Thai Value Investor การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุน VI หุ้นวีไอ Webboard

ถ้าหาหุ้นที่เราเข้าใจและมั่นใจในคุณภาพได้แล้ว แต่ราคามันแบบว่าไม่ได้ถูกแบบสุดๆและราคาก็ปรับเพิ่มมามากพอควร แต่ก็ยังต่ำกว่ามูลค่าที่คำนวณได้อยู่
เพื่อนๆพี่ๆแต่ละท่านจะทำยังไงกับเงินสดอีกเกือบ 50% ของพอร์ตในกรณีแบบนี้ครับ แชร์แนวทางกันหน่อยนะครับ

ส่วนตัวผมยึดหลักว่า "ตีเฉพาะลูกที่เข้าทางไม้แบบจังๆเท่านั้น" คือผมจำกัดตัวเองว่าปีนึง
ห้ามซื้อหุ้นเกิน 5 ครั้ง ผมก็ไม่รู้ว่ามันจะดีแค่ไหนที่ทำแบบนี้ แต่ที่ผ่านมาก็พอใจ แต่ในใจลึกๆก็คิดว่า เงินสดเหลืออีกตั้ง 50% มันนอนนิ่งอยู่ จะไม่ซื้ออะไรเลยหรือ แต่ก็ยังไม่ได้ซื้อซักที ไม่อยากละเมิดหลักการตัวเอง ไม่รู้ผิดถูกยังไงที่ทำแบบนี้ เพื่อนๆพี่ๆแต่ละท่านละครับ

ขยาย circle of competence ซะครับ ทำได้เท่านั้นหละ ไม่ก็รอ

เห็นด้วยว่าควรรอเฉพาะจังหวะโฮมรัน ดังนั้นถ้าไม่ขยาย circle of competence ก็ต้องมีวินัยสูงมาก อย่าเผลอไปเล่นอะไรไม่ถนัดเท่านั้นครับ

ไม่ต้องได้เพิ่ม แต่อย่าสร้างความเสียหาย

1 เราต้องมีหุ้นที่เราอยากจะซื้อก่อนที่เราจะซื้อ
ถ้าตามแผนของท่าน อยากจะถือเงินสดน้อยกว่านั้น
แล้วยังหาบริษัทลงทุนไม่ได้ ก็ต้องทำการบ้านเพิ่มครับ
2 ตีเฉพาะลูกที่เข้าทางเท่านั้น
แต่ในแง่นึงก็ต้องพิจารณาเหมือนกันว่า
มันมีลูกที่เข้าทางเราน้อยเกินไปหรือเปล่า
3 ตลาดอาจจะแพงไปแล้วจริงๆ
แต่ p/eตลาด ประมาณ 16 เท่า กับผลประกอบการที่ดีขึ้น ,การลดภาษี
คิดว่ายังไม่ถึงขั้นหาหุ้นไม่ได้นะครับ อดทนและพยายามเข้าครับ
หนุกหนานในการลงทุนนะฮะ

“เพิ่งกระจ่างแก่ใจข้า....
ว่าธงของกระบี่หักมิได้บรรจุกรรมวิธีของเพลงดาบสักนิด
ที่แท้มันสำแดงอุดมคติสุดยอดของผู้เชี่ยวชาญการใช้ดาบ”

“การบรรลุความสำเร็จประการแรกคือ
การเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของคนกับดาบ
เมื่อดาบอยู่ในคนแล้วคนอยู่ในดาบ
แม้แต่คมหญ้าก็อาจเป็นอาวุธได้”

“การบรรลุผลสำเร็จประการที่สอง คือ
ดาบนั้นหายไปจากมือแต่ไปอยู่ในหัวใจ
แม้แต่ด้วยมือเปล่า..เขาก็สามารถล้มข้าศึกที่อยู่ห่างออกไป ๑๐๐ ก้าวได้”

