โค้ด: เลือกทั้งหมด
หุ้นปันผลสูงดีกว่าหุ้นที่ไม่จ่ายปันผลหรือไม่
ผู้เขียน ดร.ธนภูมิ ดำรักษ์, CFA
ผู้จัดการกองทุนสินค้าโภคภัณฑ์ และผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ
Email : [email protected]
วันที่ 12 กันยายน 2555
นักลงทุนในหุ้นส่วนใหญ่มักจะชอบหุ้นที่จ่ายปันผลสูงด้วยเหตุผลหลายประการ เช่นต้องการเงินสดจากการลงทุนเพื่อนำมาใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน หรืออาจจะชอบการได้รับดอกเบี้ยที่สม่ำเสมอเช่นที่ได้รับจากการฝากธนาคาร
อย่างไรก็ตามการลงทุนในหุ้นปันผลนั้นมีข้อดีและข้อควรระวังดังต่อไปนี้
ข้อดี
1. บริษัทที่จ่ายเงินปันผลมักจะเป็นบริษัทที่มีกำไรและมีกระแสเงินสดเป็นบวก
2. บริษัทที่จ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ ยิ่งถ้ามีการเพิ่มการจ่ายเงินปันผลอย่างต่อเนื่อง มักจะแสดงให้เห็นว่าเป็นบริษัทที่มีความแข็งแกร่งและมีความมั่นคงสูง
ข้อควรระวัง คือ อัตราเงินปันผลตอบแทนในระดับที่สูงนั้น จะสามารถคงอยู่ได้ในระยะยาวหรือไม่ซึ่งสามารถสังเกตได้จาก
1. ถ้าบริษัทมีกำไรสม่ำเสมอไม่ผันผวนมากจนเกินไป
2. อัตราการจ่ายเงินปันผลเมื่อเทียบกับกำไรสุทธิ (Dividend Payout Ratio) ต่ำ นั่นก็หมายความว่าถึงแม้บริษัทจะจ่ายเงินปันผลออกมาแล้วโดยหักจากกำไรสุทธิ ก็ยังมีเงินเหลืออยู่อีกส่วนหนึ่งซึ่งอาจเก็บเอาไว้เป็นส่วนของผู้ถือหุ้น หรือนำไปลงทุนต่อเพื่อขยายกิจการก็ได้ การที่บริษัทนี้ยังมีเงินเหลือทำให้ถ้าในอนาคตกำไรลดลงเป็นครั้งคราวบริษัท จะยังสามารถคงการจ่ายเงินปันผลเอาไว้ได้
3. บริษัทมีงบดุลที่แข็งแกร่ง โดยมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน หรือหนี้สินต่อรายได้ต่ำ และมีเงินสดอยู่มาก ทำให้มีสภาพคล่องสูงในการที่จะจ่ายเงินปันผลออกมา
4. บริษัทไม่ได้มีแผนลงทุนที่จะต้องใช้เงินจำนวนมากในอนาคตอันใกล้
ถ้าบริษัทมีคุณสมบัติ 4 ข้อที่กล่าวมาก็น่าที่จะรักษาระดับการจ่ายเงินปันผลไว้ได้
แสดงว่าถ้าบริษัทไม่มีนโยบายจ่ายเงินปันผลจะเป็นบริษัทที่ไม่ดีใช่หรือไม่?
คำตอบก็คือ ขึ้นอยู่กับว่าบริษัทนำกำไรส่วนที่เหลือที่ไม่ได้จ่ายปันผลเอาไปทำอะไร
ทั้งนี้มีบริษัทชั้นนำระดับโลกมากมายที่ไม่เคยจ่ายเงินปันผลเลยเช่นบริษัท Google เป็นต้น
จริงๆ แล้วในการรับเงินปันผลนั้นมีข้อเสียก็คือนักลงทุนจะต้องเสียภาษีเงินได้ส่วน บุคคลด้วย นอกเหนือจากภาษีเงินได้นิติบุคคลที่บริษัทจะต้องจ่ายอยู่แล้วจากกำไรของ บริษัทในแต่ละปี
ดังนั้น ถ้าบริษัทเก็บเงินที่แทนที่จะจ่ายปันผลเอาไว้แล้วนำไปลงทุนในโครงการที่ ทำให้เงินลงทุนนั้นงอกเงยขึ้นก็จะทำให้ผู้ถือหุ้นของบริษัทมีความมั่งคั่ง เพิ่มมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่นถ้าบริษัท A และ B มีกำไรหลังหักภาษีเท่ากันคือ 100 บาท
บริษัท A ตัดสินใจจ่ายเงินปันผลออกมาทั้งหมด 100 บาท สมมุติผู้ถือหุ้นบริษัท A ต้องเสียภาษีเงินได้ 20% ดังนั้นจะเหลือเงินอยู่ 80 บาท ผู้ถือหุ้นนำเงินนั้นไปฝากธนาคารได้ดอกเบี้ย 3% ผ่านไป 1 ปีได้เงินมา 82.40 บาท
ส่วน บริษัท B ไม่ได้จ่ายปันผล แต่นำเงิน 100 บาทไปลงทุนต่อ สมมุติบริษัท B มีผลตอบแทนของส่วนผู้ถือหุ้นอยู่ที่ 20% ในอีก 1 ปีถัดมา บริษัทจะมีเงินทั้งหมด 120 บาท โดยที่ผู้ถือหุ้นยังไม่ต้องจ่ายภาษีเงินได้ส่วนบุคคลตราบเท่าที่บริษัทยัง ไม่ได้จ่ายเงินปันผลออกมา
จะเห็นได้ว่าผู้ถือหุ้นของบริษัท B จะมีความมั่งคั่งมากกว่าผู้ถือหุ้นของบริษัท A แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสมมติฐานที่ว่าผู้บริหารของบริษัท B มีความสามารถในการหาโอกาสในการลงทุนให้ได้ผลตอบแทน 20% ต่อปีซึ่งสูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝาก (ทั้งนี้ยังไม่รวมผลของภาษี)
โดยสรุป ก็คือ ในกรณีที่บริษัทไม่ได้จ่ายเงินปันผลออกมานั้น นักลงทุนจะได้รับผลประโยชน์ก็ต่อเมื่อผู้บริหารสามารถนำเงินกำไรจากผลประกอบ การไปลงทุนต่อเพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่สูง โดยเราสามารถสังเกตุได้จากอัตราส่วนผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (Return on Equity) หรือ ผลตอบแทนจากการลงทุน (Return on Invested Capital) ซึ่งถ้าค่าเหล่านี้สูงก็แสดงให้เห็นถึงความสามารถของผู้บริหารในการมองหา โอกาสในการลงทุนที่ดี นอกจากนี้เรายังต้องเชื่อมั่นว่าผู้บริหารมีความซื่อสัตย์และจะไม่นำเงินของ บริษัทไปใช้เพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวหรือไปลงทุนในโครงการที่ไม่ก่อให้เกิดผล ตอบแทนแก่ผู้ถือหุ้นในระยะยาว
ถ้าเราไม่มั่นใจในประเด็นเหล่านี้ บริษัทที่มีการจ่ายเงินปันผลก็อาจจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า