หน้า 1 จากทั้งหมด 2

หลังจากมีอิสรภาพทางการเงินแล้ว ชีวิตเป็นอย่างไรกันบ้างครับ

โพสต์แล้ว: จันทร์ มี.ค. 26, 2012 10:57 am
โดย kriangsak76
สืบเนื่องจากกระทู้ของพี่ dome@perth ที่เอ่ยถึงการตั้งเป้าหมายที่จะ เกษียณ และขนาดของพอร์ต ผมได้อ่านเมื่อสองปีที่แล้ว

http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=1&t=36838

ต้องขอบคุณกระทู้ของพี่ dome จริงๆ ที่ช่วยจุดประเด็นให้ผมครับ ในกระทู้ของพี่โดม ก็มักจะเห็นนักลงทุนใหม่ๆ เข้ามาเยอะ แล้วก็ตั้งปณิธานอันแรงกล้าบ้าง หรือแบบพอเพียงบ้าง ตามแต่พื้นฐานของแต่ละคน

ตอนที่อ่านนั้น ผมตระหนักได้ว่า เราต้องตั้งเป้าหมายในชีวิตว่า ขั้นต่ำนั้น เราจะต้องมีผลตอบแทนซักเท่าไหร่ต่อเดือน เพื่อจะเลี้ยงชีพได้ และเพื่อที่จะได้มีอิสรภาพทางการเงิน เพราะเสมือนว่าอิสรภาพฯ นั้น มันเป็นเป้าหมายสุดท้ายในชีวิตไปแล้ว

ผมเป็นคนโสดที่ค่อนข้างเรียบง่ายซักหน่อยครับ ชอบแบบพอเพียง ผมก็เลยตั้งตัวเลขขึ้นมาแบบมนุษย์เงินเดือนทั่วไปน่าจะทำได้ ตอนแรก ก็อยู่ที่ 35,000 บาทต่อเดือน พอถึงแล้ว ก็กลายเป็นว่า ผมก็ขยายขนาดของเป้าหมายไป 40,000 ไป 50,000 บาทต่อเดือน

เอาแล้วสิ.... พอถึง(อีก)แล้ว ผมก็ปรับเป้าไปเรื่อยๆ เป้ามันเริ่มโตไม่หยุดครับ แต่ตรงนี้ มันคงไม่ใช่ประเด็นน่ะสิครับ เพราะผมก็เริ่มตระหนักกับปัญหาอีกอันที่ว่า เราอาจจะมีอิสรภาพทางการเงินแต่กลับติดกับดักอิสรภาพทางใจแทน แล้วมีพี่คนใดบ้างไหม๊ ที่มีอิสรภาพฯ แล้ว แต่ปรากฏว่า กลับยังไม่พบอิสรภาพทางใจบ้างไหม๊ครับ

คือ ผมเจอสภาวะที่ว่า เรามีเวลามากมายเหลือเกิน (งานที่ทำเริ่มรู้สึกว่าไม่ชอบ แต่มีเวลาเยอะน่ะครับ แม้ว่าเงินเดือนไม่เยอะ:D แต่ผมยังต้องทำงานนี้ต่อไปด้วยเหตุผลบางประการ) เวลาอาจจะมากเกินไปจนเราไม่รู้จะเอาเวลาเหล่านั้นไปทำอะไร พี่ๆบางท่านอาจจะมีสิ่งที่อยากทำมากมาย (โดยเฉพาะพี่ๆที่มีครอบครัว มีลูก) แต่สำหรับคนโสดนั้น กลายเป็นว่า มีเวลาเหลือเกินจำเป็น เพื่อนๆส่วนใหญ่ก็ยังทำงานประจำ กลายเป็นว่าเรามีเวลาแต่เพื่อนๆไม่มีเวลาและเพื่อนๆก็ยังมีครอบครัว ถ้าไม่มีโอกาสพิเศษจริงๆ คงเจอกันยากครับ

ตอนนี้ ผมก็ทำงานไปเพื่อจะได้มีอะไรทำบ้างและมีสังคมด้วย ออกกำลังกายเรื่อยๆ สัปดาห์ละ ๓-๔ ครั้งถ้ามีโอกาส อย่างน้อยก็ทำให้ร่างกายแข็งแรงและใช้เวลาไปได้ครั้งละ ๒ ชั่วโมง

ผมจึงอยากจะขอสอบถามพี่ๆ ที่มีอิสรภาพทางการเงินเรียบร้อยแล้ว (โดยเฉพาะพี่ๆที่เป็นคนโสด แต่พี่ที่มีครอบครัวก็ช่วยแนะนำได้ครับ ถือว่าแนะนำน้องคนนี้ซักหน่อยครับ)

หลังจากมีอิสรภาพฯ แล้ว ชีวิตเป็นอย่างไรบ้าง หรือว่าเบื่อหน่ายบ้างไหม๊กับเวลาที่ว่างมากๆ หรือว่าอยากกลับไปทำงานที่เราเคยรู้สึกว่าน่าเบื่อบ้างไหม๊ แล้วพี่ๆ มีการบริหาร/การจัดการเวลากันอย่างไรบ้างครับ ถือว่าแชร์ๆกันครับ

ปูลม อาจจะยาวซักหน่อย และก็ดูวกวนไปบ้าง ก็ขออภัยนะครับ :bow:

Re: หลังจากมีอิสรภาพทางการเงินแล้ว ชีวิตเป็นอย่างไรกันบ้างคร

โพสต์แล้ว: จันทร์ มี.ค. 26, 2012 11:37 am
โดย appendix
คุณช่วยนิยามอิสระภาพทางการเงินของคุณให้ผมฟังก่อน

Re: หลังจากมีอิสรภาพทางการเงินแล้ว ชีวิตเป็นอย่างไรกันบ้างคร

โพสต์แล้ว: จันทร์ มี.ค. 26, 2012 12:36 pm
โดย คลายเครียด
ก็มีความสะดวกสบายทางร่างกาย จากอำนาจซื้อของเงิน มากขึ้น

แต่ว่า


สุขทุกข์ก็ยังคงมีเหมือนเดิม
เพราะเงินมันมีความสำคัญที่สุด
สำหรับคนที่อยู่ใต้โลกย์
ไปถึงแค่ระดับ

ความต้องการ ความสะดวกสบายทางร่างกายของแต่ละคนครับ

เกินกว่านั้น เงินไม่ใช่ปัจจัยชี้ขาดแล้วครับ

ถ้าใช่ ป๋าบัฟเฟต์ก็ต้องทีความสุขมากกว่าผมเป็นล้านๆเท่า

Re: หลังจากมีอิสรภาพทางการเงินแล้ว ชีวิตเป็นอย่างไรกันบ้างคร

โพสต์แล้ว: จันทร์ มี.ค. 26, 2012 12:54 pm
โดย kriangsak76
appendix เขียน:คุณช่วยนิยามอิสระภาพทางการเงินของคุณให้ผมฟังก่อน
ในความหมายของผมนั้น หมายถึงการที่มีผลตอบแทนจากเงินปันผลเพียงพอสำหรับการใช้ในการดำรงชีพครับ โดยที่เราจะทำงานหรือไม่ทำการก็ได้ครับ รวมถึงมีส่วนเกินจากการใช้ด้วยเพื่อรองรับความเสี่ยงอื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ เช่น อุบัติเหตุ หรือเจ็บป่วย ถ้าเจอเคสใหญ่ๆ ก็เป็นล้านได้เหมือนกันครับ (เราสามารถป้องกันหรือลดความเสี่ยงได้ด้วยการทำประกัน)

อิสรภาพฯ นั้น ในนิยามของผมตอนนี้ อาจจะหมายถึงค่าใช้จ่ายเท่านั้นน่ะครับ อาจจะไม่ได้รวมถึง การได้ทำงานที่ตนเองชอบ หรือทำในสิ่งที่อยากทำ เพราะตอนนี้ ยังติดเงื่อนไขของการชดใช้ระยะเวลา

แต่ถ้ามองว่าการลงทุนเป็นอาชีพ ก็คือผมทำงานอยู่เช่นกันครับ โดยอาชีพนักลงทุนก็ยังมีเวลาเยอะมากอยู่ดี

แล้วถ้าถามผมว่า อาชีพนักลงทุนนั้นเป็นอาชีพที่ชอบหรือไม่ ในตอนนี้ผมก็อาจจะตอบว่าการลงทุนเป็นอาชีพหรือครื่องมือตัวนึง ที่เลี้ยงดูเราได้โดยไม่ได้รักอาชีพนี้มากนักน่ะครับ

ผมพอจะขยายความให้พี่ Appendix เข้าใจนิยามของผมได้ดีขึ้นหรือเปล่าครับ หรือถ้ายังไม่ตรงประเด็นตรงไหน แนะนำ/สั่งสอนได้เต็มที่ครับ

Re: หลังจากมีอิสรภาพทางการเงินแล้ว ชีวิตเป็นอย่างไรกันบ้างคร

โพสต์แล้ว: จันทร์ มี.ค. 26, 2012 1:01 pm
โดย kriangsak76
คลายเครียด เขียน:ก็มีความสะดวกสบายทางร่างกาย จากอำนาจซื้อของเงิน มากขึ้น

แต่ว่า


สุขทุกข์ก็ยังคงมีเหมือนเดิม
เพราะเงินมันมีความสำคัญที่สุด
สำหรับคนที่อยู่ใต้โลกย์
ไปถึงแค่ระดับ

ความต้องการ ความสะดวกสบายทางร่างกายของแต่ละคนครับ

เกินกว่านั้น เงินไม่ใช่ปัจจัยชี้ขาดแล้วครับ

ถ้าใช่ ป๋าบัฟเฟต์ก็ต้องทีความสุขมากกว่าผมเป็นล้านๆเท่า
ขอบคุณครับพี่คลายเครียด ผมชอบประโยคของพี่คลายเครียดมากครับ