“ส่วนขั้นสุดท้ายก็คือ..
การหายไปของดาบทั้งจากมือและหัวใจของเขา
ไปอยู่ในความคิดหมด ไม่มีการฆ่าแต่สงบ
เขาบอกจะไม่ฆ่าแต่นำความสงบมาสู่มนุษยชาติ”


ที่มา
รูป http://www.oknation.net/blog/ChawetView ... 16/entry-1
ข้อความ http://www.visitsurin.com/articles/4196 ... 9B%84.html

การลงทุนแบบ VI เป็น "แนวทาง" ครับไม่ใช่ "วิธีการ"

เห็นด้วยเลยครับที่กรณีแบบนี้ควรขยาย coc ของตัวเอง และทำการบ้านให้มากขึ้น
แต่ผมยอมรับว่าตอนจีบสาวสเปคผมค่อนข้างสูง แบบว่าสาวเดินผ่านมาเท่าไรก็มีไม่กี่คนที่ผ่าน
กะว่าเอาคนที่เป็นแม่ให้ลูกได้เท่านั้น สงสัยผมต้องไปเดินเหล่สาวตามห้างให้มากกว่านี้จริงๆ
ถ้าเจอเป้าหมายแล้วค่อยตามไปดูพ่อแม่เธอว่าเป็นคนดีไหม แต่ถ้าเธอทั้งสวยรวยดี
ส่วนใหญ่ผมพบว่าคนมักเห่อตามจีบเธอเยอะครับ กรณีนี้ผมคงแอบรักเธออยู่ห่างๆ
เฝ้ารอจนกว่าเธอจะไม่เหลือใครที่จริงใจกับเธอ นานเท่าไหร่ผมก็จะรอ เพราะผมจะ
เอาเธอมาเป็นแม่ให็ลูกให้ได้ เมื่อเธอไม่เหลือคนเห่อเธอ สินสอดก็ต้องถูกลงแน่นอน
เมื่อนั้นคงมีแต่ผมที่มองเห็นค่าของเธอ เราจะได้แต่งงานกัน เป็นแม่ของลูกผม
ตราบนานเท่านานครับ ฉะนั้นผมคิดว่า ผมคงดูแลครอบครัวไม่ไหวถ้าผมเจ้าชู้
จีบสาวไม่เลือก แค่3-4 คนผมก็หนักแล้ว และถ้าผมใจเร็วเกินไป
ผมอาจจะเจอไม้งามเมื่อยามขวานบิ่นก็ได้ครับ

ตอนนี้เจอปัญหาเดียวกันอยู่เลยครับ

มีบริษัทหลายบริษัทที่อยากลงทุนเพิ่ม ตอนแรกก็คิดว่ากิจการเขาน่าจะดีเลยซื้อไปแต่ไม่มากเพราะใจไม่ถึงและไม่ชอบความเสี่ยง จึงคิดว่าจะค่อยๆเพิ่มเงินเข้าไป แต่ราคามันกลับวิ่งไปเร็วกว่าที่คิด ตอนนี้ในความรู้สึกของผมมันค่อนข้างแพงประมาณนึงแล้ว แต่ปัญหาก็คือยังเหลือเงินอีกพอสมควรเลยที่นั่งอยู่เฉยๆ

เหมือนกัน.....................













รอ

หาความรู้เพิ่ม
ถ้าวอแรน ยังใช้วิธีคิดแบบเดิมๆ
เค้าห็หาหุ้นไม่ได้เหมือนกัน

ไม่มั่นใจ ก็ไม่ซื้อครับ

ปัญหาน่าจะเพราะัยังไม่มั่นใจพอ เป็นผมคงไปศึกษาซ้ำแล้วซ้ำอีก
ถ้ามั่นใจว่า "ได้แน่" 20% ต่อปี ก็เอาแล้ว(เทียบกับเป้าหมาย20)
ถ้า"ได้แน่ๆๆๆๆๆๆๆ" 10% ก็ซื้อแล้ว ถ้าเห็นโฮมรันตัวอื่น ค่อยย้าย

