ข้อคิดที่ได้จากการลงทุน ของคนเขลาๆคนหนึ่ง
โพสต์แล้ว: พุธ มี.ค. 07, 2012 10:52 am
นานๆจะว่างสักทีหนึ่ง เลยขออนุญาติมาแชร์ประสลการณ์นะครับผม
ก่อนหน้านี้ผมเคยเขียนเรื่องการลงทุน และคติที่ได้จากการลงทุนไว้เมื่อ กค. 2552 ครับ
http://www.bloggang.com/viewblog.php?id ... 29&gblog=1
วันนี้ตื่นขึ้นมา หลังจากทำงานบ้านได้สักพัก ผมกลับมาอ่านหนังสือ Beating the street แล้วก็มาอ่านบทที่เขียนเกี่ยวกับ ความกังวลในช่วงสุดสัปดาห์
เมื่อคืนผมพึ่งเห็นข่าว Dow Jones ตก มากที่สุดตั้งแต่ต้นปี(พึ่งผ่านปีใหม่มาได้ 2 เดือนนิดๆ )
มีคนบอกว่า เค้ากังวลเรื่อง วิกฤติหนี้ยุโรป และกรีซ อีกแล้ว
ตกลงเมื่อไหร่จะจบเสียที
คำตอบที่ผมคิดได้ก็คือ
... จริงๆเราไม่ทราบหรอกครับ ว่าเมื่อไหร่ปัญหานี้มันจะจบ
และเมื่อปัญหานี้จบแล้ว จะมีปัญหาอื่นๆตามมาหรือไม่ และจะเกิดเมื่อไหร่
อาจารย์ของผม(พี่มนตรี นิพิฐวิทยา) เคยสอนผมไว้ว่า ให้บริหารความโลภ ให้พอๆกับ ความรู้ที่เรามี
มันเป็นความจริงอย่างหนึ่งเลยนะครับ
เพราะเวลา ตลาดร่วงลงมา เวลามีความกลัวเกิดขึ้น สิ่งที่เราคิดว่าเรารู้ดี กลับหายไป
ความมั่นใจในตัวเองมันจืดจาง
เช่นกันพอตลาดกลับมาดูดี หุ้นกลับมาขึ้นมากๆแล้ว เรามักจะบอกว่า รู้งี้ฯ(รู้อพไรไม่สู้เท่า รู้งี้ )
แล้วนักลงทุนธรรมดาๆอย่างเราจะทำอย่างไรล่ะ
เวลาแบบนี้ ผมมักย้อนกลับมาที่ หลักการลงทุนที่ผมใช้
ผมรู้สึกได้ถึง ความความรู้สึกไม่มั่นใจในหลักการลงทุนที่ตนเองเคยใช้
ยิ่งฟัง ยิ่งอ่าน Big name ยิ่งเค้าบอกว่า หุ้นตัวนี้ไม่รีบขาย ระวังจะเสียจายยยย
(ไม่รีบล้าง port ตอน 380 จุด ระวังจะแย่น้า 555 ลงมา 2 ทีแล้ว .... ผมโดนแบบนี้อ่ะ ไม่ได้อยากขอความเห็นเล้ย)
ผมไม่เคยดูถูกตลาดเลยครับ เพราะจริงๆตลาดก็คือ การรวมกันของการกระทำของคนเป็นหลายๆล้านคน
แค่เราเดาความคิดของคนข้างๆเพียงไม่กี่คน เรายังเดาเค้าไม่ออกเลยครับ
แล้วเราจะเดา Mr Market ได้อย่างไร
บางคนใช้กราฟ(Technical Investment)
บางคนใช้ Fundamental Investmant
ผมว่า ใช้อะไรก็ได้ที่เหมาะสมกับเรา ที่เราถนัด
ข้อเสียอย่างหนึ่งที่ผมพบคือ เรามักนำหลักการลงทุนของคนอื่น มาใช้กับตัวเรา
และมักเปลี่ยนกระทันหัน ตอนที่เรารู้สึกว่า ไม่ไหวแล้วเฟ้ยยยย
(หมายถึงตอนที่ อยู่ดีๆหุ้นลงหนัก หรืแ อยู่ดีๆหุ้นขึ้นเยอะๆ ก็ไหนเค้าบอกว่า เศรษฐกิจมันแย่อยู่ไง)
ถ้าย้อนกลับมาอ่านที่หนังสือ Beating the street จะพบว่า แม้คุณจะรวบรวมเซียนหุ้นอย่าง ปีเตอร์ ลินซ์ ไมเคิล ไพรซ์ จิม โรเจอร์ ฯลฯ
