภาพ แต่ตอนนี้บริษัทประกันหันมาญาติดี เพราะต้องการเกาะกระแสภาครัฐ ที่ขยายบริการด้านสุขภาพ
10.ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์สยายปีก โดยสมาร์ทโฟนจำนวนมาก ใช้ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ของกูเกิล ขณะที่ "กูเกิล โครม" ได้รับความนิยมเป็นอันดับ 2 ในคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ และผลิตภัณฑ์ของอะเมซอน ช่วยเพิ่มจำนวนผู้ใช้แอนดรอยด์บนแท็บเลต เท่ากับปีนี้น่าจะเป็นยุคทองของกูเกิล
11.ภาคการผลิตมองหาแหล่งแรงงานราคาถูกกว่าจีน เพราะแม้จีน จะเคยมีต้นทุนค่าแรงถูกแสนถูก แต่ปัจจุบัน มีตลาดอื่นที่ราคาถูกกว่า อาทิเช่น เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และอินเดีย ที่อาจเป็นความหวังใหม่
12.หลีกเลี่ยงโทสะของผู้บริโภค ดูอย่างแบงก์ ออฟ อเมริกา ที่ต้องเลิกเก็บค่าธรรมเนียมเดบิตการ์ดภายใน 2 วัน หลังจากเกิดการประท้วงของลูกค้าบนอินเทอร์เน็ต หรือกรณีของเน็ทฟลิกซ์ ที่ต้องยอมพับแผนแยกธุรกิจเช่าดีวีดีทางไปรษณีย์ กับวิดีโอผ่านอินเทอร์เน็ต หลังถูกกระแสคัดค้านจากผู้ใช้
13.ละตินผงาด ประวัติศาสตร์เปลี่ยนโฉม เพราะยุโรปเข้าสู่โหมดรัดเข็มขัด ขณะที่ละตินอเมริกาเติบโตอย่างมาก อย่างกรณีของอาร์เจนตินาที่เติบโตกว่า 9% เช่นเดียวกับบราซิลที่ยังร้อนแรง
14.แรงต้านสถาบันการศึกษาเน้นฟันกำไร เพราะนักศึกษาไม่พอใจ บวกกับกฎระเบียบของภาครัฐในเรื่องนี้ ทำให้จำนวนนักศึกษาที่เข้าเรียนในสถาบันเหล่านี้ลดลง
เทรนด์สุดท้าย พนักงานภาครัฐต้องดิ้นรนอย่างหนัก เนื่องจากรัฐบาลของประเทศ พยายามปรับลดจำนวนพนักงานลง หลังเผชิญแรงกดดันให้รัดเข็มขัดรายจ่าย ทั้งสหรัฐและยุโรป ทำให้พนักงานรัฐทั้งหลายต้องต่อสู้เพื่อปากท้อง
Tags : 15เทรนด์
- WK
- Verified User
- โพสต์: 18
- ผู้ติดตาม: 0
Re: 15 เทรนด์ชี้ชะตาเศรษฐกิจโลกปี 55 โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไ
โพสต์ที่ 22
[quote="WK"]15 เทรนด์ชี้ชะตาเศรษฐกิจโลกปี 55
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
ปี 2555 เป็นปีที่ต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด เพราะภาวะเศรษฐกิจโลกยังเสี่ยงจากวิกฤตหนี้ยุโรปและเศรษฐกิจสหรัฐที่ยังเปราะบาง
