Thai Value Investor การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุน VI หุ้นวีไอ Webboard

เวลาวิเคราะห์หุ้น โดยส่วนตัวแล้วผมคิดว่า mos ต้องประมาณ 30 % ถึงจะตัดสินใจซื้อ โดยเฉพาะในเวลานี้ที่หาหุ้นถูกๆยากมาก เคยอ่านพบว่า vi ระดับโลกส่วนใหญ่จะใช้ที่ 50 % เลยอยากถามว่าแต่ละท่านใช้กันกี่% ต่อการถือครองกี่ปีครับ ขอบคุณครับ

ของผมส่วนใหญ่จะประมาณ 50 เปอร์เซ็นต์ ในการถือ 2ปีครับ
(mos 50 เปอร์เซ็นต์ เท่ากับอัพไซด์ 100 เปอร์เซ็นต์)

หากเจอหุ้นที่ชอบแต่อัพไซด์ไม่ถึงที่ว่า ถ้ามีเงินอาจซื้อนิดหน่อยเอาไว้ติดตามครับ

ถามคำถามนี้ ก็เหมือนกับถามว่า ขับรถบนทางด่วนใช้ความเร็วเท่าไหร่ดีครับ?

คำตอบที่ได้ ก็จะต่างกันไปในแต่ละคน ขึ้นกับจิตสำนึกในการเคารพกฎ นิสัยส่วนตัวว่าใจร้อนใจเย็น ประสบการณ์ในการขับรถ ประสบการณ์ในการใช้เส้นทาง สภาพแวดล้อมในแต่ละช่วงเวลา ฯลฯ

สุดท้ายก็คือ ต้องอาศัยประสบการณ์และเรียนรู้จากนิสัยตนเองครับ

หากพบบริษัทที่มีโอกาสที่กำไรจะเติบโตขึ้นแบบก้าวกระโดดและโตแบบมีคุณภาพ หากเราพอมองเห็นภาพก็ซื้อเลย MOS ไม่ดูเลยครับ เพราะประเมิน earning ไม่เป๊ะอยู่แล้ว

ผมดู MOS ไม่เป็นด้วยอ่ะครับ เพราะตัวเองประเมิน upside ไม่แม่นยำ

ถ้า downside risk ไม่มีเลย บางที MOS ประมาณ 20% ก็ซื้อครับ

แต่ถ้าปกติก็ประมาณ 30-50%

20% ขึ้นไปครับ ถ้าซื้อแล้วหุ้นขึ้น จน mos เหลือต่ำกว่า 20% จะหยุดซื้อครับ ต่อให้เก็บหุ้นไม่ครบก็หยุด

สำหรับผม MOS ที่ 50% ซื้อบางส่วน หากราคาลงมาอีกซื้อเพิ่มสะสมไปเรื่อยๆ สำคัญที่หุ้นไม่ควรทำจุดต่ำสุดใหม่ เมื่อหุ้นหยุดเป็นขาลงและเปลี่ยนเป็นขาขึ้นหยุดซื้อ หรือซื้อเพิ่มบางส่วน แล้วรอขายที่ราคาเป้าหมาย

ตัวอย่างประกอบการตัดสินใจครับ
ดึงข้อมูลค่าจากโพล แล้วไล่ mos ให้ เลยในตัวที่ยอดนิยม มีน้องช่วยทำครับ

http://mybirdgallery.com/mos/

แนวคิดคือ หุ้นใหญ่ยังไงผมก็สู้นักวิเคราะห์ ไม่ได้ (ด้วยความสามารถผม) ทั้งเขามีเวลา เข้าถึงข้อมูลและประเมิณมูลค่า เหนือกว่า อย่ากระนั้นเลย ใช้โพลนักวิเคราะห์เลยดีกว่า แนวคิดอาจจะแปลกๆหน่อย แต่ช่วยได้

แอบทำฐานข้อมูลนี้ ซ่อนๆ อยู่ 2 ปีแล้ว ถึงการเวลาเปิดเผยซะที ยังไงช่วงนี้ช่วงปล่อยของ
(แต่ น่าเสียดาย หลังจากผมออกจาก รพ ลิงค์ นี้คงต้องปิดลง เพื่อปรัับปรุงพัฒนา ตามแนวคิดที่ดีขึ้น) เลือกเอาเลยครับ ว่าตัวไหน mos ประมาณไหน อัพเดตวันละครั้ง ตอนค่ำๆ ด้วยระบบ อัตโนมัติ

