Thai Value Investor การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุน VI หุ้นวีไอ Webboard

เรียนเพื่อนๆนักลงทุนเน้นคุณค่าทุกคนน่ะครับ
วันนี้ผมได้โทรคุยกับคุณ ดนุ สุขวัจน์ ผู้อำนวยการอาวุโสของบริษัทภัทร ลิสซิ่ง ถึงแนวทางการเพิ่มทุน (ทีแรกขอคุยกับคุณพิภพ แต่คุณพิภพ ติดประชุม) ซึ่งข้อมูลในการพูดคุยก็ดังนี้น่ะครับ
Eupatcha: ผมเป็นผู้ถือหุ้นบริษัท จะขอรบกวนคุยเรื่องวิสัยทัศน์ แนวทางในการเพิ่มทุนของบริษัทด้วยน่ะครับ เพราะ ณ วันนี้ D/E จะใกล้ 4.75 เท่าแล้ว
คุณดนุ: เราก็คุยๆกันอยู่ครับ แต่ยังไม่มีสรุป แต่ ณ ปัจจุบัน DE เราก็ 4 กว่า คงยังไม่มีในระเวลาอันใกล้ เพราะเราก็พยายามเพิ่ม E อยู่แล้ว แต่ถ้ามียังไงก็ต้องขอมติผู้ถือหุ้นในปีหน้าครับ
Eupatcha: ก็ใช่ครับ แต่จากที่ผมตามการเติบโตของบริษัท หุ้นกู้ของบริษัท ในปีหน้า ไตรมาส 2-2556 หลังจากที่เราจ่ายปันผลออกไปแล้ว D/E อาจจะเกินหรือปริ่มๆ คงยากที่จะเลี่ยงเลี่ยงได้
ถ้าอย่างนั้นผมขอนำเสนอแนวทางการเพิ่มทุนได้ไหมครับ
1. อยากให้เพิ่มทุน แบบค่อยเป็นค่อยไป เช่น 2:1 หุ้น ราคาใช้สิทธิก็คงแล้วแต่กรรมการ (แต่ผมกลับมาคิดอีกที มันเยอะไปไหมนี่ )
2. อยากให้ออก Warrant ด้วย และให้หมดอายุช่วงที่จะเพิ่มทุนครั้งต่อไป จะได้ไม่ต้องเดือดร้อนผู้ถือหุ้นมากเกินไป
คุณดนุ: โอเคครับ ถ้าผู้ถือหุ้นนำเสนอ เราก็จะนำ Idea นี้ ไปพิจารณา ขอบคุณมากน่ะครับ
Eupatcha: รบกวนคุณดนุ นำเสนอแนวทางที่ผมเสนอ ส่งต่อให้คุณพิภพด้วยน่ะครับ และผมขอ Refer คุณดนุ ในการประชุมในปีหน้า ผมจะได้ตามต่อว่าผมฝากพิจารณาแล้ว แล้วผลเป็นอย่างไรบ้าง
คุณดนุ: ได้ครับ ขอบคุณครับ

ประเด็นที่จะมาถามเพื่อนๆนักลงทุน(เฉพาะคนที่ถือหุ้น Pl) คือ เห็นด้วยกับแนวทางนี้ไหมครับ หรือมีแนวทางอย่างอื่นไหม ถ้ามีผู้ถือหุ้นรายย่อยเยอะและมีแนวทางอย่างอื่น เราก็อาจจะรวบรวมนำเสนออีกครั้งก็ได้ครับ

ผมคิดว่า การปันผลออกมาให้ผู้ถือหุ้น และให้ผู้ถือหุ้นนำเงินกลับเข้าไปเพิ่มทุน
มันดูค่อนข้างเป็นตรรกะ ที่ซ้ำซ้อน และไม่ได้ทำเพื่อผู้ถือหุ้นอย่างแท้จริง แถมอาจถูกใช้ข้อมูลไปแบบ insider