หลายครั้ง เรามักให้เหตุผลตามอารมณ์ที่เกิดขึ้นตอนนั้น
พี่มนมักพูดว่า "เรามักหาเหตุ มาใส่ผลที่เกิด หลายครั้งเราไม่ทราบหรอกว่า เหตุจริงๆคืออะไร แต่เราก็หาเหตุมาใส่"
ผมคิดว่า จริงๆ คนเก่งๆในโลกการลงทุนมีมากมายครับ หลายคนคำนวนนู่นนี่แม่นยำ รู้จักบริษัทดีมากๆ
ผมเคยคุยกับ CEO บริษัทใหญ่บางคนโดยบังเอิญ เค้ารู้ทุกอย่างของบริษัท
แต่เค้ายังกลัวว่า มันจะไม่เป็นอย่างที่เค้ารู้
จริงๆธุรกิจ กับความไม่แน่นอน เป็นสิ่งคู่กันครับ(ลองอ่านจากหนังสือ เริ่มต้นทำธุรกิจส่วนตัว ของพี่โจ๊กดูนะครับ ^^)
แต่ความไม่แน่นอน เป็นเพื่อนกับนักลงทุนเสมอครับ
หลายครั้งกว่าเราจะรู้ว่า ผลของการกระทำของเราจะเป็นอย่างไร ก็ต่อเมื่อ เวลามันผ่านไปแล้ว
แต่ถ้าเราสนุกกับการเรียนรู้ และนำสิ่งที่ได้มาปรับปรุง นำมาใช้ในชีวิตประจำวัน
ผมว่า มันเป็นสิ่งดีมากๆนะครับ
โดยส่วนตัว ผมมี core idea อยู่ในใจ
ผมเริ่มใช้ ทดลอง และพิสูจน์ดู
ไปๆมาๆ ผมว่า มันโอเคนะครับ core idea ของผมก็คือการลงทุนแบบ fundamental แหละครับ
เพื่อนๆคงอ่านกันจนเบื่อแล้ว(เวปนี้มีข้อเขียนเหล่านี้เต็มไปหมด)
เพียงแต่ว่า การลงทุนเป็นศิลปะครับ
คนที่เรียนศิลปะร่วมกันมา ถ้าให้เค้าทำงานศิลปะสิ่งเดียวกัน
เช่นวาดรูปบ้านๆเดียวกัน
คนหลายๆคนก็วาดไม่เหมือนกันครับ
การลงทุนก็เช่นเดียวกันครับ
เลือกลงทุนในสิ่งที่ตนเองถนัด และอย่าลืมแบ่งเวลาไปกับสิ่งอื่นๆที่มีประโยชน์บ้าง
ให้เวลากับคนอื่นๆในครอบครัว กับคนรอบข้าง และสังคมบ้าง
ขอบคุณพี่มน และพื่ๆเพื่อนๆ น้องๆทุกๆท่านที่ร่วมกันสร้างเวปนี้ขึ้นมาครับ
สังคมจะดีได้ เราต้องช่วยสร้างสรรค์สิ่งดีๆขึ้นมา โดยเริ่มที่ตัวเราเองก่อนครับ
มีความสุขกับการลงทุนนะครับ
ปล.สิ่งหนึ่งที่ทำให้สติของเราเสียได้ นั่นคือการจ้องตัวเลขที่วิ่งๆกัน
หลายครั้ง ปรมาจารย์จึงบอกว่า หยุดดูราคาหุ้น real time ซะบ้างก็ดีนะ
หลายครั้งมันทำยาก แต่ต้องทำ
เพราะไม่เช่นนั้น เซียนหุ้น ก็คงทำผลตอบแทนได้แพ้เด็กประถม หรือ ซื้อหุ้นตามการปาเป้าของลิงครับ
ผมได้รับบทเรียนนี้มาแล้วหลายครั้งครับ ^^
ปล.2 ประโยคเด็ดในหน้า 145 ของหนังสือ ลงทุนสวนกระแสอย่าง....แอนโทนี่ โบลตัน แปลโดยพี่ WEB
คือ
เมื่อคุณมองไปในสถานการณ์อันเลวร้าย
และคุณรู้สึกว่า ระบบการเงินกำลังจะล่มสลาย
และคงไม่มีใครต้องการซื้หุ้นอีกแล้ว
นั่นแหละคือจุดที่ตลาดจะกลับตัว
ปล.3 สุดท้ายล่ะค้าบบบ ><
จากหนังสือ วัดมูลค่าหุ้นฯ ของพี่สุมาอี้(พี่โจ๊ก นรินทร์ โอฬารกิจอนันต์)
ข้อที่3 ....