"บลูมเบิร์ก" นำเสนอ 15 เทรนด์สำคัญที่จะมีส่วนชี้ชะตาเศรษฐกิจโลกในปีนี้ เริ่มจาก 1.ฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์ในจีนที่เริ่มแฟบ หลังจากก่อนหน้านี้ ราคาอสังหาริมทรัพย์ในเขตเมืองของจีนโตร้อนแรงมาก แม้แต่ทางการปักกิ่งยังต้องยอมรับภาวะฟองสบู่ที่ก่อตัวขึ้น ทว่าปัจจุบัน คนจีนที่มีฐานะร่ำรวย เริ่มมองหาการลงทุนในรูปแบบอื่นๆ มากขึ้น
2.อิทธิพลด้านพลังงานของรัสเซียที่เพิ่มขึ้น ราคาน้ำมันที่พุ่งสูงช่วยค้ำจุนรัฐบาลแดนหมีขาวมานับทศวรรษ ก่อนหน้านี้ รัสเซียส่งออกก๊าซธรรมชาติส่วนใหญ่ไปยังยุโรปผ่านประเทศยูเครน แต่เมื่อปลายปีที่แล้ว รัสเซียเพิ่งเปิดท่อส่งก๊าซเส้นใหม่ลอดใต้ทะเลบอลติกที่มีชื่อว่า "นอร์ด สตรีม" ซึ่งเท่ากับลดการพึ่งพาท่อส่งผ่านยูเครนที่มีข้อพิพาทกันอยู่
3.แบงก์อเมริกันเลิกจำกัดการปล่อยสินเชื่อ หลังจากเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย ผู้บริโภคกู้ยืมได้น้อยลง เนื่องจากธนาคารลดการปล่อยกู้ แต่ปัจจุบัน สินเชื่อสำหรับผู้บริโภคเพิ่มขึ้น ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างชาวอเมริกันและเงินพลาสติกกลับมาหวานชื่นอีกครั้ง
4.มนุษย์ทองคำ ไม่ได้เลิศลอยเหนืออาชีพอื่นอีกแล้ว เพราะทั้งเงินเดือนและโบนัสของพนักงานภาคการเงินและธนาคารลดลงจากเดิม ไม่ว่าจะเป็นโกลด์แมน แซคส์ ที่ปรับโบนัสให้เท่าเทียมกัน รวมถึง มอร์แกน สแตนเลย์ และแบงก์ ออฟ อเมริกา ที่จำกัดการจ่ายเงินสด ขณะที่เครดิต สวิส จ่ายโบนัสพนักงานในรูปของหุ้นกู้ เป็นวัฒนธรรมการจ่ายโบนัสแบบวิน-วิน ไม่ว่าจะอยู่ส่วนไหน และช่วยปกป้องระบบการเงินโลก
5.จุดเปลี่ยนดีลลดราคา ซึ่งเริ่มจาก "กรุปปอง" (Groupon) ลามไปถึงลีฟวิง โซเชียล และกูเกิล ออฟเฟอร์ส แต่หลังเกิดกระแสคลั่งดีลลดราคาในปีที่แล้ว ในปีนี้ เจ้าของธุรกิจเปลี่ยนมาเสนอดีลให้ลูกค้าที่ไม่พอใจบริการและไม่กลับมาอุดหนุนมากกว่า
6.กระแสการจัดเรียงดีเอ็นเอ ที่จะมีต้นทุนลดลงมาก และเป็นไปได้ที่จะลดต่ำกว่า 1,000 ดอลลาร์ โดยบริษัท "ทเวนตี้ทรีแอนด์มี" นำร่องโครงการทดสอบยีน 50 ล้านตัว ในราคา 999 ดอลลาร์ ขณะที่ราคาทดสอบยีนแบบจำกัดจำนวนก็ลดลงอยู่ที่ 99 ดอลลาร์ บวกกับค่าสมาชิกรายปีอีก 9 ดอลลาร์ต่อเดือน
7.ยุคของรถยนต์ไฟฟ้าและไฮบริด ถึงแม้จะมีปัญหาคันเร่งและเผชิญกับเรียกคืนรถหลายระลอก ที่กระทบต่อแบรนด์โตโยต้าเมื่อปี 2553-2554 แต่พริอุส ก็สามารถเรียกคะแนนกลับมาได้ ขณะที่ค่าย เทสลา เพิ่งเปิดตัวรถซีดานไฟฟ้าไฮเอนด์ ตอกย้ำว่า เทรนด์รถยนต์ไฟฟ้าที่พูดถึงกันมานานหลายปี กำลังเกิดขึ้นจริงในขณะนี้
