Thai Value Investor การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุน VI หุ้นวีไอ Webboard

เจอคลิปวิดีโอน่าสนใจครับ นักลงทุนแต่ละคนมีความแตกต่างกัน ทั้งพื้นความรู้ ประสบการณ์ทางธุรกิจ วัตถุประสงค์การลงทุน การยอมรับความเสี่ยง แหล่งที่มาของเงินทุน จริตนิสัย ฯลฯ ต่างกัน

ดังนั้นจึงไม่มีแนวทางการลงทุนใดที่ดีที่สุด มีแต่แนวทางการลงทุนที่เหมาะกับเราที่สุดเท่านั้น หาแนวทางการลงทุนของตัวเองให้เจอครับ

เป็นความเชื่อที่ผิด
ทางที่ดี มีแค่ทางเดียว
คือต้องไปทางเหนือ
แต่อาจจะ แตกต่างกันเล็กน้อย ในรายละเอียด
แต่หลักๆต้องเหมือนกัน
การจัดพอร์ต
การเลือกทรัพย์สินที่ลง
หลักการณ์การเลือกหุ้น
ให้ศึกษาวิธีการณ์ ของ ปีเตอร์ลินซ์
ศึกษาให้เข้าใจ
ไม่ต้องคิดวิธีการณ์ของตัวเอง
ไม่ต้องสร้างหลักการณ์ของตัวเอง
ถ้าทำได้ ก็ต้องมั่นใจว่าเรามีหลัการณ์
ที่ดีกว่าปีเตอร์ลินซ์
ที่พิสูจน์ได้ทาง สถิติ และคณิตศาสตร์

ผมเห็นด้วยนะ

เหมือนอย่างจะเดินทางจากกรุงเทพไปเชียงใหม่ เป้าหมายเราคือไปให้ถึงเชียงใหม่ แต่จะแบบไหนมันแล้วแต่คน เดินไป นั่งรถทัวร์ นั่งรถไฟ ขับรถไปเอง นั่งเครื่องบิน

จะเห็นว่าระยะเวลาที่ไปถึงนั้นต่างกัน แสดงถึงข้อจำกัดของแต่ละคนว่าจะเป็นเช่นไร แต่สุดท้ายขอให้ไปถึงเชียงใหม่ก็แล้วกัน

ถ้ามันมีวิธีเดียวเท่านั้นที่จะไปเชียงใหม่ได้ เช่น นั่งเครื่องบินอย่างเดียว คงมีคนเพียงจำนวนหนึ่งเท่านั้นที่ได้ไปถึงก่อน แล้วที่เหลือก็จะไม่มีโอกาสไปถึงจนกว่าจะทำให้ตัวเองสามารถนั่งเครื่องบินได้ ก็จะไปถึงเชียงใหม่ได้ แต่ว่าความเป็นจริงมันมีหลายวิธีการที่ทำให้ไปถึงได้ เราก็เลือกที่เหมาะกับเราครับ

การลงทุนมีหลายแนวทาง แม้แต่ VI ด้วยกันยังแบ่งเป็น สายบัฟเฟต สายลินซ์ สายท่านเซอร์จอห์น
แล้วยังมีสายผสมอีกเยอะแยะ ซึ่งพวกเค้าก็ประสบความสำเร็จกันได้

ลองไปดูอันดับนักลงทุนโลกจะเห็นว่าไม่ใช่ VI ทั้งหมด
แน่นอนว่า อันดับ 1 คือ บัฟเฟต เขาต้องเก่งแน่นอน
...แต่อันดับ 2,3,4,5,6 ล่ะ? แนวทางการลงทุนเขาย่อมมีประโยชน์และสำเร็จได้เช่นกัน

