เจาะประเด็นร้อน หุ้น CPALL "ถือ" หรือ "ขาย"
โพสต์แล้ว: เสาร์ พ.ค. 05, 2012 1:29 pm
นับเป็น Talk of the town เลยก็ว่าได้สำหรับประเด็นเรื่องราคาที่ผันผวนของหุ้นพื้นฐานดีชื่อดัง CPALL
สิ่งหนึ่งที่ผมเห็นว่าเป็นปัจจัยที่น่ากลัวก็คือการเห็นคนจำนวนมากพูดถึงเกี่ยวกับหุ้นตัวใดตัวหนึ่ง ซึ่งมันเกิดขึ้นกับหุ้น CPALL ในระยะหลังๆมานี้ สาเหตหนึ่งที่มีการตั้งกระทู้พูดคุยเกี่ยวกับหุ้นก็คือ เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับตนเอง โดยการถามความเห็นจากนักเก็งกำไรคนอื่นๆ หรือเพื่อหาผู้ร่วมอุดมการณ์นั่นเอง เป็นเรื่องธรรมชาติที่คนเราจะรู้สึกอุ่นใจเมื่อรู้ว่าเราไม่ผิดปกติไปจากคนอื่น ไม่หลงซื้ออยู่คนเดียว (ดีใจที่เป็นหนึ่งในคนหมู่มาก)
ผมคิดว่าทฤษฏีผลประโยชน์ ของคุณ พิชัย จาวลา นั้นเป็นเรื่องที่น่าสนใจ และเนื้อหาใจความบางส่วนก็คล้ายกับสิ่งที่ถูกเขียนไว้ในหนังสือของเซียนหุ้นระดับโลก ผมขออนุญาติหยิบยกมาพูดสักประเด็นหนึ่ง
แท้จริงแล้วการเป็นหนึ่งในคนหมู่มาก (Mass) นั้นไม่ใช่เรื่องที่น่าประทับใจนักในตลาดทุน เป็นที่รู้กันอยู่ว่าทุกๆครั้งที่มีการซื้อ ก็ต้องมีอีกฝั่งขาย ในเมื่อเราๆ (ที่ตั้งกระทู้) ส่วนใหญ่เป็นนักลงทุนรายย่อย การที่เราหลายๆคนซื้อหุ้นตัวใดตัวหนึ่งพร้อมๆกันเป็นจำนวนมากๆ ก็หมายความว่ามีผู้ถือหุ้นอีกฝ่ายหนึ่งซึ่งอาจจะเป็นรายย่อยด้วยกันเอง สถาบัน หลักทรัพย์ หรือ นักลงทุนต่างชาติกำลังเทขายกันอยู่อย่างเมามันส์ แต่ไม่ว่าจะเป็นใครที่ขายอยู่ สุดท้ายผลที่ออกมาก็คือ "รายย่อย ซื้อสุทธิ"
ประโยคหนึ่งที่ทำให้ผมฉุกใจคิดขึ้นมาได้ก็คือ "เป็นไปได้จริงๆหรือ ที่ว่านักเก็งกำไรรายย่อยทุกคนจะเป็นฝ่ายที่ได้กำไรจากการซื้อขายหุ้น โดยที่อีกสามฝ่าย (สถาบัน บล. ต่างชาติ) ขาดทุนกันถ้วนหน้า ทั้งๆที่ฝ่ายตรงข้ามมีเม็ดเงินต่อคนหนากว่า มีข้อมูลวงใน และมีอำนาจในการควบคุมข่าวจากสื่อต่างๆ"
อย่างไรก็ตาม เรื่องของทฤษฏีผลประโยชน์นั้นก็ใช้ได้เฉพาะกับการ "เก็งกำไร" ซึ่่งน่ากลัวมากสำหรับคนที่เข้าซื้อหุ้นเก็งกำไรในช่วงที่ผ่านมา แต่หากมองถึงการลงทุนระยะยาวแล้ว สิ่งที่สำคัญกว่าก็คือ พื้นฐาน ของหุ้น ซึ่งผมให้ความสำคัญเป็นอันดับแรกเสมอ