สุขทุกข์ก็ยังคงมีเหมือนเดิม

แล้วคนเรามีอำนาจซื้อมากขึ้นตามปริมาณเงินที่มีจริงๆ

ดังนั้น คนเราคงต้องแบ่งการบริหารเงิน กายและจิตเลยครับ

Re: หลังจากมีอิสรภาพทางการเงินแล้ว ชีวิตเป็นอย่างไรกันบ้างคร

โพสต์แล้ว: จันทร์ มี.ค. 26, 2012 1:06 pm
โดย xavi
ผมคิดว่าอิสรภาพทางการเงินคือ ครอบครัวของเราสามารถจะมีความสุขสบายในการใช้ชีวิตได้ โดยเราได้ทำงานในสิ่งที่ชอบไปด้วย เพราะหลายๆครั้งเราจำเป็นต้องทำงานที่เราไม่ชอบอาจจะที่เป็นเนื้องานหรือบรรยากาศในที่ทำงาน เพราะต้องงานเงินไปเลี้ยงดูคนที่บ้าน

ผมก็เคยตั้งเป้าว่าต้องมีเงินเท่าไรแล้วเราถึงจะสบายไว้เหมือนกันครับ และก็โชคดีที่คิดไว้แต่ต้นว่าการเป็นลูกจ้างไม่สามารถทำให้เราสบายได้ง่ายนัก แค่คิดถึงรถ บ้าน ค่าเรียนลูก ก็เหนื่อยมากแล้ว ต่อให้เงือนเดือนเป็นแสนก็ไม่สบายได้ง่ายๆเลย ก็เลยออกมาทำงานส่วนตัวและก็โชคดีที่ทำได้ดีครับ

ส่วนหุ้นผมก็ถือว่าเป็นหนึ่งในเครื่องมือสำคัญ ตอนนี้กำลังศึกษาแนวทาง VI มาได้สักพักแล้ว ส่วนตัวก็เริ่มชอบและก็มีความเชื่อว่าจะทำให้ผมมีอิสรภาพทางการเงินได้ครับ

แต่สิ่งที่ยากก็คือพอเราผ่านเป้าหมายแรก เราก็หวังต่อไป และก็หวังต่อไปเรื่อยๆ เพราะเราก็ยังอยากให้ชีวิตความเป็นอยู่ของครอบครัวดีขึ้นเรื่อยๆครับ ตอนนี้ก็เลยขอติดกับดักทางการเงินไปก่อนเพราะก็ยังทำมาหากินไหว และที่สำคัญผมได้ทำในสิ่งที่ชอบแล้วด้วย

Re: หลังจากมีอิสรภาพทางการเงินแล้ว ชีวิตเป็นอย่างไรกันบ้างคร

โพสต์แล้ว: จันทร์ มี.ค. 26, 2012 2:00 pm
โดย iruma
คลายเครียด เขียน:ก็มีความสะดวกสบายทางร่างกาย จากอำนาจซื้อของเงิน มากขึ้น

แต่ว่า


สุขทุกข์ก็ยังคงมีเหมือนเดิม
เพราะเงินมันมีความสำคัญที่สุด
สำหรับคนที่อยู่ใต้โลกย์
ไปถึงแค่ระดับ

ความต้องการ ความสะดวกสบายทางร่างกายของแต่ละคนครับ

เกินกว่านั้น เงินไม่ใช่ปัจจัยชี้ขาดแล้วครับ

ถ้าใช่ ป๋าบัฟเฟต์ก็ต้องทีความสุขมากกว่าผมเป็นล้านๆเท่า
เงินกับความสุข - ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

คนส่วนใหญ่เชื่อว่า ถ้าเรามีเงินเราจะมีความสุขมากขึ้น คนเชื่อว่าคนรวยย่อมมีความสุขมากกว่าคนจน ยิ่งรวยมากเท่าไร ความสุขก็มากขึ้นเท่านั้น เพราะคนเชื่อว่า เงินสามารถซื้อความสุขได้แม้ว่าจะไม่ใช่ความสุขทุกอย่างแต่ก็ซื้อได้มาก เงินสามารถใช้ซื้ออาหารอร่อยๆ รับประทานได้ เงินสามารถพาเราไปท่องเที่ยวได้มากขึ้นและไกลขึ้น เงินทำให้เราซื้อบ้าน และซื้อรถยนต์ที่ทำให้เรามีหน้ามีตาในหมู่เพื่อนฝูงและคนรู้จัก เงินทำให้เราส่งลูกไปเรียนโรงเรียนดีๆ หรือไปเรียนต่างประเทศได้ เพราะฉะนั้น อย่ามาพูดเลยว่า เงินกับความสุขไม่เกี่ยวกัน

นั่น คือสิ่งที่คนที่ยังไม่ค่อยมีเงิน หรือคิดว่าตนยังมีเงินไม่พอมักจะคิด คนเหล่านั้นมักจะ "ฝัน" ว่า ถ้าเขามีเงินมากขึ้น เขาคงจะมีความสุขมาก เพราะสิ่งที่เขาคิดอยากจะได้แต่ยังทำไม่ได้ เพราะมีเงินไม่พอ เขาก็จะสามารถซื้อหามาได้ และนั่นคือความสุขที่เขากำลังพยายามไขว่คว้า แต่เชื่อไหมครับว่าวันที่เขามีเงินพอและได้ใช้หรือบริโภคสิ่งที่เขา "ฝัน" ไว้แล้ว สิ่งนั้นก็จะไม่ใช่ "ความสุข" อีกต่อไป เขาจะเริ่ม "ฝัน" ถึง "ความสุข" ใหม่ ที่จะต้องใช้เงินมากขึ้นไปอีก เงินคือความสุขหรือเงินเป็นสิ่งที่หลอกลวงกันแน่?

ความสุขของ คนนั้น เพื่อที่จะอธิบายให้เป็นระบบ ผมคิดว่าน่าจะต้องอิงกับความต้องการของมนุษย์ ซึ่งแมสโลว์ (ABRAHAM MASLOW) นักจิตวิทยาชื่อดังบอกว่ามี 5 ระดับ นั่นคือ ความต้องการเบื้องต้น ได้แก่ อาหารและน้ำ ความต้องการระดับสองคือ ต้องการความปลอดภัยและความมั่นคงในชีวิต เมื่อได้รับการตอบสนองแล้ว ความต้องการจะยกระดับขึ้นไปเป็นระดับ 3 ซึ่งก็คือ การได้รับการยอมรับในหมู่ญาติมิตรและเพื่อนฝูงให้เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม ขั้นต่อไปก็คือ การมีสถานะที่โดดเด่นในสังคม และสุดท้ายก็คือ ความต้องการที่จะบรรลุถึงตัวตนที่แท้จริง ซึ่งในทางพระอาจจะเรียกว่านิพพานไปเลย

มาดูความสุขทางด้าน อาหารว่าเงินซื้อได้หรือไม่? ผมคิดว่าเงินซื้อความสุขด้านอาหารได้น้อย ความสุขของการกินนั้น ผมเชื่อว่าส่วนใหญ่อยู่ที่ความหิวและรสชาติของอาหาร ซึ่งไม่ค่อยได้เกี่ยวข้องกับราคามากนัก คนทั่วไปอาจจะรู้สึกว่าหูฉลามนั้นอร่อยมาก แต่นั่นเป็นเพราะเขาไม่ค่อยได้กินมัน แต่ถ้าเขาได้กินมันบ่อยมาก เขาอาจจะบอกว่าพะแนงเนื้ออร่อยกว่า ดังนั้น สำหรับความสุขในด้านของการกินแล้ว ผมคิดว่า ถ้าเราไม่จนเกินไป เราจะมีความสุขไม่ต่างกับเศรษฐีมากนัก

ความสุขที่จะได้จาก ความรู้สึกมั่นคงปลอดภัย นี่เป็นความสุขที่เกิดขึ้นในใจเมื่อเรามีบ้านอยู่อาศัยที่ปลอดภัย มีการงานที่มั่นคง เรารู้ว่าเมื่อเราป่วยไข้จะได้รับการรักษาที่ดี มีความอุ่นใจว่าถ้าเกิดปัญหาอะไรที่ไม่คาดคิดทางการเงินเรามีทางแก้ไขได้ และที่สำคัญ รู้ว่าเมื่อแก่ตัวลง เราจะมีเงินเลี้ยงดูตัวเองได้ การมีเงินสะสมน้อยหรือไม่มีสวัสดิการการรักษาพยาบาลเพียงพอ ก็ย่อมที่จะทำให้เรามีความกังวลและเป็นทุกข์ได้

ความรู้สึก มั่นคงปลอดภัยนั้น เป็นความสุขในระดับหนึ่งเท่านั้น นั่นหมายความว่า ถ้าคนเรามีความมั่นคงเพิ่มขึ้นไปอีก ส่วนที่เพิ่มนั้นจะก่อให้เกิดความสุขเพิ่มน้อยมาก ข้อสรุปก็คือ เราต้องมีเงินในระดับหนึ่ง เพื่อความมั่นคงในชีวิตถ้าจะให้ไม่เกิดทุกข์จากความกังวล

การ ได้รับการยอมรับในหมู่ญาติมิตรและเพื่อนฝูงนั้น ผมคิดว่าเงินไม่น่าจะมีส่วนมากนัก การมีน้ำจิตน้ำใจเอื้ออารีน่าจะมีความสำคัญกว่าและสิ่งนี้ไม่สามารถซื้อได้ ด้วยเงิน ดังนั้น ความสุขจากการที่เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม จึงเป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับเงินเลย

การมีสถานะที่โดดเด่นใน สังคมเป็นความต้องการในระดับที่สูงขึ้นมา และน่าจะเป็นความสุขอย่างหนึ่งที่เงินอาจจะซื้อได้ และนี่ก็คงเป็นเหตุผลสำคัญที่คนมีเงินใช้เงินซื้อบ้าน รถยนต์ที่หรูหรา และเครื่องแต่งกายราคาแพง เพื่อที่จะแสดงความโดดเด่นให้คนทั่วไปเห็นและยอมรับ อย่างไรก็ตาม ความสุขในด้านนี้มักจะมีด้านมืด นั่นก็คือ ผู้ที่ใช้ของหรูมักจะพบคนที่ใช้ของที่หรูกว่า และความรู้สึกที่ด้อยกว่าโดยการเปรียบเทียบนั้น บ่อยครั้ง มันกลบความสุขที่ควรจะได้รับ และทำให้การใช้เงินซื้อสถานะของตนเองเพื่อให้เกิดความสุขนั้นไร้ผล เพราะแทนที่จะเป็นสุขก็อาจจะกลายเป็นความทุกข์ได้

