หน้า 1 จากทั้งหมด 1

ธุรกิจที่ดีกว่าค่าเฉลี่ย

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ พ.ค. 20, 2012 1:09 pm
โดย Warantact
ใครๆที่ลงทุนในหุ้นส่วนใหญ่ก็ต้องการหุ้นที่มีมูลค่ามากกว่าราคามากๆ
หรือธุรกิจที่ดี ในราคาไม่แพงมาก

คำพูดนี้เข้าใจง่าย แต่มันก็คลุมเครือ แค่ไหนเรียกว่าดี
แล้วเท่าไรเรียกว่าไม่แพง มีตัวอะไรมาวัด?
ของดีนั้นถ้าจะดูแค่หยาบๆก็ไม่ยากเท่าไร คือไปดูตรงROEเฉลี่ย4-5ปี
หาได้ง่ายๆในเว็บ SET

แล้วเท่าไรถึงจะดี? ขอบอกว่าสำหรับปีนี้คือมากกว่า13.46
13.46มาจากไหน? มาจากการเอาP/Bของตลาด หารด้วยค่าP/Eของตลาด
จะได้ROEของตลาดเท่ากับ13.46 คือความสามารถในการทำกำไรเฉลี่ยของบริษัทจดทะเบียน
บริษัทที่มีROEเฉลี่ยมากกว่า 13.5 ก็ถือว่าคุณภาพโอเคแล้ว

แล้วราคาเท่าไรถือว่าถูก?
อันนี้หลักคิดแปลกนิดนึง ถ้าสมมติว่า คนที่ไม่ฉลาดแต่ไม่โง่
ลงทุนแบบถัว ในดัชนี จะได้ผลตอบแทน ประมาณ9% โดยมาจากปันผล3%
ราคาหุ้นเพิ่มขึ้น6%ในระยะยาว
ยังงั้น 13.5 หารด้วยค่า p/b ของหุ้นที่ซื้อมา ควรจะได้มากกว่า9%
คือ p/b น้อยกว่า1.5

ด้วยหลักคิดแบบนี้เราสามารถสรุปคร่าวๆได้เลยว่า
มูลค่าของบริษัทที่มีROEเฉลี่ยในอดีต13.5 และคาดว่ามีผลการดำเนินงานแบบนี้ต่อไปในอนาคต
คือ 1.5 เท่าของมูลค่าตามบัญชี

ถึงข้อสรุปข้างต้นจะไม่ถูกต้องเท่าไรแต่มันก็พอจะใช้เป็นกรอบในการตัดสินใจได้บ้าง
เช่น ถ้าเจอธุรกิจมีROEเฉลี่ย 13.5 ขายอยู่เท่าbookหรือต่ำbook อย่างนี้น่าสนใจ
(ROEเฉลี่ย ไม่ใช่ROEปีล่าสุด) ถือว่าเป็นธุรกิจคุณภาพกลางๆ ราคามีส่วนลด
หากซื้อมากอดไว้ อาจได้กำไรระยะยาวจากการเติบโตเท่าค่าเฉลี่ย และอาจมีกำไรจากการที่ราคาวิ่ง
เข้าหามูลค่ามาเป็นของแถม

หากเจอธุรกิจที่ROEเฉลี่ย เกิน13.5 ไปมากๆ เช่น 18-23 แต่ขายอยู่แถวๆ 1.5ของบุ๊ค
อย่างนี้อาจได้ของค่อนข้างดี ในราคามีส่วนลด ผลกำไรระยะยาวน่าจะออกมาดี

ที่คิดว่าไม่ควรใช้ P/E เพราะตัว Eนั้น ไม่นิ่ง แกว่งรุนแรงกว่าตัวBมาก
และการใช้ผลกำไรเฉลี่ยในการหาROEเพื่อตัดภาพลวงของปีที่ดีเกินไปออก
จะได้ไม่โดนวัฏจักรธุรกิจหลอก

