หน้า 1 จากทั้งหมด 1
ปี 40 หุ้นขึ้นสูงสุดแล้วฝรั่งขนเงินออก
โพสต์แล้ว: เสาร์ มี.ค. 03, 2012 9:57 am
โดย bluetoffee
1.สอบถามว่าเกิดเหตุการณ์อะไรทำให้ฝรั่งถอนเงินออกจากไทย
2.ตอนนั้นเห็นหุ้นหลายตัวขึ้นไปหลักร้อย-พัน แต่ตอนนี้หุ้นทำลายสถิติแต่หุ้นหลักร้อยทำไมมีไม่เยอะ หลักพันไม่มีเลย
3.เงินปันผลช่วงนั้น หุ้นแต่ละตัว % เยอะไหม เพราะปีนี้ผมเห็นราคาขึ้นมาหาตัวที่ปันผลเกิน 10% เหลือไม่กี่ตัวแล้ว
Re: ปี 40 หุ้นขึ้นสูงสุดแล้วฝรั่งขนเงินออก
โพสต์แล้ว: เสาร์ มี.ค. 03, 2012 11:33 pm
โดย [v]
1.เกิดวิกฤติต้มยำกุ้ง
2.หุ้นเดี๋ยวนี้แตกพาร์ ใช้จำนวนหุ้นเข้าช่วยลดราคาซื้อขายทำให้ไม่เห็น หุ้นหลักร้อย หลักพันเหมือนแต่ก่อน แต่ถ้าไม่แตกพาร์ หรือเพิ่มทุน โอกาศที่จะเห็นหุ้นหลักร้อยขึ้นก็มีเยอะ
3.ปันผลช่วงนั้นไม่เยอะ เพราะพีอีช่วงนั้นก็สูงคนไม่สนใจปันผลเท่าไหร่
กรุงเทพธุรกิจทำรวมเล่มข่าวในช่วงยุคนั้นถึงปัจจุบัน มีขายที่ สยามพารากอน ร้าน ที่ชื่อญี่ปุ่นๆ ไปหาดูครับ
Re: ปี 40 หุ้นขึ้นสูงสุดแล้วฝรั่งขนเงินออก
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ มี.ค. 04, 2012 7:18 am
โดย patongpa
เงินออกเพราะเค้าคาดว่าบาทจะร่วงไงครับ ถ้าเป็นคุณรู้ล่วงหน้าว่าจะมีการทุบค่าบาทจาก 27 จนเหลือ 30-40-50-60 บาทต่อดอลล่า คุณจะถือเงินดอลหรือเงินบาทครับ ฝรั่งรู้ก็เลยขายทุกอย่างที่แปลงเป็นเงินบาทได้ แล้วเอาบาท 27บาทไปแลก 1 ดอลล่าถือแทน จากนั้นก็รอให้บาทกลายเป็น 50 ต่อดอล ก็ค่อยเอาดอลล่า 1ดอลที่เก็บไว้มาแลกบาทกลับได้ 50บาท
กำไรเห็นๆ 50-27 ก็ 23 บาท นี่แค่ 1ดอลนะครับ แต่ช่วงนั้นเค้าทำกันเป็นแสนเป็นล้านล้านดอล
เรื่องยังอีกเยอะให้คนอื่นเล่าบ้าง
Re: ปี 40 หุ้นขึ้นสูงสุดแล้วฝรั่งขนเงินออก
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ มี.ค. 04, 2012 3:33 pm
โดย บูรพาไม่แพ้
patongpa เขียน:เงินออกเพราะเค้าคาดว่าบาทจะร่วงไงครับ ถ้าเป็นคุณรู้ล่วงหน้าว่าจะมีการทุบค่าบาทจาก 27 จนเหลือ 30-40-50-60 บาทต่อดอลล่า คุณจะถือเงินดอลหรือเงินบาทครับ ฝรั่งรู้ก็เลยขายทุกอย่างที่แปลงเป็นเงินบาทได้ แล้วเอาบาท 27บาทไปแลก 1 ดอลล่าถือแทน จากนั้นก็รอให้บาทกลายเป็น 50 ต่อดอล ก็ค่อยเอาดอลล่า 1ดอลที่เก็บไว้มาแลกบาทกลับได้ 50บาท
กำไรเห็นๆ 50-27 ก็ 23 บาท นี่แค่ 1ดอลนะครับ แต่ช่วงนั้นเค้าทำกันเป็นแสนเป็นล้านล้านดอล
เรื่องยังอีกเยอะให้คนอื่นเล่าบ้าง
คนรวยไม่กี่คน แต่คนแย่ทั้งประเทศ...น่าเศร้าใจจังครับ ทำไมเขาต้องมาหากินบนหลังคนด้วยนะ
Re: ปี 40 หุ้นขึ้นสูงสุดแล้วฝรั่งขนเงินออก
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ มี.ค. 04, 2012 4:29 pm
โดย chowbe76
Carl Fox: "There came into Egypt a Pharaoh who did not know."