เรือทุกลำต้องเผชิญพายุเหมือนกันหมด
จงพยายามเลือกเรือลำที่ดีที่สุด แทนที่จะพยายามคาดเดาว่าพายุจะมาเมื่อไหร่
ก่อนหน้านี้ผมเคยเขียนเรื่องการลงทุน และคติที่ได้จากการลงทุนไว้เมื่อ กค. 2552 ครับ
http://www.bloggang.com/viewblog.php?id ... 29&gblog=1
วันนี้ตื่นขึ้นมา หลังจากทำงานบ้านได้สักพัก ผมกลับมาอ่านหนังสือ Beating the street แล้วก็มาอ่านบทที่เขียนเกี่ยวกับ ความกังวลในช่วงสุดสัปดาห์
เมื่อคืนผมพึ่งเห็นข่าว Dow Jones ตก มากที่สุดตั้งแต่ต้นปี(พึ่งผ่านปีใหม่มาได้ 2 เดือนนิดๆ )
มีคนบอกว่า เค้ากังวลเรื่อง วิกฤติหนี้ยุโรป และกรีซ อีกแล้ว
ตกลงเมื่อไหร่จะจบเสียที
คำตอบที่ผมคิดได้ก็คือ
... จริงๆเราไม่ทราบหรอกครับ ว่าเมื่อไหร่ปัญหานี้มันจะจบ
และเมื่อปัญหานี้จบแล้ว จะมีปัญหาอื่นๆตามมาหรือไม่ และจะเกิดเมื่อไหร่
อาจารย์ของผม(พี่มนตรี นิพิฐวิทยา) เคยสอนผมไว้ว่า ให้บริหารความโลภ ให้พอๆกับ ความรู้ที่เรามี
มันเป็นความจริงอย่างหนึ่งเลยนะครับ
เพราะเวลา ตลาดร่วงลงมา เวลามีความกลัวเกิดขึ้น สิ่งที่เราคิดว่าเรารู้ดี กลับหายไป
ความมั่นใจในตัวเองมันจืดจาง
เช่นกันพอตลาดกลับมาดูดี หุ้นกลับมาขึ้นมากๆแล้ว เรามักจะบอกว่า รู้งี้ฯ(รู้อพไรไม่สู้เท่า รู้งี้ )
แล้วนักลงทุนธรรมดาๆอย่างเราจะทำอย่างไรล่ะ
เวลาแบบนี้ ผมมักย้อนกลับมาที่ หลักการลงทุนที่ผมใช้
ผมรู้สึกได้ถึง ความความรู้สึกไม่มั่นใจในหลักการลงทุนที่ตนเองเคยใช้
ยิ่งฟัง ยิ่งอ่าน Big name ยิ่งเค้าบอกว่า หุ้นตัวนี้ไม่รีบขาย ระวังจะเสียจายยยย
(ไม่รีบล้าง port ตอน 380 จุด ระวังจะแย่น้า 555 ลงมา 2 ทีแล้ว .... ผมโดนแบบนี้อ่ะ ไม่ได้อยากขอความเห็นเล้ย)
ผมไม่เคยดูถูกตลาดเลยครับ เพราะจริงๆตลาดก็คือ การรวมกันของการกระทำของคนเป็นหลายๆล้านคน
แค่เราเดาความคิดของคนข้างๆเพียงไม่กี่คน เรายังเดาเค้าไม่ออกเลยครับ
แล้วเราจะเดา Mr Market ได้อย่างไร
บางคนใช้กราฟ(Technical Investment)
บางคนใช้ Fundamental Investmant
ผมว่า ใช้อะไรก็ได้ที่เหมาะสมกับเรา ที่เราถนัด
ข้อเสียอย่างหนึ่งที่ผมพบคือ เรามักนำหลักการลงทุนของคนอื่น มาใช้กับตัวเรา
และมักเปลี่ยนกระทันหัน ตอนที่เรารู้สึกว่า ไม่ไหวแล้วเฟ้ยยยย
(หมายถึงตอนที่ อยู่ดีๆหุ้นลงหนัก หรืแ อยู่ดีๆหุ้นขึ้นเยอะๆ ก็ไหนเค้าบอกว่า เศรษฐกิจมันแย่อยู่ไง)
ถ้าย้อนกลับมาอ่านที่หนังสือ Beating the street จะพบว่า แม้คุณจะรวบรวมเซียนหุ้นอย่าง ปีเตอร์ ลินซ์ ไมเคิล ไพรซ์ จิม โรเจอร์ ฯลฯ
หลายครั้ง เรามักให้เหตุผลตามอารมณ์ที่เกิดขึ้นตอนนั้น