8.ตลาดศิลปะโตกระฉูดเหนือคาดหมาย ดูอย่างการประมูลผลงานของ "จาง ต้าเฉียน" จิตรกรชาวจีน ที่ทำเงินได้ 506.7 ล้านดอลลาร์ในปีที่แล้ว ส่วนภาพของศิลปิน "ฉี ไป๋สือ" ทำเงินได้ 445.1 ล้านดอลลาร์ ขณะที่ผลงานของศิลปินร่วมสมัยอย่าง "ดาเมียน เฮิร์สต์" มีราคา 3.48 ล้านดอลลาร์
9.บริษัทประกัน หันมาจูบปากภาครัฐ หลังจากทั้งคู่เล่นบทคู่กัด ที่ยืนอยู่คนละฟากในกฎหมายสุขภาพ แต่ตอนนี้บริษัทประกันหันมาญาติดี เพราะต้องการเกาะกระแสภาครัฐ ที่ขยายบริการด้านสุขภาพ
10.ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์สยายปีก โดยสมาร์ทโฟนจำนวนมาก ใช้ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ของกูเกิล ขณะที่ "กูเกิล โครม" ได้รับความนิยมเป็นอันดับ 2 ในคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ และผลิตภัณฑ์ของอะเมซอน ช่วยเพิ่มจำนวนผู้ใช้แอนดรอยด์บนแท็บเลต เท่ากับปีนี้น่าจะเป็นยุคทองของกูเกิล
11.ภาคการผลิตมองหาแหล่งแรงงานราคาถูกกว่าจีน เพราะแม้จีน จะเคยมีต้นทุนค่าแรงถูกแสนถูก แต่ปัจจุบัน มีตลาดอื่นที่ราคาถูกกว่า อาทิเช่น เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และอินเดีย ที่อาจเป็นความหวังใหม่
12.หลีกเลี่ยงโทสะของผู้บริโภค ดูอย่างแบงก์ ออฟ อเมริกา ที่ต้องเลิกเก็บค่าธรรมเนียมเดบิตการ์ดภายใน 2 วัน หลังจากเกิดการประท้วงของลูกค้าบนอินเทอร์เน็ต หรือกรณีของเน็ทฟลิกซ์ ที่ต้องยอมพับแผนแยกธุรกิจเช่าดีวีดีทางไปรษณีย์ กับวิดีโอผ่านอินเทอร์เน็ต หลังถูกกระแสคัดค้านจากผู้ใช้
13.ละตินผงาด ประวัติศาสตร์เปลี่ยนโฉม เพราะยุโรปเข้าสู่โหมดรัดเข็มขัด ขณะที่ละตินอเมริกาเติบโตอย่างมาก อย่างกรณีของอาร์เจนตินาที่เติบโตกว่า 9% เช่นเดียวกับบราซิลที่ยังร้อนแรง
14.แรงต้านสถาบันการศึกษาเน้นฟันกำไร เพราะนักศึกษาไม่พอใจ บวกกับกฎระเบียบของภาครัฐในเรื่องนี้ ทำให้จำนวนนักศึกษาที่เข้าเรียนในสถาบันเหล่านี้ลดลง
เทรนด์สุดท้าย พนักงานภาครัฐต้องดิ้นรนอย่างหนัก เนื่องจากรัฐบาลของประเทศ พยายามปรับลดจำนวนพนักงานลง หลังเผชิญแรงกดดันให้รัดเข็มขัดรายจ่าย ทั้งสหรัฐและยุโรป ทำให้พนักงานรัฐทั้งหลายต้องต่อสู้เพื่อปากท้อง
Tags : 15เทรนด์[/quote]
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
ปี 2555 เป็นปีที่ต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด เพราะภาวะเศรษฐกิจโลกยังเสี่ยงจากวิกฤตหนี้ยุโรปและเศรษฐกิจสหรัฐที่ยังเปราะบาง