เช่นเวลาปันผลออกมาเป็นเงินโอน หรือเช็คก็เกิดค่าใช้จ่าย เพื่อให้เงินถึงมือผู้ถือหุ้น เวลาเพิ่มทุน ผมไม่แน่ใจว่าต้องผ่านโบรกรึเปล่า ก็เกิดค่าใช้จ่าย และเมื่อประกาศเพิ่มทุนยังไงราคาหุ้นก็ต้องตกแบบตระหนก เกิดแต่ผลเสียต่อผู้ถือหุ้น

และดูไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย

ในลักษณะของบริษัทที่สามารถทำกำไรเป็นเงินได้จริง ไม่ควรเลือกทางนี้ และการเพิ่มหนี้ไม่ได้สร้างกำไรที่สูงขึ้นอย่างชัดเจน เพราะหนี้สินเพิ่มมากแต่กำไรไม่โตมาก
การเพิ่ม E แบบ หุ้น hmpro เป็นทางที่น่าสนใจที่สุด

นั่นคือไม่ต้องปันผลเป็นเงินสด แต่ทำให้เงินสดยังคงอยู่กับบริษัทโดยปันผลเป็นหุ้น
วิธีนี้ไม่ซ้ำซ้อน E ของบริษัทก็เพิ่มขึ้นอย่างปกติ ปันผลเป็นหุ้น ก็ยังคงเครดิตภาษีได้ โดยถ้ามีแนวโน้มปรับลดภาษีลง ก็ควรจะ ปันผลส่วนที่ได้เครดิตภาษีสูงออกมาก่อนเพื่อประโยชน์ต่อผู้ถือหุ้นโดยเฉพาะรายย่อย

ถ้าบริษัทได้กำไร 250 ล้าน และไม่ปันผล DE ที่ 4 ก็พอ จะเพิ่ม debt ได้ max ที่ 1000 ล้านบาท
หรือ ถ้า เก็บเงินไว้ 200 ล้าน ปันผลเงินสด 50 ล้าน de ที่ 5 ก็พอ จะเพิ่ม debt ได้ max ที่ 1000 ล้านบาท
และการปันผลลักษณะนี้ ไม่สร้างตระหนก ซึ่งทำให้ราคาตกรุนแรง แต่ยังสร้างความคึกคักให้กับหุ้นด้วยซ้ำ
แต่การขยาย ผมอยากขอให้กังวลให้มาก ว่าไม่ใช่สักแต่ว่าขยายเพื่อที่ 1 (แต่ก็อยากให้เป็นที่1) ความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น ไม่ใช่สิ่งดี มีวิกฤตขึ้นมาจะแก้ยังไง แผนเพื่อรองรับ roa และ roe จะต้องเป็นเป้าหมายด้วยนะครับ

ถ้าดูยังไง Pl ไม่จำเป็นต้องให้ผู้ถือหุ้นเพิ่มทุนเป็นเงินสด แต่มีสิทธิ์ที่จะไม่ปันผลออกมา และถ้าสามารถขยายกิจการ กำไรที่ดี การไม่ปันผลออกมาก็ไม่ใช่เรื่องเสียหาย ขอให้ roe ไม่ต่ำลงนะครับ

แต่ทั้งหมดของการตัดสินใจมันคงขึ้นอยู่กับผู้มีส่วนได้เสีย ตามที่ผมดู ผลตอบแทนก็ผู้บริหารก็มีตัวเลขสูงขึ้นมาก ในปีหลัง ยังไงก็ช่วยใช้การตัดสินใจที่ยังดีที่สุดต่อผู้ถือหุ้นด้วยนะครับ

อ่านข้างบนแล้ว ก็ ขอ ปันผลเป็นหุ้นแล้วกัน.......หาอัตราส่วนให้ออกมา เท่า ๆ กัน ผู้ถือหุ้นไม่เดือดร้อนหาเงินมาเพิ่มทุน.... บริษัทฯ ไม่ต้องจ่ายเงินออก เงินคงอยู่ที่บริษัทฯ ผมชอบวิธีนี้มากที่สุด

