ราคา, อัตราการเติบโตของกำไร,เงินปันผล Competitive Advantages
โพสต์แล้ว: อังคาร เม.ย. 17, 2012 12:28 am
นักลงทุนทุกคนล้วนอยากซื้อหุ้นในราคาที่ถูกและคุ้มค่า อย่างไรก็ตาม ยังมีนักลงทุนส่วนหนึ่งที่ใช้เกณฑ์ในการวิเคราะห์ที่ขาดความละเอียดถี่ถ้วน
หลักเกณฑ์ในการตัดสินว่าหุ้นนั้นถูกหรือแพงในมุมมองของผมนั้น
"หุ้นถูก" หมายถึง ราคาของหุ้นนั้นคุ้มค่าที่จะซื้อหากเปรียบเทียบกับ ความสามารถในการทำกำไร, อัตราการเติบโตของผลกำไรในอนาคต, เงินปันผล , รวมถึง Competitive Advantages ของบริษัท
สูตรง่ายๆ : การเติบโตของกำไร (%) ควรมากกว่าหรือเท่ากับค่า P/E ratioโดยตั้งสมมุติฐานว่า บริษัทนั้นไม่มีการจ่ายปันผล และไม่มี Competitive Advantage ที่สำคัญ
สมมุติว่าบริษัทๆ หนึ่ง ไม่จ่ายปันผลเลย และไม่มี Competitive Advantages ที่สำคัญ มีการเจริญเติบโตของกำไรในอนาคตประมานปีละ 10% ไปอีกอย่างน้อย 3ปี หากมีค่า P/E ไม่เกิน 10เท่า ผมมองว่า ไม่แพง โดยมีข้อแม้ว่าการเติบโตของกำไรนั้นต้องมาจากผลการดำเนินงานที่ดีขึ้น ไม่ใช่จากการขายสินทรัพย์ใดๆ หรือเพิ่มขึ้นเพราะอยู่ใน Cycle ขาขึ้นของธุรกิจ Cyclical
Competitive Advantages ในที่นี้ผมหมายถึง ข้อได้เปรียบสำคัญที่บริษัทกุมไว้โดยที่ทำให้บริษัทสามารถแข่งขันได้อย่างยอดเยี่ยมกับคู่แข่ง
ผมยกตัวอย่างหุ้น CPALL ทำไมมันถึงมีค่า P/E ratio มากกว่า 35เท่า ทั้งที่อัตราการเจริญเติบโตของกำไรอยู่ที่ประมาณ 20% ในอนาคต และมีการจ่ายปันผลเพียง 2% สาเหตุก็คือ CPALL มี Competitive Advantages ที่สำคัญมากนั่นคือ Brand ของ 7-Eleven ซึ่งผมเชื่อว่าแทบไม่มีใครไม่รู้จัก และใช้บริการ ยิ่งไปกว่านั้น CPALL ยังเหนือกว่าร้านสะดวกซื้อทั่วไป โดยการนำ สินค้าที่เป็นอาหารสำเร็จรูปพร้อมทานมากมายมาจำหน่าย เช่นข้าวกล่องสด รวมไปถึงบริการชำระเงินต่างๆที่สามารถทำได้ที่ Counter Service ซึ่งสามารถตอบสนองการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมของผู้บริโภคที่รักความสะดวกสบายได้เป็นอย่างดี
สำหรับเรื่องของเงินปันผลนั้น ผมเชื่อว่ามาตรการในการจ่ายเงินปันผลนั้นมีความสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของผู้บริหาร กล่าวง่ายๆคือ หากผู้บริหารเห็นว่าการลงทุนซ้ำ (Reinvest) นั้นจะส่งผลดีต่อผู้ถือหุ้นมากกว่าการจ่ายปันผลออกไป พวกเขาก็จะใช้กำไรที่ได้มาลงทุนซ้ำในอัตราส่วนที่มาก หรืออาจจะทั้งหมด (งดจ่ายปันผล) ซึ่งหากมันเป็นจริงเช่นนั้นผมก็ไม่รังเกียจที่จะถือหุ้นโดยที่ไม่ได้รับเงินปันผลเลย เพราะสุดท้ายแล้วราคาหุ้นของผมก็จะเติบโตขึ้นไปตามผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นสืบเนื่องมาจากการ Reinvest เหล่านั้น