ผมคงไม่พูด ถึงความต้องการที่จะบรรลุถึงตัวตนที่แท้จริง ซึ่งคงไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องของเงิน แต่น่าจะเป็นเรื่องของจิตใจล้วนๆ แต่อยากจะบอกว่าความสุขของคนนั้น ส่วนใหญ่อยู่ที่เรื่องของสุขภาพกายและสุขภาพใจซึ่งเงินซื้อได้น้อยมาก สุขภาพกายนั้น ไม่ว่าคุณจะมีเงินมากเท่าไร โอกาสที่คุณจะป่วยมีเท่ากับคนที่มีเงินน้อยหรือปานกลาง เช่นเดียวกัน สุขภาพใจนั้น อยู่ที่การทำใจ จากการสำรวจครั้งแล้วครั้งเล่าเราพบว่า คนที่ใช้ชีวิตที่ "พอเพียง" มีความสุขกว่าคนที่ชอบบริโภค ซึ่งไม่ได้เกี่ยวเลยว่าเขามีเงินมากหรือน้อย ว่าที่จริงถ้าจะมีอะไรเกี่ยวก็น่าจะเป็นว่า การมีเงินมากอาจจะเป็นความเสี่ยงว่าคุณจะมีความสุขน้อยลงถ้าคุณชอบบริโภค

ข้อ สรุปสุดท้ายของผมก็คือ คนที่มีเงินน้อยเกินไปจะหาความสุขได้ยาก เพราะความสุขหลายอย่างต้องใช้เงินซื้อหามา ในอีกด้านหนึ่ง คนที่มีเงินมากเกินไปไม่ได้หมายความว่า เขาจะต้องมีความสุขมากกว่าคนที่มีเงินปานกลาง เพราะเงินนั้นซื้อความสุขได้ถึงระดับหนึ่งเท่านั้น คนที่มีเงินพอประมาณ สามารถที่จะเป็นแชมเปียนของคนที่มีความสุขได้ เพราะความสุขนั้น ส่วนใหญ่มาจากสุขภาพกายและสุขภาพใจที่ซื้อไม่ได้ด้วยเงิน ดังนั้น ถ้าคุณเป็นคนที่มีเงินพอประมาณ และใช้ชีวิตที่พอประมาณ คุณก็น่าจะมีชีวิตที่มีความสุขไม่แพ้คนรวยโดยทั่วไปแล้ว


27 มีนาคม 2550

ในมุมมองของ Value Investor

ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

Re: หลังจากมีอิสรภาพทางการเงินแล้ว ชีวิตเป็นอย่างไรกันบ้างคร

โพสต์แล้ว: จันทร์ มี.ค. 26, 2012 2:16 pm
โดย Tibular
สบายดีคับ แรกๆอาจมึนๆหน่อย เพราะเวลามันจะเยอะขึ้น
เราก็มาจัดแจงชีวิตตัวเองก่อน เรื่องสวัสดิการที่เคยได้รับ
ตอนทำงานจะหายไปหน่อย ก็จัดแจงเรื่องประกันสุขภาพ ชีวิต (แล้วแต่)
เงินออมระยะยาวๆเผื่อไว้อีกก้อน ส่วน ฐานะทางสังคม ตำแหน่ง หน้าที่
ก็ตอบคำถามคนอื่นๆยากหน่อย แต่ก็บอกไป ว่าเป็นนักลงทุน
ถ้าไม่ถามต่อ ก็ไม่อธิบายอะไรมาก ถ้าถามก็อธิบาย
เรื่องเที่ยวต่างประเทศ ก็ให้ทัวร์จัดการ
เรื่องกรอกเอกสาร ก็บอกว่าทำธุรกิจส่วนตัว จะได้เข้าใจง่ายๆ
บัตรเครดิต ก็ต้องรักษาไว้หน่อย 55

การทำงานก็จัดแจงเวลาหน่อย

เช้า - อ่านข่าวไทย-เทศ ทั่วไป
รายงานเศรษฐกิจ-อุตสาหกรรม บทวิเคราะห์จากสำนักต่างๆ
ช่วงงบออกแต่ละไตรมาส ก็ยุ่งๆหน่อย เพราะต้องดู
ผลการดำเนินงานแต่ละอุตสาหกรรม แล้วตามด้วย ดู Opp-Days
บริษัทที่มา Presentation แล้วก็ไปประชุมผู้ถือหุ้นประจำปี
Company Visit บ้าง สัมนาบ้าง ถ้ามีโอกาส

บ่าย - อ่านหนังสือที่น่าสนใจต่างๆ เช่น การลงทุน เศรษฐกิจ
วิทยาศาสตร์ สุขภาพ-ความงาม การท่องเที่ยว ธรรมะ
แล้วก็แอบงีบนิดหน่อย 555

เย็น - เล่นกีฬา ทานข้าวกับเพื่อนๆครอบครัว
นานๆก็ไปกับก๊วนนักลงทุนด้วยกันบ้าง

ค่ำ - ดูหนัง เล่นเกมส์

ส่วนกิจกรรมอื่นๆ ก็ไปเที่ยวต่างจังหวัดกับเพื่อนๆ
ดินเนอร์กับแฟน รับ-ส่งแฟน ช๊อปปิ้ง อ่านหนังสือตามร้านกาแฟ

ชีวิตยืดหยุ่นมากขึ้น แต่ก็ต้องรับผิดชอบตัวเองมากขึ้น
ดูแลสุขภาพให้ยืนยาว จะได้ลงทุนได้นานๆ

Re: หลังจากมีอิสรภาพทางการเงินแล้ว ชีวิตเป็นอย่างไรกันบ้างคร

โพสต์แล้ว: จันทร์ มี.ค. 26, 2012 2:38 pm
โดย neong
ในความเห็นส่วนตัวของผม
อิสรภาพทางการเงิน หมายถึง เราสามารถทำอะไรทุกอย่างที่เราต้องการจะทำได้ ในสิ่งที่่เงินสามารถทำให้ได้ (ทำทุกอย่างที่ต้องการได้โดยไม่ติดปัญหาที่มีสาเหตุมาจากเงิน )

Re: หลังจากมีอิสรภาพทางการเงินแล้ว ชีวิตเป็นอย่างไรกันบ้างคร

โพสต์แล้ว: จันทร์ มี.ค. 26, 2012 2:39 pm
โดย OutOfMyMind
อิสรภาพทางการเงินในมุมที่ผมคิด มันคงเป็นเหมือนขอบฟ้าที่เรามองเห็น แต่ไปอย่างไรก็ไม่ถึง เคยตั้งเป้าว่ามีเท่านั้นแล้วจะพอ พอถึงจริง ๆ ก็มีความต้องการใหม่เกิดขึ้นอีก เปรียบเหมือนเมื่อเรามาถึงยอดเขาแล้ว มองลงข้างล่างที่ผ่านมาก็ภูมิใจ แต่มองไปข้างหน้า ไอ่ย่ะ ยังมีอีกหลายลูกที่ดูท้าทายและน่าปีนต่อนี่หว่า

คุณภาพชีวิตมันมีหลายระดับมาก ๆ โลกนี้ก็กว้างใหญ่เกินไป ผมมีเงินเท่าไรก็ไม่สามารถเป็นอิสระทางการเงินได้ เพราะยังมีอีกหลายสิ่งที่อยากทำ และมันต้องมีเงินเป็นปัจจัย บางคนบอกว่าใจพอก็รวยพอ อันนี้ก็คงใช่ แต่สำหรับผม ชีวิตที่ไร้เป้าหมายมันก็ไร้ค่า (อันนี้ของผมคนเดียวนะ ท่านที่หยุดได้ผมก็สรรเสริญท่าน)

ผมเลยให้นิยาม อิสระทางการเงิน ว่าเป็นเป้ายหมายที่ระยะอนันต์ ระหว่างเดินทางไปถึงจุดนั้น ผมจะพยายามมีชีวิตให้มีความสุข ทำงานที่สนุก ดูแลสุขภาพให้ดี มีเวลาให้กับคนที่เรารัก หาความท้าทายใหม่ ๆ ให้กับชีวิต

ยานพาหนะที่ผมใช้ในการเดินทางไปสู่เป้าหมายคือ ผลตอบแทนทบต้น ที่ไม่ได้ประยุกต์ใช้เฉพาะเรื่องเงิน แต่ทุกเรื่องของชีวิต การทำสิ่งที่ถูกต้องวันละนิดละหน่อย แต่ทำต่อไปไม่หยุดยั้ง เมื่อเวลาผ่านไป ผมพบแล้วว่ามันมหัศจรรย์จริงๆ

Re: หลังจากมีอิสรภาพทางการเงินแล้ว ชีวิตเป็นอย่างไรกันบ้างคร

โพสต์แล้ว: จันทร์ มี.ค. 26, 2012 5:02 pm
โดย nam
ถ้าพอมีเวลาว่างลองอ่านเล่มนี้ดูนะครับ
พระท่านว่า.............

