Thai Value Investor การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุน VI หุ้นวีไอ Webboard

Thai VI Most Popular Portfolio Return

ผมได้ทดลองดูว่าถ้าซื้อหุ้นตามอันดับความนิยมชอง Thaivi แล้วจะเป็นอย่างไร
โดยเลือกหุ้นจากหุ้นที่มี Replies สูงสุดในร้อยคนร้อยหุ้นปัจจุบัน แล้วทำการจัดพอร์ต เหมือนกับว่าซื้อหุ้นตั้งแต่ปลายปี 2010

ผลที่ได้เป็นดังนี้ครับ



หมายเหตุ
1. เป็นการจัดพอร์ตย้อนหลังจากข้อมูลปัจจุบัน ถ้าต้องการทดสอบจริงควรเป็นข้อมูล Replies เมื่อตอนเริ่มพอร์ตครับ
2. ไม่ได้รวมเงินปันผล
3. ถ้าอ่านในแต่ละตัวบ้าง อาจจะตัดบางตัวทิ้งได้เพราะพอร์ตจัดตาม popularity ซึ่งความเห็นแย้งก็จะรวมอยู่ในจำนวนการตอบด้วย
4. วันที่ 27 มีค 2012 เป็นวันที่ SET เป็น new high ในรอบหลายปี แต่ในสิบอันดับที่เลือก น่าจะมีเพียงแค่ CPALL เท่านั้นที่เป็น new high

คิดเล่นๆครับ

รูปไม่ขึ้นอ่ะ

http://imageshack.us/photo/my-images/40 ... pular.png/

ว้าว

ลองคิดในแง่ว่าหุ้นทีี replies น้อยกว่าที่เห็นในนี้ เพราะเข้าตลาดทีหลังชาวบ้านก็เป็นไปได้นี่ครับ
พี่ครรชิต พยายามช่วยนำร่องแต่ละหน้า ราวกลางปี 2004

หุ้น ABC เข้าตลาด ถ้าพร้อมกับ หุ้น BCDE วันเดียวกันปีเดียวกัน สมมติ 3 มกรา 2005 ถ้าจะห่างกันสักแค่สัก 2-3 reply pages ก็ตัดสินคร่าวๆ ได้

แต่ไปเจอหุ้น XYZ เข้าตลาดปี 2009 แม้จะน้อยกว่าสัก 2-3 หน้า แต่จะบอกว่านิยมน้อยกว่าจะเห็นว่ารู้สึกได้ชัดเจน ว่ามาตรฐานการวัดเริ่มชวนสงสัย XYZ เพราะเข้าตลาดหลังหลายปี ก่ีอนหน้าไม่มีอะไรให้เปรียบเทียบ




ผมว่าน่าจะเอาการ reply หลังระยะเวลาใดเวลาหนึ่งเหมือนๆ กัน
เช่น ถ้าเอา 2010 เป็นหลัก ก็น่าจะต้องนับ replies หลัง 2010
(แล้วหุ้นเข้าตลาดหลัง 2010 ก็คัดแยกออกมาเข้าข่ายไม่แน่ใจในความนิยม ยกเว้นเห็นจะๆ ว่ามันมีอยู่แค่หน้า สองหน้า)
แต่คิดเล่นๆ เป็นผมคงขี้เกียจนับ

บางกระทู้ replies เยอะเพราะ DRAMA เยอะ 55555555555555

คงต้องไปตัด replies พวกนั้นออก

แต่ยังไงก็ขอบคุณมากครับที่นำมาแชร์

เนื่องจากตอนนี้สมาชิกในThaiviเยอะขึ้น มีทั้ง VI, VS เก่งๆมากมาย ทำให้หุ้นหลายตัวเหมือน"Red Ocean" มีคนเเย่งกันซื้อ เเย่งกันลงทุน เเย่งกันจับปลา ตอนว่างๆผมเลยคิดวิธีหาหุ้นที่จะศึกษาเพื่อขยายCircle of competence ของตนเองใหม่ โดยผมลองคิดเเบบ"มุมกลับ"เเบบนี้ครับ...

