Thai Value Investor การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุน VI หุ้นวีไอ Webboard

พี่ ๆ ครับคือผมอยากรุ้ว่า Discount rate คืออะไรครับ ผม Google อ่านแล้วก็งง ๆ พี่ ๆ ช่วยอธิบายให้ผมฟังได้มั้ยครับ

ขอบคุณมากครับ

ลองอ่านนิทานเรื่องนี้ดูครับ

ณ. วันที่ 1 มกราคม 2555 ป๋า บอกว่าจะให้เงิน 20 ล้านบาท แก่ท่านในวันที่ 31 ธันวาคม 2555 ท่านขอต่อรองว่าขอเป็นวันนี้และเดี๋ยวนี้ได้ไหม
ป๋า ...จะเอาไปทำอะไรเดี๋ยวนี้
ท่าน ... เปิดผับนะป๋า กำไรดีตั้ง 100%
ป๋า ......มั่นใจนะว่ากำไรได้ 100%
ท่าน .....ชั่วร์
ป๋า .......OK ป๋าให้xx
หลังจากนั้นท่านก็ต้องตกใจสุดขีด เมื่อได้รับเช็คจากป๋าเป็นจำนวน 10 ล้านบาท

หมายความว่าเงิน 20 ล.ในอีก 1 ปีจะเป็น 10 ล. ในวันนี้หรอครับ

hunter_kidz เขียน:พี่ ๆ ครับคือผมอยากรุ้ว่า Discount rate คืออะไรครับ ผม Google อ่านแล้วก็งง ๆ พี่ ๆ ช่วยอธิบายให้ผมฟังได้มั้ยครับ ขอบคุณมากครับ

ผมตอบตามที่เข้าใจนะครับ
Discount rate คือ อัตราส่วนลดมูลค่าของสิ่งใดสิ่งหนึ่งจากเวลาในอนาคตมาเป็นปัจจุบัน
โดยทั่วไปก็เช่น เงินเฟ้อ ดอกเบี้ย ต้นทุนของเงินทุน ต้นทุนของเจ้าหนี้ ต้นทุนของผู้ถือหุ้น
ก็แล้วแต่ว่าท่านจะเอาอัตราส่วนอันไหน เท่าไหร่ มาคิดลดในการหามูลค่านะคร๊าบ

อันนี้ส่วนตัว คือ ปกติผมก็ไม่ค่อยได้ใช้ dcf เท่าไหร่นะครับ ก็เลยต้องพยายามคิดแบบคอนเซอเวทีฟเข้าไว้
แล้วก็พยายามจำคำอาจารย์เอาไว้ว่า ประเมินถูกอย่างคร่าวๆดีกว่าผิดแบบแม่นยำ กับ
เราไม่ต้องรู้ว่าเขาน้ำหนักเท่าไหร่ก็บอกว่าเขาอ้วนได้ (ถ้าเป็นจารย์นิเวศน์ จะเทียบเป็นสาวสวยแทน 55++)
และเพิ่ม mos เรามากๆครับ จะชดเชยความไม่เฉียบคมของเราได้ กับ มองให้ยาวขึ้นอีกนิด จะง่ายขึ้นเยอะเลย
หุ้นตัวนึงมอง หนึ่งวัน มองหนึ่งเดือน มองสามเดือน มองหนึ่งปี มองสามปี มองห้าปี มองสิบปี มองตลอดชีวิต
นี่ยังกับหนังคนละม้วนเลยนะครับ .... อีนี่ฉันก็กำลังพยายาม เอาความคิดจะเก็งกำไรออกไปอยู่ทุ๊กวัน

Discount rate หรือในทางการลงทุนก็ Opportunity cost คือ ต้นทุนทางการเงินจากการที่คุณมีเงินหนึ่งก้อนไม่ว่าจะเป็นของตัวเอง (Equity) หรือไปกู้คนอื่นมา (Debt) ถ้าเงินของคุณอยู่เฉยๆ เอาไปฝากธนาคารก็จะได้ดอกเบี้ย แต่ถ้าไม่ทำอะไรก็คือเสียโอกาสที่จะได้ return ในส่วนนี้ หรือถ้าไปกู้มาก็ต้องเสียดอกเบี้ยไปเปล่าๆ โดยไม่ได้ก่อประโยชน์อะไร