Re: หลังจากมีอิสรภาพทางการเงินแล้ว ชีวิตเป็นอย่างไรกันบ้างคร

โพสต์แล้ว: จันทร์ มี.ค. 26, 2012 6:25 pm
โดย คนขายของ
ฝึกอยู่กับปัจจุบันครับ

เป็นงานที่ยากมาก แสดงให้เห็นชัดเลยว่า จิตของผมซัดส่ายไปมาตลอด

คิดอยากทำโน่น อยากทำนี่ คิดว่ามันจะเป็นความสุข

ตอนกินข้าวดันดูทีวีไปด้วย ตอนดูทีวีในหัวคิดเรื่องอยากไปเที่ยว ตอนได้ไปเที่ยวกลับคิดเรื่องลงทุน

ตอนนั่งฟัง opp day เรื่องลงทุนกลับง่วงนอน ตอนนอนกลับฝันว่ากินข้าว

งานทางจิตยังต้องทำอีกมากกว่าจะพบ "อิสระที่แท้จริง"

Re: หลังจากมีอิสรภาพทางการเงินแล้ว ชีวิตเป็นอย่างไรกันบ้างคร

โพสต์แล้ว: จันทร์ มี.ค. 26, 2012 8:56 pm
โดย picatos
การลงทุนนำไปสู่อิสรภาพทางการเงิน
มรรคที่มีองค์ 8 นำไปสู่อิสรภาพทางจิตใจ

ว่างก็เบ่ื่อก็เซ็ง ยุ่งก็เบื่อก็เซ็ง สภาวะเบื่อเซ็งมันก็แค่อารมณ์หนึ่งที่เกิดขึ้น แล้วก็ดับไปเป็นคราวๆ ผมชอบที่จะว่างแล้วทุกข์ มากกว่ายุ่งมีภาระเยอะแล้วทุกข์ อย่างน้อยในความว่างที่มีอิสรภาพทางการเงิน ก็ทำให้เราเป็นอิสระในการเลือกที่จะใช้เวลาได้ และผมเลือกที่จะใช้เวลาว่างๆ ของผมเดินไปบนทางที่จะนำไปสู่อิสรภาพทางใจครับ

Re: หลังจากมีอิสรภาพทางการเงินแล้ว ชีวิตเป็นอย่างไรกันบ้างคร

โพสต์แล้ว: จันทร์ มี.ค. 26, 2012 9:33 pm
โดย newborn
ความทุกข์ทางกายน้อยลง มีเวลาปัฏิบัติและเรียนรู้ธรรมะมากขี้น และได้แบ่งปันส่วนที่เกินความจำเป็นให้กับสังคมและผู้ด้อย

โอกาสค่ะ

Re: หลังจากมีอิสรภาพทางการเงินแล้ว ชีวิตเป็นอย่างไรกันบ้างคร

โพสต์แล้ว: จันทร์ มี.ค. 26, 2012 11:14 pm
โดย Tamจัง
หาแฟนครับ... ไม่มีคู่ก็ไม่รู้จะเอาอิสรภาพทางการเงินไปทำอะไรครับ

Re: หลังจากมีอิสรภาพทางการเงินแล้ว ชีวิตเป็นอย่างไรกันบ้างคร

โพสต์แล้ว: จันทร์ มี.ค. 26, 2012 11:18 pm
โดย sakkaphan
มีพี่ๆท่านไหนคิดถึงเรื่อง นิพพาน บ้างมั้ยครับ ถามจริงๆนะครับ

Re: หลังจากมีอิสรภาพทางการเงินแล้ว ชีวิตเป็นอย่างไรกันบ้างคร

โพสต์แล้ว: อังคาร มี.ค. 27, 2012 3:35 am
โดย ohiotour
ผมคิดว่าคำว่า " อิสรภาพทางการเงิน " นั้นมันไม่มีความหมายที่ตายตัวนะครับ แล้วแต่ ๆละคนจะตีความ ผมว่าเรามีอิสภาพทางการเงินได้ง่าย ๆ สำหรับผม ผมไม่เคยตั้งว่าต้องมีเท่าไหร่ถึงจะเรียกได้ว่ามีอิสรภาพทางการเงิน
แต่ผมจะให้ความหมายของ " อิสรภาพทางการเงิน " ว่าคือการไม่มีหนี้ เพราะถ้าคนเรามีหนี้ย่อมจะไม่มีอิสระในการจับจ่ายใช่สอยแน่ ๆ และผมก็ไม่เห็นด้วยหากจะเอาการทำงานมาเป็นปัจจัยหนึ่งในการที่จะบอกว่าเรามีอิสรภาพทางการเงินแล้วหากเราไม่ต้องทำงานอะไรเราก็มีกินมีใช้อย่างสุขสบาย ผมว่าการทำงานหรือกิจกรรมต่าง ๆ หากเรามีเงินจนล้นฟ้าเราก็ยังคงทำงานได้นิครับ หรืออยากทำธุรกิจอะไรที่เราชอบเป็นทุนเดิมอยู่แล้วก็น่าจะทำให้เรามีความสุขในชีวิตได้นะครับ สรุปว่า ผมว่าเรามีอิสรภาพทางการเงินได้โดยที่ไม่ต้องมีชีวิตที่มีเวลาว่างมาก ๆ ก็ได้นิครับ ไม่ว่าจะโสดหรือมีครอบครัว หากมีเวลาเหลือมากจริง ๆ ลองแวะไปอ่านหนังสือบันทึกเสียงให้ผู้พิการทางสายตาเพื่อเค้าเหล่านั้นจะได้มีโอกาสจะเข้าถึงเนื้อหาในหนังสือต่าง ๆ ดูสิครับ ว่างมากก็อ่านมาก ๆ เราก็ได้ความรู้และความสุขทางใจ ส่วนเค้าก็ได้มีโอกาสที่จะมีความรู้มากขึ้น จากผู้ที่มี อิสรภาพทางการเงิน :D

Re: หลังจากมีอิสรภาพทางการเงินแล้ว ชีวิตเป็นอย่างไรกันบ้างคร

โพสต์แล้ว: อังคาร มี.ค. 27, 2012 8:09 am
โดย picatos
sakkaphan เขียน:มีพี่ๆท่านไหนคิดถึงเรื่อง นิพพาน บ้างมั้ยครับ ถามจริงๆนะครับ
นิพพาน คือ อะไรครับในความหมายของพี่ sakkaphan?

สำหรับผม นิพพาน คือ สภาวะที่ประหารกิเลสได้หมดแล้ว ไม่เหลือ โลภะ โทสะ โมหะ เลยทำให้ไม่มีเชื้อในการที่ต้องไปเกิดอีก ซึ่งตามความหมายของคำว่านิพพานก็คือ เทียนที่ดับลง ดังนั้นสำหรับผมคำว่านิพพานก็เป็นแค่สภาวะหนึ่งๆ ที่ถูกสร้าง ถูกสั่งสม ด้วยความเพียรพยายาม ในการที่จะค่อยๆ ขัดเกลากิเลสในใจของเรา ให้เบาบางลงๆ เหลือน้อยลงๆ จนกระทั่งกิเลสปราศจากไปจากใจ

ดังนั้นสำหรับผมคำว่านิพพานไม่ใช่ถ้วยรางวัล ป้ายชื่อ ตำแหน่ง อะไร มันก็แค่เป้าหมายของคนที่พยายามขัดเกลาตนเองที่พยายามเดินไป ซึ่งทางที่เดินไปนี่มันช่างไกลแสนไกล แล้วเราก็ไม่รู้หรอกว่าวันไหนจะถึงมัน จะรีบวิ่งไปก็อาจจะหมดแรง ท้อใจไปเสียก่อน จะมัวเอ้อละเหยก็รู้สึกเสียดายเวลาที่มีโอกาสได้เกิดเป็นมนุษย์ ได้รู้จักพระพุทธศาสนาแล้วกลับไม่ได้พยายามที่จะเดินให้ใกล้เป้าหมายขึ้นอีกสักนิด สำหรับผม ผมขอค่อยๆ เดินไปเรื่อยตามกำลัง พยายามทำทุกๆ วัน ทุกๆ ขณะ เท่าที่ทำได้ เรียกว่า นิพพานเป็นเป้าหมาย แต่ใส่ใจอยู่กับปัจจุบัน ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด

Re: หลังจากมีอิสรภาพทางการเงินแล้ว ชีวิตเป็นอย่างไรกันบ้างคร

โพสต์แล้ว: อังคาร มี.ค. 27, 2012 8:44 am
โดย คลายเครียด
ถ้าเข้าใจใม่ผิด คำว่าอิสรภาพทางการเงิน

เป็นคำที่ประดิษฐ์ขึ้นโดย คนเขียนหนังสือ rich dad poor dad
ซึ่งในชีวิตจริง มีคนในวงการอสังหาริมทรัพย์ให้ข้อมูลว่า
จริงๆแล้ว เขารวยจากการเขียนหนังสือขายและจัดสัมนา

จากประสพการณ์ของตัวเอง
ขอให้คำจำกัดความของอิสรภาพทางการเงินว่า

คือจำนวนเงินสดสุทธิปลอดหนี้สิน บวกอัตราเงินเฟ้อ
ที่สามารถตอบสนองความสะดวกสบายทางร่างกาย
ที่ส่งผลกระทบไปถึงสุขภาพจิตของเรา ไปได้ตลอดชีวิต


ตลอดชีวิต ของแต่ละคนก็ยังไม่เท่ากัน
เลยไม่มีใครสามารถให้ค่าอิสรภาพทางการเงิน
เป็นจำนวนตัวเลขที่แน่นอนได้
นอกจากตัวเราเอง

เวลาเห็นพวกแบ็คแพคเกอร์ อดนึกในใจไม่ได้ว่า
พวกนี้แหละ คือพวกที่จะมีความสุขทางใจได้ง่ายที่สุด
เพราะมีข้อเรียกร้อง
ความสะดวกสบายทางร่างกายน้อยกว่านักท่องเที่ยวกลุ่มอื่น

ไปๆมาๆ ก็สรุปได้ว่า
ระดับความต้องการความสะดวกสบายทางร่างกายของเรา
เป็นอัตราส่วนผกผันกับอิสรภาพทางการเงิน
ยิ่งมีความต้องการ ความสะดวกสบายทางร่างกาย น้อยลงเท่าไร
ก็จะมีอิสรภาพทางการเงิน ได้มากขึ้นเท่านั้น

ไม่น่าแปลกใจเลย ที่เศรษฐีพันล้านบางคน
ชีวิตทั้งชีวิต ไม่เคยมีอิสรภาพทางการเงิน
ส่วนของพ่อแม่ผม ซักห้าล้านก็มากเกินพอแล้ว
คนกวาดขยะ ซักล้าน ก็เป็นความฝันอันสูงสุด

มันก็ขึ้นอยู่กับ

margin of satisfaction ของแต่ละคน

Re: หลังจากมีอิสรภาพทางการเงินแล้ว ชีวิตเป็นอย่างไรกันบ้างคร

โพสต์แล้ว: อังคาร มี.ค. 27, 2012 9:34 am
โดย wanidaja
คนเรา อยากมี ความสุข เลยพยายามใขว่คว้า
ต้องละ เรา คือ อัตตา
ต้องละ อยากมี คือ กิเลส ความโลภ
ที่เหลือ คือ ความสุข
ลองสุข จากการให้ เช่น ไปทำประโยชน์ เพื่อคนอื่น ในที่นี้ อาจเป็น คนในครอบครัว พ่อแม่ พี่น้อง หลาน หรือคนอื่นๆที่อยู่ร่วมชาติ สุขกว่ามีอิสรภาพทางการเงิน แต่ว่างจัดเยอะ

Re: หลังจากมีอิสรภาพทางการเงินแล้ว ชีวิตเป็นอย่างไรกันบ้างคร

โพสต์แล้ว: อังคาร มี.ค. 27, 2012 10:58 am
โดย sakkaphan
picatos เขียน:
sakkaphan เขียน:มีพี่ๆท่านไหนคิดถึงเรื่อง นิพพาน บ้างมั้ยครับ ถามจริงๆนะครับ
นิพพาน คือ อะไรครับในความหมายของพี่ sakkaphan?