ผมลองคิดคำถามขึ้นมาเล่นๆ หุ้นของบริษัทหนึ่งที่ไม่จ่ายปันผล และ ไม่มี Competitive Advantage ที่สำคัญ มีค่า P/E ratio เพียง 2เท่า แต่มีอัตราการเติบโตของกำไรเพียง 1% จะเรียกว่าหุ้นแพงหรือไม่
ทั้งๆที่เซียนมากมายกล่าวว่า เราจะคืนทุนจากหุ้นที่มี P/E แค่ 2 เท่าภายในสองปี แต่ผมไม่คิดเช่นนั้น จริงอยู่ว่ากำไรต่อหุ้นนั้นสูงมากเมื่อเทียบกับราคาหุ้น แต่สำหรับบริษัทที่ไม่มีการเติบโตเลย แล้วยังไม่จ่ายเงินปันผลอีกนั้น ผมคิดว่าบริษัทนั้นไร้เหตุผล ลองคิดภาพตามผมง่ายๆ
บริษัทที่ไม่จ่ายเงินปันผล หมายถึง ผู้บริหารเห็นว่ากำไรที่ได้รับมานั้นสมควรนำไปลงทุนซ้ำ (Reinvest) 100% เนื่องจากผลลัพธ์ของการ ลงทุนซ็ำนั้นควรจะดีกว่าการจ่ายปันผลออกมา แต่ความจริงที่ปรากฏคือกำไรนั้นมีการเติบโตเพียง 1% เราจึงสามารถสรุปได้ว่าบริษัทนั้นมีผู้บริหารที่"โง่" หรือไม่อย่างนั้นก็ "โกงกิน"
นอกจากการตัดสินใจเรื่องเงินปันผลของผู้บริหารแล้ว เรายังต้องคำนึงถึงปัจจัยอื่นๆ เช่น ความโปร่งใสในการบริหาร รวมถึงวิสัยทัศน์ในการใช้เงินลงทุนใน project ต่างๆ ซึ่งสามารถหาอ่านได้ตามข่าว หรือเข้าประชุมผู้ถือหุ้นประจำปีครับ (ผมยังไม่เคยไป)
สำหรับการอ่านงบการเงินนั้นอาจจะเป็นเนื้อหาที่ละเอียดและลึกลงไปอีกมาก ซึ่งผมจะอ่านโดยละเอียดหลังจากที่หุ้นตัวนั้นๆ ผ่านการวิเคราะห์เบื้องต้นไปแล้ว ซึ่งปัจจัยหลักที่ควรมองหาใน งบการเงินก็คือ สภาพคล่อง หนี้สิน ความมีประสิทธิภาพในการดำเนินงาน และ ความสามารถในการทำกำไรครับ โดยค่า Ratio ที่สำคัญตัวหนึ่ง ได้แก่ ROE ซึ่งเป็นตัวแปรหนึ่งในการตัดสินว่าควรจะจ่ายเงินปันผลหรือไม่ กล่าวคือ หากบริษัทมี ROE ต่ำมากซึ่งก็หมายถึง ใช้ Equity ไปทำกำไรได้น้อยมากก็สมควรจ่ายเป็นเงินปันผลออกมาดีกว่า เป็นต้นครับ
เซียนบางคนให้ความสำคัญมากกับค่า P/BV ratio ซึ่งผมเองก็เห็นด้วยในบางส่วน ผมเชื่อว่าค่า P/BV นั้นสำคัญในบางอุตสาหกรรมเท่านั้น ยกตัวอย่างเช่น บริษัทที่ทำเกี่ยวกับ อสังหาริมทรัพย์นั้นควรจะมีค่า P/BV ที่ไม่สูงเกินไปเพราะบริษัทนั้นใช้ทรัพย์สินในการทำกำไรซะส่วนมาก ในทางกลับกัน บริษัทอย่าง ADVANC ที่มี P/BV สูงมากนั้นส่วนหนึ่งเป็นเพราะ บริษัทนี้ไม่จำเป็นต้องใช้ทรัพย์สินมากมายในการทำผลกำไร ซึ่งหากเราตัดสินโดยผิวเผินไปว่า P/BV ของ ADVANC นั้นสูงมาก เพราะฉะนั้นหุ้นตัวนี้จึงแพงมากนั้น อาจจะดูไม่สมเหตุสมผลซะทีเดียวครับ