ฉะนั้นในการลงทุนต่างๆจึงต้องใช้ discount rate เพื่อหามูลค่าที่จะทำให้เราทราบได้ว่าลงไปแล้วอย่างน้อยก็คุ้่มทุนที่ไปกู้มาหรือโอกาสอื่นๆที่เสียไป

Sumotin เขียน:Discount rate หรือในทางการลงทุนก็ Opportunity cost คือ ต้นทุนทางการเงินจากการที่คุณมีเงินหนึ่งก้อนไม่ว่าจะเป็นของตัวเอง (Equity) หรือไปกู้คนอื่นมา (Debt) ถ้าเงินของคุณอยู่เฉยๆ เอาไปฝากธนาคารก็จะได้ดอกเบี้ย แต่ถ้าไม่ทำอะไรก็คือเสียโอกาสที่จะได้ return ในส่วนนี้ หรือถ้าไปกู้มาก็ต้องเสียดอกเบี้ยไปเปล่าๆ โดยไม่ได้ก่อประโยชน์อะไร

ฉะนั้นในการลงทุนต่างๆจึงต้องใช้ discount rate เพื่อหามูลค่าที่จะทำให้เราทราบได้ว่าลงไปแล้วอย่างน้อยก็คุ้่มทุนที่ไปกู้มาหรือโอกาสอื่นๆที่เสียไป

ถ้าสมมุติว่าผมไปกู้เงิน 1 ล.บาทมาสร้างบ้านให้เช่า อัตราดอกเบี้ย mlr 8 % ฉะนั้น discount rate ของผมก็คือ 8 % ใช่หรือไม่ครับ

hunter_kidz เขียน:

Sumotin เขียน:Discount rate หรือในทางการลงทุนก็ Opportunity cost คือ ต้นทุนทางการเงินจากการที่คุณมีเงินหนึ่งก้อนไม่ว่าจะเป็นของตัวเอง (Equity) หรือไปกู้คนอื่นมา (Debt) ถ้าเงินของคุณอยู่เฉยๆ เอาไปฝากธนาคารก็จะได้ดอกเบี้ย แต่ถ้าไม่ทำอะไรก็คือเสียโอกาสที่จะได้ return ในส่วนนี้ หรือถ้าไปกู้มาก็ต้องเสียดอกเบี้ยไปเปล่าๆ โดยไม่ได้ก่อประโยชน์อะไร

ฉะนั้นในการลงทุนต่างๆจึงต้องใช้ discount rate เพื่อหามูลค่าที่จะทำให้เราทราบได้ว่าลงไปแล้วอย่างน้อยก็คุ้่มทุนที่ไปกู้มาหรือโอกาสอื่นๆที่เสียไป

ถ้าสมมุติว่าผมไปกู้เงิน 1 ล.บาทมาสร้างบ้านให้เช่า อัตราดอกเบี้ย mlr 8 % ฉะนั้น discount rate ของผมก็คือ 8 % ใช่หรือไม่ครับ

จริงๆเราระดมทุนจากหลายทาง
- หนี้
- หุ้นบุริมสิทธิ
- หุ้นสามัญ
- กำไรสะสม
เราก็จะใช้ ต้นทุนของเงินทุนถัวเฉลี่ยถ่วงน้ำหนัก ( Weighted Average Cost of Capital หรือ WACC ) เป็นตัวแทนของค่าเสียโอกาส
http://www.sepo.go.th/evmcenter/uploads ... y/wacc.pdf

ถ้า discount เป็นมูลค่าปัจจุบัน แ้ล้วมีค่าเป็นบวกก็แปลว่า โครงการนี้ได้กำไร และ สร้างผลตอบแทนออกมามากกว่า่ต้นทุนของเงินทุนของเราครับ

กลับมาที่นิทานข้างบน ตอนนี้ท่านจะมีต้นทุนเงินทุนอยู่ 100% ถ้าทำร้านแล้ว
ผลตอบแทนเท่ากับ 100% ก็เท่าทุน เพราะสิ้นปีก็มีเงิน 20 ล้านเท่ากัน
ผลตอบแทนน้อยกว่า 100% ก็ขาดทุน เพราะถึงสิ้นปีมีเงินน้อยกว่า 20 ล้าน ที่ป๋าจะให้ สู้รอดีกว่า
ผลตอบแทนน้อยกว่า 100% ก็กำไรกว่าเดิมเพราะ สิ้นปีมีเงินมากกว่า 20 ล้านที่ ป๋า จะให้ รีบคว้าเงินทันที