Gordon Gekko: I beg your pardon, is that a proverb?
Carl Fox: No, a prophecy. The rich have been doing it to the poor since the beginning of time. The only difference between the Pyramids and the Empire State Building is the Egyptians didn't allow unions. I know what this guy is all about, greed. He don't give a damn about Bluestar or the unions. He's in and out for the buck and he don't take prisoners.
Re: ปี 40 หุ้นขึ้นสูงสุดแล้วฝรั่งขนเงินออก
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ มี.ค. 04, 2012 5:12 pm
โดย ebsilon
บูรพาไม่แพ้ เขียน:patongpa เขียน:เงินออกเพราะเค้าคาดว่าบาทจะร่วงไงครับ ถ้าเป็นคุณรู้ล่วงหน้าว่าจะมีการทุบค่าบาทจาก 27 จนเหลือ 30-40-50-60 บาทต่อดอลล่า คุณจะถือเงินดอลหรือเงินบาทครับ ฝรั่งรู้ก็เลยขายทุกอย่างที่แปลงเป็นเงินบาทได้ แล้วเอาบาท 27บาทไปแลก 1 ดอลล่าถือแทน จากนั้นก็รอให้บาทกลายเป็น 50 ต่อดอล ก็ค่อยเอาดอลล่า 1ดอลที่เก็บไว้มาแลกบาทกลับได้ 50บาท
กำไรเห็นๆ 50-27 ก็ 23 บาท นี่แค่ 1ดอลนะครับ แต่ช่วงนั้นเค้าทำกันเป็นแสนเป็นล้านล้านดอล
เรื่องยังอีกเยอะให้คนอื่นเล่าบ้าง
คนรวยไม่กี่คน แต่คนแย่ทั้งประเทศ...น่าเศร้าใจจังครับ ทำไมเขาต้องมาหากินบนหลังคนด้วยนะ
ผมว่า เค้าเข้ามาเพื่อลงทุนนะครับ เพราะฉะนั้นเรื่องกำไร-ขาดทุน ถึงเป็นเรื่องสำคัญ
แถมบางกลุ่มมาในฐานะกองทุน(คือเป็นเงินของคนอื่นอีกที)
เมื่อเริ่มส่อแววไม่ดี เค้าก็คงต้องเลือกทางที่ดีที่สุดหล่ะครับ
Re: ปี 40 หุ้นขึ้นสูงสุดแล้วฝรั่งขนเงินออก
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ มี.ค. 04, 2012 6:36 pm
โดย pat4310
"...วิกฤติต้มยำกุ้ง คือ วิกฤติเศรษฐกิจโลก ซึ่งเริ่มต้นจากประเทศไทย ในปี 1997 เป็นฝันร้ายแห่งสหัสวรรษใหม่ เพราะขอบเขตความรุนแรงของมัน ส่งผลกระเทือนไปทั่วโลก
สาเหตุวิกฤติต้มยำกุ้ง มาจาก 3 ปัจจัยหลัก ซึ่งเกี่ยวพันกัน คือ
1. ดอลล่าร์สหรัฐ ประเทศเอเชียผูกพันค่าเงินของตนกับดอลลาร์สหรัฐ สภาพที่ดูเหมือนมั่นคงของเงินสกุลดอลลาร์ กระตุ้นให้ธนาคารและธุรกิจในเอเชียชะล่าใจ กู้เงินเป็นดอลลาร์ และแลกเป็นเงินสกุลตนโดยไม่ได้ซื้อประกันความเสี่ยง (จากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน)
2. ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จากนั้นธนาคารก็เอาเงินนั้นไปให้กู้ยืมต่อ หรือลงทุนในโครงการต่างๆ ในประเทศของตน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ด้านธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ การทำเช่นนี้ เป็นการหากำไรที่ดูเหมือนไม่มีความเสี่ยง ถ้าอัตราแลกเปลี่ยนของเงินสกุลท้องถิ่นกับดอลลาร์ยังคงที่อยู่
3. หยวนจีน แต่ความผันผวนของค่าเงินดอลล่าร์สหรัฐ เป็นผลโดยตรงจากนโยบายการเงินของสาธารณรัฐประชาชนจีน โดย จีนคงค่าเงินหยวนไว้ในระดับต่ำ ในปี 1996 แม้สหรัฐจะพยายามทุกวิถีทางที่จะบีบบังคับให้จีนลอยตัวค่าเงินหยวน หรือปรับค่าเงินหยวนให้สอดคล้องกับการเคลื่อนไหวของดอลล่าร์ในตลาดโลก แต่ไม่เป็นผลสำเร็จ เป็นผลให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐไต่ระดับสูงขึ้นเป็น 200% ภายในเวลาเพียง 6 เดือน
ปัจจัยทั้งสาม ส่งผลให้ดุลการค้าของประเทศ ที่ค้าเป็นดอลล่าร์สหรัฐติดลบมากขึ้นตามลำดับ แต่การขาดดุลการค้าเหล่านี้ ก็ถูกชดเชยด้วยการไหลเข้าของเงินทุนจากต่างประเทศ ทำให้ผู้บริหารประเทศปล่อยปละละเลยการสร้างวินัยทางการเงิน และสร้างภาพลวงตาว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจยังคงมีเสถียรภาพ เพื่อให้ภาคเอกชนหลงระเริงกับการกู้มาลงทุนและขยายธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ต่อไป
จากปัจจัยทั้งสามตัว เห็นชัดแล้วว่า ความแตกต่างระหว่างดุลการค้ากับดุลเงินทุน ไม่สามารถจะยืนยงต่อไปได้ และจะต้องล่มสลายภายใน 12 เดือน ดังนั้น โซรอสจึงทำสัญญาขายเงินบาทและเงินริงกิตของมาเลเซีย แบบล่วงหน้า ทั้งๆที่ยังไม่มีเงินทั้ง 2 สกุลอยู่ในมือ (SELL SHORT) ตั้งแต่ต้นปี 1997 ก่อนที่จะเกิดวิกฤติ โดยสัญญาจะส่งมอบเงินบาทและเงินริงกิตมาเลเซีย มีอายุล่วงหน้าตั้งแต่ 6 เดือนถึง 1 ปี
วิกฤติต้มยำกุ้งเป็นไปตามการคาดการณ์ของโซรอส 2 กรกฎาคม 1997 รัฐบาลไทยประกาศเลิกนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราแบบคงที่ เปลี่ยนมาเป็นนโยบายให้ค่าเงินบาทลอยตัว การยอมประกาศลอยตัวค่าเงินอย่างไม่มีข้อจำกัด เนื่องจาก ธนาคารแห่งประเทศไทย "ไร้ความสามารถในการชำระหนี้" อันเกิดจากการปกป้องค่าเงินเมื่อหลายเดือนก่อน (ภาษาชาวบ้านเรียกว่า "หมดหน้าตัก")
โซรอสย้ำว่า วิกฤติต้มยำกุ้งจะไม่รุนแรง หากธนาคารกลางของประเทศต่างๆในเอเซีย ไม่มีพฤติกรรมถ่วงเวลา พยายามพยุงค่าเงินของตนเนิ่นนานเกินไป และในระหว่างนั้น ธนาคารระหว่างประเทศก็ยังคงปล่อยกู้อยู่ ทั้งๆ ที่พวกเขารู้สถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นต่อไปดีอยู่แล้ว
