Thai Value Investor การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุน VI หุ้นวีไอ Webboard

ตามหัวข้อครับ
- ถือต่อ ถ้าพื้นฐานธุรกิจไม่เปลี่ยน ไม่สนราคาตลาด
- ขายหมด เอากำไรไปหาหุ้นตัวใหม่
- ขายบางส่วน รอรับกลับ
ฯลฯ

ทำอย่างไรครับ และมีวิธีคิดอย่างไรครับ

กรรม ขายสิคร๊าบ พี่น้อง

ลองดูพื้นฐานอีกรอบสิครับ มันอาจดีได้มากกว่านี้ก็ได้

ผมเองตัดสินใจจากประเภทของหุ้นที่ถือครับ
อย่างเช่น...
ถ้าหุ้นที่ผมคาดว่ากำไรจะโตต่อได้เรื่อยๆในอัตราที่ผมพอใจ โตไปได้อีกหลายๆปี
แม้ราคาจะขยับเข้าใกล้มูลค่าหรือเกินมูลค่าในปีนี้หรือปีหน้า
แล้วผมยังไม่มีหุ้นตัวไหนหรือการลงทุนใดที่น่าสนใจกว่าผมก็จะถือหุ้นตัวนี้ไปเรื่อยๆครับ

หุ้นอีกแบบหนึ่งคือหุ้นที่รับรู้งานเป็นโปรเจคหรือโครงการโดยรับรู้เป็นรอบๆหรือแค่ครั้งเดียว
เมื่อรับรู้รายได้จากงานนั้นๆแล้ว กำไรจะโตอีกไม่มากหรือไม่โตเลยหากบริษัทฯไม่มีโปรเจคใหม่ๆมารองรับ
หุ้นแบบนี้ผมจะขายทันทีเมื่อราคาเข้าใกล้มูลค่าที่คำนวนได้ครับ

หลังๆมานี่ ผมจะพยามยามเลือกถือหุ้นแบบที่1ครับ
เพราะถือแล้วสบายใจ แถมไม่ต้องตามดูราคามากนักด้วยครับ

มูลค่าที่เป็นจริง อาจไม่เท่ากับ มูลค่าที่เราคิดก็ได้ บางครั้งมีหลายตัวแปรที่เราคาดไม่ถึง ถ้ามั่นใจในกิจการยังมีความสามารถในการแข่งขันอย่างยั่งยืน เติบโตอย่างต่อเนื่อง ก็ถือต่อได้ครับ

คนคอน เขียน:กรรม ขายสิคร๊าบ พี่น้อง

เมื่อถึงเป้า ผมก้ขายครับ

เพราะเป้าหมายมีไว้ พุ่งชน

ปกติผมจะคิดจุดที่จะเริ่มขายไม้แรกกับไม้สุดท้ายไว้ในใจก่อน แล้วใช้วิธีทะยอยขายครับ
เช่น ผมกะๆ eps ปีนี้ไว้ที่ 1-1.2 บาท และประมาณ pe หุ้นตัวนี้จาก business model ไว้ที่ 12-15เท่า
ดังนั้นไม้แรกที่ผมจะเริ่มขายคือที่ราคา 12 บาท และไม้สุดท้ายที่ผมจะขายคือที่ราคา 18 บาทครับ
ส่วนจะแบ่งเป็นกี่ไม้ก็คงขึ้นกับปริมาณที่เราถือและสภาพคล่องในหุ้นตัวนั้น
ที่ว่ามานี่ไม่รวมกรณีที่เราเจอหุ้นตัวใหม่ที่คิดว่าดีกว่าตัวเก่านะครับ



และจากการที่ผมใช้วิธีนี้มาเรื่อยๆ ก็ทำให้ผมค้นพบข้อเท็จจริงบางอย่างคล้ายข้อสรุปของพี่ saichon เลยครับ
คือการใช้วีธีนี้กับหุ้นทั่วๆไปส่วนใหญ่จะเป็นการขายที่ดีครับ
แต่ทุกครั้งที่ทำกับหุ้น super stock มันคือการขายหมูดีๆนี่เองครับ

ผมขายครับ...ไม่โลภเกินความรู้...ถ้าราคาที่แท้จริงแพงกว่ามูลค่าที่เราคิดไว้ ก็ให้ถือว่าความรู้เรามีแค่นี้ครับ จึงคำนวณมูลค่าได้เท่านี้