อย่างที่ผมเคยกล่าวไว้ในบทความ [หลักเกณฑ์การเลือกหุ้นในแบบของผม] สิ่งที่ทำให้หุ้น CPALL มีค่า P/E ที่สูงมาก ประกอบไปด้วย อัตราการเติบโตที่สูง ผู้บริหารที่เก่ง และ Competitive Advantage โดยผมมองว่าค่า P/E นี้มีความหมายโดยนัยว่า "ขณะนี้ ตลาดยอมซื้อขายหุ้นกันที่ราคากี่เท่าของกำไรต่อหุ้น"
ลองมาดูข้อมูลในอดีตย้อนหลังของหุ้นตัวนี้กันครับ (CPALL)
ปี 2552 กำไรต่อหุ้นเติบโต 50% ตลาดซื้อขายกันที่ P/E 25.29 เท่า
ปี 2553 กำไรต่อหุ้นเติบโต 33% ตลาดซื้อขายกันที่ P/E 28.4เท่า
ปี 2554 กำไรต่อหุ้นเติบโต 20% ตลาดซื้อขายกันที่ P/E 29.16เท่า
ปี 2555 (คาดการณ์ว่า) กำไรต่อหุ้นเติบโต 20% และหากสิ้นปีราคาหุ้นปิดที่ตรงนี้ (37.25บาท) จะเทียบเท่ากับค่า P/E 34.88 เท่า
จากข้อมูลชุดนี้ จะเห็นได้ว่า
1. หุ้น CPALL มีอัตราการเติบโตที่สูง แต่มีแนวโน้มลดลง
2. หุ้น CPALL มีแนวโน้มค่า P/E ที่สูงขึ้นเรื่อยๆ
สิ่งที่นักลงทุนควรให้ความสนใจก็คือ กลยุทธ์การลงทุน และการเปลี่ยนแปลงของบริษัท โดยหาก CPALL ไม่มีกลยุทธ์สร้างสรรค์ใหม่ๆเพิ่มขึ้นมา อย่างที่เคยทำในอดีต และหันมาขยายเปิดสาขาเพิ่มเพียงอย่างเดียว ก็เป็นเรื่องธรรมดาที่อัตราการเติบโตของกำไรจะมีแนวโน้มลดลงไป จนวันหนึ่ง CPALL จะเปลี่ยนจากหุ้นโตเร็ว กลายเป็น หุ้นแข็งแกร่ง ก็เป็นได้ และเมื่อถึงจุดๆนั้น ค่า P/E ที่เคยสูงอย่างทุกวันนี้อาจจะไม่ได้รับการยอมรับ และส่งผลทำให้ราคาของหุ้นตกลงอย่างรวดเร็ว และรุนแรง อย่างไรก็ตาม ผมมีความเชื่อมั่นในตัวของผู้บริหารของบริษัทว่าจะไม่ปล่อยให้เป็นเช่นนั้นในเร็ววันนี้ แต่อนาคตเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอนครับ
การเติบโตที่สูงกว่า 20% ในตลอด 4ปีที่ผ่านมานี้ ก็แสดงให้เห็นส่วนหนึ่งแล้วว่า "บริษัทนี้ไม่ธรรมดา" โดยหากเพียงแค่บริษัทรักษาอัตราการเติบโตนี้ไปเรื่อยๆได้ในระยะยาว (ทำยากมากๆ) ทฤษฏีของเลขยกกำลังจะจัดการให้ทุกอย่างดีขึ้นเอง เพราะการเติบโตนั้นมันทบต้น ลองดูกันครับว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับราคาหุ้น ผมจะคำนวณให้ดูเล่นๆ โดยสมมุติว่ากำไรต่อหุ้นของบริษัทจะเติบโตขึ้น 20% เท่ากันทุกปีเป็นเวลา 10ปีต่อจากนี้
2012 กำไรต่อหุ้น 1.07
2013 กำไรต่อหุ้น 1.28
2014 กำไรต่อหุ้น 1.54
2015 กำไรต่อหุ้น 1.84
2016 กำไรต่อหุ้น 2.21
2017 กำไรต่อหุ้น 2.66
2018 กำไรต่อหุ้น 3.19
2019 กำไรต่อหุ้น 3.83
2020 กำไรต่อหุ้น 4.59