สงสัยว่าธุรกิจ operation lease แบบ PL นี่เพดาน D/E ที่เหมาะสมควรเป็นเท่าไหร่เหรอครับ และใครเป็นคนกำหนด เห็น rating หุ้นกู้ก็ยังดีอยู่

kin เขียน:สงสัยว่าธุรกิจ operation lease แบบ PL นี่เพดาน D/E ที่เหมาะสมควรเป็นเท่าไหร่เหรอครับ และใครเป็นคนกำหนด เห็น rating หุ้นกู้ก็ยังดีอยู่

ความคิดของผม D/E น่าจะแถว 3 เท่าก็จะปลอดภัยกว่า ผมคิดว่า คณะกรรมการเป็นผู้กำหนดมังครับ... แล้วให้ กรรมการผู้จัดการไปทำ...ผมคิดของผมเองนะครับ อาจผิดก็ได้

มาคุยเรื่องเพิ่มทุน หุ้นตกเลย

PlมีD/e3.9เท่า
KcarมีD/e1.44เท่า
ถ้าเอาอย่างคุณลุงขวดคือแจกหุ้นปันผลไม่จ่ายเงินสด
D/eไม่ลดครับเพราะeเท่าเดิมแค่เปลี่ยนจากกำไรสะสม(ลดลง)มาเป็นส่วนทุนเจ้าของ(เพิ่ม)แทน
เปลี่ยนกระเป๋าซ้ายมาไว้ขวา

ขอบคุณทุกคำแนะนำน่ะครับ
แรกๆผมว่าจะรอไปประชุมผู้ถือหุ้นแล้วค่อยเปิดประเดินกับคณะกรรมการบริษัท แต่ตามที่ผมบันทึกไว้การกู้ยืมเงินเร่งตัวมากขึ้น จากวันที่ 11 ก.ค. 2555 กู้ผ่านหุ้นกู้และตั๋วเงินรวม 5530 ล้านบาท แต่ แต่ ณ วันที่ 7 พ.ย.2555 กู้เงินผ่านหุ้นกู้และตั๋วเงินรวม 6765 ล้านบาท ซึ่งเป็นการกู้ผ่านช่องทางนี้ทำให้หนี้สินเพิ่มขึ้น 1235 ล้านบาท ซึ่ง มันจะทำให้ DE เร่งตัวไปได้ถึง 0.63 (ไม่ได้รวมEที่จะเพิ่มขึ้นจากกำไร และ Dที่จะไม่เพิ่มเต็มวงเงินเพราะอาจจะเอาไปทดแทนเงินกู้จากธนาคารบางส่วน) ซึ่งถ้าปันผลออกไปในปีหน้า 2556 มันก็ปริ่ม D/E 4.75 ดังนั้นผมต้องเปิดประเด็นก่อน ก็เพื่อ
1. ป้องกันการตระหนกเกินไป เมื่อบริษัทประกาศเพิ่มทุนจริงๆ เพราะผมว่าหุ้นตัวนี้ VI ก็น่าจะถือเยอะ ฉะนั้น VI รู้ ตอนประกาศจริง VI เราก็คงจะช่วยป้องกันการ Panic ได้บ้าง (ช่วยๆกันน่ะครับ)
2. แจ้งความกังวลนี้ไปยังผู้บริหารบริษัทและเสนอแนะแนวทางไปยังผู้บริหารถึงทางเลือกที่เหมาะสมที่สุด
สำหรับคำแนะนำของคุณ areliang และคุณลุงขวด สำหรับปันผลเป็นหุ้น ผมจะแจ้งผู้บริหารในอาทิตย์หน้าถึงแนวทางนี้น่ะครับ แต่ผมว่าน่าจะยาก เพราะ
1 บำเหน็จคณะกรรมการถูกผูกไว้กับปันผล คือในปี 2552 มติประชุมผู้ถือหุ้นสรุปว่า บำเหน็จของคณะกรรมการห้ามจ่ายเกิน 5%ของเงินปันผล ผมว่าคณะกรรมการคงจะคิดหนัก เพราะในงบได้บันทึกบำเหน็จในรายไตรมาสไว้แล้ว และเค้าจ่ายมาทุกปี คงจะยากที่จะยกเลิก
2 นโยบายปันผลเค้าชัดมากที่จะจ่ายในระดับสูง และได้จ่ายมายังผู้ถือห้นโดยตลอด จนเป็นประเพณีที่ผู้ถือหุ้นเสียงน้อยๆอย่างเรายากจะเปลี่ยนแปลง
3 ผู้ถือหุ้นใหญ่อยู่ในรูปบริษัท ที่ผมสังเกต บริษัทในที่ผู้ถือหุ้นใหญ่อยู่ในรูปบริษัทมักจะจ่ายเงินปันผลอย่างสม่ำเสมอ พวกบริษัทเหล่านี้เค้าจะตั้ง Budget ไว้ว่ารายรับเท่าไหร่ รายจ่ายเท่าไหร่ เค้าคงไม่ Vote ให้เพราะกระทบ Budget เค้า