สำหรับผม นิพพาน คือ สภาวะที่ประหารกิเลสได้หมดแล้ว ไม่เหลือ โลภะ โทสะ โมหะ เลยทำให้ไม่มีเชื้อในการที่ต้องไปเกิดอีก ซึ่งตามความหมายของคำว่านิพพานก็คือ เทียนที่ดับลง ดังนั้นสำหรับผมคำว่านิพพานก็เป็นแค่สภาวะหนึ่งๆ ที่ถูกสร้าง ถูกสั่งสม ด้วยความเพียรพยายาม ในการที่จะค่อยๆ ขัดเกลากิเลสในใจของเรา ให้เบาบางลงๆ เหลือน้อยลงๆ จนกระทั่งกิเลสปราศจากไปจากใจ

ดังนั้นสำหรับผมคำว่านิพพานไม่ใช่ถ้วยรางวัล ป้ายชื่อ ตำแหน่ง อะไร มันก็แค่เป้าหมายของคนที่พยายามขัดเกลาตนเองที่พยายามเดินไป ซึ่งทางที่เดินไปนี่มันช่างไกลแสนไกล แล้วเราก็ไม่รู้หรอกว่าวันไหนจะถึงมัน จะรีบวิ่งไปก็อาจจะหมดแรง ท้อใจไปเสียก่อน จะมัวเอ้อละเหยก็รู้สึกเสียดายเวลาที่มีโอกาสได้เกิดเป็นมนุษย์ ได้รู้จักพระพุทธศาสนาแล้วกลับไม่ได้พยายามที่จะเดินให้ใกล้เป้าหมายขึ้นอีกสักนิด สำหรับผม ผมขอค่อยๆ เดินไปเรื่อยตามกำลัง พยายามทำทุกๆ วัน ทุกๆ ขณะ เท่าที่ทำได้ เรียกว่า นิพพานเป็นเป้าหมาย แต่ใส่ใจอยู่กับปัจจุบัน ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด
ผมหมายความอย่างที่พี่picatos บอกแหละครับ
คือ ผมแค่รู้สึกว่า ชีวิตคืออะไร ผมหาคำตอบไม่ได้ ตอนนี้ผมมีความสุข แล้วไง บางครั้งก็มีความทุกข์อืมม แล้วไง ไม่รู้ว่า มีความสุขไปทำไม มีความทุกข์ไปทำไม ผมรู้สึกมันเหมือนเป็นวังวนอะไรบางอย่าง ที่หาความหมายแท้จริงไม่ได้ เป็นเพียงมายา อย่างที่พระพุทธเจ้าตรัส
มีอิสรภาพทางการเงินปั๊ป อืมม ทำอะไร ทำสิ่งดีๆ ช่วยเหลือผู้อื่นๆ ว่างมากขึ้น เอาเวลาไปทำสิ่งที่ตนอยากทำมากขึ้น แล้วไงต่อ... แล้วต่างกับคนที่ก็เอาเวลาไปหาเงิน ตรงไหน?? คือหมายถึง ไม่ต่างกัน ตรงที่ว่า อยู่ไปเพื่อจะใช้เวลาให้หมดไปเรื่อยๆ โอเคอาจจะแฮปปี้มากกว่าคนที่หาเช้ากินค่ำ... แล้วไงต่อ??? เอาเวลาไปทำสิ่งที่อยากทำ ถ้าสิ่งที่อยากทำคือทางโลก ทำไปสักพัก ก็เบื่อ เบื่อก็เปลี่ยน เปลี่ยนอีกก็เบื่ออีก เบื่ออีกก็เปลี่ยนอีก ผมไม่รู้สึกถึงความหมายของสิ่งเหล่านี้เลย เป็นเพียงมายาของจิตใจที่เราๆสร้างขึ้นมาเองทั้งนั้น
ผมก็ไม่รู้ว่า นิพพาน มีอยู่จริงมั้ย แต่ถ้ามีจริง คือ ดับสูญไปเลย จิตเราหลุดออกจากวังวนที่ไร้ความหมายนี้ได้.... ผมคิดนะ ว่าถ้าผมหมดห่วงทางโลกแล้วสักวันผมก็อยากจะหาทางดับหายไป ไม่ต้องหลุดมาอยู่ในวังวนนี้อีก คงมีแต่การปฏิบัติธรรมทางพระพุทธศาสนาเท่านั้นมั้งที่จะทำให้เกิดสิ่งนี้ได้...

Re: หลังจากมีอิสรภาพทางการเงินแล้ว ชีวิตเป็นอย่างไรกันบ้างคร

โพสต์แล้ว: อังคาร มี.ค. 27, 2012 11:01 am
โดย sakkaphan
วรรคสุดท้ายพูดผิดไปหน่อย.... คงมีแต่การปฏิบัติธรรมทางพระพุทธศาสนาเท่านั้นมั้งที่จะทำให้
ไม่เกิด
ไม่ดับ
ไม่มี

Re: หลังจากมีอิสรภาพทางการเงินแล้ว ชีวิตเป็นอย่างไรกันบ้างคร

โพสต์แล้ว: อังคาร มี.ค. 27, 2012 11:41 am
โดย pairote
แต่งงาน แล้วมีลูกซักคนสิครับ ผมว่าคุณจะมีอะไรทำอีกเยาะเลย :mrgreen:

Re: หลังจากมีอิสรภาพทางการเงินแล้ว ชีวิตเป็นอย่างไรกันบ้างคร

โพสต์แล้ว: อังคาร มี.ค. 27, 2012 11:59 am
โดย picatos
sakkaphan เขียน:
picatos เขียน:
sakkaphan เขียน:มีพี่ๆท่านไหนคิดถึงเรื่อง นิพพาน บ้างมั้ยครับ ถามจริงๆนะครับ
นิพพาน คือ อะไรครับในความหมายของพี่ sakkaphan?

สำหรับผม นิพพาน คือ สภาวะที่ประหารกิเลสได้หมดแล้ว ไม่เหลือ โลภะ โทสะ โมหะ เลยทำให้ไม่มีเชื้อในการที่ต้องไปเกิดอีก ซึ่งตามความหมายของคำว่านิพพานก็คือ เทียนที่ดับลง ดังนั้นสำหรับผมคำว่านิพพานก็เป็นแค่สภาวะหนึ่งๆ ที่ถูกสร้าง ถูกสั่งสม ด้วยความเพียรพยายาม ในการที่จะค่อยๆ ขัดเกลากิเลสในใจของเรา ให้เบาบางลงๆ เหลือน้อยลงๆ จนกระทั่งกิเลสปราศจากไปจากใจ

ดังนั้นสำหรับผมคำว่านิพพานไม่ใช่ถ้วยรางวัล ป้ายชื่อ ตำแหน่ง อะไร มันก็แค่เป้าหมายของคนที่พยายามขัดเกลาตนเองที่พยายามเดินไป ซึ่งทางที่เดินไปนี่มันช่างไกลแสนไกล แล้วเราก็ไม่รู้หรอกว่าวันไหนจะถึงมัน จะรีบวิ่งไปก็อาจจะหมดแรง ท้อใจไปเสียก่อน จะมัวเอ้อละเหยก็รู้สึกเสียดายเวลาที่มีโอกาสได้เกิดเป็นมนุษย์ ได้รู้จักพระพุทธศาสนาแล้วกลับไม่ได้พยายามที่จะเดินให้ใกล้เป้าหมายขึ้นอีกสักนิด สำหรับผม ผมขอค่อยๆ เดินไปเรื่อยตามกำลัง พยายามทำทุกๆ วัน ทุกๆ ขณะ เท่าที่ทำได้ เรียกว่า นิพพานเป็นเป้าหมาย แต่ใส่ใจอยู่กับปัจจุบัน ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด
ผมหมายความอย่างที่พี่picatos บอกแหละครับ
คือ ผมแค่รู้สึกว่า ชีวิตคืออะไร ผมหาคำตอบไม่ได้ ตอนนี้ผมมีความสุข แล้วไง บางครั้งก็มีความทุกข์อืมม แล้วไง ไม่รู้ว่า มีความสุขไปทำไม มีความทุกข์ไปทำไม ผมรู้สึกมันเหมือนเป็นวังวนอะไรบางอย่าง ที่หาความหมายแท้จริงไม่ได้ เป็นเพียงมายา อย่างที่พระพุทธเจ้าตรัส
มีอิสรภาพทางการเงินปั๊ป อืมม ทำอะไร ทำสิ่งดีๆ ช่วยเหลือผู้อื่นๆ ว่างมากขึ้น เอาเวลาไปทำสิ่งที่ตนอยากทำมากขึ้น แล้วไงต่อ... แล้วต่างกับคนที่ก็เอาเวลาไปหาเงิน ตรงไหน?? คือหมายถึง ไม่ต่างกัน ตรงที่ว่า อยู่ไปเพื่อจะใช้เวลาให้หมดไปเรื่อยๆ โอเคอาจจะแฮปปี้มากกว่าคนที่หาเช้ากินค่ำ... แล้วไงต่อ??? เอาเวลาไปทำสิ่งที่อยากทำ ถ้าสิ่งที่อยากทำคือทางโลก ทำไปสักพัก ก็เบื่อ เบื่อก็เปลี่ยน เปลี่ยนอีกก็เบื่ออีก เบื่ออีกก็เปลี่ยนอีก ผมไม่รู้สึกถึงความหมายของสิ่งเหล่านี้เลย เป็นเพียงมายาของจิตใจที่เราๆสร้างขึ้นมาเองทั้งนั้น
ผมก็ไม่รู้ว่า นิพพาน มีอยู่จริงมั้ย แต่ถ้ามีจริง คือ ดับสูญไปเลย จิตเราหลุดออกจากวังวนที่ไร้ความหมายนี้ได้.... ผมคิดนะ ว่าถ้าผมหมดห่วงทางโลกแล้วสักวันผมก็อยากจะหาทางดับหายไป ไม่ต้องหลุดมาอยู่ในวังวนนี้อีก คงมีแต่การปฏิบัติธรรมทางพระพุทธศาสนาเท่านั้นมั้งที่จะทำให้เกิดสิ่งนี้ได้...
ในทุกข์ก็มีสุข ในสุขก็มีทุกข์ ... ถ้าไปดูชีวิตคนจนที่ใช้ชีวิตเหนื่อยยาก ลำบากกาย ลำบากใจ ในความทุกข์ที่เค้าเผชิญอยู่ ก็มีสุขอยู่ ... ในขณะที่คนที่มีชีวิตแสนสุข มีเงิน มีเวลา มีครอบครัวที่ดี มีสังคมที่ดี มีความสุขอยู่เยอะ แต่ในสุขก็มีทุกข์อยู่ เพราะ จริงๆ แล้ว สุข กับ ทุกข์ มันก็คือสิ่งเดียวกัน เมื่อทุกข์ดับไปก็เกิดความสุขขึ้น และเมื่อสุขมันดับไปก็เกิดความทุกข์ขึ้น พระพุทธเจ้า จึงคืนความสุขให้กับความทุกข์ไป ซึ่งเป็นหนทางที่จะพบกับความสุขที่แท้จริง