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพฤติกรรมในการถ่วงเวลา (ที่ควรจะลดค่าเงิน) ของธนาคารกลางในเอเชีย ช่วยทำให้วิกฤติมีความรุนแรงยิ่งขึ้น จากประเทศไทยมันขยายตัวอย่างรวดเร็วไปมาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เกาหลีใต้ และประเทศอื่นๆ
วิกฤติต้มยำกุ้งจึงเป็นวิกฤติของระบบทุนนิยมโลก ที่มีเหตุปัจจัยจากภายในระบบการเงินของโลก นั่นคือ
ตลาดการเงินของโลก มีความไม่มั่นคงโดยพื้นฐาน ความเชื่อของระบบทุนนิยมโลกที่ว่าตลาดการเงินจะเคลื่อนไหวไปสู่จุดสมดุล เหมือนกับการแกว่งของลูกตุ้มนั้น เป็นความเชื่อที่ผิดพลาด
ตลาดการเงินของโลกในปัจจุบัน อยู่นอกเหนือการควบคุมของธนาคารกลาง และองค์กรระหว่างประเทศที่มีอยู่
การที่กองทุนรวม (QUANTUM FUNDS) ขายล่วงหน้า (SELL SHORT) เงินบาทในเดือนมกราคม 1997 ก็เท่ากับเป็นการส่งสัญญาณเตือนแล้วว่า เงินบาทมีค่าแข็งเกินไป ถ้าหากธนาคารกลางของไทยตอบสนองคำเตือนนี้ พวกเขาก็น่าจะปรับตัวได้เร็วกว่านี้ และได้รับความเจ็บปวดน้อยกว่านี้
แต่ที่เกิดขึ้นคือ ผู้ดูแลทางการเงินของไทยต่อต้าน คิดเอาเองว่า ตนเองมีศักยภาพที่จะต่อต้านการล่มสลายของระบบการเงินอันง่อนแง่นนี้ได้ ถึงกับเปิดแชมเปญฉลองในวันที่ 14 พฤษภาคม 1997 ดังนั้น เมื่อถึงจุดแตกหักจึงเกิดผลเสียหายที่ใหญ่โต..."
http://www.pakxe.com/home/modules.php?n ... 106&page=3
Re: ปี 40 หุ้นขึ้นสูงสุดแล้วฝรั่งขนเงินออก
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ มี.ค. 04, 2012 7:56 pm
โดย pawattt
patongpa เขียน:เงินออกเพราะเค้าคาดว่าบาทจะร่วงไงครับ ถ้าเป็นคุณรู้ล่วงหน้าว่าจะมีการทุบค่าบาทจาก 27 จนเหลือ 30-40-50-60 บาทต่อดอลล่า คุณจะถือเงินดอลหรือเงินบาทครับ ฝรั่งรู้ก็เลยขายทุกอย่างที่แปลงเป็นเงินบาทได้ แล้วเอาบาท 27บาทไปแลก 1 ดอลล่าถือแทน จากนั้นก็รอให้บาทกลายเป็น 50 ต่อดอล ก็ค่อยเอาดอลล่า 1ดอลที่เก็บไว้มาแลกบาทกลับได้ 50บาท
กำไรเห็นๆ 50-27 ก็ 23 บาท นี่แค่ 1ดอลนะครับ แต่ช่วงนั้นเค้าทำกันเป็นแสนเป็นล้านล้านดอล
เรื่องยังอีกเยอะให้คนอื่นเล่าบ้าง
เล่าต่อด้วยนะคับ น่าสนใจคับ
Re: ปี 40 หุ้นขึ้นสูงสุดแล้วฝรั่งขนเงินออก
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ มี.ค. 04, 2012 8:29 pm
โดย chatchai
ถ้าเป็นช่วงที่หุ้นตกจากระดับสูงสุดที่ 1700 จุด คงไม่ใช่เพราะวิกฤตต้มยำกุ้งหรอกครับ