เชิญติดตามอ่านบทความของผมได้ใน Blog นะครับ
http://jo-of-glue.bloggang.com
ขอบคุณผู้อ่านทุกท่านที่สละเวลาอ่านจนจบครับ
หลักเกณฑ์ในการตัดสินว่าหุ้นนั้นถูกหรือแพงในมุมมองของผมนั้น
"หุ้นถูก" หมายถึง ราคาของหุ้นนั้นคุ้มค่าที่จะซื้อหากเปรียบเทียบกับ ความสามารถในการทำกำไร, อัตราการเติบโตของผลกำไรในอนาคต, เงินปันผล , รวมถึง Competitive Advantages ของบริษัท
สูตรง่ายๆ : การเติบโตของกำไร (%) ควรมากกว่าหรือเท่ากับค่า P/E ratioโดยตั้งสมมุติฐานว่า บริษัทนั้นไม่มีการจ่ายปันผล และไม่มี Competitive Advantage ที่สำคัญ
สมมุติว่าบริษัทๆ หนึ่ง ไม่จ่ายปันผลเลย และไม่มี Competitive Advantages ที่สำคัญ มีการเจริญเติบโตของกำไรในอนาคตประมานปีละ 10% ไปอีกอย่างน้อย 3ปี หากมีค่า P/E ไม่เกิน 10เท่า ผมมองว่า ไม่แพง โดยมีข้อแม้ว่าการเติบโตของกำไรนั้นต้องมาจากผลการดำเนินงานที่ดีขึ้น ไม่ใช่จากการขายสินทรัพย์ใดๆ หรือเพิ่มขึ้นเพราะอยู่ใน Cycle ขาขึ้นของธุรกิจ Cyclical
Competitive Advantages ในที่นี้ผมหมายถึง ข้อได้เปรียบสำคัญที่บริษัทกุมไว้โดยที่ทำให้บริษัทสามารถแข่งขันได้อย่างยอดเยี่ยมกับคู่แข่ง
ผมยกตัวอย่างหุ้น CPALL ทำไมมันถึงมีค่า P/E ratio มากกว่า 35เท่า ทั้งที่อัตราการเจริญเติบโตของกำไรอยู่ที่ประมาณ 20% ในอนาคต และมีการจ่ายปันผลเพียง 2% สาเหตุก็คือ CPALL มี Competitive Advantages ที่สำคัญมากนั่นคือ Brand ของ 7-Eleven ซึ่งผมเชื่อว่าแทบไม่มีใครไม่รู้จัก และใช้บริการ ยิ่งไปกว่านั้น CPALL ยังเหนือกว่าร้านสะดวกซื้อทั่วไป โดยการนำ สินค้าที่เป็นอาหารสำเร็จรูปพร้อมทานมากมายมาจำหน่าย เช่นข้าวกล่องสด รวมไปถึงบริการชำระเงินต่างๆที่สามารถทำได้ที่ Counter Service ซึ่งสามารถตอบสนองการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมของผู้บริโภคที่รักความสะดวกสบายได้เป็นอย่างดี
สำหรับเรื่องของเงินปันผลนั้น ผมเชื่อว่ามาตรการในการจ่ายเงินปันผลนั้นมีความสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของผู้บริหาร กล่าวง่ายๆคือ หากผู้บริหารเห็นว่าการลงทุนซ้ำ (Reinvest) นั้นจะส่งผลดีต่อผู้ถือหุ้นมากกว่าการจ่ายปันผลออกไป พวกเขาก็จะใช้กำไรที่ได้มาลงทุนซ้ำในอัตราส่วนที่มาก หรืออาจจะทั้งหมด (งดจ่ายปันผล) ซึ่งหากมันเป็นจริงเช่นนั้นผมก็ไม่รังเกียจที่จะถือหุ้นโดยที่ไม่ได้รับเงินปันผลเลย เพราะสุดท้ายแล้วราคาหุ้นของผมก็จะเติบโตขึ้นไปตามผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นสืบเนื่องมาจากการ Reinvest เหล่านั้น