วิธีนี้เป็นเพียงวิธีสกรีนคร่าวๆเท่านั้น หากหุ้นที่คัดมา โดยวิธีนี้
ได้รับการลงทุนสัก10ตัวกระจายไป ผลตอบแทนระยะยาวน่าจะพอใช้ได้
เพราะ
1 เลือกมาแต่ธุรกิจที่ดี
2 ไม่ได้จ่ายแพงเกินไป
3 มีการกระจายการลงทุนเพื่อการันตีให้ผลตอบแทนวิ่งเข้าหาค่าเฉลี่ย
ใครมีความเห็นเพิ่มเติมยังไง มาลองถกกันดูครับ

Re: ธุรกิจที่ดีกว่าค่าเฉลี่ย

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ พ.ค. 20, 2012 1:56 pm
โดย satori
ขอบคุณครับ ได้แนวคิดการประเมินผลตอบแทนการลงทุนอีกแนวทางหนึ่ง

ถ้าบริษัทหนึ่งมี ROE เฉลี่ย 20 P/B 1.5

จะได้ผลตอบแทนประมาณ 20/1.5 = 13.3% ต่อปี

ดีนะครับ ทำให้เราสามารถประมาณผลตอบแทนการลงทุนโดยอาศัย ROE เฉลี่ยได้

Re: ธุรกิจที่ดีกว่าค่าเฉลี่ย

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ พ.ค. 20, 2012 2:57 pm
โดย panwasit
ระวังเรื่องบริษัทที่เกี่ยวข้องกับสินค้า โภคภัพฑ์ ด้วยนะครับ

พวกนี้ ดู ROE ยาก PE ก็ยาก เพราะช่วงที่มันดีเวอร์ มันก็ดีจนไม่มีอะไรไม่ดีนะครับ

รองกลับไปดู กลุ่มเรือ น้ำมัน พลาสติก ยางพารา พวกนี้ดูนะครับ T^T ผมโดนมาแล้ว

Re: ธุรกิจที่ดีกว่าค่าเฉลี่ย

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ พ.ค. 20, 2012 3:06 pm
โดย panwasit
อีกนิดนึง

สำหรับบางบริษัท ก็ต้องระวังนะครับ อย่าง CPALL ADVANC พวกนี้

ดู ROE ยากนะครับ เพราะกำไรมันโต แต่บุ๊คไม่โตตาม เป็นผลให้ ROE มันขึ้นทุกปี

ที่ผมเคยศึกษามาเกี่ยวกับทางนี้นะครับ

1 บริษัทที่ ROE คงที่ทุกปี

2 บริษัทที่ ปันผลทุกปี แต่ไม่หมด เหลือส่วนหนึ่งไปเพื่อ Bookvalue

3 บริษัทจะต้องโตทุกปี (ตามสัดส่วนของ Bookvalue เพื่อให้ ROE คงที่)

เมื่อครบทั้งหมดตามองค์ประกอบ

เมื่อคุณซื้อ คุณจะได้รับกำไรในปีแรก คือ ปันผล

แต่เมื่อระยะยาวมากๆ กำไรที่จะได้รับต่อปี จะเข้าใกล้ ROE

ส่วน % ปันผลเป็นส่วนที่บอกว่า จะเข้าใกล้ ROE เมื่อไหร่

ถ้าปันผลน้อย ก็เข้าไกล้ ROE เร็ว ถ้าเยอะ ก็เข้าใกล้ ROE ช้า

ถ้าปันผลหมดเลย ก็จะได้กำไรเท่ากับปันผลที่ได้รับ(เพราะบริษัทโตไม่ได้)