2021 กำไรต่อหุ้น 5.51
2022 กำไรต่อหุ้น 6.61
แน่นอนว่าแนวโน้มค่า P/E จะสูงขึ้นไปเรื่อยๆหากกำไรเติบโตเช่นนี้
คำนวณแบบ Conservative ที่ P/E 40 เท่า จะได้ราคาของหุ้น CPALL ในปีที่ 2012 อยู่ที่ประมาณ 265 บาท (โต 611.4% จากราคาปัจจุบัน เฉลี่ยปีละ 61.14%)
ประเด็นสำคัญเดียวที่คุณต้องขบคิดก็คือ บริษัทมีแนวโน้มจะโตอย่างน้อย 20% แบบนี้ต่อไปทุกปีหรือเปล่า ซึ่งถ้าหากคำตอบคือ "ใช่" คุณก็ไปคิดต่อว่าผลตอบแทน 61.14% ต่อปี (ยังไม่รวมเงินปันผลที่ได้รับในแต่ละปี) นั้นคุ่มค้ากับความเสี่ยงที่เหตุการณ์จะพลิกไม่เป็นตามแผนหรือไม่ ซึ่งถ้าหากคำตอบเป็น "คุ้ม" อีก ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่คุณจะต้องขายหุ้นที่ถืออยู่นี้ออกไปแต่อย่างใด (สำหรับคนซื้อลงทุนระยะยาวที่ซื้อมาแล้วเท่านั้นนะครับ คนที่ยังไม่ซื้อ ไม่ได้หมายความว่าซื้อตรงนี้แล้วจะดี ซื้อเก็งกำไรนี่อีกเรื่องนึงครับ ซื้อเก็งกำไรต้องมีเรื่องของสัญญาณเทคนิคมาช่วย ซึ่งถ้าดูกราฟตอนนี้ก็ต้องบอกว่าไม่สวยนักครับ)
ปล. ปัจจุบันผมไม่มีหุ้นตัวนี้อยู่ใน port ครับ
ติดตามอ่านบทความของผมได้ที่ Blog : http://jo-of-glue.bloggang.com
หรือใน Facebook : http://www.facebook.com/JoOfGlueInvestmentTalk
ขอบคุณครับ
สิ่งหนึ่งที่ผมเห็นว่าเป็นปัจจัยที่น่ากลัวก็คือการเห็นคนจำนวนมากพูดถึงเกี่ยวกับหุ้นตัวใดตัวหนึ่ง ซึ่งมันเกิดขึ้นกับหุ้น CPALL ในระยะหลังๆมานี้ สาเหตหนึ่งที่มีการตั้งกระทู้พูดคุยเกี่ยวกับหุ้นก็คือ เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับตนเอง โดยการถามความเห็นจากนักเก็งกำไรคนอื่นๆ หรือเพื่อหาผู้ร่วมอุดมการณ์นั่นเอง เป็นเรื่องธรรมชาติที่คนเราจะรู้สึกอุ่นใจเมื่อรู้ว่าเราไม่ผิดปกติไปจากคนอื่น ไม่หลงซื้ออยู่คนเดียว (ดีใจที่เป็นหนึ่งในคนหมู่มาก)
ผมคิดว่าทฤษฏีผลประโยชน์ ของคุณ พิชัย จาวลา นั้นเป็นเรื่องที่น่าสนใจ และเนื้อหาใจความบางส่วนก็คล้ายกับสิ่งที่ถูกเขียนไว้ในหนังสือของเซียนหุ้นระดับโลก ผมขออนุญาติหยิบยกมาพูดสักประเด็นหนึ่ง