แล้วแต่ assumption มั้งคับ
มันมีทั้งมิติ ของ ราคา เวลา ชนิดของหุ้น

เป้า 50-100% ครึ่งปีถึงปี หุ้นที่ไม่ค่อยมี growth หรือไม่มีโอกาส เป็น superstock ----> ขาย

เป้า 30% หนึ่งปี หุ้นgrowth -----> ถือ
เป้า 100% สองถึงสามปี superstock ----> ถือ


หลักประมาณนี้ พอได้ไหมคับ

ซื้อเพราะเหตุผลใด ก็ขายด้วยเหตุผลนั้นครับ

nameisnothing เขียน:ตามหัวข้อครับ
- ถือต่อ ถ้าพื้นฐานธุรกิจไม่เปลี่ยน ไม่สนราคาตลาด
- ขายหมด เอากำไรไปหาหุ้นตัวใหม่
- ขายบางส่วน รอรับกลับ
ฯลฯ

ทำอย่างไรครับ และมีวิธีคิดอย่างไรครับ

ของแบบนี้มันก็ตัดสินใจยากนะครับ เพราะผมเองบางทีก็ตัดสินใจลำบากเหมือนกัน

แต่ผมมองว่า ถ้ายังพอร์ตเล็ก ถ้ากำไรขึ้นมาแล้วในระดับที่น่าพอใจ ก็น่าจะขาย แล้วไปหาโอกาสใหม่ เพราะน่าจะเลือกกลยุทธ์ลงทุนในหุ้นที่สร้าง capital gain มากกว่า และระหว่างทางที่ถือก็ได้ปันผลแถมมาด้วย

แต่ถ้าเสียดายหรือกลัวว่า ขายแล้วมันจะวิ่งต่ออีก ก็เลือกแบ่งขายออกไป แต่ถ้าถือไว้ก็กลัวว่ามันจะถอยลงมาแล้วทำให้กำไรหายไป ก็เลือกแบ่งขายออกเช่นกัน

แต่สุดท้ายแล้วผมก็ถือไว้เฉยๆ เก้บเงินไว้รอซื้อเพิ่มตัวเดิมและตัวใหม่ เมื่อดูแล้วว่าราคาน่าสนใจ

ตอนผมซื้อก็ดูแล้วดูอีก ตอนขายนี้ตัดสินยากกว่าตอนซื้อ
ส่วนใหญ่เป็นเพราะความโลภ

แนวทางของผมคือกลับมาดูอีกรอบว่ากิจการที่เราถือนั้น
มันยังดีเติบโตต่อเนื่องอีกหรือไม่ (มูลค่าจะปรับเพิ่มหรือไม่)
ถ้าเติบโตต่อเนื่องต้องไปเปรียบเทียบกับตัวอื่นว่าตัวไหนดี
กว่ากัน ถ้าตัวเดิมดีกว่าก็ยังไม่ขาย แต่ถ้าตัวใหม่ดีกว่า
ก็ขายตัวเดิมซื้อตัวใหม่

อย่างไรก็ตามผมก็ยังขายหมูตลอดครับ

ระวังใจด้วยครับ
เพราะส่วนตัวเคยประมาณว่า

มันมาถึงเป้าได้เร็วขนาดนี้ แปลว่าข่าวที่มีของจริง

ใครๆก็ซื้อ เพราะดีจริงเราประเมินต่ำไป
รออีกดีกว่า

เขยิบเป้าออกไปอีก ถ้าไม่ใช่SuperStock อาจต้องรออีกนานกว่าจะได้ขาย

ยังไงก็ต้องขาย หากยังไม่มีตัวน่าสนใจผมจะขายไปก่อนครึ่งหนึ่ง

เปรียบเสมือน บ้าน1ล้าน แต่มีคนมาเสนอซื้อ 10ล้าน

เราไม่อาจจะรู้แน่ว่าราคาบ้านเราจะต้องใช้เวลากี่ปีมูลค่าจริงๆมันจะถึง 10ล้าน

ยังตอบไม่ได้จนกว่า ..... รู้ว่า

ซื้อมาด้วย mos แค่ไหน
กลยุทธ์การลงทุน
เจอหุ้นที่ดีกว่ารึยัง
กิจการมีคุณภาพแค่ไหน
ราคาเกินมูลค่าแค่ไหน
หุ้นตัวนั้น ๆ เป็นหุ้นประเภทไหน