แต่นี้เป็นเพียงข้อมูลที่คิดขึ้นใน อุดมคติ เท่านั้นนะครับ

และถ้านึกออก จะเข้าใจว่า ทำไม ท่านบัตเฟต์ ถึงได้ 22% ต่อปี ครับ ^^

Re: ธุรกิจที่ดีกว่าค่าเฉลี่ย

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ พ.ค. 20, 2012 3:10 pm
โดย nut776
มันมีกับดักอยู่นะคับ
น่าจะต้องดู payout ด้วย ถ้า 100% หรือสูงไป
roe ที่สูงจะมีนัยยน้อยลง

Re: ธุรกิจที่ดีกว่าค่าเฉลี่ย

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ พ.ค. 20, 2012 5:01 pm
โดย ohm150
nut776 เขียน:มันมีกับดักอยู่นะคับ
น่าจะต้องดู payout ด้วย ถ้า 100% หรือสูงไป
roe ที่สูงจะมีนัยยน้อยลง
รบกวนคุณ nut776 ช่วงขยายความหน่อยได้มั๊ยครับ
ขอบคุณครับ

Re: ธุรกิจที่ดีกว่าค่าเฉลี่ย

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ พ.ค. 20, 2012 5:27 pm
โดย satori
ข้อสังเกตอีกอย่าง ROE หาร P/B ก็คือส่วนกลับของ P/E ratio นั่นเองครับ

Re: ธุรกิจที่ดีกว่าค่าเฉลี่ย

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ พ.ค. 20, 2012 6:21 pm
โดย nut776
panwasit เขียน:อีกนิดนึง

สำหรับบางบริษัท ก็ต้องระวังนะครับ อย่าง CPALL ADVANC พวกนี้

ดู ROE ยากนะครับ เพราะกำไรมันโต แต่บุ๊คไม่โตตาม เป็นผลให้ ROE มันขึ้นทุกปี

ที่ผมเคยศึกษามาเกี่ยวกับทางนี้นะครับ

1 บริษัทที่ ROE คงที่ทุกปี

2 บริษัทที่ ปันผลทุกปี แต่ไม่หมด เหลือส่วนหนึ่งไปเพื่อ Bookvalue

3 บริษัทจะต้องโตทุกปี (ตามสัดส่วนของ Bookvalue เพื่อให้ ROE คงที่)

เมื่อครบทั้งหมดตามองค์ประกอบ

เมื่อคุณซื้อ คุณจะได้รับกำไรในปีแรก คือ ปันผล

แต่เมื่อระยะยาวมากๆ กำไรที่จะได้รับต่อปี จะเข้าใกล้ ROE

ส่วน % ปันผลเป็นส่วนที่บอกว่า จะเข้าใกล้ ROE เมื่อไหร่

ถ้าปันผลน้อย ก็เข้าไกล้ ROE เร็ว ถ้าเยอะ ก็เข้าใกล้ ROE ช้า

ถ้าปันผลหมดเลย ก็จะได้กำไรเท่ากับปันผลที่ได้รับ(เพราะบริษัทโตไม่ได้)

แต่นี้เป็นเพียงข้อมูลที่คิดขึ้นใน อุดมคติ เท่านั้นนะครับ

และถ้านึกออก จะเข้าใจว่า ทำไม ท่านบัตเฟต์ ถึงได้ 22% ต่อปี ครับ ^^
งง คับ นึกไม่ออก

แต่จะลองอธิบาย ตามที่เข้าใจ
roe เฉลี่ย คือ growth เฉลี่ยแบบ compound ของ equity
การวัดมูลค่าเชิง absolute วิธีนึง (buffetology)คือการใช้
roe หาค่า equity ในอนาคต
แต่วิธีนี้จะต้องหักส่วน ของ payout ออกด้วย
ดังนั้น ถ้า roe สูง แต่ payout 100%
compound effect จะไม่มีผล
roe ที่สูงจึงแค่บอกว่าธุรกิจอาจจะมี margin ที่ดี
แต่อาจจะไม่ได้สร้าง value ให้ผู้ถือหุ้นระยะยาว