ข้อระวัง
บางครั้ง ตลาด ก็คีย์ผิดครับ เคยพบตัวหนึ่ง คีย์จาก 56 เป็น 86 ต้องระวังตรวจรายละเอียดอีกที
ข้อระวังที่สอง
บางครั้ง นักวิเคราะห์ก็ประเมิณพลาด เช่น banpu ที่ต้องยอมรับว่า พลาดทั้งประเทศ (อันนี้ต้องยอมรับ เพราะเป็นเราก็คงพลาด้หมือนกัน)
ข้อระวังข้อที่ 3
บางที บทวิเคราะห์ น้อยไป ก็ไม่ใช่โพลครับ บางทีอัพช้าหีือมีอันเดียว ก็ต้องดู อาจเป็นโอกาศก็ได้นุ

mos ต่างจาก upside ยังไงอะคับ

คิดว่า...
upside คือ ระยะทาง
ส่วน mos คือระยะเบรค ครับ

Mos หรอ ไม่ไม่แน่ใจว่า ราคาที่ซื้อมันมีmos ไม๊
เลยสร้าง mos ของตัวเองขึ้นมา คือ

• 1. ซื้อแล้วเหลือเงินสด ไม่ตำ่กว่า 40 เปอร์เซนต์ ถ้าหุ้นลงแรง จะได้ซื้อเพิ่ม

• 2. วางกรอบเวลาการลงทุนนานขึ้นเจะดูผล และคอยติดตามประเมินผลเป็นระยะ

ตอบคุณ nut776 นะครับ

นำมาจากคุณ. yoyo

yoyo wrote:

จริงๆแล้ว MOS กับ Upside นั้นหลักการเหมือนกันครับ .. คือซื้อหุ้นให้ได้ต่ำกว่าที่ควรจะเป็นทั้งคู่...

แต่ความแตกต่างกันอยู่ที่สูตรคำนวณครับ

Upside นั้นมีสูตรคำนวณตายตัว = (ราคาเหมาะสม-ราคาตลาด)/ราคาตลาด

ส่วน MOS นั้นผมยังไม่เคยเห็นสูตรชัวร์ๆที่ไหนนะครับ แต่เท่าที่เห็นเพื่อนๆพี่ๆ VI ใช้กันก็คือ = (ราคาเหมาะสม-ราคาตลาด)/ราคาเหมาะสม

สมมติหุ้น A ราคาตลาดอยู่ที่ 10 บาท ราคาเหมาะสมอยู่ที่ 13 บาท
แบบนี้มี Upside 30% ในขณะที่มี MOS 23% ... หุ้นที่ผมจะถือก็ควรจะต้องมี Upside 30% ขึ้นไป ... แต่ถ้าจะหาหุ้นที่มี MOS 30% นี่คงจะหาหุ้นลงทุนได้ยากหน่อย เพราะว่าหุ้นที่มี MOS 30% นั้นจะมี Upside เกือบๆ 50% เลยทีเดียว

สรุปว่าตอนนี้คงหายากหน่อยครับ ในตอนนี้ที่ set 1400 ^_^

ผมว่าคงต้องกลับไปพิจารณาจากสูตรของการคิด MOS มีปัจจัยสองส่วนสำคัญคือ

• 1.ราคาแท้จริง(Intrinsic Price/Value)

• 2.ราคาตลาด(Market Price)

Intrinsic Price/Value นั้นแต่ละคนอาจคำนวณได้แตกต่างกัน ขึ้นกับแต่ละคนให้คุณค่าอะไรในบริษัท เรียกว่าราคาในใจของแต่ละคนก็ได้. ที่ราคาตลาดเดียวกัน ความต่างของ Intrinsic Price กับ Market Price นั้นจะต่างกันตามราคาในใจแม้ราคาตลาดเดียวกัน MOSที่ได้ของแต่ละคนก็ไม่เท่ากันในราคาตลาดที่ซื้อเดียวกัน MOS ที่ว่ากันว่าน่าจะอยู่ที่ 50% น่าจะมาจาก Quote ของปู่บัฟเฟตต์ที่ว่า..."ถ้าคุณทนเห็นราคาหุ้นตกลงมาถึง50เปอร์เซ็นต์ไม่ได้ ก็อย่าซื้อมัน" เช่นเดียวกับที่ปีเตอร์ ลินซ์เคยถือหุ้นตัวหนึ่งจนราคาตกลงมาถึง 80% แล้วยังไม่ Cut Loss แถมกระโจนเข้าไปซื้อเพิ่มอีก สุดท้ายกลับมาได้กำไรเป็นร้อยเปอร์เซ็นต์ ทั้งสองส่วนที่ว่ามานั้นมันเกี่ยวกับ Market Price เป็นหลัก ส่วน Market Price นั้นมันขึ้นๆลงๆตามอารมณ์นายตลาด มันสำคัญที่ว่าตอนนายตลาดบอกว่าลดราคาให้แล้ว เราจะกล้าซื้อไหม เรารู้ไหมว่าที่ราคามันลงเพราะพื้นฐานเปลี่ยน หรือมีวิกฤติการณ์สำคัญ
MOS ที่เท่าไหร่ก็อยู่ว่าคุณมองบริษัทนั้นยังไง คุณโลภเท่าไหร่ ถ้าคุณโลภมาก คุณก็กล้าแม้MOSจะแคบ จริงไหมครับ

