Thai Value Investor การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุน VI หุ้นวีไอ Webboard

มีเรื่อง ปรึกษาครับ

ตอนนี้ ผมได้ศึกษาเกี่ยวหุ้นมาทำการลงทุน ประมาณ 2 ปีแล้วครับ
ตอนเข้ามาปีแรก ก็มีทั้ง ขาดทุนบ้าง กำไรบ้าง
ปัจจุบัน ลงทุนโดยใช้ ปัจจัยพื้นฐานในการตัดสิน ครับ

ตอนนี้ ผมมีปัญหาว่า
มีหุ้นตัวนึงที่ผมถืออยู่นั้น (ถือมาประมาณ 1 ปี) ราคา ขึ้นมาเร็วมาก จนเกินราคาพื้นฐานของมันที่ผมคำนวณไว้ เพิ่มขึ้น 150% ภายในระยะเวลา 2 อาทิตย์
สิ่งที่ผมทำ คือพยายามวิเคราะห์ว่า สาเหตที่หุ้นขึ้นมาเพราะอะไร
สิ่งที่ผมได้คำตอบคือ พื้นฐานของกิจการเปลี่ยน เนื่องจากบริษัท ได้ทำการขยายการลงทุนเพิ่มขึ้น
หลังจากนั้น ผมก็ได้ทำการศึกษาธุรกิจใหม่ที่บริษัทได้ทำการลงทุนเพิ่มขึ้นนั้น จะมีความสามารถในการทำกำไร ต่อหุ้นเท่าไหร่
หลังจากผมคิดวิเคราะห์แล้ว พบว่ารายได้ของบริษัทเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
ผมจึงได้ทำการคำนวณหามูลค่าพื้นฐานของบริษัทแล้วพบว่า ราคา ณ ปัจจุบันยังไม่ได้สูงกว่าพื้นฐานมากนัก

แต่สิ่งที่ผมประสบปัญหา คือ กำไรที่ผมได้ 150% อาทิตย์ที่แล้ว ลดลงมาเหลือ 100 % ในวันนี้
ผมยังคงรู้สึกเสียดายกับกำไรที่หายไป
อยากสอบถามพี่พี่ ใน บอร์ด Thaivi ว่าถ้าเจอประสบการณ์อย่างนี้ ทางพี่ๆ มีวิธีในการจัดการอย่างไรบ้างครับ

ปล. เป็นหุ้นที่ได้กำไร > 100 % ตัวแรกครับ
ในพอร์ตผมถืออยู่ 3 ตัว แต่ตัวนี้ ผมถือ 70% ของ port ครับ

http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=1&t=54227 ดูในส่วนของวิธีขาย ผมว่าก็เป็นแนวคิดที่ดีครับ

ไม่มีใครขายราคาสูงสุดได้หรอกครับ...ทำใจกับตรงนี้ก่อน

ส่วนวิธีนั้น จะใช้คลายเครียดเรโช...หรือทยอยขายไปก้อนนึง แล้วปล่อยให้มันวิ่งไปในส่วนที่เหลือก็ได้

อย่าปล่อยให้กำไรกลายเป็นขาดทุน กำอุนจิดีกว่ากำตด อย่าโลภ

ดูดีๆ ศึกษาดีๆ อย่ามี ไบแอส นะครับ

หากเป็นราคา รวมความคาดหวังในอนาคตไปแล้วหลายๆปี ก็ควรขาย
หากดีจริง มันอาจเป็นหุ้น 1000% ก็ได้

ตั้งอยู่บนหลักการและเหตุผล ให้หลุดจากอารมณ์โลภ อารมย์กลัวครับ

การตัดสินใจทั้งหมดควรอยู่ที่ตัวเองเป็นหลักนะครับ

โชคดีครับ

ผมว่าการตัดสินใจขายหุ้นที่ราคาขึ้นมามากๆ นี่ทำใจยากเหมือนกันนะ
ตัวผมเองก็เสียโอกาสไปเยอะเหมือนกัน ส่วนใหญ่ที่ขายก็เพื่อปรับพอร์ตมาซื้อตัวที่ราคาลดลง ซะมากกว่า