Re: ธุรกิจที่ดีกว่าค่าเฉลี่ย

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ พ.ค. 20, 2012 6:23 pm
โดย nut776
ohm150 เขียน:
nut776 เขียน:มันมีกับดักอยู่นะคับ
น่าจะต้องดู payout ด้วย ถ้า 100% หรือสูงไป
roe ที่สูงจะมีนัยยน้อยลง
รบกวนคุณ nut776 ช่วงขยายความหน่อยได้มั๊ยครับ
ขอบคุณครับ
ประมาณข้างบนอะคับ แต่ถ้าสงสัย ถามอีกทีก็ได้

Re: ธุรกิจที่ดีกว่าค่าเฉลี่ย

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ พ.ค. 20, 2012 9:57 pm
โดย chavanakorn
ผมคิดว่ามูลค่าของกิจการ เท่ากับ ความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดของกิจการนั้นในอนาคต โดยส่วนตัวผมใช้หลักการคิดแบบ Lynch ที่กล่าวเกี่ยวกับราคาที่เหมาะสม คือการจ่ายเงินซื้อกิจการในราคาที่สามารถคุ้มทุนภายใน 7-10 ปี เหตุผลที่ต้องเป็น 7 ปี นั้น Lynch ไม่ได้กล่าวว่าทำไม แต่เมื่อเทียบเคียงกับการลงทุนทางธุรกิจก็พบว่าส่วนมากต้องการคุ้มทุนภายใน 3-7 ปี ดังนั้นการมองที่ 7 ปี จะเป็นราคาที่แพงที่สุดที่เราควรจะลงทุน

การประเมินความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดของกิจการนั้นในอนาคต หาได้จาก ?
1.การศึกษาจนเข้าใจลักษณะของธุรกิจนั้น ว่ากระแสเงินสดเข้า และออกอย่างไร กำไรมาจากส่วนไหนบ้าง ซึ่งเป็นแนวทางที่ Buffet ใช้ในการวิเคราะห์ธุรกิจต่างๆที่ท่านเข้าไปลงทุน ซึ่งแน่นอนว่า Buffet จะไม่ลงทุนในธุรกิจที่ตนเองไม่เข้าใจนั้นเอง

2.การประเมินกำไรที่แท้จริงของกิจการ (ผมไม่ได้ใช้ FCF เพราะผมคิดว่าควรคิดจากกำไรที่เป็นอิสระต่างหาก) โดยนำ กระแสเงินสดจากการดำเนินงาน ก่อนการเปลี่ยนแปลงของสินทรัพย์ดำเนินงาน หักออกด้วย ภาษีจ่าย ดอกเบี้ยจ่าย และการลงทุนด้านอุปกรณ์ และเครื่องจักร เพื่อรักษาการดำเนินธุรกิจเดิม ก็จะได้กำไรที่แท้จริงของกิจการ และนำมาหากำไรที่แท้จริงของผู้ถือหุ้น คือหักลบด้วย การชำระคืนเงินกู้ ซึ่งส่วนนี้จะเป็นกำไรที่แท้จริงของผู้ถือหุ้น ในความคิดของผม