"บลูมเบิร์ก" นำเสนอ 15 เทรนด์สำคัญที่จะมีส่วนชี้ชะตาเศรษฐกิจโลกในปีนี้ เริ่มจาก 1.ฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์ในจีนที่เริ่มแฟบ หลังจากก่อนหน้านี้ ราคาอสังหาริมทรัพย์ในเขตเมืองของจีนโตร้อนแรงมาก แม้แต่ทางการปักกิ่งยังต้องยอมรับภาวะฟองสบู่ที่ก่อตัวขึ้น ทว่าปัจจุบัน คนจีนที่มีฐานะร่ำรวย เริ่มมองหาการลงทุนในรูปแบบอื่นๆ มากขึ้น
2.อิทธิพลด้านพลังงานของรัสเซียที่เพิ่มขึ้น ราคาน้ำมันที่พุ่งสูงช่วยค้ำจุนรัฐบาลแดนหมีขาวมานับทศวรรษ ก่อนหน้านี้ รัสเซียส่งออกก๊าซธรรมชาติส่วนใหญ่ไปยังยุโรปผ่านประเทศยูเครน แต่เมื่อปลายปีที่แล้ว รัสเซียเพิ่งเปิดท่อส่งก๊าซเส้นใหม่ลอดใต้ทะเลบอลติกที่มีชื่อว่า "นอร์ด สตรีม" ซึ่งเท่ากับลดการพึ่งพาท่อส่งผ่านยูเครนที่มีข้อพิพาทกันอยู่
3.แบงก์อเมริกันเลิกจำกัดการปล่อยสินเชื่อ หลังจากเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย ผู้บริโภคกู้ยืมได้น้อยลง เนื่องจากธนาคารลดการปล่อยกู้ แต่ปัจจุบัน สินเชื่อสำหรับผู้บริโภคเพิ่มขึ้น ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างชาวอเมริกันและเงินพลาสติกกลับมาหวานชื่นอีกครั้ง
4.มนุษย์ทองคำ ไม่ได้เลิศลอยเหนืออาชีพอื่นอีกแล้ว เพราะทั้งเงินเดือนและโบนัสของพนักงานภาคการเงินและธนาคารลดลงจากเดิม ไม่ว่าจะเป็นโกลด์แมน แซคส์ ที่ปรับโบนัสให้เท่าเทียมกัน รวมถึง มอร์แกน สแตนเลย์ และแบงก์ ออฟ อเมริกา ที่จำกัดการจ่ายเงินสด ขณะที่เครดิต สวิส จ่ายโบนัสพนักงานในรูปของหุ้นกู้ เป็นวัฒนธรรมการจ่ายโบนัสแบบวิน-วิน ไม่ว่าจะอยู่ส่วนไหน และช่วยปกป้องระบบการเงินโลก
5.จุดเปลี่ยนดีลลดราคา ซึ่งเริ่มจาก "กรุปปอง" (Groupon) ลามไปถึงลีฟวิง โซเชียล และกูเกิล ออฟเฟอร์ส แต่หลังเกิดกระแสคลั่งดีลลดราคาในปีที่แล้ว ในปีนี้ เจ้าของธุรกิจเปลี่ยนมาเสนอดีลให้ลูกค้าที่ไม่พอใจบริการและไม่กลับมาอุดหนุนมากกว่า
6.กระแสการจัดเรียงดีเอ็นเอ ที่จะมีต้นทุนลดลงมาก และเป็นไปได้ที่จะลดต่ำกว่า 1,000 ดอลลาร์ โดยบริษัท "ทเวนตี้ทรีแอนด์มี" นำร่องโครงการทดสอบยีน 50 ล้านตัว ในราคา 999 ดอลลาร์ ขณะที่ราคาทดสอบยีนแบบจำกัดจำนวนก็ลดลงอยู่ที่ 99 ดอลลาร์ บวกกับค่าสมาชิกรายปีอีก 9 ดอลลาร์ต่อเดือน