แต่เป็นเพราะ ภายใน 3 เดือนก่อนหน้า มีเงินทุนจากต่างประเทศทะลักเข้ามาซื้อหุ้นในเอเชียอย่างมากมาย ถ้าจำไม่ผิดดัชนีขึ้นจาก 900 จุด ไป 1700 จุดภายใน 3 เดือน
พอขึ้นปีใหม่ ทาง FED ก็ประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ซึ่งคงจะเป็นการเริ่มต้นของแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น ต้นทุนการกู้ยืมเงินก็เพิ่มสูงขึ้น ต่างชาติก็ระดมขายหุ้นอย่างหนัก
ในขณะที่เกิดวิกฤตค่าเงินบาทนั้น ผมเข้าใจว่าดัชนีหุ้นไทยได้ตกลงมาระยะหนึ่งแล้วครับ
Re: ปี 40 หุ้นขึ้นสูงสุดแล้วฝรั่งขนเงินออก
โพสต์แล้ว: จันทร์ มี.ค. 05, 2012 12:17 pm
โดย Rocker
chatchai เขียน:ถ้าเป็นช่วงที่หุ้นตกจากระดับสูงสุดที่ 1700 จุด คงไม่ใช่เพราะวิกฤตต้มยำกุ้งหรอกครับ
แต่เป็นเพราะ ภายใน 3 เดือนก่อนหน้า มีเงินทุนจากต่างประเทศทะลักเข้ามาซื้อหุ้นในเอเชียอย่างมากมาย ถ้าจำไม่ผิดดัชนีขึ้นจาก 900 จุด ไป 1700 จุดภายใน 3 เดือน
พอขึ้นปีใหม่ ทาง FED ก็ประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ซึ่งคงจะเป็นการเริ่มต้นของแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น ต้นทุนการกู้ยืมเงินก็เพิ่มสูงขึ้น ต่างชาติก็ระดมขายหุ้นอย่างหนัก
ในขณะที่เกิดวิกฤตค่าเงินบาทนั้น ผมเข้าใจว่าดัชนีหุ้นไทยได้ตกลงมาระยะหนึ่งแล้วครับ
Confirm อีก 1 คนครับ
ตั้งแต่รัฐบาล เปิดเสรีทางการเงิน ตลาดหุ้นก็ขึ้นเอาๆ จนกลายเป็นฟองสบู่ในที่สุด
Re: ปี 40 หุ้นขึ้นสูงสุดแล้วฝรั่งขนเงินออก
โพสต์แล้ว: จันทร์ มี.ค. 05, 2012 12:24 pm
โดย chatchai
ผมเข้าใจตอนช่วงที่ตลาดหุ้นบูมมาก เป็นเพราะอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ยืมอยู่ในระดับต่ำ ต่างชาติจึงมีการกุ้ยืมเงินมาซื้อหุ้นในเอเชียค่อนข้างมาก เมื่อแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยเป็นขาขึ้น ต้นทุนการกู้ยืมก็จะสูงขึ้น ประกอบกับราคาหุ้นแพงมาก จึงมีการกระหน่ำขายหุ้นอย่างหนัก ในวันที่ FED ประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ย ตลาดหุ้นไทยตกหนักมากครับ
Re: ปี 40 หุ้นขึ้นสูงสุดแล้วฝรั่งขนเงินออก
โพสต์แล้ว: จันทร์ มี.ค. 05, 2012 12:40 pm
โดย harikung
แล้วหุ้นตอนปี40 PE SETอยู่ที่ประมาณเท่าไหร่หรือครับ
Re: ปี 40 หุ้นขึ้นสูงสุดแล้วฝรั่งขนเงินออก
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. มี.ค. 08, 2012 11:46 pm
โดย mincho
harikung เขียน:แล้วหุ้นตอนปี40 PE SETอยู่ที่ประมาณเท่าไหร่หรือครับ
ถ้าตอนปี 40 ก็ pe 6-10 ครับ ลองดูครับ เอามาจาก set.or.th (แปลงเป็นปี พ.ศ. เองนะครับ)