หุ้นดีๆมันก็ไม่เคยถูก ถ้าหุ้นจะถูกสุดๆ
มันก็ต้องเกิดเหตุเหมือนว่าพื้นฐานได้เปลี่ยนไปแล้ว
ผมก็คงจะต่อราคาลงไปอีกอยู่ดี

ตั้งแต่น้ำท่วมปีก่อน ผมยังไม่ได้ปรับพอร์ทเลย
เดือนก่อนเพิ่มเงินเข้าพอร์ทไป 2-3% พอตลาดลงเพราะยุโรป
ผมก็ซื้่อเลย ซื้อแต่ตัวเดิมๆที่รู้จักดี แล้วมันก็ลงต่อ

แต่ตอนซื้อมองแค่ว่า ราคานี้ได้กำไรเท่าไหร่ ดูแล้วยังเกินเป้าระยะยาว ก็ไม่ต่อมาก

ลองหาทางเลือกอื่นๆในการลงทุนครับ ทอง กองทุนตราสารหนี้ กองทุนต่างประเทศ หรือเปิดบัญชีประเภทกองทุนส่วนบุคคล ที่มีผู้จัดการกองทุนดูแล

netirut เขียน:ถ้าหาหุ้นที่เราเข้าใจและมั่นใจในคุณภาพได้แล้ว แต่ราคามันแบบว่าไม่ได้ถูกแบบสุดๆและราคาก็ปรับเพิ่มมามากพอควร แต่ก็ยังต่ำกว่ามูลค่าที่คำนวณได้อยู่
เพื่อนๆพี่ๆแต่ละท่านจะทำยังไงกับเงินสดอีกเกือบ 50% ของพอร์ตในกรณีแบบนี้ครับ แชร์แนวทางกันหน่อยนะครับ

ส่วนตัวผมยึดหลักว่า "ตีเฉพาะลูกที่เข้าทางไม้แบบจังๆเท่านั้น" คือผมจำกัดตัวเองว่าปีนึง
ห้ามซื้อหุ้นเกิน 5 ครั้ง ผมก็ไม่รู้ว่ามันจะดีแค่ไหนที่ทำแบบนี้ แต่ที่ผ่านมาก็พอใจ แต่ในใจลึกๆก็คิดว่า เงินสดเหลืออีกตั้ง 50% มันนอนนิ่งอยู่ จะไม่ซื้ออะไรเลยหรือ แต่ก็ยังไม่ได้ซื้อซักที ไม่อยากละเมิดหลักการตัวเอง ไม่รู้ผิดถูกยังไงที่ทำแบบนี้ เพื่อนๆพี่ๆแต่ละท่านละครับ

ผมอยากมีเงินเหลือแบบคุณมั่ง ในความคิดผมถ้าคำนวณแล้วยังต่ำกว่ามูลค่า และเป็นกิจการที่ดี มีโอกาสเติบโตในอนาคต

ผมคงซื้อเลย เพราะในระยะยาวมูลค่าก็จะเพิ่มขึ้นตามผลประกอบการ

มันก็พอมีที่ผมมองว่าต่ำกว่ามูลค่า แต่ในจำนวนเหล่านั้นส่วนใหญ่ผมเกี่ยง MOS เลยยังไม่ซื้อ
คือคิดว่า MOS ยังน้อยไป และอีกเหตุผลสำคัญคือส่วนใหญ่ราคามันปรับเพิ่มมามากแล้วในระยะเวลาสั้นๆที่ผ่านมา