3.วิธีการประเมินของผม คือการสมมติฐานสถานการณ์ในการเติบโตของบริษัท โดยส่วนมากผมจะประเมินออกมา 3 เคส คือไม่เติบโต ,เติบโตเท่าค่าเฉลี่ย 5 -10 ปีของบริษัท และเติบโตจาก Story ใหม่ที่ผู้บริหารบอกกล่าวถึงวิสัยทัศน์ของท่านๆในการนำพาบริษัทไปในอนาคต แต่ที่สำคัญในการประเมินโดยใช้ค่าเฉลี่ยก็คือ ลักษณะของตลาดเป็นอย่างไร อยู่ในช่วงไหน ช่วงแนะนำ ช่วงขยายตัว ช่วงอิ่มตัว หรือช่วงถดถอย และก็ประเมินต่อว่าบริษัทจะสามารถเติบโตต่อไปตามค่าเฉลี่ยได้หรือไม่ เพราะว่าปัญหาคือการเติบโตจาก 100 ไป 115 ในตลาดมูลค่า 200 ล้านบาท อาจเป็นไปได้ยากกว่า 100 ไป 115 ในตลาดมูลค่า 5000 ล้านบาท ดังนั้นตรงส่วนนี้เราจึงต้องเข้าใจลักษณะของธุรกิจนั้นๆด้วย เพื่อไม่ให้เราหลงละเหลิงเกินไปในการประเมิน เพราะ Story ของผู้บริหารมักสวยหรูเกินความเป็นจริงเสมอ

ส่วนการประเมินด้านต้นทุนนั้น ผมมักจะใช้ปีที่ต้นทุนสูงที่สุดในการประเมิน แต่ก็ควรดูต้นทุนใน 3 ปีย้อนหลังด้วยว่ามีแนวโน้มอย่างไร ถ้ามีลักษณะสูงขึ้นต้องบวกอัตราการเติบโตในช่วง 3 ปีเพิ่มเข้าไปอีกเพื่อเป็นการ Conservative ด้านต้นทุน โดยส่วนมากกิจการที่ต้นทุนผันผวน ผมมักจะหลีกเลี่ยง เพราะผมไม่สามารถประเมินต้นทุนในระยะยาวได้นั่นเอง

4.เมื่อประเมินแล้วก็ทำล่วงหน้าประมาณ 7-10 ปี โดยพิจารณาเคสที่เป็นไปได้มากที่สุดก่อนคือ ไม่เติบโตเลย (ในกรณีที่ตลาดอิ่มตัว) ถ้าราคา ณ ขณะนั้นอยู่ต่ำกว่าราคาที่ประเมินได้ ผมถือว่ามันน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง แต่ก็ไม่ควรเกินไปกว่าเคสใช้ Story ของผู้บริหารในการประเมิน

โดยส่วนมากผมใช้วิธีนี้ในการประเมินความถูกแพงของบริษัทต่างๆ แน่นอนว่าค่อนข้างใช้ความคิดเห็นส่วนตัวในการประเมินอย่างมาก แต่ก็ขอย้ำไปสู่หลักการเบื้องต้นในการลงทุนของ Buffet คือท่านต้องรู้จักกิจการของท่านเป็นอย่างดี และผมขอเพิ่มเติมว่าสิ่งที่ท่านต้องรู้จักมากที่สุดคือ กิจการของท่านสร้างกระแสเงินสดอย่างไร กำไรของท่านมาจากไหน? และสำคัญคือภาวะอุตสาหกรรมของบริษัทเป็นอย่างไร แนะนำ ขยายตัว อิ่มตัว หรือหดตัว กันแน่ แน่นอนว่าท่านต้องวิเคราะห์ วิเคราะห์ และวิเคราะห์ หลากหลายแง่มุมก่อนตัดสินใจ

ก็ขอแชร์มุมมองเล็กๆน้อยๆนะครับ

โชคดีในการลงทุนนะครับ

Re: ธุรกิจที่ดีกว่าค่าเฉลี่ย

โพสต์แล้ว: จันทร์ พ.ค. 21, 2012 11:39 am
โดย Warantact
ในสูตรที่ใช้ ไม่สนpay out ครับ
เพราะสาเหตุแรก