แท้จริงแล้วการเป็นหนึ่งในคนหมู่มาก (Mass) นั้นไม่ใช่เรื่องที่น่าประทับใจนักในตลาดทุน เป็นที่รู้กันอยู่ว่าทุกๆครั้งที่มีการซื้อ ก็ต้องมีอีกฝั่งขาย ในเมื่อเราๆ (ที่ตั้งกระทู้) ส่วนใหญ่เป็นนักลงทุนรายย่อย การที่เราหลายๆคนซื้อหุ้นตัวใดตัวหนึ่งพร้อมๆกันเป็นจำนวนมากๆ ก็หมายความว่ามีผู้ถือหุ้นอีกฝ่ายหนึ่งซึ่งอาจจะเป็นรายย่อยด้วยกันเอง สถาบัน หลักทรัพย์ หรือ นักลงทุนต่างชาติกำลังเทขายกันอยู่อย่างเมามันส์ แต่ไม่ว่าจะเป็นใครที่ขายอยู่ สุดท้ายผลที่ออกมาก็คือ "รายย่อย ซื้อสุทธิ"
ประโยคหนึ่งที่ทำให้ผมฉุกใจคิดขึ้นมาได้ก็คือ "เป็นไปได้จริงๆหรือ ที่ว่านักเก็งกำไรรายย่อยทุกคนจะเป็นฝ่ายที่ได้กำไรจากการซื้อขายหุ้น โดยที่อีกสามฝ่าย (สถาบัน บล. ต่างชาติ) ขาดทุนกันถ้วนหน้า ทั้งๆที่ฝ่ายตรงข้ามมีเม็ดเงินต่อคนหนากว่า มีข้อมูลวงใน และมีอำนาจในการควบคุมข่าวจากสื่อต่างๆ"
อย่างไรก็ตาม เรื่องของทฤษฏีผลประโยชน์นั้นก็ใช้ได้เฉพาะกับการ "เก็งกำไร" ซึ่่งน่ากลัวมากสำหรับคนที่เข้าซื้อหุ้นเก็งกำไรในช่วงที่ผ่านมา แต่หากมองถึงการลงทุนระยะยาวแล้ว สิ่งที่สำคัญกว่าก็คือ พื้นฐาน ของหุ้น ซึ่งผมให้ความสำคัญเป็นอันดับแรกเสมอ
อย่างที่ผมเคยกล่าวไว้ในบทความ [หลักเกณฑ์การเลือกหุ้นในแบบของผม] สิ่งที่ทำให้หุ้น CPALL มีค่า P/E ที่สูงมาก ประกอบไปด้วย อัตราการเติบโตที่สูง ผู้บริหารที่เก่ง และ Competitive Advantage โดยผมมองว่าค่า P/E นี้มีความหมายโดยนัยว่า "ขณะนี้ ตลาดยอมซื้อขายหุ้นกันที่ราคากี่เท่าของกำไรต่อหุ้น"
ลองมาดูข้อมูลในอดีตย้อนหลังของหุ้นตัวนี้กันครับ (CPALL)
ปี 2552 กำไรต่อหุ้นเติบโต 50% ตลาดซื้อขายกันที่ P/E 25.29 เท่า
ปี 2553 กำไรต่อหุ้นเติบโต 33% ตลาดซื้อขายกันที่ P/E 28.4เท่า
ปี 2554 กำไรต่อหุ้นเติบโต 20% ตลาดซื้อขายกันที่ P/E 29.16เท่า
ปี 2555 (คาดการณ์ว่า) กำไรต่อหุ้นเติบโต 20% และหากสิ้นปีราคาหุ้นปิดที่ตรงนี้ (37.25บาท) จะเทียบเท่ากับค่า P/E 34.88 เท่า
จากข้อมูลชุดนี้ จะเห็นได้ว่า
1. หุ้น CPALL มีอัตราการเติบโตที่สูง แต่มีแนวโน้มลดลง
2. หุ้น CPALL มีแนวโน้มค่า P/E ที่สูงขึ้นเรื่อยๆ
สิ่งที่นักลงทุนควรให้ความสนใจก็คือ กลยุทธ์การลงทุน และการเปลี่ยนแปลงของบริษัท โดยหาก CPALL ไม่มีกลยุทธ์สร้างสรรค์ใหม่ๆเพิ่มขึ้นมา อย่างที่เคยทำในอดีต และหันมาขยายเปิดสาขาเพิ่มเพียงอย่างเดียว ก็เป็นเรื่องธรรมดาที่อัตราการเติบโตของกำไรจะมีแนวโน้มลดลงไป จนวันหนึ่ง CPALL จะเปลี่ยนจากหุ้นโตเร็ว กลายเป็น หุ้นแข็งแกร่ง ก็เป็นได้ และเมื่อถึงจุดๆนั้น ค่า P/E ที่เคยสูงอย่างทุกวันนี้อาจจะไม่ได้รับการยอมรับ และส่งผลทำให้ราคาของหุ้นตกลงอย่างรวดเร็ว และรุนแรง อย่างไรก็ตาม ผมมีความเชื่อมั่นในตัวของผู้บริหารของบริษัทว่าจะไม่ปล่อยให้เป็นเช่นนั้นในเร็ววันนี้ แต่อนาคตเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอนครับ
การเติบโตที่สูงกว่า 20% ในตลอด 4ปีที่ผ่านมานี้ ก็แสดงให้เห็นส่วนหนึ่งแล้วว่า "บริษัทนี้ไม่ธรรมดา" โดยหากเพียงแค่บริษัทรักษาอัตราการเติบโตนี้ไปเรื่อยๆได้ในระยะยาว (ทำยากมากๆ) ทฤษฏีของเลขยกกำลังจะจัดการให้ทุกอย่างดีขึ้นเอง เพราะการเติบโตนั้นมันทบต้น ลองดูกันครับว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับราคาหุ้น ผมจะคำนวณให้ดูเล่นๆ โดยสมมุติว่ากำไรต่อหุ้นของบริษัทจะเติบโตขึ้น 20% เท่ากันทุกปีเป็นเวลา 10ปีต่อจากนี้
2012 กำไรต่อหุ้น 1.07
2013 กำไรต่อหุ้น 1.28
2014 กำไรต่อหุ้น 1.54
2015 กำไรต่อหุ้น 1.84
2016 กำไรต่อหุ้น 2.21
2017 กำไรต่อหุ้น 2.66
2018 กำไรต่อหุ้น 3.19
2019 กำไรต่อหุ้น 3.83
2020 กำไรต่อหุ้น 4.59
2021 กำไรต่อหุ้น 5.51
2022 กำไรต่อหุ้น 6.61
แน่นอนว่าแนวโน้มค่า P/E จะสูงขึ้นไปเรื่อยๆหากกำไรเติบโตเช่นนี้
คำนวณแบบ Conservative ที่ P/E 40 เท่า จะได้ราคาของหุ้น CPALL ในปีที่ 2012 อยู่ที่ประมาณ 265 บาท (โต 611.4% จากราคาปัจจุบัน เฉลี่ยปีละ 61.14%)
ประเด็นสำคัญเดียวที่คุณต้องขบคิดก็คือ บริษัทมีแนวโน้มจะโตอย่างน้อย 20% แบบนี้ต่อไปทุกปีหรือเปล่า ซึ่งถ้าหากคำตอบคือ "ใช่" คุณก็ไปคิดต่อว่าผลตอบแทน 61.14% ต่อปี (ยังไม่รวมเงินปันผลที่ได้รับในแต่ละปี) นั้นคุ่มค้ากับความเสี่ยงที่เหตุการณ์จะพลิกไม่เป็นตามแผนหรือไม่ ซึ่งถ้าหากคำตอบเป็น "คุ้ม" อีก ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่คุณจะต้องขายหุ้นที่ถืออยู่นี้ออกไปแต่อย่างใด (สำหรับคนซื้อลงทุนระยะยาวที่ซื้อมาแล้วเท่านั้นนะครับ คนที่ยังไม่ซื้อ ไม่ได้หมายความว่าซื้อตรงนี้แล้วจะดี ซื้อเก็งกำไรนี่อีกเรื่องนึงครับ ซื้อเก็งกำไรต้องมีเรื่องของสัญญาณเทคนิคมาช่วย ซึ่งถ้าดูกราฟตอนนี้ก็ต้องบอกว่าไม่สวยนักครับ)
ปล. ปัจจุบันผมไม่มีหุ้นตัวนี้อยู่ใน port ครับ
ติดตามอ่านบทความของผมได้ที่ Blog : http://jo-of-glue.bloggang.com
หรือใน Facebook : http://www.facebook.com/JoOfGlueInvestmentTalk
ขอบคุณครับ