วิธีการที่ถูกต้อง มีได้มากกว่าหนึ่งวิธี

ถ้าซื้อหุ้นที่ดีได้ก่อนเซียน เซียนก้ต้องเดินตามเรา เราก้จะมี MOS>เซียน

ถ้าซื้อหุ้นที่ดี หลังเซียน เราก้ต้องตามหลังเซียน เราก้จะมี MOS<เซียน

แต่ถ้าซื้อพร้อมเซียน เรากับเซียนก้ไปด้วยกัน เพราะ MOSเท่ากัน

อย่าเล่นในเกมของคนอื่น แต่ให้คนอื่นเล่นในเกมของเรา

เราเลือกได้ ว่า จะเดินก่อนเซียนหรือจะเดินหลัง หรือเดินพร้อมกัน

เราเดินก่อน ต่อให้เค้าขาย เราก้ไม่เจ็บ

เดินทีหลัง เค้าขาย เราก้ดอย

เดินพร้อมกัน เค้าขาย เราก้ขาย


ผมจำคำท่านอาจารย์ ว่า เต่าจะชนะได้ เต่าต้องเล่นในเกมที่เต่าเป็นคนกำหนดกติกา

ดังนั้น ถ้าเต่าไปเล่นในเกมของกระต่าย คนแพ้ก้อาจจะเป็นเต่า

"วิธีที่คนรู้มากๆ วิธีนั้น ของสิ่งนั้น หรือ แม้แต่การทำแบบนั้น

จะใช้ไม่ได้ผลอีกกับตลาดหุ้นครับ ช่วงนึงจะใช้ได้ผล แต่สุดท้ายก้จะไม่ได้ผล

เพราะ ตลาดมีประสิทธิภาพ วิธีที่คนยังไม่รู้ และใช้ได้ผล ผมมองว่า ดี ครับ

เหมือนมวย ถ้ารู้ทางกันแล้ว ต่อให้มวยหมัดหนัก แต่ต่อยไม่ถูก ก้ไม่มีค่าอะไรครับ

ตลาดหุ้นก้เช่นกัน"


เต่าก้เล่นบนเกมของเต่า

กระต่ายก้เล่นบนเกมของกระต่าย

แต่ทั้งเต่าและกระต่าย ก้กลัวแค่อย่างเดียว นั่นคือ ความบ้าคลั่งในอารมณ์ของมวลชน

เพราะ ความบ้าคลั่งในมวลชน ไม่มีใครสามารถกำหนดได้

ที่ผมซื้อหุ้น เพราะในระยะยาว หุ้นให้ผลตอบแทนดีที่สุด
ในอเมริกา ระยะยาวหุ้นให้ผลตอบแทนประมาณ 11%(beating the street)
ในประเทศไทย ผมมั่นใจว่ามากกว่านั้น (ผมจะใช้ 11%เป็นตัวเปรียบเทียบ)
ในขณะนี้ผมยังไม่เห็นการลงทุนอะไรที่ให้ผลตอบแทนมากกว่า 11%
ผมจึง ถือหุ้น 100% ตลอดเวลา
แต่หุ้นจะมีความผันผวน ผมจึงไม่กู้เงินมาเล่น และไม่เล่นมาร์จิ้น
คิดให้ดี และใช้เหตุผล จะรู้ว่า การถือหุ้น 100%เป็นเหตุผลทางคณิตศาสตร์
ถ้าตราสารหนี้ให้ผลตอบแทนมากกว่า 11% ผมจะถือตราสารหนี้ทั้งหมดไม่มีหุ้นเลย
ผมจะพยายามหาหุ้นให้ดีที่สุดมากที่สุด อย่างน้อยต้องถือหุ้น3ตัวขึ้นไป
แต่ไม่น่าจะเกิน 10ตัว เพราะเราคัดเลือกซ้ำๆ จำนวนหุ้นจะเหลือน้อยเอง
ผมจะไม่ถือหุ้นตัวเดียวเด็ดขาด เพราะ การถือตัวเดียวคือความเสี่ยง
และทำให้เราไม่สามารถ สวอปหุ้นได้
การเพิ่มเงินลงไปในพอร์ตควรใช้วิธี DCA
(ปกติผมมีเงินเมื่อไหร่ผมก็ใส่ไปเมื่อนั้น ไม่เคยรอได้เลย)
การจัดพอร์ตแบบนี้ ผมก็ลอกเค้ามา
แต่ทุกอย่างมีเหตุผลที่ทำให้เราต้องคิดแบบนี้
สำหรับคนที่คิดแบบอื่นเช่น ถือหุ้น 50%-80%
แสดงว่าคนๆนั้นกำลังจะเกร็งกำไรจากเงิน 20%-50%
ผมไม่เข้าใจสำหรับ คนที่ถือเงินสดรอโอกาส คนที่ถือหุ้นตัวเดียว
คนที่หวังจะรวยจากการเล่นมาร์จิน คนเล่นฟิวเจอ คน เล่น DW หรือวอร์แรน
ในการลงทุนมีเส้นทางเดียว เท่านั้น
1.เลือกหุ้นให้ถูก
2.จำนวนหุ้น 5-10ตัว เพื่อกระจายความเสี่ยงและศึกษาหุ้นอย่างละเอียดได้
3.ถือหุ้น 100%ตลอดเวลา เพราะการลงทุนหุ้นได้เปรียบการลงทุนประเภทอื่นๆ
4.ไม่มีการเกร็งตลาดไม่ว่าจะขึ้นหรือลง
หมายเหตุ กรณีที่เงินมากๆ จำนวนหุ้นก็ต้องเพิ่มขึ้น หรือเงินน้อยมากหุ้นก็ต้องลดลง
แต่หลักใหญ่ๆ ไม่เปลี่ยนแปลง

