Thai Value Investor การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุน VI หุ้นวีไอ Webboard

ถ้าผมเก็บเงินก้อนใหญ่ๆ แล้วรอตอนตลาดหมี
ไปซื้อหุ้น เบอร์กไชร์ 1 หุ้น แล้วถือยาว
อย่างงี้น่าจะได้ผลตอบแทนที่โอเคไหมครับ

sendo เขียน:ถ้าผมเก็บเงินก้อนใหญ่ๆ แล้วรอตอนตลาดหมี
ไปซื้อหุ้น เบอร์กไชร์ 1 หุ้น แล้วถือยาว
อย่างงี้น่าจะได้ผลตอบแทนที่โอเคไหมครับ

ถ้าเป็นผม จะหาหุ้นที่จะเป็นเบิกไซด์ตัวต่อไป

เพิ่งไปอ่านหนังสือthe valueinvestors
ในนั้นมีประวัตินักลงทุน"นอกสายตา"(หรือไม่เป็นข่าวบ่อย)
มีเอเชียหลายคน
พบว่ามีบริษัทบริหารกองทุนในฮ่องกงชื่อthe valupartners
บริหารกองทุน(แบบแวลลู?)มายี่สิบปี ตอนนี้ใหญ่ที่สุด
และการเติบโตทบต้นดีมาก สไตล์คล้ายปีเตอร์ ลินช์
ผู้บริหารเป็นคนมาเลย์ย้ายไปฮ่องกงเป็นนักหนังสือพิมพ์เศรษฐกิจมาก่อน
สไตล์คล้ายๆกับอ.ในที่นี้หลายคนครับ

ไม่รู้ว่าจะเป็นหุ้นเบิร์กชาย(ที่ไกล้ที่สุด)ได้มั้ย

แต่ใจจริงก็อยากให้มีโต้โผจัดตั้งกิจการคล้ายเบิร์กชายในไทยนะ
จะได้ขอเกาะไปด้วย

ในเมืองไทยก้มีครับ แต่คนไม่ค่อยเห็น คุณค่า

กิจการแข็งแกร่งทนแดดทนฝน ทนลมปันผลตลอดทุกปี

แม้ในช่วงแฮมเบอร์เกอร์ไครซิส ก้ยังผลการดำนเนินงานไม่หดมาก

ถ้าผมเป็น วอเรนท์ บัฟเฟต ผมก้จะซื้อ (ถ้ายอมขายถูกมานะครับ)

ความแข็งแกร่งและความสามารถของกิจการ ในช่วงเวลาที่ งานเลี้ยงใกล้ 24.00 ต้องมาอันดับแรก


นกดีต้องรู้จักเลือกกิ่งไม้เกาะ นักลงทุนที่ดี ต้องรู้จักหาหุ้นที่เกาะ ได้ ยาม ภัยมา

ประเด็นคือWarren Buffet และ Charlie Munger ที่เป็นคนขับเคลื่อน BRT ตลอด 50 กว่าปีที่ผ่านมา
จะอยู่ต่อได้อีกนานแค่ไหน ในเมื่อตอนนี้ Buffet ก็อายุปาเข้าไป 82 ปีแล้ว ส่วน Munger ก็ 88 ปี ดังนั้น
เราควรเรียนรู้หลักการเค้าแล้วบริหารเงินทุนด้วยตนเองดีกว่า ถ้ายังไม่เจอกองทุนที่มีความสามารถระดับนั้น

มีหุ้นตัวไหนบ้างครับในตลาดหุ้นไทยครับทีมีกำไรสม่ำเสมอแต่ปกติไม่จ่ายปันผลเอากำไรที่ได้ไปลงทุนต่อไปเรื่อยๆ
แต่ราคาหุ้นก็ขึ้นไปได้อย่างสมำ่เสมอ. เหมือน หุ้นเบอร์กไชร์ครับ

neong เขียน:มีหุ้นตัวไหนบ้างครับในตลาดหุ้นไทยครับทีมีกำไรสม่ำเสมอแต่ปกติไม่จ่ายปันผลเอากำไรที่ได้ไปลงทุนต่อไปเรื่อยๆ
แต่ราคาหุ้นก็ขึ้นไปได้อย่างสมำ่เสมอ. เหมือน หุ้นเบอร์กไชร์ครับ

ลองมองแล้วคิดดีๆสิครับ

ลูกค้าก้เหมือนเค้ก คนไหนเบอร์1ในอุตสาหกรรมก้กินเค้กก้อนใหญ่ รายใหม่ก้กินเค้กก้อนเล็ก

แล้วลองคิดว่า ถ้าเกิดวิกฤติ ใครมันจะรอดระหว่างเบอร์1 เบอร์2 และคนมาใหม่

หน้าที่ของเราคือ ยืนข้างคนชนะ ในอุตสาหกรรมครับ

ในอุตสาหกรรม ไม่มีปรานี เมื่อเบอร์2 ล้ม เบอร์1ก้ยิ่งดี

เมื่อเบอร์1ล้ม เบอร์2ก้มาแทนที่

เหมือนสงคราม ใครชนะก้เขียนประวัติศาสตร์

หน้าที่ของ VI คือ เลือกถือหุ้นข้างที่จะชนะ ในราคาที่(ถูก แบกะดิน)