ผมจะเลือกศึกษาหุ้นที่มีReplyในThaivi ไม่เกิน30หน้าโดยเเบ่งเป็น
1) หุ้นกลุ่มที่มีReply<10หน้า พบว่าหุ้นกลุ่มนี้มีสองเเบบ คือ
-เป็นหุ้นที่พื้นฐานไม่ดีมาก มีการเก็งกำไรรุนเเรงในห้องบางทีมีพูดถึงพื้นฐานอยู่หน้าเดียวที่เหลือพูดเรื่องราคาล้วนๆ
-เป็นหุ้นที่พื้นฐานดี เเต่ไม่มี Volumn
-เป็นหุ้นที่ไม่มีstory บางตัวเงียบไม่มีข่าวอะไรออกมาเลย เช่นว่า ผบห. จะทำอะไร คาดการผลกำไรอย่างไร...

2) หุ้นกลุ่ม 10-20หน้าเเละหุ้นกลุ่ม 20-30 หน้า กลุ่มนี้ผมคิดว่ายังมีของดีซ่อนอยู่บ้างครับ ถ้าหาดีๆจะเจอ บางตัวจะมีเพื่อนๆที่Postประจำจนเหมือนเป็นModerater บางตัวคุยกันอยู่สองสามคน

เป็นการหาหุ้นเเบบเเปลกๆเเละมองมุมกลับ นำมาShareกันเล่นๆครับ...อย่าคิดมาก

เมื่อกี้เพิ่งลองสังเกตใน"View your post"ของผมเองพบว่า...หุ้นในPortที่ตัดสินใจลงทุนเอง*ทั้งหมด ถึงวันนี้ยังมีreplyในร้อยคนร้อยหุ้นไม่เกิน30หน้าเลยครับ(มีอยู่ตัวเดียวที่มีreplyเกิน60หน้าเเต่ยังลงทุนตัวนั้นในสัดส่วนน้อยมาก) หนักกว่านั้นคือผมลงทุนในกองอสังหาที่ยังไม่มีในร้อยคนร้อยหุ้นเลยด้วยซ้ำ

จริงๆเเล้วเเอบเสียวเหมือนกันนะเนี่ย....เเต่ในเมื่อเราจับปลาไม่ค่อยเก่ง ก็ควรไปจับในบ่อที่มีคู่เเข่งน้อยครับ

ปล.*ผมมีอีกportที่เจียดเงิน10%ของรายได้เเต่ละเดือนมาลงทุนเเบบDollar cost average ในหุ้นGrowth​ Stockยอดนิยม

เยี่ยมครับ
อยาก ให้เทียบกับ set 50 ได้มั้ยครับ...

ขอบคุณมากครับ

torpongpak เขียน:เมื่อกี้เพิ่งลองสังเกตใน"View your post"ของผมเองพบว่า...หุ้นในPortที่ตัดสินใจลงทุนเอง*ทั้งหมด ถึงวันนี้ยังมีreplyในร้อยคนร้อยหุ้นไม่เกิน30หน้าเลยครับ(มีอยู่ตัวเดียวที่มีreplyเกิน60หน้าเเต่ยังลงทุนตัวนั้นในสัดส่วนน้อยมาก) หนักกว่านั้นคือผมลงทุนในกองอสังหาที่ยังไม่มีในร้อยคนร้อยหุ้นเลยด้วยซ้ำ

จริงๆเเล้วเเอบเสียวเหมือนกันนะเนี่ย....เเต่ในเมื่อเราจับปลาไม่ค่อยเก่ง ก็ควรไปจับในบ่อที่มีคู่เเข่งน้อยครับ

ปล.*ผมมีอีกportที่เจียดเงิน10%ของรายได้เเต่ละเดือนมาลงทุนเเบบDollar cost average ในหุ้นGrowth​ Stockยอดนิยม

มันไม่สำคัญว่าจะไปจับปลาในบ่อที่มีคู่แข่งมากหรือน้อยครับ สำหรับผมไม่ว่าจะเป็นบ่อแบบไหน ผมต้องพยายามเป็นคนแรก ๆ ที่มองเห็นความสมบูรณ์ของปลาในบ่อนั้นครับ

อยากทราบว่าพอร์ตที่ลงทุนแบบ Dollar cost average เทียบกับพอร์ตที่เลือกเองเป็นยังไงบ้างครับ

ผมว่าถ้าดูจำนวน replies อย่างเดียวมันอาจจะไม่บอกอะไรก็ได้นะครับ เพราะหุ้นบางตัวเคย "ฮิต" มากเป็นบางช่วง พอหมดช่วง "ฮิต" ก็แทบจะนิ่งเหมือนกัน