ขอบคุณคุณ Kin ที่เปิดประเด็น ทำให้ผมพบทางออก
สำหรับคำถามน่ะครับ D/E ของหุ้นกู้ช่วงแรก จะกำหนดให้ D/Eไม่เกิน 4.75 เหลือไม่กี่ตัวครับ เช่น PL132A,PL147A แต่กระทบไปถึงปี 56 หุ้นกู้ที่ออกช่วงหลังๆ D/E กำหนดห้ามเกิน 5 ไปค้นหาตาม Link น่ะครับ มีแน่นอน แต่อาจจะค้นลึกหน่อย
http://www.thaibma.or.th/
คำถามต่อมา ความเหมาะสม กำหนดจากอะไร
น่าจะเกิดจากประเพณีจากผู้บริหารชุดเก่า เพราะสินทรัพย์ให้เช่าพึ่งมาเร่งตัวใน 5 ปีหลัง ตอนนั้นคงคิดว่า 4.75-5 เท่าก็เหลือเฟือ
ผมเทียบ TK Rating A- Stable D/E <7 ความเสี่ยงคือลูกค้าเป็นบุคคลธรรมดา
Pl Rating A- Positive D/E<4.75 และ 5 ความเสี่ยงน้อยกว่าเพราะเป็นนิติบุคคล
ผมจะเปิดประเด็นนี้กับผู้บริหารว่า Rating เราดีกว่า ลูกค้าเราก็ดีกว่า และลึกๆแล้วรูปแบบการเช่ามันก็คล้าย Finanace Leasing เหมือนๆกัน ทำไม D/E เราเข้มงวดกว่าเขา เราจะลองให้ผู้บริหารไป Study เพิ่ม D/E ครับ
D/E เพิ่มอีก 2 เราก็กู้เงินได้เพิ่มอีก 4000 ล้านบาท แต่รอบนี้คงไม่ทันครับ เราแก้ของเก่าไม่ได้ ต้องเริ่มที่หุ้นกู้ตัวใหม่ ฉะนั้นถ้าเราขอเขาให้ปันผลเป็นห้นไม่ได้ ผมจะเสนอให้เขาพิจารณา
1 เพิ่มทุนเป็นแบบ 3:1
2 แจก warrant อายุยาวๆ
3 หุ้นกู้ตัวถัดไปให้ศึกษา D/E<7 เท่า TK เพราะเรา Rating ดีกว่า

สำหรับ E น่ะ ผมมองว่าไตรมาส 3/2555 กำไรจะเริมดีขึ้น ผมสมติฐานจากรถหมดสัญญาจะเพิ่มเป็นเท่าตัว
ตัวอย่างสัญญาเช่า
Asset Cost 14XX,XXX
Lease Payment 2X,XXX
Purchase Option 3XX,XXX