เราต้องดูว่าหุ้นขึ้นเพราะความคาดหวัง หรือ ขึ้นเพราะกำไรออกมาดี
ถ้าผลประกอบการดีจริงราคาก็กลับไปยืนที่เดิมหรือมากกว่าเดิมเองหล่ะครับ (ถ้าไม่มีวิกฤติ)

ต้องคำนวณมูลค่าออกมา ถ้ามันเกินมากๆ upside เหลือน้อย

MOS ที่คำนวณมาเหลือขาย เข้าข่ายกรณีนี้เป็นผม ผมขายครับ

หุ้นหลายเด้งก็ดี แต่ถ้าได้พอร์ตหลายเด้งนี่น่าสนใจกว่า

จะซื้อขายหุ้นตัวนี้ ไม่เกี่ยวกับว่า อดีตขึ้นมา 150% แล้วหรือตกลงไปอีก 50 % แต่ขึ้นอยู่กับว่าอนาคตเป็นอย่างไร หากยังมี upside อยู่พอสมควรในตลาดที่ร้อนแรงขนาดนี้ และไม่มีหุ้นตัวอื่นที่พิจารณาแล้วดีกว่า ก็ถือต่อได้ครับ เพราะ ณ วันนี้เราก็ยังพยากรณ์ไม่ได้ว่าตลาดจะขึ้นหรือจะลงในช่วงสั้นๆครับ อยู่ที่ว่าหุ้นยัง under value หรือไม่ ระวังที่สุดคือ อย่าเด็ดดอกไม้แล้วสะสมวัชพืชแทนครับ

VFFL เขียน:จะซื้อขายหุ้นตัวนี้ ไม่เกี่ยวกับว่า อดีตขึ้นมา 150% แล้วหรือตกลงไปอีก 50 % แต่ขึ้นอยู่กับว่าอนาคตเป็นอย่างไร

ผมว่า เหมือนคุณ VFFL ว่าเลยครับ
เป็นคำธรรมดามากๆ แต่เป็นหลักข้อหนึ่งของการลงทุน VI และการลงทุนทุกอย่าง
ลงเงินวันนี้ เพราะประเมินอนาคต ว่ามีอนาคต มี cash flow มีกำไร
พระเอกของคุณ รูปหล่อนิสัยดีอนาคตดี แชมป์กีฬา สุขภาพกายดีสุขภาพจิตดี ไม่มีอุปสรรคของชีวิต อาจมีคนเข้าใจผิดบ้างบางเวลา หรือหวังสูงเกินไปบ้างบางเวลา แต่ระยะยาวอนาคตคนให้ราคาสูงเป็นปกติเอง


ตอนนี้ ราคามันตกมากเพราะพื้นฐานเปลี่ยนหรือเปล่าล่ะครับ หรือตอนขึ้นมาครั้งก่อนใครไปทำอะไรกับมันผิดธรรมชาติ
บริษัทยังมีอนาคตที่ดีรึเปล่าล่ะครับ
เราดูแต่เสียดายราคาเคยขึ้น-ลง ไม่ได้ผิดหลักศาสนาหรือเป็นบาปนะครับ เพราะเงินคุณเอง ใครก็ตำหนิคุณไม่ได้ เพียงแต่ไม่ใช่หลัก VI ปกติเท่านั้นเอง
ถ้าเราขายทิ้ง เพราะแค่ราคาตก โดยที่อนาคตยังดีอยู่ และไม่มีธุรกิจอื่้นที่ดีกว่าให้เราลงทุน
จะกลายเป็นเก็งกำไรโดยใช้วิธี VI แทนไป