ผมว่าน่าจะดูจำนวน replies ในช่วงเวลาหนึ่งครับ เช่นตั้งแต่ต้นปี อาจจะบอกอะไรได้มากกว่าครับ

torpongpak เขียน:เนื่องจากตอนนี้สมาชิกในThaiviเยอะขึ้น มีทั้ง VI, VS เก่งๆมากมาย ทำให้หุ้นหลายตัวเหมือน"Red Ocean" มีคนเเย่งกันซื้อ เเย่งกันลงทุน เเย่งกันจับปลา ตอนว่างๆผมเลยคิดวิธีหาหุ้นที่จะศึกษาเพื่อขยายCircle of competence ของตนเองใหม่ โดยผมลองคิดเเบบ"มุมกลับ"เเบบนี้ครับ...

ผมจะเลือกศึกษาหุ้นที่มีReplyในThaivi ไม่เกิน30หน้า โดยเเบ่งเป็น
1) หุ้นกลุ่มที่มีReply<10หน้า พบว่าหุ้นกลุ่มนี้มีสองเเบบ คือ
-เป็นหุ้นที่พื้นฐานไม่ดีมาก มีการเก็งกำไรรุนเเรงในห้องบางทีมีพูดถึงพื้นฐานอยู่หน้าเดียวที่เหลือพูดเรื่องราคาล้วนๆ
-เป็นหุ้นที่พื้นฐานดี เเต่ไม่มี Volumn
-เป็นหุ้นที่ไม่มีstory บางตัวเงียบไม่มีข่าวอะไรออกมาเลย เช่นว่า ผบห. จะทำอะไร คาดการผลกำไรอย่างไร...

2) หุ้นกลุ่ม 10-20หน้าเเละหุ้นกลุ่ม 20-30 หน้า กลุ่มนี้ผมคิดว่ายังมีของดีซ่อนอยู่บ้างครับ ถ้าหาดีๆจะเจอ บางตัวจะมีเพื่อนๆที่Postประจำจนเหมือนเป็นModerater บางตัวคุยกันอยู่สองสามคน

เป็นการหาหุ้นเเบบเเปลกๆเเละมองมุมกลับ นำมาShareกันเล่นๆครับ...อย่าคิดมาก

ผมลองดูของตัวเอง 1 ใน 3 ไม่เกิน 10 หน้า อีก 1 ใน 3 ไม่เกิน 20 หน้า 1 ใน 3 ที่เหลือ ไม่เกิน 30 หน้า ตัวที่เคยถือก่อนหน้านี้ก็เป็นหุ้นประเภท 20-30 หน้า

สำหรับผมไม่ใช่แค่มีของดีซ่อนอยู่บ้างครับ แต่มีของดีอยู่เยอะทีเดียว ที่สำคัญไม่ต้องไปแย่งกับใครครับ

leky เขียน: มันไม่สำคัญว่าจะไปจับปลาในบ่อที่มีคู่แข่งมากหรือน้อยครับ สำหรับผมไม่ว่าจะเป็นบ่อแบบไหน ผมต้องพยายามเป็นคนแรก ๆ ที่มองเห็นความสมบูรณ์ของปลาในบ่อนั้นครับ

อยากทราบว่าพอร์ตที่ลงทุนแบบ Dollar cost average เทียบกับพอร์ตที่เลือกเองเป็นยังไงบ้างครับ

leky เขียน: มันไม่สำคัญว่าจะไปจับปลาในบ่อที่มีคู่แข่งมากหรือน้อยครับ สำหรับผมไม่ว่าจะเป็นบ่อแบบไหน ผมต้องพยายามเป็นคนแรก ๆ ที่มองเห็นความสมบูรณ์ของปลาในบ่อนั้นครับ

อยากทราบว่าพอร์ตที่ลงทุนแบบ Dollar cost average เทียบกับพอร์ตที่เลือกเองเป็นยังไงบ้างครับ

เห็นด้วยเลยครับพี่หมอLekyกับข้อความด้านบนเเละขอตอบคำถามด้านล่างดังนี้ครับ
-ผมลองลงทุนเเบบDCAมาได้เพียง 8 เดือนครับ ซื้อหุ้น 3 ตัวที่คิดว่าชอบเเละมีGrowthในอนาคต เเต่ละตัวลงทุนน้ำหนักต่างกันตัวที่ชอบสุดลงทุนมากสุด โดยไม่ขายเลย ปรากฎว่าตอนนี้ตัวCapital Gain อยู่ราว 10%+ ทุกตัวกำไรหมดเเละได้ปันผลมาเเล้วครับ
-ส่วน"กบข." ไม่รู้นับเป็น DCA รึเปล่า เเต่หักเงินเดือนทุกเดือนราว5% ไปลงทุนในหุ้นที่"กบข."เลือกให้ ลงทุนเเบบลืมๆไปเลยรวม8ปี ปรากฎว่ากำไร Capital Gain ราว 110%