7.ยุคของรถยนต์ไฟฟ้าและไฮบริด ถึงแม้จะมีปัญหาคันเร่งและเผชิญกับเรียกคืนรถหลายระลอก ที่กระทบต่อแบรนด์โตโยต้าเมื่อปี 2553-2554 แต่พริอุส ก็สามารถเรียกคะแนนกลับมาได้ ขณะที่ค่าย เทสลา เพิ่งเปิดตัวรถซีดานไฟฟ้าไฮเอนด์ ตอกย้ำว่า เทรนด์รถยนต์ไฟฟ้าที่พูดถึงกันมานานหลายปี กำลังเกิดขึ้นจริงในขณะนี้
8.ตลาดศิลปะโตกระฉูดเหนือคาดหมาย ดูอย่างการประมูลผลงานของ "จาง ต้าเฉียน" จิตรกรชาวจีน ที่ทำเงินได้ 506.7 ล้านดอลลาร์ในปีที่แล้ว ส่วนภาพของศิลปิน "ฉี ไป๋สือ" ทำเงินได้ 445.1 ล้านดอลลาร์ ขณะที่ผลงานของศิลปินร่วมสมัยอย่าง "ดาเมียน เฮิร์สต์" มีราคา 3.48 ล้านดอลลาร์
9.บริษัทประกัน หันมาจูบปากภาครัฐ หลังจากทั้งคู่เล่นบทคู่กัด ที่ยืนอยู่คนละฟากในกฎหมายสุขภาพ แต่ตอนนี้บริษัทประกันหันมาญาติดี เพราะต้องการเกาะกระแสภาครัฐ ที่ขยายบริการด้านสุขภาพ
10.ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์สยายปีก โดยสมาร์ทโฟนจำนวนมาก ใช้ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ของกูเกิล ขณะที่ "กูเกิล โครม" ได้รับความนิยมเป็นอันดับ 2 ในคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ และผลิตภัณฑ์ของอะเมซอน ช่วยเพิ่มจำนวนผู้ใช้แอนดรอยด์บนแท็บเลต เท่ากับปีนี้น่าจะเป็นยุคทองของกูเกิล
11.ภาคการผลิตมองหาแหล่งแรงงานราคาถูกกว่าจีน เพราะแม้จีน จะเคยมีต้นทุนค่าแรงถูกแสนถูก แต่ปัจจุบัน มีตลาดอื่นที่ราคาถูกกว่า อาทิเช่น เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และอินเดีย ที่อาจเป็นความหวังใหม่
12.หลีกเลี่ยงโทสะของผู้บริโภค ดูอย่างแบงก์ ออฟ อเมริกา ที่ต้องเลิกเก็บค่าธรรมเนียมเดบิตการ์ดภายใน 2 วัน หลังจากเกิดการประท้วงของลูกค้าบนอินเทอร์เน็ต หรือกรณีของเน็ทฟลิกซ์ ที่ต้องยอมพับแผนแยกธุรกิจเช่าดีวีดีทางไปรษณีย์ กับวิดีโอผ่านอินเทอร์เน็ต หลังถูกกระแสคัดค้านจากผู้ใช้
13.ละตินผงาด ประวัติศาสตร์เปลี่ยนโฉม เพราะยุโรปเข้าสู่โหมดรัดเข็มขัด ขณะที่ละตินอเมริกาเติบโตอย่างมาก อย่างกรณีของอาร์เจนตินาที่เติบโตกว่า 9% เช่นเดียวกับบราซิลที่ยังร้อนแรง
14.แรงต้านสถาบันการศึกษาเน้นฟันกำไร เพราะนักศึกษาไม่พอใจ บวกกับกฎระเบียบของภาครัฐในเรื่องนี้ ทำให้จำนวนนักศึกษาที่เข้าเรียนในสถาบันเหล่านี้ลดลง
เทรนด์สุดท้าย พนักงานภาครัฐต้องดิ้นรนอย่างหนัก เนื่องจากรัฐบาลของประเทศ พยายามปรับลดจำนวนพนักงานลง หลังเผชิญแรงกดดันให้รัดเข็มขัดรายจ่าย ทั้งสหรัฐและยุโรป ทำให้พนักงานรัฐทั้งหลายต้องต่อสู้เพื่อปากท้อง
Tags : 15เทรนด์[/quote]