เราไม่ได้ใช้PE เราดูPB
เมื่อเราเอา ROE มาหาร PB
เราจะได้ผลตอบแทนคร่าวๆต่อปี
ยกตัวอย่างเป็นบริษัทให้เห็นเลยดีกว่า สมมติว่าวาโก้
พอเราดูปุ๊ป
http://www.set.or.th/set/companyhighlig ... country=TH
เราจะเห็นทันทีว่าบริษัทนี้มีคุณภาพต่ำกว่าค่าเฉลี่ย แต่มีความมั่นคงสูง
คือROEวิ่งอยู่แถวๆ 8 ตลอด ราคาซื้อขายตอนนี้ประมาณbookพอดี
ผลตอบแทนที่คุณได้คือ ประมาณ 8%
ถ้าจะดูPay out คร่าวๆด้วยก็ไม่ยาก ผมใช้วิธีลัดคือ
เอา PE คูณกับอัตราผลตอบแทนปันผลเลย
ของวาโก้คือ 12*5 ประมาณ 60%

หมายความว่า ผลตอบแทนคร่าวๆที่เราจะได้ราวๆ 8%นี้
5% เป็นปันผล อีก3%จะไปรวมในbook แค่นี้หละครับ

สูตรนี้ จุดอ่อนก็คืออย่างที่ทุกคนว่า หากเจอพวกโภคภัณท์รอบใหญ่
อย่าง PTL ตัวเลขROEเฉลี่ยจะสูงมาก ทำให้ดูว่าเป็นของถูก
ถึงจะเป็นจุดอ่อนแต่มันก็ไม่ใช่จุดตาย

เพราะเรามีการกระจายลงไป10บริษัท ทำให้การวิเคราะห์ผิดมีความเจ็บปวดน้อยลงบ้าง
10ตัว ผิดไป2 ถูก2 งั้นๆ6 ผลตอบแทนรวมน่าจะออกมา OK
อยู่แถวๆหรืออาจมากกว่าค่าเฉลี่ยเล็กน้อยครับ

Re: ธุรกิจที่ดีกว่าค่าเฉลี่ย

โพสต์แล้ว: จันทร์ พ.ค. 21, 2012 5:06 pm
โดย Oatarm
เขาว่ากันว่า ROE สูง ดี นั่นหมายถึงผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้นสูง ถ้า ROE ต่ำ ก็มักมองไปในทางตรงกันข้าม แต่เมือมองเปรียบเทียบเรื่อง ROE ปีต่อปี ของบิษัทหนึ่งๆ ควรจะมองไปที่สินทรัพย์และหนี้สินของกิจการด้วย ถ้าสินทรัพย์เทียบปีต่อปีไม่ได้เปลี่ยนแปลงเท่าไร แต่ บริษัทมีหนี้สินลดลงมาก ทำให้ส่วนผู้ถือหุ้นโตขึ้นมาก ผลประกอบการอาจจะโตน้อยกว่า อย่างนี้ ROE ก็จะดูต่ำลงกว่าปีก่อน แต่มองให้ลึกลงไป มันต่ำเพราะส่วนผู้ถือหุ้นใหญ่ขึ้น อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนลดลง แบบนี้ผมว่าบริษัทนี้น่าสนใจ

Re: ธุรกิจที่ดีกว่าค่าเฉลี่ย

โพสต์แล้ว: จันทร์ พ.ค. 21, 2012 7:55 pm
โดย nut776
fv = pv x (1+r) ^n

ถ้าให้ equity = pv
r = roe เฉลี่ย (หมายถึงธุรกิจที่มีผลประกอบการสม่ำเสมอ)
n = จำนวนปี

ในกรณีที่ payout 100% roe ที่เกิดขึ้น ไม่ทำให้เกิด compound effect
และอาจจะไม่มีผลในการนำมาคิด
แต่ไม่จ่ายปันผลเลย จะได้เป็น % growth เต็มๆ

หลังจากนั้น fv = equity ใน อนาคต จะเอาไปคูณ คับ ค่า pbv เท่าไหร่ก็แล้วแต่

สมมติฐานต่างกันคับ
ของคุณ warrantact เป็นเชิง relative
แต่วิธีที่บอก คือ absolute คือไม่ได้พึ่งพิงการเปรียบเทียบ ยกเว้นจะหามูลค่าในอนาคต