พี่มนมักพูดว่า "เรามักหาเหตุ มาใส่ผลที่เกิด หลายครั้งเราไม่ทราบหรอกว่า เหตุจริงๆคืออะไร แต่เราก็หาเหตุมาใส่"
ผมคิดว่า จริงๆ คนเก่งๆในโลกการลงทุนมีมากมายครับ หลายคนคำนวนนู่นนี่แม่นยำ รู้จักบริษัทดีมากๆ
ผมเคยคุยกับ CEO บริษัทใหญ่บางคนโดยบังเอิญ เค้ารู้ทุกอย่างของบริษัท
แต่เค้ายังกลัวว่า มันจะไม่เป็นอย่างที่เค้ารู้
จริงๆธุรกิจ กับความไม่แน่นอน เป็นสิ่งคู่กันครับ(ลองอ่านจากหนังสือ เริ่มต้นทำธุรกิจส่วนตัว ของพี่โจ๊กดูนะครับ ^^)
แต่ความไม่แน่นอน เป็นเพื่อนกับนักลงทุนเสมอครับ
หลายครั้งกว่าเราจะรู้ว่า ผลของการกระทำของเราจะเป็นอย่างไร ก็ต่อเมื่อ เวลามันผ่านไปแล้ว
แต่ถ้าเราสนุกกับการเรียนรู้ และนำสิ่งที่ได้มาปรับปรุง นำมาใช้ในชีวิตประจำวัน
ผมว่า มันเป็นสิ่งดีมากๆนะครับ
โดยส่วนตัว ผมมี core idea อยู่ในใจ
ผมเริ่มใช้ ทดลอง และพิสูจน์ดู
ไปๆมาๆ ผมว่า มันโอเคนะครับ core idea ของผมก็คือการลงทุนแบบ fundamental แหละครับ
เพื่อนๆคงอ่านกันจนเบื่อแล้ว(เวปนี้มีข้อเขียนเหล่านี้เต็มไปหมด)
เพียงแต่ว่า การลงทุนเป็นศิลปะครับ
คนที่เรียนศิลปะร่วมกันมา ถ้าให้เค้าทำงานศิลปะสิ่งเดียวกัน
เช่นวาดรูปบ้านๆเดียวกัน
คนหลายๆคนก็วาดไม่เหมือนกันครับ
การลงทุนก็เช่นเดียวกันครับ
เลือกลงทุนในสิ่งที่ตนเองถนัด และอย่าลืมแบ่งเวลาไปกับสิ่งอื่นๆที่มีประโยชน์บ้าง
ให้เวลากับคนอื่นๆในครอบครัว กับคนรอบข้าง และสังคมบ้าง
ขอบคุณพี่มน และพื่ๆเพื่อนๆ น้องๆทุกๆท่านที่ร่วมกันสร้างเวปนี้ขึ้นมาครับ
สังคมจะดีได้ เราต้องช่วยสร้างสรรค์สิ่งดีๆขึ้นมา โดยเริ่มที่ตัวเราเองก่อนครับ
มีความสุขกับการลงทุนนะครับ
ปล.สิ่งหนึ่งที่ทำให้สติของเราเสียได้ นั่นคือการจ้องตัวเลขที่วิ่งๆกัน
หลายครั้ง ปรมาจารย์จึงบอกว่า หยุดดูราคาหุ้น real time ซะบ้างก็ดีนะ
หลายครั้งมันทำยาก แต่ต้องทำ
เพราะไม่เช่นนั้น เซียนหุ้น ก็คงทำผลตอบแทนได้แพ้เด็กประถม หรือ ซื้อหุ้นตามการปาเป้าของลิงครับ
ผมได้รับบทเรียนนี้มาแล้วหลายครั้งครับ ^^
ปล.2 ประโยคเด็ดในหน้า 145 ของหนังสือ ลงทุนสวนกระแสอย่าง....แอนโทนี่ โบลตัน แปลโดยพี่ WEB
คือ
เมื่อคุณมองไปในสถานการณ์อันเลวร้าย
และคุณรู้สึกว่า ระบบการเงินกำลังจะล่มสลาย
และคงไม่มีใครต้องการซื้หุ้นอีกแล้ว
นั่นแหละคือจุดที่ตลาดจะกลับตัว
ปล.3 สุดท้ายล่ะค้าบบบ ><
จากหนังสือ วัดมูลค่าหุ้นฯ ของพี่สุมาอี้(พี่โจ๊ก นรินทร์ โอฬารกิจอนันต์)
ข้อที่3 ....
เรือทุกลำต้องเผชิญพายุเหมือนกันหมด
จงพยายามเลือกเรือลำที่ดีที่สุด แทนที่จะพยายามคาดเดาว่าพายุจะมาเมื่อไหร่