ถามว่าสุขไปทำไม ทุกข์ไปทำไม ก็เหมือนกับย้อนถามกลับไปที่ว่าเราเกิดมาทำไม ซึ่งดูเหมือนเป็นคำถามที่ไม่รู้จะหาคำตอบยังไง และไม่รู้ว่าจะหาคำตอบไปทำไมเหมือนกัน... แต่สำหรับผม ผมคิดว่า ก็ตั้งคำถามแบบนี้มันก็ดีและเป็นประโยชน์ตรงที่ เรากำลังพยายามมองภาพใหญ่ของชีวิตเราอยู่ เหมือนกับการลงทุนที่ควรที่จะให้ความสำคัญกับภาพใหญ่ ซึ่งถ้าเราเห็นภาพใหญ่ที่ถูก เราก็เลือกทางเดินที่ถูก

โดยภาพใหญ่ผมคิดว่า คนแต่ละคนก็ใช้ชีวิตไปเพื่อแสวงหาความสุข หลีกหนีความทุกข์ ซึ่งความสุขและทุกข์ของแต่ละคนก็ช่างซับซ้อนตามประสบการณ์ ระดับปัญญา และจริตของคนแต่ละคนเหลือเกิน บางครั้งเรายอมทุกข์ในวันนี้เพื่อสุขในวันหน้า บางครั้งเรากลับตักตวงความสุขที่อยู่ตรงหน้า โดยไม่เห็นไปถึงความทุกข์ที่เกิดขึ้นกับคนอื่นและตัวเองในวันข้างหน้า ซึ่งสำหรับผมการปฏิบัติธรรม คือ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ในการที่จะเข้าไปสังเกตการเกิดขึ้นของความสุขและทุกข์ของเรา เพื่อที่จะได้เข้าถึงความจริงว่าอะไรคือเหตุปัจจัยของมัน ลักษณะของมันเป็นอย่างไร ผลกระทบต่อเนื่องจากกระบวนการต่างๆ เป็นอย่างไร เพื่อที่จะได้เข้าใจคำว่า สุขและทุกข์ ได้มากยิ่งขึ้น

ดังนั้นผมจึงไม่คิดว่าสิ่งเหล่านี้จะเป็นเหมือนวังวนที่เราไม่สามารถหาคำตอบได้ เพราะ เมื่อเราสังเกตการเกิดขึ้นของสุขและทุกข์ได้มากยิ่งขึ้น เห็นกระบวนการสืบทอดต่อเนื่องกันเป็นทอดๆ และทำความเข้าใจมันได้มากขึ้นเรื่อยๆ เราก็จะสามารถบริหารจัดการมันได้ดีขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งในการบริหารจัดการความสุขและทุกข์ในอีกมุมหนึ่งก็คือการขัดเกลากิเลสของตนนั่นเอง เพราะ จริงๆ แล้วกิเลสนั้นเป็นเหตุแห่งทุกข์ การจะจัดการให้ทุกข์น้อยลงๆ ก็คือการขัดเกลากิเลส ดังนั้นเมื่อเราเข้าใจกระบวนการเกิดของทุกข์มากขึ้นเรื่อยๆ ใจของเราก็จะสอนใจของเราเองให้รู้จักที่จะดับเหตุแห่งทุกข์ ผลที่ตามมาก็คือ ทุกข์ต่างๆ ที่ผ่านเข้ามากระทบกับเราก็จะน้อยลงๆ กิเลสก็ถูกขัดเกลาให้น้อยลงๆ จนหมดสิ้น ซึ่งมาพร้อมกับการดับสนิทแห่งทุกข์ ซึ่งมองในอีกมุมหนึ่งก็คือสภาวะที่บรมสุข หรือเรียกว่า นิพพาน นั่นเอง

และถึงแม้ว่าเราจะยังเดินไปไม่ถึงสุดทาง แต่ในกระบวนการระหว่างทางเดินของเราใจของเราก็จะเบาขึ้นทุกวันๆ วันนี้จะเป็นวันที่สุขมากกว่าเมื่อวาน และพรุ่งนี้ก็จะมีความสุขมากกว่าวันนี้ จิตที่ฝึกมาดีแล้ว ก็พร้อมที่จะเผชิญกับ ปัญหา อุปสรรค รวมไปถึงทุกข์ต่างๆ ที่เข้ามาในวันพรุ่งนี้ ดังนั้นผมจึงไม่เคยตั้งเป้า คาดคั้น เอาเป็นเอาตายที่จะต้องไปถึงเท่านู้น เท่านี้ แค่ผมพยายามทำให้วันนี้ดีกว่าเมื่อวาน ผมก็โอเคแล้ว

หลังๆ ผมก็เลยไม่ค่อยเบื่อนะ เวลาต้องทำสิ่งต่างๆ เพราะ เวลาเบื่อ เราก็เข้าใจมันว่า มันก็เป็นอารมณ์นึงที่เกิดขึ้นตั้งอยู่แล้วก็ดับไป เลยอยู่กับมัน นั่งดูมัน เหมือนกับมันเป็นเพื่อน แล้วก็เรียนรู้มันในแง่มุมต่างๆ สุดท้าย เวลาเบื่อผมก็เลยไม่เปลี่ยนไปทำอะไรอย่างอื่น เวลาผมเบื่อ ผมก็จะนั่งดูความเบื่อ และก็ทำความเข้าใจมัน ว่ามันก็แค่อารมณ์หนึ่ง ที่มีลักษณะเด่นที่แตกต่างจากอารมณ์อื่นๆ... แค่นั้น แล้วเราก็จะอยู่กับปัจจุบันได้ดีขึ้นเรื่อยๆ

Re: หลังจากมีอิสรภาพทางการเงินแล้ว ชีวิตเป็นอย่างไรกันบ้างคร

โพสต์แล้ว: อังคาร มี.ค. 27, 2012 12:17 pm
โดย sakkaphan
อยู่กับปัจจุบันให้ดีที่สุดเหรอครับ

จะว่าไป ตอนเด็กๆนี่ ผมรู้สึกว่ามีความสุขมากกว่าตอนโต.... อาจจะเพราะเหตุนี้ก็ได้ ตอนเด็ก เราไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่า อาว เข้าเรียน เรียนเสด เพื่อนชวนเตะบอล ไปๆๆเตะๆ เตะเสดกินข้าว อาวค่ำแล้ว นอน ตื่นมา อาวต้องไปโรงเรียนแล้ว ไป .....
คงเพราะตอนเด็กๆนี่ อยู่กับปัจจุบัน มากกว่ามั้งครับ ผมเลยรู้สึกว่ามีความสุขมากกว่าตอนโต

ผมว่า ผมคงไม่รอให้รวยจากการลงทุนก่อนแล้วค่อยทำ แล้วละครับ.... ผมคงต้องลองทำดูมั่ง ตั้งแต่ตอนนี้เลย.....

Re: หลังจากมีอิสรภาพทางการเงินแล้ว ชีวิตเป็นอย่างไรกันบ้างคร

โพสต์แล้ว: อังคาร มี.ค. 27, 2012 1:29 pm
โดย Tibular
sakkaphan เขียน:
picatos เขียน:
sakkaphan เขียน:มีพี่ๆท่านไหนคิดถึงเรื่อง นิพพาน บ้างมั้ยครับ ถามจริงๆนะครับ
นิพพาน คือ อะไรครับในความหมายของพี่ sakkaphan?