เบอร์กไซร์ อดีตอยู่ในตารางไหน ปัจจุบันอยู่ในตารางไหนครับ

ผมว่า เบอร์ไซร์ อยู่ตาราง stars ถ้าบ้านเราก้มี cpall ที่จัดเป็น growth stock

แต่อนาคต


ธุรกิจใดๆก้ตามที่ข้าม เส้น cash cows ไปได้แล้วสามารถ โตได้ในระดับสูง

เค้าก้คือ ดาวคนต่อไป

นี่เอง จึงเป็นเหตุผลที่ บัฟเฟตซื้อหุ้นเบอร์กไซร์ ลองมาดูครับ

แค่คำนี้ ก้บอกได้แล้วว่า เค้ามองแบบไหน

หุ้นที่เริ่มมาก่อน และเป็นเจ้าตลาดอยู่มานาน ผ่านมากี่ร้อนกี่ฝนกี่หนาวก้ยังคงอยู่ได้

ถ้าไม่นับหุ้น บลูชิบ

ลองหาดูครับ เหลือใครบ้างที่ผ่านทั้งสงครามอิรัก ปัญหาดอทคอม ต้มยำกุ้ง

911 ซัพไพรม์

และยังครองแชมป์ได้ ในอุตสาหกรรม

ถ้าเปรียบกับนักลงทุนหุ้นก้ คงเหมือน นักลงทุนที่ผ่านร้อนผ่านหนาว และยังสามารถรักษา

ผลตอบแทนได้ระดับที่ดีตลอด

ถ้าเปรียบเทียบกับนักมวยก้ คงเทียบได้กับ ร้อกกี้ มาเชียโน่ ที่ชนะตลอดไม่เคยแพ้ใคร

จนได้ทำเป็นหนัง

ผมเชื่อว่า ถ้าวอเรนท์บัฟเฟต อยู่ที่เมืองไทย เค้าจะต้องซื้อหุ้นแบบเดียวกับที่เค้าซื้อ

คือ หุ้นน่าเบื่อที่เรารู้ว่า กิจการรายได้เป็นยังไง และอีก50ปีเป็นยังไง

ร้อกกี้ มาเชียโน่ ไม่เก่งเท่าไหร่หรอก
เพียงแต่เค้าผิวขาวคนขาวก็เลยยกย่องเกินเหตุ

CARPENTER เขียน:ร้อกกี้ มาเชียโน่ ไม่เก่งเท่าไหร่หรอก
เพียงแต่เค้าผิวขาวคนขาวก็เลยยกย่องเกินเหตุ

เค้าอาจจะไม่เก่ง แต่เค้าก้ต่อยชนะตลอดครับ เหมือนคนเก่งๆก้ไม่จำเป็นต้องเล่นหุ้นแล้ว
ประสบความสำเร็จ คนที่ชนะและไปยืนบน hall of frame บางทีก้ต้องใช้มากกว่า
คำว่า เก่ง ครับ

คนเก่งอาจจะมี IQ>คนอื่น แต่ตลาดหุ้น IQอาจจะสำคัญ < EQ
ถ้าคนเก่งได้กำไรหมด นักบัญชี และ นักวิเคราะห์ก้ร่ำรวยกันหมด สิครับ

ร๊อคกี้ สอนผมได้ว่า การต่อยมวยไม่เก่งไม่ได้แปลว่า จะน๊อคคู่ต่อสู้ไม่ได้

มวยและการลงทุนเหมือนกัน

คือ ต่อยคู่ต่อสู้ให้ลงไปกองนับ 10 ได้ ก้ถือว่า ชนะครับ

สไตล์ใครสไตล์มัน มวยที่ใครปรามาทไม่ดี แต่ต่อยชนะย่อมเป็นมวยที่ดี(แต่ไม่มีคนเห็น)

คุณค่า ครับ

ในความคิดผมนะครับ "อัตตาหิ อัตตโน นาโถ" เป็นคำที่ไม่เคยเก่าเลยครับ ลองตั้งเป้าไปเลยครับว่าเราจะลงทุนเพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่ดีใน 5 ปี แต่เราต้องเริ่มหาความรู้และทดลองลงทุนครับ อาจจะผิดไปบ้าง แต่พอร์ทไม่น่าเสียหายมากเกินไป ได้ความรู้มาด้วย น่าจะดีกว่าครับ พอพ้น 5 ปีไปแล้ว เราจะไม่ต้องกลัวว่าเศรษฐกิจแบบนี้ กองทุนที่ซื้อจะเป็นอย่างไรต้องขายหน่วยลงทุนไหม ต้องปรึกษาเพื่อนๆ คนอื่นๆ รอบๆ ตัว (ก็เราลงทุนเอง รู้เอง แม้จะพลาดหนักๆ ก็ยังสบายใจ เพราะเราทำเองเต็มที่แล้ว)
แล้วคุณจะมีทั้ง wealth ภายนอก และความสุขจากภายในครับ