คุณ blueplanet.
ผมเข้าใจว่า bond 10 ปีของกรีซ ให้ผลตอบแทน ประมาณ 20%
มากกว่าที่ต้องการตั้งเยอะครับ

ออกตัวก่อนนะครับว่าผมยังเป็นแมงเม่าอยู่
แต่ผมคิดว่าวิธีในการลงทุนที่ี่ดีที่สุดขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมและความสามารถของแต่ละคน
เปรียบเทียบง่ายๆว่าเหมือนการเดินทางจากกทม ไป เชียงใหม่

ในสมัยที่คนคิดว่าโลกแบน ต้องไปทางทิศเหนือเท่านั้น
แต่เม่ือคนมีความรู้ความเข้าใจมากขึ้น ก็รู้ว่าสามารถเดินทางไปเชียงใหม่ทางทิศใต้ แค่อ้อมโลก 1 รอบ

เช่นกันการเดินทางที่เร็วที่สุดสมัยก่อนอาจเป็นม้า. แต่ตอนนี้มีเตรื่องบินแล้ว

จะเห็นว่าคำตอบจะแปรเปลี่ยนไปตามสภาพแวดล้อมขณะนั้น

เช่นกันก่อนที่จะมีคุณ buffet วิธีการลงทุนที่ดีที่สุดอาจจะไม่ใช่ vi
พอมามีก็อาจจะเป็น vi

สำหรับผมอยากได้โดราเอมอนสักตัว นั่ง time machine ได้ครับ
วิธีนี้ดีแน่ๆครับ
เพียงแต่ตอนนี้เทคโนโลยียังไปไม่ถึง

หนุ่มเมืองจันท์, ฟาสฟูตธุรกิจ:มติชนสุดสัปดาห์

หลักที่ควรจะเป็นหลังจากมีบุคคลต้นแบบแล้วก็คือ

1. ดูตัวเองว่ามีบุคลิก นิสัยที่เหมากับวิธีการดังกล่าวหรือเปล่า
2. ปรับสูตรสำเร็จให้สอดคล้องกับตัวเรา
3. ต้องเตรียมแก้ปัญหาหน้างาน
4. ถ้าผิดพลาด อย่าเพิ่งสรุปว่าสูตรที่ได้มาไม่ถูกต้อง บางทีอาจเป็นเพราะ ประสบการณ์ของเราน้อยไป พ่อครัวเก่งๆ เขาไม่ได้ทำอาหารอร่อยตั้งแต่วันแรกที่ทำ รสชาติที่เราลิ้มรสในวันนี้ เกิดจากประสบการหลาย 10 ปีหน้าเตา และประสบการณ์เป็นเรื่องเดียวที่สอนไม่ได้