สำหรับผม นิพพาน คือ สภาวะที่ประหารกิเลสได้หมดแล้ว ไม่เหลือ โลภะ โทสะ โมหะ เลยทำให้ไม่มีเชื้อในการที่ต้องไปเกิดอีก ซึ่งตามความหมายของคำว่านิพพานก็คือ เทียนที่ดับลง ดังนั้นสำหรับผมคำว่านิพพานก็เป็นแค่สภาวะหนึ่งๆ ที่ถูกสร้าง ถูกสั่งสม ด้วยความเพียรพยายาม ในการที่จะค่อยๆ ขัดเกลากิเลสในใจของเรา ให้เบาบางลงๆ เหลือน้อยลงๆ จนกระทั่งกิเลสปราศจากไปจากใจ

ดังนั้นสำหรับผมคำว่านิพพานไม่ใช่ถ้วยรางวัล ป้ายชื่อ ตำแหน่ง อะไร มันก็แค่เป้าหมายของคนที่พยายามขัดเกลาตนเองที่พยายามเดินไป ซึ่งทางที่เดินไปนี่มันช่างไกลแสนไกล แล้วเราก็ไม่รู้หรอกว่าวันไหนจะถึงมัน จะรีบวิ่งไปก็อาจจะหมดแรง ท้อใจไปเสียก่อน จะมัวเอ้อละเหยก็รู้สึกเสียดายเวลาที่มีโอกาสได้เกิดเป็นมนุษย์ ได้รู้จักพระพุทธศาสนาแล้วกลับไม่ได้พยายามที่จะเดินให้ใกล้เป้าหมายขึ้นอีกสักนิด สำหรับผม ผมขอค่อยๆ เดินไปเรื่อยตามกำลัง พยายามทำทุกๆ วัน ทุกๆ ขณะ เท่าที่ทำได้ เรียกว่า นิพพานเป็นเป้าหมาย แต่ใส่ใจอยู่กับปัจจุบัน ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด
ผมหมายความอย่างที่พี่picatos บอกแหละครับ
คือ ผมแค่รู้สึกว่า ชีวิตคืออะไร ผมหาคำตอบไม่ได้ ตอนนี้ผมมีความสุข แล้วไง บางครั้งก็มีความทุกข์อืมม แล้วไง ไม่รู้ว่า มีความสุขไปทำไม มีความทุกข์ไปทำไม ผมรู้สึกมันเหมือนเป็นวังวนอะไรบางอย่าง ที่หาความหมายแท้จริงไม่ได้ เป็นเพียงมายา อย่างที่พระพุทธเจ้าตรัส
มีอิสรภาพทางการเงินปั๊ป อืมม ทำอะไร ทำสิ่งดีๆ ช่วยเหลือผู้อื่นๆ ว่างมากขึ้น เอาเวลาไปทำสิ่งที่ตนอยากทำมากขึ้น แล้วไงต่อ... แล้วต่างกับคนที่ก็เอาเวลาไปหาเงิน ตรงไหน?? คือหมายถึง ไม่ต่างกัน ตรงที่ว่า อยู่ไปเพื่อจะใช้เวลาให้หมดไปเรื่อยๆ โอเคอาจจะแฮปปี้มากกว่าคนที่หาเช้ากินค่ำ... แล้วไงต่อ??? เอาเวลาไปทำสิ่งที่อยากทำ ถ้าสิ่งที่อยากทำคือทางโลก ทำไปสักพัก ก็เบื่อ เบื่อก็เปลี่ยน เปลี่ยนอีกก็เบื่ออีก เบื่ออีกก็เปลี่ยนอีก ผมไม่รู้สึกถึงความหมายของสิ่งเหล่านี้เลย เป็นเพียงมายาของจิตใจที่เราๆสร้างขึ้นมาเองทั้งนั้น
ผมก็ไม่รู้ว่า นิพพาน มีอยู่จริงมั้ย แต่ถ้ามีจริง คือ ดับสูญไปเลย จิตเราหลุดออกจากวังวนที่ไร้ความหมายนี้ได้.... ผมคิดนะ ว่าถ้าผมหมดห่วงทางโลกแล้วสักวันผมก็อยากจะหาทางดับหายไป ไม่ต้องหลุดมาอยู่ในวังวนนี้อีก คงมีแต่การปฏิบัติธรรมทางพระพุทธศาสนาเท่านั้นมั้งที่จะทำให้เกิดสิ่งนี้ได้...


นิพพานเป็นคำสมมติเท่านั้นเองคับ

ท่านสอนให้เราฝึกจิตใจตัวเอง ให้รู้จักสิ่งต่างๆ ทั้งดีและไม่ดี
พอแยกแยะได้แล้ว เห็นความเป็นไปของมัน ทั้งรูปธรรม นามธรรม
สิ่งต่างๆเกิดขึ้นด้วยเหตุ หมดไปก็ด้วยเหตุหมดไป (แต่บางทีก็ไม่หมดตรงๆ
มันไม่เป็นเส้นตรงคับ เพราะสิ่งต่างๆมันก็เปลี่ยนแปลงไปของมัน
มันจึงซับซ้อนขึ้นๆ ถึงมีคนบอกว่า ทำดีไม่เห็นได้ดี ทำชั่วได้ดีมีถมไป)

สิ่งต่างๆ เป็นเหตุเป็นผลของกันและกัน อย่างเราๆไม่ได้ออกบวช
แต่ก็นำหลักท่านมาใช้ได้ อยากเก่ง อยากเข้าใจอะไร
ก็ต้องเสาะแสวงหาครู ตำรา ทดลอง ปฏิบัติ
และทำให้ถึงที่สุด ส่วนผลจะออกมาเป็นไง ได้ดังใจเราไหม
ก็อีกเรื่องนึง แต่เราได้ทำแล้ว ผลนั้นเราก็รู้เองแล้ว
จริงๆตัวแปรมันเยอะ สิ่งต่างๆก็เปลียนแปลง การจะทำอะไร
จึงต้องมุ่งมั่น และมีการแก้ไขตลอดเวลา จึงจะประสบผลสำเร็จ

ถ้าเราทำได้ถึงอย่างนี้ เราก็จะไม่หลง ไม่ติดกับอะไรๆที่ไม่มีเหตุผล
ความหลง ความติดนี่ละคับ มันเห็นยาก เข้าใจยาก
เลยต้องมีการปฏิบัติ ที่ท่านว่าให้ละเสีย ความหลง ความติดนั้น
พอทำไปนานๆ มันก็หมดเชื้อไปเอง เพราะเราไม่ติดและ ไม่ติดก็ดับเท่านั้นเอง
นั่นก็เกิดนิพพานน้อยๆแล้วคับ สำหรับเราๆที่ยังทำการทำงานเลี้ยงชีวิตกัน

ทีนี้ปฏิบัติยังไง ก็แล้วแต่ละคับ อินเวิด (ยืมคุณ humdrum) ดูลมหายใจ สติปัฏฐาน
(ฝึกสติ ดูกาย รู้อารมณ์ ทันความคิด เห็นความเป็นจริง)
ท่านติช นัท ฮันท์ ก็ว่า ปฏิบัติเพื่อการไม่ปฏิบัติ ทำได้หมด ขอให้ทำไปเรื่อยๆ


และถ้าอยากเข้าใจชีวิตให้มากขึ้น ก็ไปหาหนังสืออ่านเลยคับ เยอะมากมาย
ไล่ตั้งแต่ เรื่องเซลล์ เรื่องวิวัฒนาการ กำเนิดโลก กำเนิดจักรวาล
เรียกว่าไปศึกษาเลยคับ ตั้งแต่สิ่งเล็กสุด ยันใหญ่สุด ต่อด้วย เรื่องของ
วิวัฒนาการของมนุษย์ ร่างกายมนุษย์ การเปลี่ยนแปลงทางสังคม เศรษฐกิจ
ก็จะได้ภาพชัดเจนของพวกเรา "มนุษย์โลก" แล้วก็มาเทียบกับคำสอนของพระพุทธเจ้า

แล้วจะเข้าใจ และซาบซึ้งกับการได้เกิดมาเป็นมนุษย์ และมีชีวิตอยู่ตอนนี้

Re: หลังจากมีอิสรภาพทางการเงินแล้ว ชีวิตเป็นอย่างไรกันบ้างคร

โพสต์แล้ว: อังคาร มี.ค. 27, 2012 3:24 pm
โดย ichbinpao
ผมว่าพี่มีความสุขกว่าหลายคนนะครับรวมถึงตัวผมที่ยังไม่ถึงจุดนั้น แต่ก็คิดว่าซักวันก็คงไปถึงจุดนั้น เรื่องสุขทางใจผมว่ามันอยู่ที่ตัวเรากับสภาพแวดล้อมและวัยด้วยนะครับ ผมเชื่ออย่างนึงว่าเราอาจจะมีอามารณ์เซ็งหรือเบื่อหรือไม่พอบ้าง แต่เมื่อเวลาผ่านไปเราก็จะหายเบื่อเองละครับ ลองมองรอบตัวๆหรือเปลี่ยน lifestyle บ้างแล้วผมเชื่อว่าเราจะมีความสุขมากขึ้นกว่าเดิมครับ
kriangsak76 เขียน:สืบเนื่องจากกระทู้ของพี่ dome@perth ที่เอ่ยถึงการตั้งเป้าหมายที่จะ เกษียณ และขนาดของพอร์ต ผมได้อ่านเมื่อสองปีที่แล้ว

http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=1&t=36838

ต้องขอบคุณกระทู้ของพี่ dome จริงๆ ที่ช่วยจุดประเด็นให้ผมครับ ในกระทู้ของพี่โดม ก็มักจะเห็นนักลงทุนใหม่ๆ เข้ามาเยอะ แล้วก็ตั้งปณิธานอันแรงกล้าบ้าง หรือแบบพอเพียงบ้าง ตามแต่พื้นฐานของแต่ละคน

ตอนที่อ่านนั้น ผมตระหนักได้ว่า เราต้องตั้งเป้าหมายในชีวิตว่า ขั้นต่ำนั้น เราจะต้องมีผลตอบแทนซักเท่าไหร่ต่อเดือน เพื่อจะเลี้ยงชีพได้ และเพื่อที่จะได้มีอิสรภาพทางการเงิน เพราะเสมือนว่าอิสรภาพฯ นั้น มันเป็นเป้าหมายสุดท้ายในชีวิตไปแล้ว