-Portลงทุนที่เลือกเอง
ผมลงทุนมาทั้งหมด 2 ปีกับอีก 10 เดือน โดยเพิ่มทุนเรื่อยๆ ซึ่งผมเข้ามา"เล่นหุ้น"ตั้งเเต่Set 540 จุด เเต่ยอมรับว่าช่วง 6-8เดือนเเรกที่ลงทุน เป็นการ"เล่น"หุ้นจริงๆครับ ไม่รู้เรื่องอะไรเท่าไหร่ ทำให้ช่วงที่Setขึ้นมาจาก540จุดเป็น800จุด ผมมีกำไรเเค่ 5% เเพ้ตลาดกระจุย:oops:

อย่างไรก็ตามพยายามปรับปรุงตัวเองหาความรู้เพิ่มขึ้น ทำสรุปก่อนซื้อหุ้น ดังนั้นเหมือนเพิ่งมาเริ่มหัดลงทุนจริงๆที่Setราว800-900จุด เเต่ยอมรับว่ามีเเอบขาย"หมู"เก็งกำไรระหว่างทางบ้าง(ติดเก็งกำไรเหมือนติดยาเสพติด ที่ผมต้องเลิกให้ได้)...ยังไงพยายามฝึกให้งดเก็งกำไร ซึ่งช่วงหลังก็ค่อยๆดีขึ้นครับ มีตัวที่ถือยาว...เอามือซุกกระเป๋าไม่ให้คันได้มากขึ้น

โดยตัวที่เป็นตัวหลักของPort ที่ถือข้ามปีอยู่ 4 ตัว(3 ตัวเขียว อีกตัวหนึ่งเเดง) มีMargin of safety(นับราคาตลาด ณ วันที่ 27/3/55เทียบราคาทุนไม่นับปันผลที่เคยได้มา) เฉลี่ยรวมกัน 18.94%ครับ, ตัวที่ถือนานสุดมากที่สุด ราว 2 ปี

เเต่ถ้านับรวมทั้งหมดคือ
[ปันผล+กำไรหักขาดทุนจากการขายหุ้นเพื่อเก็งกำไร(Capital Gainที่Realizeเเล้ว)+Capital gainที่ยังไม่Realize]/ต้นทุนปัจจุบัน

ดังนันPort ที่ผมลงทุนเองกับราคาหุ้น ณ วันที่ 27/3/55 มีMargin of Safety อยู่ 47.25% ครับ
(ซึ่งคิดว่าถ้าชนะใจตัวเอง"ทนถือหุ้น"ที่เราคิดวิเคราะห์อย่างดีเเล้วได้นานๆ น่าจะกำไรเยอะกว่านี้มากๆ เพราะหุ้นส่วนใหญ่ที่ขายไประหว่างทาง"ขายหมู"หมดครับ วิ่งกันพรวดๆ)

ถ้าพอมีเวลารบกวนฝากคิด return ของหุ้นที่มีจำนวนหน้าหรือ reply น้อยด้วยดีมั้ยครับ
ไม่แน่อาจจะได้ return ดีกว่าก็ได้นะครับ ^^

ส่วนตัวผมจะไม่เข้าไปดูหุ้นที่เป็นที่นิยมเลย เพราะคิดเอาเองแบบมั่วๆ ว่าเมื่อคนเห็นเยอะแล้ว แสดงว่าราคาน่าจะเข้าใกล้มูลค่า หรือเกินมูลค่าไปแล้ว

ปัจจุบันถืออยู่ 4 ตัว

ตัวที่ผลตอบแทนมากที่สุด มี reply อยู่น้อยกว่า 10 หน้า ถือมาสองปีกว่า MOS > 200% เห็นว่าธุรกิจยังไปได้เรื่อยๆ ก็ถือไปเรื่อยๆ
ที่เหลืออีก 3 ตัวเพิ่ง Swap มาไม่นาน มี
reply < 10 หน้า MOS < 10%
reple < 30 หน้า MOS < 20%
reply < 60 หน้า MOS < 15%