ถ้าผมวิเคราะห์ถูก ในไตรมาสนี้จะมีการขายรถที่หมดสัญญาเช่าเพิ่มเป็น 2 เท่าจากปรกติ คือขายเพิ่มอีก 150 – 200 ล้าน
หรือเราจะเห็นรถยนต์รอขายมากขึ้นเพราะยังระบายไม่ทัน ถ้าใช่ผมจะมาแชร์ต่อ แต่ถ้าไม่ใช่เจอกันอีกทีวันประชุมผู้ถือหุ้นน่ะครับ

ขอบคุณทุกข้อเสนอแนะอีกครั้งน่ะครับ

ผมว่า ที่คุณ eupatcha เปิดประเด็นมา เป็นเรื่องสำคัญมาก ขอความกรุณาย้ายไปที่ห้อง PL จะดีกว่า (ย้ายข้อความไปทั้งหมดครับ) เพราะข้อมูลจะได้อยู่ในห้องนี้ ถ้าอยู่ข้างหน้านาน ๆ ไป จะหายไปจนติดตามยาก ขอพระคุณทุกท่านครับ

เห็นด้วยครับว่าควรย้ายไปห้องร้อยคนร้อยหุ้น ของ PL ...... ถ้าใครอยากตามไปอ่านต่อก็กรุณาสมัครเป็นสมาชิกของสมาคมของเราด้วยนะครับ..... เสียเงินไม่กี่ร้อยบาทจะได้ความรู้เพิ่มอีกมากทีเดียวครับ

สรุปแล้วผมก็ผิดน่ะครับ เพราะการที่เค้ากู้เงินเพิ่มขึ้นเยอะเพราะเป็นการโยกจากกู้ยืมระยะยาวจากสถาบันการเงินเป็นหุ้นกู้ระยะยาว เห็นได้จาก D/E,Q2-55=3.96 เป็น D/E,Q3-55=4.005 ถ้าเป็นดังนี้โอกาสที่ D/Eจะเกิน 4.75 คงไม่เกิด (อาจจะถึงจนหุ้นกู้หมดอายุ) จากนั้นก็จะใช้ D/E <5 แทน(ปี 2557) ดังนั้นคงจะไม่มีการเพิ่มทุน ตามที่ผู้บริหารบอก แต่ยังไงแล้วผมก็คงจะ Raise ในที่ประชุมผู้ถือหุ้น ทั้งเรื่องการขอเพิ่ม D/E และกำไรที่ไม่โตขึ้นเลย
ก็ขออภัยนักลงทุนทุกท่านด้วยน่ะครับ

ผมว่าถ้าจุดหมายตอนนี้ของบริษัท ถ้ามันคือเป็นที่ 1 ของตลาด ผมว่าก็ทำได้ดี แต่ก็มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น ทั้งจาก หนี้ และ ลูกค้า

แต่ว่าถ้าได้เป้าแล้ว ก็อยากให้สนใจตรงการเพิ่มผลกำไรขึ้นไปด้วย โดยไม่สร้างหนี้เกินจำเป็น

จากจุดได้เปรียบหลายๆอย่าง ผมว่าถ้าจัดการได้ดี มีเทคนิคดีๆ บริษัทก็ไม่น่าแพ้ใครนะ

แต่มีเรื่องเงินเดือนผู้บริหาร ที่ปีหลังๆ เพิ่มขึ้นมาก

และก็กลัวเรื่องความประมาท ที่อยากโตมากๆ เพราะ เวลาปล่อยทรัพย์สินให้เช่าได้ ก็จะต้องมีการประกันภัย ซึ่งรายได้ส่วนนี้ ผู้ถือหุ้นใหญ่เมืองไทยประกันภัยน่าจะเป็นผู้ได้ประโยชน์ไม่มากก็น้อย แต่น่าจะมาก

ผม copy ข้อความทั้งหมดไปห้อง PL แล้วนะครับ กรุณาคุยกันต่อในห้องเลยครับ ข้อมูลจะได้อยู่ที่เดียวกันทั้งหมด ขอบคุณครับ