ถ้าให้เทียบตอนนี้ผมรู้สึกเหมือนในตอนที่ดูหนังสงครามโบราณเรื่องนึงชื่อ Braveheart ที่ในขณะรบกันนั้น
พระเอกให้ทหารซ่อนหอกยาวไว้เตรียมจัดการกับกองทหารม้าข้าศึกที่วิ่งมาอย่างเร็ว ในตอนนั้นทหารใจสั่นกันหมด
เพราะอยากจะยกหอกที่ซ่อนขึ้นมาซัดม้าศึกของศัตรูเพราะมันวิ่งมาเร็วมาก แต่พระเอกได้แต่พูดว่า
"Hold !!"...."Hold !!"...."Hold !!" ประมาณว่า ยังก่อนๆๆ เขา "รอ" อย่างเยือกเย็น จนม้าศึกศัตรูเข้ามาได้ระยะ
ที่ใกล้มากๆ ซึ่งมั่นใจสุดๆว่า ถ้ายกหอกซัดเข้าไปแล้วมันจะตายเกลื่อน ตายอย่าง "ตีแตก" และมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ

เขาชนะทหารอังกฤษที่มีกำลังมากกว่ามาก ด้วยการ "ตีแตก"

ไม่เห็นยาก ฝากประจำ 3 เดือนช่วยท่านได้ครับพ้ม

เวลาเกิดเหตุร้าย จะได้ถอนๆๆๆๆ มาซื้อๆๆๆๆๆๆ

Suysak เขียน:ไม่เห็นยาก ฝากประจำ 3 เดือนช่วยท่านได้ครับพ้ม

เวลาเกิดเหตุร้าย จะได้ถอนๆๆๆๆ มาซื้อๆๆๆๆๆๆ

SCBTMF ดีกว่า...ไม่ต้องรอครบสามเดือน แถมได้ return สูงกว่าไม่เสีย tax หรือ ฝากไม่ประจำ TMB

netirut เขียน:มันก็พอมีที่ผมมองว่าต่ำกว่ามูลค่า แต่ในจำนวนเหล่านั้นส่วนใหญ่ผมเกี่ยง MOS เลยยังไม่ซื้อ
คือคิดว่า MOS ยังน้อยไป และอีกเหตุผลสำคัญคือส่วนใหญ่ราคามันปรับเพิ่มมามากแล้วในระยะเวลาสั้นๆที่ผ่านมา

ถ้าให้เทียบตอนนี้ผมรู้สึกเหมือนในตอนที่ดูหนังสงครามโบราณเรื่องนึงชื่อ Braveheart ที่ในขณะรบกันนั้น
พระเอกให้ทหารซ่อนหอกยาวไว้เตรียมจัดการกับกองทหารม้าข้าศึกที่วิ่งมาอย่างเร็ว ในตอนนั้นทหารใจสั่นกันหมด
เพราะอยากจะยกหอกที่ซ่อนขึ้นมาซัดม้าศึกของศัตรูเพราะมันวิ่งมาเร็วมาก แต่พระเอกได้แต่พูดว่า
"Hold !!"...."Hold !!"...."Hold !!" ประมาณว่า ยังก่อนๆๆ เขา "รอ" อย่างเยือกเย็น จนม้าศึกศัตรูเข้ามาได้ระยะ
ที่ใกล้มากๆ ซึ่งมั่นใจสุดๆว่า ถ้ายกหอกซัดเข้าไปแล้วมันจะตายเกลื่อน ตายอย่าง "ตีแตก" และมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ

เขาชนะทหารอังกฤษที่มีกำลังมากกว่ามาก ด้วยการ "ตีแตก"

เหลืิอกองซุ่ม ไว้ซัก 10% พอเคลื่อนที่เร็วสิครับ
ทัพหลวง 50% วางไว้ในที่มั่น

สงครามที่พึ่งผ่านไปเมื่อปีก่อน ผมยกหอกเร็วไปบ้่าง(เจ็บไปหลายนาย)
ข้าศึกทะลวงเข้ามาเรื่อยๆ ผมก็เรียกทัพหลวงย้ายมาเสริมทีละนิด
แต่ผลลัพธ์็น่าพอใจ ป่านนี้พลหอกผมก็ยังนอนประจำการอยู่ที่เดิม