ผมลองคิดคำถามขึ้นมาเล่นๆ หุ้นของบริษัทหนึ่งที่ไม่จ่ายปันผล และ ไม่มี Competitive Advantage ที่สำคัญ มีค่า P/E ratio เพียง 2เท่า แต่มีอัตราการเติบโตของกำไรเพียง 1% จะเรียกว่าหุ้นแพงหรือไม่
ทั้งๆที่เซียนมากมายกล่าวว่า เราจะคืนทุนจากหุ้นที่มี P/E แค่ 2 เท่าภายในสองปี แต่ผมไม่คิดเช่นนั้น จริงอยู่ว่ากำไรต่อหุ้นนั้นสูงมากเมื่อเทียบกับราคาหุ้น แต่สำหรับบริษัทที่ไม่มีการเติบโตเลย แล้วยังไม่จ่ายเงินปันผลอีกนั้น ผมคิดว่าบริษัทนั้นไร้เหตุผล ลองคิดภาพตามผมง่ายๆ
บริษัทที่ไม่จ่ายเงินปันผล หมายถึง ผู้บริหารเห็นว่ากำไรที่ได้รับมานั้นสมควรนำไปลงทุนซ้ำ (Reinvest) 100% เนื่องจากผลลัพธ์ของการ ลงทุนซ็ำนั้นควรจะดีกว่าการจ่ายปันผลออกมา แต่ความจริงที่ปรากฏคือกำไรนั้นมีการเติบโตเพียง 1% เราจึงสามารถสรุปได้ว่าบริษัทนั้นมีผู้บริหารที่"โง่" หรือไม่อย่างนั้นก็ "โกงกิน"
นอกจากการตัดสินใจเรื่องเงินปันผลของผู้บริหารแล้ว เรายังต้องคำนึงถึงปัจจัยอื่นๆ เช่น ความโปร่งใสในการบริหาร รวมถึงวิสัยทัศน์ในการใช้เงินลงทุนใน project ต่างๆ ซึ่งสามารถหาอ่านได้ตามข่าว หรือเข้าประชุมผู้ถือหุ้นประจำปีครับ (ผมยังไม่เคยไป)
สำหรับการอ่านงบการเงินนั้นอาจจะเป็นเนื้อหาที่ละเอียดและลึกลงไปอีกมาก ซึ่งผมจะอ่านโดยละเอียดหลังจากที่หุ้นตัวนั้นๆ ผ่านการวิเคราะห์เบื้องต้นไปแล้ว ซึ่งปัจจัยหลักที่ควรมองหาใน งบการเงินก็คือ สภาพคล่อง หนี้สิน ความมีประสิทธิภาพในการดำเนินงาน และ ความสามารถในการทำกำไรครับ โดยค่า Ratio ที่สำคัญตัวหนึ่ง ได้แก่ ROE ซึ่งเป็นตัวแปรหนึ่งในการตัดสินว่าควรจะจ่ายเงินปันผลหรือไม่ กล่าวคือ หากบริษัทมี ROE ต่ำมากซึ่งก็หมายถึง ใช้ Equity ไปทำกำไรได้น้อยมากก็สมควรจ่ายเป็นเงินปันผลออกมาดีกว่า เป็นต้นครับ
เซียนบางคนให้ความสำคัญมากกับค่า P/BV ratio ซึ่งผมเองก็เห็นด้วยในบางส่วน ผมเชื่อว่าค่า P/BV นั้นสำคัญในบางอุตสาหกรรมเท่านั้น ยกตัวอย่างเช่น บริษัทที่ทำเกี่ยวกับ อสังหาริมทรัพย์นั้นควรจะมีค่า P/BV ที่ไม่สูงเกินไปเพราะบริษัทนั้นใช้ทรัพย์สินในการทำกำไรซะส่วนมาก ในทางกลับกัน บริษัทอย่าง ADVANC ที่มี P/BV สูงมากนั้นส่วนหนึ่งเป็นเพราะ บริษัทนี้ไม่จำเป็นต้องใช้ทรัพย์สินมากมายในการทำผลกำไร ซึ่งหากเราตัดสินโดยผิวเผินไปว่า P/BV ของ ADVANC นั้นสูงมาก เพราะฉะนั้นหุ้นตัวนี้จึงแพงมากนั้น อาจจะดูไม่สมเหตุสมผลซะทีเดียวครับ
เชิญติดตามอ่านบทความของผมได้ใน Blog นะครับ
http://jo-of-glue.bloggang.com
ขอบคุณผู้อ่านทุกท่านที่สละเวลาอ่านจนจบครับ