ขอเสริมนิดนึงนะครับ บางทีดู replied รวมเลยอาจจะไม่ถูกซะทีเดียวครับ ถ้าเอาแบบแม่นๆเลยต้องดูแยกจากช่วงปีที่จะวัดครับ เพราะบางตัวอยู่มานาน หรือฮิตมานานแล้ว อาจมี replied สะสมที่ค่อนข้างสูงครับ

แต่ถ้าทำอย่างที่ผมบอกคงต้องหาข้อมูลกันหนักหน่อยหละครับ - -'' เอาเป็นว่าถ้าทำได้ผลลัพธ์อาจจะต่างออกไปพอสมควรครับ

สู้ต่อไปครับ

ปรบมือให้ คุณ viapprentice..ฝีมือเยี่ยม


แต่สงสัย..ตรงตาราง 2
1.ตรงเทียบ กับ set 1032.78 มา 1025.32 มันน่า จะ-0.72% สำหรับ set return ปี 2011
แต่พอเป็น % เขียน ว่า 2010 return
ถ้า 2009-2010 set วิ่งจาก 735.54 มา 1032.78 หรือ 40.41%

แต่ดูจาก ตารางแรก น่าจะเป็น 2010-2011 มากกว่า

2. แล้ว equal w 2010-2011 จาก 100.00 ไปเป็น 109.22 มันเพิ่ม 9.22% ทำไมกลายเป็น 23.4% งง

ผมอาจจะดูผิดไปนะ..แตะโดยรวม ดีครับ

3. อยากได้ เพิ่ม top10 หุ้นที่ไม่มีคน สนใจ

อย่าง #3 jas จาก 2.0 ไป2.06 ใน single stock return 2.06/2.0=1.03
เออ ทำไม กลายเป็น 35% ลองเช็คสูตรใหม่ดู
หรือผมดูไม่เป็นหรือเปล่า..

ขอบคุณ คุณviapprenticeเช่นกันครับ(จริงๆกดบวกไปเเล้ว) ที่อุตส่าห์เรียบเรียงข้อมูล มันเหมือน"งานวิจัย"ย่อมๆได้เลยนะเนี่ย

torpongpak เขียน:

leky เขียน: มันไม่สำคัญว่าจะไปจับปลาในบ่อที่มีคู่แข่งมากหรือน้อยครับ สำหรับผมไม่ว่าจะเป็นบ่อแบบไหน ผมต้องพยายามเป็นคนแรก ๆ ที่มองเห็นความสมบูรณ์ของปลาในบ่อนั้นครับ

อยากทราบว่าพอร์ตที่ลงทุนแบบ Dollar cost average เทียบกับพอร์ตที่เลือกเองเป็นยังไงบ้างครับ

leky เขียน: มันไม่สำคัญว่าจะไปจับปลาในบ่อที่มีคู่แข่งมากหรือน้อยครับ สำหรับผมไม่ว่าจะเป็นบ่อแบบไหน ผมต้องพยายามเป็นคนแรก ๆ ที่มองเห็นความสมบูรณ์ของปลาในบ่อนั้นครับ

อยากทราบว่าพอร์ตที่ลงทุนแบบ Dollar cost average เทียบกับพอร์ตที่เลือกเองเป็นยังไงบ้างครับ

เห็นด้วยเลยครับพี่หมอLekyกับข้อความด้านบนเเละขอตอบคำถามด้านล่างดังนี้ครับ
-ผมลองลงทุนเเบบDCAมาได้เพียง 8 เดือนครับ ซื้อหุ้น 3 ตัวที่คิดว่าชอบเเละมีGrowthในอนาคต เเต่ละตัวลงทุนน้ำหนักต่างกันตัวที่ชอบสุดลงทุนมากสุด โดยไม่ขายเลย ปรากฎว่าตอนนี้ตัวCapital Gain อยู่ราว 10%+ ทุกตัวกำไรหมดเเละได้ปันผลมาเเล้วครับ
-ส่วน"กบข." ไม่รู้นับเป็น DCA รึเปล่า เเต่หักเงินเดือนทุกเดือนราว5% ไปลงทุนในหุ้นที่"กบข."เลือกให้ ลงทุนเเบบลืมๆไปเลยรวม8ปี ปรากฎว่ากำไร Capital Gain ราว 110%