ในเมื่อกำลังตัดสินใจ ถามคำถามกับตัวเอง หาข้อมูลประกอบใหม่ "ประเมินกิจการนี้ใหม่" วันนี้เลย ทำเหมือนตอนตัดสินใจซื้อ

- ของมันยังดีอยู่หรือเปล่า? กลับมาพื้นฐานทั้งเชิงคุณภาพเชิงปริมาณ ก่อนดูมูลค่าตาม ราึคาเรื่องรอง
ดูคุณภาพประกอบเชิงตัวเลข

- การเดินทางของคุณ คุณกำลังรู้สึกอยากจะเปลี่ยน "พาหนะ"
กลับมาถามก่อนว่าหาลำใหม่ที่เจ๋งกว่านี้ได้หรือยัง?

ถ้ายังดี และหาใหม่ไม่ดีกว่า = ถือต่อ
ถ้ามันแย่ แล้วหาใหม่ดีกว่าสุดๆ = รีบขายทิ้งไปเกาะยานใหม่
ถ้ามันแย่ แล้วหาใหม่ไม่ดีกว่า = รีบขายทิ้ง กำเงินสด


เดี๋ยวขายไปเพราะอารมณ์ชั่ววูบ เดือนถัดไปราคามันเด้งกลับมาหุ้นใหม่ก็ราคายังไม่ไปไหน คุณก็จะกลับมาท้อ แล้วมารู้สึกเสียดายอีกนะ




ปล. 1 "ขายไป เดือนถัดไปราคามันเด้งกลับมา" ผมเคยได้บทเรียนมา่แล้วมาแล้ว ขายหมูไปซื้อกระบือ
ปล. 2 เดือนที่ผ่านๆ มา ผมเพิ่งซื้อหุ้นตัวหนึ่งเพิ่มจำนวนมีนัยสำคัญกับ port แต่ผมดูกราฟกับเขาไม่เป็นเลยได้จังหวะราคาสูงกว่าชาวบ้าน ตอนนี้ราคาตก
จึงสรุปว่า bottom line ผม: - ส่วนทีีมีเดิมกำไรลด - ส่วนที่ซื้อเพิ่มยังถือว่าขาดทุนอยู่ = ตัวเลขที่หดรวมซื้อเก๋งได้คันนึง
แต่อนาคตผมคาดการณ์โดยประมาณจากโครงการและการเติบโต ว่ามันไปไกลกว่านี้
ผมถือต่อ ไม่สนใจตัวเลขปัจจุบัน ไม่เสียดายที่หดไป เพราะลงไปมันก็กลับมาอย่างที่เคยเป็นมาไม่รู้กี่ครั้ง .... ไม่ใช่ความเชื่อหรือไสยศาสตร์นะ

vidkung เขียน:แต่สิ่งที่ผมประสบปัญหา คือ กำไรที่ผมได้ 150% อาทิตย์ที่แล้ว ลดลงมาเหลือ 100 % ในวันนี้
ผมยังคงรู้สึกเสียดายกับกำไรที่หายไป
อยากสอบถามพี่พี่ ใน บอร์ด Thaivi ว่าถ้าเจอประสบการณ์อย่างนี้ ทางพี่ๆ มีวิธีในการจัดการอย่างไรบ้างครับ

"นักลงทุนแบบวีไอ"...เราเหมือนนักเทนนิสเล่นถนัดบน "คอร์ทดิน(Clay court)"ครับ ซึ่งคอร์ทดินจะมีคุณสมบัติทำให้บอลกระดอนช้า
เสมือนหนึ่งว่า...ราคาเปลี่ยนแปลงไม่หวือหวา หรือราคาเปลี่ยนแปลงตามผลประกอบการที่แท้จริง

"นักเก็งกำไร หรือ เจ้ามือ"...เค้าถนัดคอร์ทปูน(Hard court)ครับ แล้วพอดีเค้าลากเราลงมาแข่ง Tournament เดียวกับเค้าอ่ะนะครับ
ลูกบอลจะกระดอนเร็วมาก...เสมือนราคาเปลี่ยนแปลงอย่างหวือหวา!!!