blueplanet เขียน:ที่ผมซื้อหุ้น เพราะในระยะยาว หุ้นให้ผลตอบแทนดีที่สุด
ในอเมริกา ระยะยาวหุ้นให้ผลตอบแทนประมาณ 11%(beating the street)
ในประเทศไทย ผมมั่นใจว่ามากกว่านั้น (ผมจะใช้ 11%เป็นตัวเปรียบเทียบ)
ในขณะนี้ผมยังไม่เห็นการลงทุนอะไรที่ให้ผลตอบแทนมากกว่า 11%
ผมจึง ถือหุ้น 100% ตลอดเวลา
แต่หุ้นจะมีความผันผวน ผมจึงไม่กู้เงินมาเล่น และไม่เล่นมาร์จิ้น
คิดให้ดี และใช้เหตุผล จะรู้ว่า การถือหุ้น 100%เป็นเหตุผลทางคณิตศาสตร์
ถ้าตราสารหนี้ให้ผลตอบแทนมากกว่า 11% ผมจะถือตราสารหนี้ทั้งหมดไม่มีหุ้นเลย
ผมจะพยายามหาหุ้นให้ดีที่สุดมากที่สุด อย่างน้อยต้องถือหุ้น3ตัวขึ้นไป
แต่ไม่น่าจะเกิน 10ตัว เพราะเราคัดเลือกซ้ำๆ จำนวนหุ้นจะเหลือน้อยเอง
ผมจะไม่ถือหุ้นตัวเดียวเด็ดขาด เพราะ การถือตัวเดียวคือความเสี่ยง
และทำให้เราไม่สามารถ สวอปหุ้นได้
การเพิ่มเงินลงไปในพอร์ตควรใช้วิธี DCA
(ปกติผมมีเงินเมื่อไหร่ผมก็ใส่ไปเมื่อนั้น ไม่เคยรอได้เลย)
การจัดพอร์ตแบบนี้ ผมก็ลอกเค้ามา
แต่ทุกอย่างมีเหตุผลที่ทำให้เราต้องคิดแบบนี้
สำหรับคนที่คิดแบบอื่นเช่น ถือหุ้น 50%-80%
แสดงว่าคนๆนั้นกำลังจะเกร็งกำไรจากเงิน 20%-50%
ผมไม่เข้าใจสำหรับ คนที่ถือเงินสดรอโอกาส คนที่ถือหุ้นตัวเดียว
คนที่หวังจะรวยจากการเล่นมาร์จิน คนเล่นฟิวเจอ คน เล่น DW หรือวอร์แรน
ในการลงทุนมีเส้นทางเดียว เท่านั้น
1.เลือกหุ้นให้ถูก
2.จำนวนหุ้น 5-10ตัว เพื่อกระจายความเสี่ยงและศึกษาหุ้นอย่างละเอียดได้
3.ถือหุ้น 100%ตลอดเวลา เพราะการลงทุนหุ้นได้เปรียบการลงทุนประเภทอื่นๆ
4.ไม่มีการเกร็งตลาดไม่ว่าจะขึ้นหรือลง
หมายเหตุ กรณีที่เงินมากๆ จำนวนหุ้นก็ต้องเพิ่มขึ้น หรือเงินน้อยมากหุ้นก็ต้องลดลง
แต่หลักใหญ่ๆ ไม่เปลี่ยนแปลง

หลักการไม่เหมืิอนกันครับ เรื่องถือเงินสดส่วนหนึ่ง พ่อผมสอนไว้ว่าให้ให้เตรียมตัวให้พร้อมอยู่เสมอหากมีโอกาสผ่านเข้ามา สังเกตดูบัฟเฟตก็พร้อมอยู่เสมอเพราะดีลที่ทำให้เขาร่ำรวยได้ก็มาจากความผันผวนของตลาดเสมอ

ให้เตรียมกระสุนไว้เสมอเพราะไม่รู้ว่าช้างจะผ่านมาเมื่ิอไหร่