-Portลงทุนที่เลือกเอง
ผมลงทุนมาทั้งหมด 2 ปีกับอีก 10 เดือน โดยเพิ่มทุนเรื่อยๆ ซึ่งผมเข้ามา"เล่นหุ้น"ตั้งเเต่Set 540 จุด เเต่ยอมรับว่าช่วง 6-8เดือนเเรกที่ลงทุน เป็นการ"เล่น"หุ้นจริงๆครับ ไม่รู้เรื่องอะไรเท่าไหร่ ทำให้ช่วงที่Setขึ้นมาจาก540จุดเป็น800จุด ผมมีกำไรเเค่ 5% เเพ้ตลาดกระจุย:oops:

อย่างไรก็ตามพยายามปรับปรุงตัวเองหาความรู้เพิ่มขึ้น ทำสรุปก่อนซื้อหุ้น ดังนั้นเหมือนเพิ่งมาเริ่มหัดลงทุนจริงๆที่Setราว800-900จุด เเต่ยอมรับว่ามีเเอบขาย"หมู"เก็งกำไรระหว่างทางบ้าง(ติดเก็งกำไรเหมือนติดยาเสพติด ที่ผมต้องเลิกให้ได้)...ยังไงพยายามฝึกให้งดเก็งกำไร ซึ่งช่วงหลังก็ค่อยๆดีขึ้นครับ มีตัวที่ถือยาว...เอามือซุกกระเป๋าไม่ให้คันได้มากขึ้น

โดยตัวที่เป็นตัวหลักของPort ที่ถือข้ามปีอยู่ 4 ตัว(3 ตัวเขียว อีกตัวหนึ่งเเดง) มีMargin of safety(นับราคาตลาด ณ วันที่ 27/3/55เทียบราคาทุนไม่นับปันผลที่เคยได้มา) เฉลี่ยรวมกัน 18.94%ครับ, ตัวที่ถือนานสุดมากที่สุด ราว 2 ปี

เเต่ถ้านับรวมทั้งหมดคือ
[ปันผล+กำไรหักขาดทุนจากการขายหุ้นเพื่อเก็งกำไร(Capital Gainที่Realizeเเล้ว)+Capital gainที่ยังไม่Realize]/ต้นทุนปัจจุบัน

ดังนันPort ที่ผมลงทุนเองกับราคาหุ้น ณ วันที่ 27/3/55 มีMargin of Safety อยู่ 47.25% ครับ
(ซึ่งคิดว่าถ้าชนะใจตัวเอง"ทนถือหุ้น"ที่เราคิดวิเคราะห์อย่างดีเเล้วได้นานๆ น่าจะกำไรเยอะกว่านี้มากๆ เพราะหุ้นส่วนใหญ่ที่ขายไประหว่างทาง"ขายหมู"หมดครับ วิ่งกันพรวดๆ)

ผมยอมรับนะครับ ว่าผมไม่ชอบเล่น "หุ้นตลาด" เลย ถามว่าบางตัวดีไหม ผมไม่เถียงครับว่าดี แต่ที่ผมมักจะหลีกเลี่ยงหุ้นเหล่านี้ เพราะผมคิดว่าถ้าผมต้องเข้าไปซื้อ ผมจะเสียเปรียบเรื่องข้อมูลข่าวสารครับ ยกตัวอย่าง PTT SCC ถามว่ามีนักวิเคราะห์ในประเทศไทยและต่างประเทศตามอยู่กี่คนครับ? คนเหล่านี้ทำงานด้านนี้มาโดยตรง การวิเคราะห์ของเค้าถึงแม้คนชอบบอกว่าเห็นผิดกันบ่อย แต่ผมว่ายังไงเค้าก็เป็นมืออาชีพกว่าเราแน่ ที่สำคัญข้อมูลก็มักจะได้ก่อนเราเสมอทั้งจากการเชิญของบ.เข้าฟังข้อมูล ฯลฯ นอกจากนั้นถ้ามีข่าวอะไรที่มีผลต่อพื้นฐานของบ.ผมเชื่อว่าคนเหล่านี้คุยกับบ.ได้มากกว่าเราครับ ซึ่งจะค่อนข้างต่างกับรายย่อยอย่างเราที่บางบ.เคยโทรไปถามเค้าก็แทบจะไม่อยากบอกอะไร กลัวจะเป็นคู่แข่งแอบมาสืบบ้างหรืออะไรอีกมากมาย ซึ่งถ้าเจอแบบนี้ถ้าเค้ายิ่ง "กั๊ก" ผมก็จะยิ่งไม่ซื้อหุ้นของเค้าหรือถ้ามีอยู่ผมก็จะไม่คิดที่จะถือยาวครับ เพราะถือว่ามันไม่แฟร์กับผถห.ครับ