Month-Year PE-SET
1/2/12 15.03
1/1/12 12.78
1/12/11 12.07
1/11/11 11.76
1/10/11 11.71
1/9/11 10.95
1/8/11 12.82
1/7/11 14.54
1/6/11 13.36
1/5/11 13.77
1/4/11 15.15
1/3/11 14.25
1/2/11 13.85
1/1/11 14.41
1/12/10 15.35
1/11/10 14.82
1/10/10 15.4
1/9/10 15.15
1/8/10 14.28
1/7/10 13.34
1/6/10 12.45
1/5/10 11.71
1/4/10 13.79
1/3/10 14.27
1/2/10 16.35
1/1/10 24.22
1/12/09 25.56
1/11/09 23.95
1/10/09 26.41
1/9/09 27.4
1/8/09 24.95
1/7/09 21.14
1/6/09 20.03
1/5/09 19
1/4/09 12.67
1/3/09 11.09
1/2/09 7.85
1/1/09 6.86
1/12/08 7.01
1/11/08 6.28
1/10/08 6.33
1/9/08 9.06
1/8/08 11.11
1/7/08 11.3
1/6/08 12.94
1/5/08 14.04
1/4/08 15.26
1/3/08 14.96
1/2/08 16.58
1/1/08 15.24
1/12/07 17.03
1/11/07 16.29
1/10/07 17.16
1/9/07 15.9
1/8/07 14.21
1/7/07 15.15
1/6/07 13.63
1/5/07 12.84
1/4/07 11.44
1/3/07 11.01
1/2/07 10.29
1/1/07 9.16
1/12/06 9.44
1/11/06 10.21
1/10/06 9.6
1/9/06 9.11
1/8/06 9.03
1/7/06 9.34
1/6/06 9.14
1/5/06 9.62
1/4/06 10.47
1/3/06 9.99
1/2/06 10.85
1/1/06 10.76
1/12/05 10.14
1/11/05 9.34
1/10/05 9.73
1/9/05 10.3
1/8/05 9.93
1/7/05 9.83
1/6/05 9.79
1/5/05 9.63
1/4/05 9.97
1/3/05 10.34
1/2/05 11.51
1/1/05 11.37
1/12/04 10.79
1/11/04 10.57
1/10/04 11.16
1/9/04 11.62
1/8/04 11.65
1/7/04 11.91
1/6/04 11.75
1/5/04 11.61
1/4/04 12.48
1/3/04 12.5
1/2/04 16.6
1/1/04 16.61
1/12/03 18.18
1/11/03 14.96
1/10/03 15.19
1/9/03 13.63
1/8/03 13.38
1/7/03 12.24
1/6/03 11.43
1/5/03 10.43
1/4/03 10.8
1/3/03 10.56
1/2/03 9.89
1/1/03 11.17
1/12/02 6.98
1/11/02 7.07
1/10/02 7.68
1/9/02 7.41
1/8/02 6.54
1/7/02 7.09
1/6/02 7.95
1/5/02 6.72
1/4/02 6.27
1/3/02 6.23
1/2/02 6.09
1/1/02 5.7
1/12/01 4.92
1/11/01 4.82
1/10/01 3.52
1/9/01 3.54
1/8/01 5.47
1/7/01 5.15
1/6/01 5.55
1/5/01 5.24
1/4/01 5.31
1/3/01 5.24
1/2/01 6.64
1/1/01 6.57
1/12/00 5.52
1/11/00 5.67
1/10/00 6.13
1/9/00 6.28
1/8/00 7.51
1/7/00 6.71
1/6/00 7.06
1/5/00 7.37
1/4/00 8.73
1/3/00 9.06
1/2/00 11.61
1/1/00 14.35
1/12/99 14.7
1/11/99 10.88
1/10/99 8.66
1/9/99 8.66
1/8/99 9.93
1/7/99 14.62
1/6/99 15.35
1/5/99 13.55
1/4/99 4.64
1/3/99 3.75
1/2/99 4.39
1/1/99 10.15