ลงหุ้นพันธบัตรไว้ก่อน พวก ไฟฟ้า น้ำประปา ฯลฯ

อาจจะไม่เกี่ยวกับกระทู้เท่าไหร่นักนะครับ

ผมไปอบรมที่ประเทศมาเลเซียมา
ระหว่างที่เดินช็อปปิ้งอยู่กับน้องๆที่ไปอบรมด้วยกัน
มีน้องคนนึงเห็นร้าน "บาจา" แล้วถามขึ้นว่า...
"อ้าวทำไมรองเท้าของไทยถึงมาขายที่มาเล???"

เท่านั้นแหล่ะครับ
ผมเปิดฉาก Talk Show เล่าทุกอย่างเกี่ยวกับ Bata ที่ผมพอรู้มา
เช่นว่า เป็นบริษัทฯของ เชคโกสโวลาเกีย แล้วย้ายไปตั้ง สนญ. ที่แคนาดา
เข้ามาเมืองไทยกว่า 100ปี ด้วยสโลแกนที่คุ้นหูว่า "บาจา รู้เฟื่องเรื่องรองเท้า" ฯลฯ

จนน้องเค้าเอ่ยปากถามว่า พี่เป็นเจ้าของบาจาหรือเปล่านี่ ทำไมรู้เยอะจัง?
ผมตอบเบาๆแค่ว่า "พี่ก็เคยเป็นแค่ผู้ถือหุ้นคนนึง...เท่านั้นเอง"

ก่อนปิดฉากสนทนาลง
ผมยังแอบคิดในใจว่า "นี่ถ้าอยากรู้เรื่องถุงน่อง เชอรีล่อนนะ ให้พี่พูด 1 ชม. พี่ก็เล่าให้ฟังได้นะ"
(ไม่นับรวมธุรกิจ Oil&Gas ที่ผมจับตามองแบบไม่กระพริบอีกนะ อันนั้นทั้งวันก็พูดได้ครับ)

สำหรับผมแล้ว
ซื้อหุ้นแล้ว...ต้องมี "ความสุข"
ซื้อหุ้นแล้ว...ต้องรู้สึก "ภาคภูมิใจ" และพร้อมจะบอกเล่า Story ต่างๆทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคตให้กับคนรอบข้างได้
ซื้อหุ้นแล้ว...ต้องสามารถรู้สึกในใจได้ว่า "หุ้นที่เราเลือก" นั้น เกือบจะดีที่สุด หรือมีโอกาสเติบโตสูงที่สุดในตลาดหลักทรัพย์ครับ

หุ้นที่ผมเลือกแล้ว...ผมต้องรู้สึก "Crystal" ในใจของผมเท่านั้นครับ
และผมก็จะไม่สนใจว่า ใครจะรู้สึกอย่างไรกับบริษัทฯของผม

เรื่อง passion เกี่ยวกับหุ้นที่ถือของคุณ pak นี่ ผมว่าเป็นที่ 1 เลยครับ

ระดับของ passion ควรจะสอดคล้องกับคุณภาพของหุ้นด้วยนะครับ

ไม่งั้นเป็นกลายการ anchoring เจอ mental trap ทำให้ "ยึดติด" เกินควร ลงเหวเลยทีนี้

multipleceilings เขียน:ระดับของ passion ควรจะสอดคล้องกับคุณภาพของหุ้นด้วยนะครับ

ไม่งั้นเป็นกลายการ anchoring เจอ mental trap ทำให้ "ยึดติด" เกินควร ลงเหวเลยทีนี้

จริงครับ สำคัญที่โจทย์ อยากเพิ่มมูลค่าพอร์ต
หรือ อยาก เพิ่มมูลค่าทางจิตใจ