ในหนังสือของปีเตอร์ ลินซ์ ถ้าคนที่เคยอ่านจะเห็นว่าสิ่งสำคัญที่ทำให้ลินซ์ประสบความสำเร็จคือ การที่สามารถได้รับข้อมูลของบ.เหล่านั้นได้อย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะการโทรศัพท์สายตรงคุยกับ CEO ซึ่งผมคิดว่ารายย่อยอย่างผมมีโอกาสที่จะทำแบบนั้นได้ค่อนข้างยาก

ฉะนั้นถ้าเป็น "หุ้นตลาด" ผมจะเลือกที่จะลงทุนผ่าน LTF แทนครับ แต่จะว่าไปถ้าไม่คิดอะไรมากเรื่องการได้ข้อมูลของบ.ก่อนหรือหลัง การมองภาพรวมของบ.ยาว ๆ ก็สามารถทดแทนกันได้ครับ ขึ้นอยู่กับความถนัดของแต่ละคน

เห็นด้วยกับความเห็นที่่ว่า จำนวน replies ปัจจุบันอาจจะไม่สามารถสะท้อนความนิยมที่แท้จริง ณช่วงนั้นๆได้ครับ
แต่ผมไม่สามารถหาวิธีค้นหาข้อมูลว่า ในไตรมาสใดๆ ที่ผ่านมา มีการตอบ หุ้นตัวไหนมากที่สุดครับ
ถ้ามีวิธีจัดเรียง ง่ายๆ ก็อยากลองทำดู และปรับพอร์ท ทุกไตรมาส

ส่วนวิธีการคำนวณ Return ตั้งแต่ End 2010คือ (Current Price / Price@ End 2010) -1 ครับ
ของ JAS = (2.7/2.0)-1 = 35%

อยากทราบว่าก่อนที่คุณ viapprentice จะเริ่มทดลองนั้น มีสมมติฐานอย่างไรครับ

ผมไม่แน่ใจว่ามีสมมติฐานว่าหุ้นที่มีการ replies มากน่าจะได้รับการยอมรับจากชาว VI มาก ทำให้ผลตอบแทนน่าจะมากใช่หรือเปล่า

แต่ผมจะพยายามอธิบายว่าทำไมผลที่ออกมาถึงแพ้ SET นะครับ เพราะผมทันเห็นหุ้นบางตัวตั้งแต่ตอน replies ยังไม่มากจนมาก

ปรากฎการณ์ที่ผมเห็นนั้น ผมเชื่อว่าหุ้นที่ถูกเลือกมาจริง ๆ สามารถให้ผลตอบแทนได้มากครับ แต่ต้องถูกเวลา เช่น ตอนที่ replies ยังไม่มากครับ เพราะถ้า replies มากแล้วเท่าที่ผมเห็นการวิ่งขึ้นของหุ้นจะช้าลง ไม่เหมือนตอนแรก ๆ ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะข่าวดีเริ่มออกมาแล้วและที่สำคัญมีการเก็งกำไรเข้ามามากขึ้น ทำให้การที่หุ้นจะฝ่าด่านราคาแต่ละราคาได้แรงซื้อต้องมากกว่าตอนแรก ๆ ตรงนี้ผมมองว่าอัตราการเพิ่มขึ้นของการ replies มีแนวโน้มจะไม่ไปในทิศทางเดียวกับราคาหุ้นด้วยซ้ำครับ

ผมไม่รู้ว่าสมาชิกท่านอื่น ๆ มีความเห็นอย่างไร เวลาที่หุ้นตัวหนึ่งในเว็บมีจำนวนการ replies เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว?