คร่าวๆแค่นี้ก่อนครับ

ส่วนการขายกี่ส่วน กี่ไม้ เป็นวิธี trading ไม่ใช่การลงทุนครับ

กลับไปที่จุดซื้อที่ซื้อว่าซื้อมาเพราะอะไร
ถ้าซื้อมาเพราะประเมินมูลค่า ณ อดีตแล้วได้ราคานี้
ก็ลองประเมินมูลค่าใหม่ว่า มันสูงขึ้นหรือเปล่า โดยใช้วิธีการเดิม
ถ้าสูงขึ้นจริง ก็ลองถามคนอื่นดูว่ามองอย่างไง (คนเดียวหัวหาย สองคนเพื่อนตาย หลายหัวหน่อยดีกว่า)

ผมมักจะถือไปเรื่อยๆ
จนกว่าจะเจอหุ้นที่น่าสนใจกว่า
ผมถึงจะทยอยขายเพื่อปรับพอร์ต
แต่จากประสบการณ์ หลังจากนั้น
หลายครั้งที่หุ้นตัวเดิม
ให้ผลตอบแทนสูงกว่าหุ้นตัวใหม่

ปล.ไม่ได้แนะนำครับ เล่าให้ฟังเฉยๆ

คงถือไว้ตราบเท่าที่มันยังเป็นธุรกิจที่ดี และมีอนาคตครับ

ส่วนตัวแล้วกันนะครับ ตั้งแต่มาเริ่มเล่นแนว VI

ผมจะชอบซื้อหุ้น 2 แบบ คือหุ้นแข็งแกร่ง แนวๆ Super Stock และ หุ้นเติบโต
ในส่วนหุ้นแข็งแกร่งนั้นผมจะถือตราบเท่าที่กิจการของมันยังดีอยู่ พื้นฐานไม่เปลี่ยน
เพราะหุ้นประเภทนี้ตลาดให้ PE สูงกว่าที่เราคิดมากๆ

หลายๆครั้งมูลค่าเกินที่เราทำ DCF ไว้ แต่ราคาก็ยังไปได้อีกมากๆ
ผมลองขายหุ้นพวกนี้ตอนเกินราคาที่คำนวนไว้ออกไป ท้ายสุดก็ต้องกลับมาซื้อตัวเดิมอีก
จนผมเข้าใจว่า Premium ของราคาที่นักลงทุนยอมรับนั้นมีพลังจริงๆ ทำให้ PE ดันขึ้นสูงจนไม่น่าเชื่อ

ส่วนหุ้นเติบโต ผมชอบเล่นพวกที่มี Story, New Strategy หรือมีการเปลี่ยน Business Model
ที่มันจะทำให้เกิดรายได้ใหม่ๆ ก้อนใหญ่ หรือ เกิด Inorganic Growth เพราะถ้าทำสำเร็จจะทำให้กระทบราคาหุ้นเยอะ

ถ้าบริษัทสามารถทำได้จนตลาดรับรู้กันแล้ว ส่วนมากผมก็จะขายออกไป เพราะก็ยังมีความไม่แน่ใจในราคาที่ปรับขึ้นมาสูงแล้วได้อีก ว่าตลาดคาดหวังมากไปหรือเปล่า ที่สำคัญหุ้นพวกนี้ก็จะคำนวน DCF ได้ยากมากๆ เพราะไม่มีใครรู้ว่ากลยุทธ์ใหม่ที่เกิดขึ้น มันทำเงินให้จริงๆเท่าไรกันแน่

เพิ่มเติมอีกครับ ตอนนี้เริ่มอ่าน Beating The Street มีประเด็นเรื่อง PE ของหุ้นโตเร็วที่ Lynch สรุปมาจากอดีต ว่าส่วนใหญ่ตลาดที่ US จะยอมรับกันไม่เกิน 2.2 เท่าของ PE ตลาด (เข้าใจว่าถ้า PE เฉลี่ยหุ้นไทยที่ 14 PE หุ้น Growth จะยอมรับประมาณ 30 ครับ) น่าจะเป็นอีกตัวแปรที่เราเอามาวัดว่าเมื่อไรต้อง "ขาย" หุ้นที่เราไม่ใจออกไปก็ได้ครับ แต่ส่วนตัวยังไม่เคยใช้เพราะเพิ่งได้ศึกษาเรื่องนี้ครับ

แต่ตอนนี้ผมก็ยังมีขายหมูอย่บ่อยๆครับ

1 ซื้อหุ้นของกิจการที่ดี
2 มีกำไรต่อเนื่องไปในอนาคต
3 ซื้อในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงของกิจการ
4 ผู้บริหารมีคุณธรรมและความสามารถ
5 และถือมันไว้ ตราบที่มันยังเป็นธุรกิจที่ดีอยู่

..................................วอเรนซ์ บัฟเฟตต์