คนถนัดคอร์ทดิน มาเจอ คอร์ทปูน...ก็ไปไม่เป็นซิครับ
...เพราะมันอยู่นอกเหนือความถนัดของเรา


ดังนั้น...
จงเข้าใจธรรมชาติของมัน และปรับหัวใจเราให้เข้าใจมันอย่างลึกซึ้ง
"ตัดความกลัว ลืมความโลภ"
...และที่สำคัญ "สายตา...จ้องมองที่ลูกบอลเพียงอย่างเดียว" ครับผม

^ ^

ชอบกระทู้นี้มากๆๆคะ เพราะกำลังประสบปัญหาเีดียวกันกับเจ้าของกระทู้เลย มีแต่คนมาบอกให้ขายทิ้ง เราก็คิดหนักจะขายดีหรือเปล่านะ ขายไปก็ไม่รู้อีกอะวาจะลงจริงหรือเปล่า หรือว่าจะขึ้นไปจนซื้อไม่ได้ แล้วจะไปเอาควายมาเลี้ยงอีกหรือเปล่า สรุปว่าเราไม่ต้องสนใจราคาปัจจุบันใช่ไม๊คะ ดุแต่ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร

เมื่อได้เด้งแรก เดี๋ยวเด้งต่อไปจะตามมาเองละ
เป็นกำลังใจละครับ

ผมเจอปัญหาที่ตรงข้าม ครับ ขายไปแล้วมันวิ่งไปต่อ...กำไร 40% ขาย แต่ มันวิ่งไป 100% ....

แต่ก่อนผมสงสัยว่า ที่ warren buffet ว่า ระยะการถือครองหุ้นที่โปรดปรานที่สุด คือ ตลอดไป ผมก็งงๆ ว่าถ้าถือหุ้นตลอด แล้วไม่ขาย จะทำกำไรได้ยังไงหว่า ต่อเมื่อได้ลงทุนหุ้นมาเป็นระยะเวลายาวนานพอสมควร ถึงจะเข้าใจประเด็นนี้ครับ (เหมือนกับ กฎเหล็ก 2 ข้อ กว่าจะเข้าใจงงตั้งนาน) เพราะมูลค่าที่แท้จริง ของบริษัทที่ดี และแข็งแกร่งจริงๆ นั้น ปรับขึ้นตลอด

ยกตัวอย่างอย่างหุ้น Mint ที่ผมถือมานานมาก ตั้งแต่ยังเป็น RGR ราคาหุ้นไม่ถึง 3 บาท จำได้ลางๆว่าช่วงนั้นซื้อ เพราะเห็นว่าธุรกิจแข็งแกร่ง ราคาไม่แพง PE ประมาณ 12 เท่า EPS ประมาณ 0.25 ผลประกอบการค่อนข้างดีตลอด อัตราการเติบโตของกำไรสูง มีสะดุดบ้างช่วงที่มีเหตุร้ายต่างๆ เช่น น้ำท่วม สึนามิ เสื้อเหลือง เสื้อแดง แต่ทุกครั้ง บริษัทก็สามารถกลับมาทำยอดขายและกำไรสูงขึ้นเรื่อยๆ ตอนเริ่มลงทุน ก็ซื้อๆขายๆ แทนที่จะมีกำไรเป็นกอบเป็นกำ ก็เลยได้ไม่เท่าไหร่ ไปๆมาๆ ต้นทุน ประมาณ 9 บาท T_T