1/12/98 10.04
1/11/98 9.76
1/10/98 10.38
1/9/98 9.53
1/8/98 8.03
1/7/98 10.5
1/6/98 10.72
1/5/98 12.66
1/4/98 15.49
1/3/98 13.31
1/2/98 8.94
1/1/98 8.94
1/12/97 6.59
1/11/97 6.79
1/10/97 8.12
1/9/97 9.74
1/8/97 8.39
1/7/97 11.04
1/6/97 8.57
1/5/97 9.18
1/4/97 10.1
1/3/97 10.59
1/2/97 10.5
1/1/97 11.36
1/12/96 11.97
1/11/96 13.33
1/10/96 13.83
1/9/96 16.61
1/8/96 16.71
1/7/96 15.98
1/6/96 18.42
1/5/96 19.35
1/4/96 19.66
1/3/96 19.59
1/2/96 20.27
1/1/96 21.65
1/12/95 19.75
1/11/95 18.41
1/10/95 19.6
1/9/95 19.93
1/8/95 20.48
1/7/95 22.06
1/6/95 22.28
1/5/95 21.89
1/4/95 19.13
1/3/95 19.14
1/2/95 18.83
1/1/95 17.32
1/12/94 19.51
1/11/94 20.57
1/10/94 24.89
1/9/94 24.29
1/8/94 24.94
1/7/94 23.74
1/6/94 21.82
1/5/94 23.17
1/4/94 23.46
1/3/94 22.9
1/2/94 23.33
1/1/94 26.73
1/12/93 26.09
1/11/93 21.05
1/10/93 20.29
1/9/93 16.35
1/8/93 16.39
1/7/93 15.47
1/6/93 15
1/5/93 14.48
1/4/93 14.35
1/3/93 15.03
1/2/93 15.64
1/1/93 16.43
1/12/92 16.29
1/11/92 16.01
1/10/92 17.47
1/9/92 16.79
1/8/92 15.06
1/7/92 14.98
1/6/92 15.58
1/5/92 14.44
1/4/92 16.01
1/3/92 16.79
1/2/92 15.84
1/1/92 15.93
Re: ปี 40 หุ้นขึ้นสูงสุดแล้วฝรั่งขนเงินออก
โพสต์แล้ว: ศุกร์ มี.ค. 09, 2012 8:53 am
โดย chatchai
ดัชนีสูงสุด ประมาณ 1700 จุด เป็นช่วงเดือน ม.ค. 94 เป็นการขึ้นจากดัชนีประมาณ 750 จุด ใช้เวลาประมาณ 3 เดือน
Re: ปี 40 หุ้นขึ้นสูงสุดแล้วฝรั่งขนเงินออก
โพสต์แล้ว: ศุกร์ มี.ค. 09, 2012 8:59 am
โดย koon007
ผมดูบริษัทหลายหลายตัวที่ชอบราคาแพงจัง พีอีสูงไป+ดัชนีขึ้นรอบนี้ มีความเป็นไปได้แค่ไหน ที่ฝรั่งจะขายทำกำไรออกมาครับ
Re: ปี 40 หุ้นขึ้นสูงสุดแล้วฝรั่งขนเงินออก
โพสต์แล้ว: ศุกร์ มี.ค. 09, 2012 2:37 pm
โดย sorawitch
set ย้อนหลัง 20 ปีที่ผ่านมา
Re: ปี 40 หุ้นขึ้นสูงสุดแล้วฝรั่งขนเงินออก
โพสต์แล้ว: เสาร์ มี.ค. 10, 2012 9:47 am
โดย harikung
สรุปว่าที่ไหลลงจาก1700เป็นเพราะfund flow แล้วเจอปี40ซ้ำเข้าให้อีกดอกนึง ถูกมั้ยครับ
Re: ปี 40 หุ้นขึ้นสูงสุดแล้วฝรั่งขนเงินออก
โพสต์แล้ว: เสาร์ มี.ค. 10, 2012 10:13 am
โดย charun
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์
Re: ปี 40 หุ้นขึ้นสูงสุดแล้วฝรั่งขนเงินออก
โพสต์แล้ว: เสาร์ มี.ค. 10, 2012 10:16 am
โดย charun
มีต่อ