แต่สำหรับผมเองผมมองว่า ถ้าผมมีหุ้นตัวนั้นอยู่ ผมจะเริ่มระวังมากขึ้นครับ เพราะผมเชื่อว่าจำนวน replies ที่เพิ่มขึ้นเร็วมาก ๆ สำหรับผมมันหมายถึงหุ้นตัวนั้นกำลังจะเริ่ม over value ครับ

ต้องเก็บตอนคนยังไม่ค่อยสนใจ. พอมีคนสนใจโพสกันมากๆก็หมายความว่าได้เวลาเผ่น

คุณ leky ครับ
ผมคิดว่าหุ้นไหนที่ได้รับความนิยม น่าจะมี Return ที่ดีครับ
คิดว่าน่าจะมี Correlation บางอย่างระหว่าง จำนวนการตอบ กับ ผลตอบแทน
จริงๆอยากเทียบในแต่ละช่วงเวลา แต่ไม่สามารถหาวิธีที่ทำให้ข้อมูลออกมาได้

อาจจะเป็นอย่างที่คุณ leky ว่าก็ได้ครับ Replies น้อย อาจจะมีโอกาส undervalue มากกว่า
จำนวน replies คงเป็น Laggard indicator อย่างหนึ่ง

ถ้าดู Jas ตอนหุ้นพุ่ง คงจะเป็นตอนที่จำนวน replies เพิ่มขึ้นในเวลานั้นนะครับ

viapprentice เขียน:คุณ leky ครับ
ผมคิดว่าหุ้นไหนที่ได้รับความนิยม น่าจะมี Return ที่ดีครับ
คิดว่าน่าจะมี Correlation บางอย่างระหว่าง จำนวนการตอบ กับ ผลตอบแทน
จริงๆอยากเทียบในแต่ละช่วงเวลา แต่ไม่สามารถหาวิธีที่ทำให้ข้อมูลออกมาได้

อาจจะเป็นอย่างที่คุณ leky ว่าก็ได้ครับ Replies น้อย อาจจะมีโอกาส undervalue มากกว่า
จำนวน replies คงเป็น Laggard indicator อย่างหนึ่ง

ถ้าดู Jas ตอนหุ้นพุ่ง คงจะเป็นตอนที่จำนวน replies เพิ่มขึ้นในเวลานั้นนะครับ

ผมว่าถ้าคุณ viapprentice โฟกัสหุ้นจนเหลือไม่กี่ตัวแบบนี้แล้ว ลองเข้าไปดูรายละเอียดเชิงลึกสิครับ เช่น ช่วงที่ราคาเพิ่มขึ้นทุก 30% มีการ replies กันเท่าไหร่ เท่าที่ผมจำได้สำหรับหุ้น 2 ตัวคือ JAS PTL ตอนที่ replies มันถึง peak ตอนนั้นแหละครับคือตอนที่หุ้นมันกำลังจะลง แต่ความรู้สึกของคนที่ replies จะเป็นบวกมาก และ replies จะมาเยอะแบบหนาแน่นอีกครั้งตอนที่หุ้น "ดิ่ง" แบบรับไม่อยู่ครับ บังเอิญผมไม่ได้มีหุ้นทั้งสองตัว ถ้าได้ไอเดียจากคนที่เข้าไปสัมผัสจริง ๆ ก็น่าจะได้ประโยชน์ครับ

มีอีกเรื่อง ที่ีไม่รู้จะเอาเป็นเครื่องมือวัดเทียบกับ replies อย่างไร อะไรวัดความนิยมได้ดีกว่า
คือจำนวน views บางทีก็อาจจะไปตาม replies แต่ว่ามันจะเป็นแบบนั้นทุกกรณีรึเปล่าไม่แน่ใจ

เพราะมีคนจำนวนมาก ไม่ชอบตอบ หรือบางคนไม่ถนัดที่จะร่วมตอบ แต่เข้ามาหาข้อมูล

สมัยก่อน ผมก็ไม่สังเกตอะไรนัก

แต่พอมี post รูปลงได้ เริ่มเห็นชัด ดูตัวเลขใน view ใต้รูป มันช่วยให้เห็นโดยบังเอิญ
อย่างหุ้นที่ผมมีอยู่ สมัยก่อนเงียบเหงา นานๆ มีคนมาดูที ผ่านไปหลายวัน บางทียังไม่ถึง 50 view
ช่วง 2-3 วันนี้ หุ้น 'เสียงดี' มันกำลังร้อนแรงสวนตลาด สังเกตชัดเลยว่า มีคน post ไม่กี่ชั่วโมง คนดูเข้าหลักร้อย และจะเพิ่มเรื่อยๆ จนกว่าหน้าเต็มและจะขึ้นหน้าใหม่เอง