แล้วแต่ใครจะใช้อะไรยังไงมั้งคับ
ผมก็แค่ลองแปรรูป จาก buffetology มาว่า ทำไม buffet ถึงไม่สนใจ
ราคาตลาด เพราะ ส่วนนึงคือ เขาสนใจ fcf และเงินส่วนของผู้ถือหุ้นแท้จริง
และทำไมถึงให้ความสำคัญ กับ roe (บางคนจะได้ไม่ติดกับดัก roe สูงอย่างดียวอะคับ)

อาจจะไม่ได้ตรงประเด็นว่า ดูหุ้นถูกหุ้นแพง อย่างที่ท่านว่ามา
ก็คงต้องขออภัย

Re: ธุรกิจที่ดีกว่าค่าเฉลี่ย

โพสต์แล้ว: จันทร์ พ.ค. 21, 2012 8:07 pm
โดย nut776
ถ้า pe ของตลาดสูงขึ้น จากสูตรที่ว่า roe ที่ท่านว่าจะถูกหรือแพง ก็ต้องเปลี่ยนไปหรือไม่คับ

จริงๆแล้ว วิธีคิดที่บอกก็คือการ relative อยู่ดี
มันให้ความรู้สึกเหมือน cross class ของ valuationอะคับ
แล้ว เอาไปเทียบกับ roe เฉลี่ย
ผมงงๆ นิดหน่อยอะคับ
หมายถึง กำลังจะบอกว่า ใช้ สกรีน เทียบกับตลาดว่าตอนนั้นซื้อถูกหรือแพง กว่าสภาวะตลาดตอนนั้นใช่หรือไม่
ถ้าใช่ ต่างจากการ เทียบกับ pe pbv ตลาดตรงๆยังไงคับ
หรือ ถ้าเอา pe/pbv ตลาด แล้ว ได้ roe เท่าไหร่
ถ้าบ. ที่สนใจ roeเฉลี่ย สูงกว่าค่าที่หาได้ หมายถึง
ว่าเราบอกได้ว่า เป็น ธุรกิจที่ดีกว่าค่าเฉลี่ย

Re: ธุรกิจที่ดีกว่าค่าเฉลี่ย

โพสต์แล้ว: อังคาร พ.ค. 22, 2012 10:49 am
โดย Warantact
ค่า P/E ตลาดจะเป็นเท่าไรไม่สนครับ

เพราะในระยะยาวมากๆๆ ผลตอบแทนจะอยู่แถวๆ 7-8-9-10-11-12
อยู่ในช่วงนี้ทั่วโลก ในตลาดหุ้นที่มีสภาพกลางๆพอใช้
ซึ่งตลาดไทยก็เป็นเช่นนั้น

ส่วนหุ้นคุณภาพที่ราคาไม่แพงเกินไป คือไม่เกิน1.5เท่าของbook
อันนี้มันบังเอินตรงกับการคำนวณคร่าวๆของผมพอดี
โดยหลักนี้มีมาตั้งแต่สมัยเกรแฮมแล้ว โดยเขียนไว้ชัดเจนในอินเทลิเจนท์นานแล้ว
ตอนแรกๆก็ไม่เข้าใจทำไมต้อง1.5

พออ่าน56-1กับงบการเงินมากๆเข้าถึงเริ่มเห็น

อันนี้ก็แค่สกรีนคร่าวๆเฉยๆ จะลงลึกก็ต้องไปดูลึกๆอย่างที่ทุกท่านว่า
หุ้นที่จ่ายปันผล100%คิดง่าย

อย่างหุ้นช่องสาม ผลตอบแทนก็คือ6%เลย เพราะไม่ลงทุนซ้ำ
ยกเว้นกรณีROEในอนาคตสูงขึ้นได้มากๆ ไอเจ้า6%นี้มันก็อาจมากขึ้น