ผมเป็นคนโสดที่ค่อนข้างเรียบง่ายซักหน่อยครับ ชอบแบบพอเพียง ผมก็เลยตั้งตัวเลขขึ้นมาแบบมนุษย์เงินเดือนทั่วไปน่าจะทำได้ ตอนแรก ก็อยู่ที่ 35,000 บาทต่อเดือน พอถึงแล้ว ก็กลายเป็นว่า ผมก็ขยายขนาดของเป้าหมายไป 40,000 ไป 50,000 บาทต่อเดือน

เอาแล้วสิ.... พอถึง(อีก)แล้ว ผมก็ปรับเป้าไปเรื่อยๆ เป้ามันเริ่มโตไม่หยุดครับ แต่ตรงนี้ มันคงไม่ใช่ประเด็นน่ะสิครับ เพราะผมก็เริ่มตระหนักกับปัญหาอีกอันที่ว่า เราอาจจะมีอิสรภาพทางการเงินแต่กลับติดกับดักอิสรภาพทางใจแทน แล้วมีพี่คนใดบ้างไหม๊ ที่มีอิสรภาพฯ แล้ว แต่ปรากฏว่า กลับยังไม่พบอิสรภาพทางใจบ้างไหม๊ครับ

คือ ผมเจอสภาวะที่ว่า เรามีเวลามากมายเหลือเกิน (งานที่ทำเริ่มรู้สึกว่าไม่ชอบ แต่มีเวลาเยอะน่ะครับ แม้ว่าเงินเดือนไม่เยอะ:D แต่ผมยังต้องทำงานนี้ต่อไปด้วยเหตุผลบางประการ) เวลาอาจจะมากเกินไปจนเราไม่รู้จะเอาเวลาเหล่านั้นไปทำอะไร พี่ๆบางท่านอาจจะมีสิ่งที่อยากทำมากมาย (โดยเฉพาะพี่ๆที่มีครอบครัว มีลูก) แต่สำหรับคนโสดนั้น กลายเป็นว่า มีเวลาเหลือเกินจำเป็น เพื่อนๆส่วนใหญ่ก็ยังทำงานประจำ กลายเป็นว่าเรามีเวลาแต่เพื่อนๆไม่มีเวลาและเพื่อนๆก็ยังมีครอบครัว ถ้าไม่มีโอกาสพิเศษจริงๆ คงเจอกันยากครับ

ตอนนี้ ผมก็ทำงานไปเพื่อจะได้มีอะไรทำบ้างและมีสังคมด้วย ออกกำลังกายเรื่อยๆ สัปดาห์ละ ๓-๔ ครั้งถ้ามีโอกาส อย่างน้อยก็ทำให้ร่างกายแข็งแรงและใช้เวลาไปได้ครั้งละ ๒ ชั่วโมง

ผมจึงอยากจะขอสอบถามพี่ๆ ที่มีอิสรภาพทางการเงินเรียบร้อยแล้ว (โดยเฉพาะพี่ๆที่เป็นคนโสด แต่พี่ที่มีครอบครัวก็ช่วยแนะนำได้ครับ ถือว่าแนะนำน้องคนนี้ซักหน่อยครับ)

หลังจากมีอิสรภาพฯ แล้ว ชีวิตเป็นอย่างไรบ้าง หรือว่าเบื่อหน่ายบ้างไหม๊กับเวลาที่ว่างมากๆ หรือว่าอยากกลับไปทำงานที่เราเคยรู้สึกว่าน่าเบื่อบ้างไหม๊ แล้วพี่ๆ มีการบริหาร/การจัดการเวลากันอย่างไรบ้างครับ ถือว่าแชร์ๆกันครับ

ปูลม อาจจะยาวซักหน่อย และก็ดูวกวนไปบ้าง ก็ขออภัยนะครับ :bow:

Re: หลังจากมีอิสรภาพทางการเงินแล้ว ชีวิตเป็นอย่างไรกันบ้างคร

โพสต์แล้ว: อังคาร มี.ค. 27, 2012 4:01 pm
โดย kriangsak76
เห็นพี่ๆ เข้าประเด็นธรรมะกัน ได้อ่านแล้วก็ทราบได้ว่าพี่ๆก็เคยปฏิบัติกันมาแล้วด้วยน่ะครับ :D :D :D ส่วนตัวผมเองได้เพียงเปลือกๆเท่านั้นครับ ใจผมก็อยากจะไปศึกษาและปฏิบัติด้วยตัวเองซักครั้ง รอโอกาสที่เหมาะสมครับ คาดว่าจะเป็นปลายปีนี้ น่าจะหาเวลาได้ครับ

ผมก็เลยเอาเวบ เสียงธรรม มาฝากครับ
http://www.fungdham.com/sound/sound.html
เผื่อพี่ๆ เพื่อนๆ ท่านใดสนใจใฝ่ศึกษาครับ

อย่างที่พี่คลายเครียดกล่าวไว้ เมื่อเรามีอิสรภาพฯแล้ว เราก็ใช้ชีวิตทางกายได้สะดวกสบายขึ้นตาม MOS แต่ทางใจนั้น สุดท้าย ความสุขความทุกข์ก็ยังเหมือนเดิม มนุษย์เราก็คงต้องแบ่งเวลามาศึกษาธรรมะ คงไม่ถึงระดับหลุดพ้นจากบ่วงกรรมหรือวัฎสังสารได้ แต่ทำให้จิตใจเราดีขึ้น ผ่องใสขึ้น น่าจะดีเพียงพอแล้วสำหรับผมครับ

Re: หลังจากมีอิสรภาพทางการเงินแล้ว ชีวิตเป็นอย่างไรกันบ้างคร

โพสต์แล้ว: อังคาร มี.ค. 27, 2012 10:03 pm
โดย wyn
เป็นกระทู้ที่ดีนะครับ ยังโสดอยู่ ถ้าได้บวชซักพรรษาก็ดีครับ

Re: หลังจากมีอิสรภาพทางการเงินแล้ว ชีวิตเป็นอย่างไรกันบ้างคร

โพสต์แล้ว: อังคาร มี.ค. 27, 2012 10:41 pm
โดย chinn
อาทิตย์ที่ผ่านมาได้คุยกับผู้รู้หลายท่าน

และได้นำสิ่งที่ตนเองทำผ่านมา มาพิจารณา เลยอยากเข้ามาแชร์ครับ

ผมเกิดไอเดียถึงขออนุญาติเรียกว่าความสุข 3 stage ครับ

1 ช่วงเอาสุขเข้าตัว ช่วงออกจากงานใหม่ๆ ผมทำทุกสิ่งที่เคยอยากทำหรือฝันว่าจะมีก่อนเกษียณ

ไม่ว่าจะเป็น finess ออกรถคันแรก ออกมาอยู่คอนโด ไปเที่ยวต่างจังหวัด ไปเที่ยงต่างประเทศ หาอาหารหรูๆทาน

ทำวนเวียนแบบนี้ วันๆ นั่งถามตัวเองว่าอยากทำอะไรอีก ทำตามความอยากไปเรื่อยๆ

ทำไปเรื่อยๆ สักระยะ ผมเริ่มเห็นว่าความสุข มันเกิดขึ้นตอนที่กำลังได้ พอได้ก็เริ่มเป็นความเคยชิน

และสุดท้ายกลายเป็นความเบื่อ และวิ่งหาสิ่งใหม่ๆไปเรื่อยๆ

เลยเริ่มเห็นละว่ามันไม่ใช่ความสุขที่แท้จริง เลยมาเริ่ม stage 2

ซึ่งได้คุยกับผู้รู้ท่านบอกว่า ลูกเศรษฐีในตปท ที่อยู่ stage นี้

แล้วหาทางไปต่อไม่ได้ก็หลงไปใช้ยาเสพย์ติดเพื่อแก้เบื่อจนชีวิตตกต่ำก็มีมาก

2 ช่วงสร้างสุขให้ผู้อื่นเพื่อให้ตนเองสุข

หลังจากผ่านช่วงแรกจนเบื่อ

ผมเดิมมีความสุขเวลาได้ทำให้ผู้อื่นมีความสุข หรือได้รับการยอมรับจากผู้อื่น

เลยคิดว่าได้เวลาทำประโยชน์ให้กับผู้อื่นบ้าง

เช่น สอนผู้อื่นลงทุน วางแผนบริหารเงิน แนะนำหุ้นให้ผู้อื่น

ทำไปเรื่อยๆ เริ่มพบว่า มันก็เป็นสุขที่ เจือทุกข์

เช่น เราหวังให้ทุกคนที่เราอยากให้มีความสุขมากขึ้น แต่บางครั้งก็ยากเกินกว่าจะทำได้ จนเราเหนื่อยใจ

ในบางครั้ง เขากลับมองเจตนาเราร้ายด้วยซ้ำไป ว่าหลอกให้ซื้อหุ้น ตนเองจะได้ขายดังเช่น ที่พี่ๆในห้องหลายคนโดนๆกัน

สุดท้ายเลยเริ่ม ยึดหลักพรหมวิหาร 4 โดยวางอุเบกขา

หรือปล่อยวางนั่นเอง คือทำแล้ววาง แนะนำคนแล้วปล่อย ทำไปเรื่อยๆ จึงเริ่ม stage 3

3 ช่วงเลิกวิ่งตามสุข หลังจากที่เริ่มเรียนรู้ว่าเราต้องวางอุเบกขา

เราเลยเริ่มนั่งสมาธิบ้าง วิปัสสนาแห้งบ้าง ศึกษาธรรมบ้าง ก็เริ่มเข้าใจว่าสัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม

เรามีเจตนาเป็นกรรม มีเจตนาเป็นเหตุ ส่วนชีวิตเป็นผลของกรรม

สิ่งทั้งหลายล้วนเป็นของโลก เป็นแค่ธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ ตายไปเอาไปไม่ได้สักอย่าง

อย่าไปอินกับมันมาก ไม่กี่ปีก็ตายแน่ จากนั้นผมก็เริ่มภาวนาว่าตายแน่ ตายแน่ เป็นหลัก

ผมว่าใจเริ่มเบาขึ้น สบายขึ้น แต่คงยังไม่มีอิสระภาพทางจิตใจอย่างสมบูรณ์

แต่ผมมั่นใจว่าผมในปี้นี้มีความสุขแท้กว่าปีที่แล้วแน่นอนครับ