ตอนที่ผมซื้อ ผมคิดว่า PE สัก 15 เท่า น่าจะเป็น Fair value หุ้นน่าขึ้นได้ถึง 3.75-4.00 บาทได้ไม่ยาก พอหุ้นขึ้นไปถึง 5-6 บาท ผมก็เลยขายออกไปบางส่วน ต่อมา EPS ปรับเพิ่มขึ้นมาเรื่อย มาเป็น 0.40-0.50 ถ้าคิดโดยหลักเดิม PE 15 เท่า ราคาน่าจะได้ถึง 6-7.50 พอถึงประมาณ 7 บาท ผมก็ขายออกไปอีก จากนั้น EPS ก็ขึ้นไปอีกเป็น 0.60 คราวนี้หุ้นขึ้นไปถึง 18 บาท เห็นมั้ยครับว่า ราคา Fair value หรือ ราคาเป้าหมายเอาเข้าจริงแล้วมัน เปลี่ยนแปลงได้ตลอด ดังนั้น ผมคิดว่าจุดสำคัญ อยู่ที่ให้ดูที่ผลประกอบการเป็นหลัก อย่าสนใจราคามากนัก หากผลประกอบการยังดี ยังแข็งแกร่ง มีศักยภาพในการเติบโตในอนาคต ให้ถือหุ้นต่อไปเรื่อยๆ แล้วจะมีโอกาสเห็น 1 เด้ง 2 เด้ง 3 เด้ง หรือแม้กระทั่่ง 10 เด้ง จะมียกเว้นบ้าง กรณีที่หุ้นขึ้้นแบบบ้าคลั่ง PE 40-50 เท่า ถ้าแบบนั้น ก็คงน่าขายครับ

ผมอยากเจออย่างงี้มั้งจังไอ้ขึ้นเป็น100เปอร์ภายในไม่กี่วันนี่..เพราะผมมีวิธีจัดการง่ายกว่าหุ้นที่ร่วงผมว่างั้นนะการขายคือกำไรทำใจง่ายกว่าขาดทุน..เป็นเรื่องธรรมดาจริงๆ0.0

ถ้าบริษัทนั้นยังดีอยู่ อย่าพึ่งขายครับ
ต่อให้มันเลยราคาประเมินของเราแล้วก็ตาม เราไม่รู้ว่าตลาดจะพาขึ้นไปถึงไหนครับ อย่าพึ่งรีบขาย

อีกอย่าง ตัวเลขที่เราประมาณมันก็ไม่แน่ไม่นอนเสมอไปครับ (แต่ตอนซื้อ Play safe นิดนึงก็ดีครับ)
ปีหน้าถ้ากำไรพุ่งพรวด ราคาก็ต้องประเมินกันใหม่แหล่ะครับ ราคา Max มันไม่แน่ไม่นอนจริงๆครับ

ถ้าไม่มีอะไรมากระทบกับ ความสามารถในการทำกำไรของบริษัท อย่างถาวร ก็ถือไปเถอะครับ ราคามันก็ขึ้นๆลงๆไปงั้นแหล่ะ
อย่าไปคิดว่า ถ้าเราขายตอนนั้นนะ จะกำไรเท่านี้ ไม่งั้นเครียดตายครับ มันก็ขึ้นๆลงๆกันทุกตัวทั้งตลาดนั่นแหล่ะครับ ไม่งั้นเราไม่ต้องมานั่งเครียดนึกเสียดายกันทุกตัวเลย ฤ

ถ้าเราลืมเรื่องต้นทุนหุ้นที่ซื้อมา ปัญหาดังกล่าวจะไม่เกิด

เมื่อผมซื้อหุ้นแล้ว จะคิดแต่ว่าเราเป็นเจ้าของหุ้น S กี่หุ้น เป็นเจ้าของบริษัทอยู่กี่เปอร์เซ็นต์

จะขายหุ้นเมื่อ

1. เราวิเคราะห์พลาด ประเมินพลาด

2. ราคาหุ้นสูงเกินพื้นฐาน

3. มีการลงทุนอื่นที่ดีกว่า

4. เหตุการณ์ สภาพแวดล้อมเปลี่ยน จนทำให้พื้นฐานของบริษัทแย่ลง

โดยไม่ได้คำนึงเลยว่า กำไรเท่าไร ขาดทุนเท่าไร