ขอบคุณพี่ ส สลึง กะพี่rattypor มากคับ

ขอร่วมด้วยคนนะฮะ งั้นน่าจะมีคำว่า downside ด้วย

ถ้าในนิยามของ

• upside = (ราคาเหมาะสม-ราคาตลาด)/ราคาตลาด

• mos = (ราคาเหมาะสม-ราคาตลาด)/ราคาเหมาะสม

ถ้าอย่างนั้น downside ควรจะมีสูตรเป็นยังไง ?

นอกจากนั้น ยังมีประเมินแบบ best case, base case(normal,nautral), worst case อีก
น่าจะพอเป็นไอเดียได้นะครับ ว่าจริงๆแล้ว การประเมินมูลค่าได้ถูกต้องอาจไม่ใช่เรื่องสำคัญที่สุด
แต่การเข้าใจ ปัจจัยและความเสี่ยงต่างๆ ต่างหากเป็นตัวที่ปกป้องเราจากการลงทุนแล้วขาดทุน
อาจารย์นิเวศน์ เคยเขียนว่า ท่านจะซื้อเมื่อราคามันต่ำกว่า valuation ค่าที่ต่ำสุดที่ท่านคิดได้
หรือ ปู่บัฟฟ์เอง เวลาซื้อ ก็จะเริ่มต้นจากความกลัวก่อนนะครับ ซึ่งก็คงนำไปสู่กฎของการไม่ขาดทุน

คำถามว่า แล้วถ้ามันไม่เป็นอย่างนั้นล่ะ หรือเลวร้ายที่สุดมันจะเป็นยังไง ราคานี้ใส่ความคาดหวังไปเท่าไหร่
น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นของการประเมินมูลค่าหุ้น และหาmosที่ดีนะครับ พอไม่ขาดทุนก็ค่อยมองไปที่กำไรต่อไปครับ

ป.ล. ความเห็นส่วนตัว อาจไม่ตรงกับแนวที่พี่ๆเพื่อน ลงทุนก็ได้ครับ แต่ก็คิดว่าที่พี่ดำตอบตอนแรก ถูกแล้วครับ mos,upside เป็นเรื่องส่วนบุคคล ไม่มีคำตอบแม้ผมเอง ในหุ้นแต่ละตัว ก็มองไว้ไม่เท่ากัน บางตัวupside 5% ผมก็ซื้อนะถ้าผลตอบแทนจากการลงทุนได้มากกว่าความเสี่ยงในการลงทุน แต่ทุกคนควรจะ มี downside เป็น 0 นะครับ ขอให้สนุกกับการลงทุนครับ

margin of safety กี่% ผมคิดว่า
ขึ้นอยู่กับ ความแม่น! ของท่าน ในการประเมินมูลค่าครับ และแน่นอนว่าธุรกิจประเภทต่างๆก็ทำให้ประมาณได้ยากต่างกัน

ยิ่งถ้ากำไรในอนาคตประมาณการได้ยาก มูลค่าของบริษัท ย่อมหลากหลายตามการวิเคราะห์ของแต่ละท่าน

ดังนั้นยิ่งบริษัทที่มีความไม่แน่นอนสูงเราจึงมักต้องการ margin of Safety สูงๆเพื่อความปลอดภัย

แต่ถ้ากำไรมันประเมินง่าย บางทีเรารอ MOS มากๆ มันก็ลงมาไม่ถึง

ถ้าอยู่ๆมีคนมาขายแบงค์พันให้คุณในราคา 900บาท
คุณจะซื้อกี่ใบ ผมจะกว้านซื้อทั้งหมด ไม่ต่อราคาอีก
(ซื้อไม้เดียวด้วย ฮา)
รอให้ราคาลงมา 800 700 คงจะยาก

ส่วนตัวผม mos จะรวมไปกับตัวอัตราคิดลดเลยครับโดยผลตอบแทนคาดหวังของผมประมาณ 10 - 15% ต่อปีเลย ผมเลยคิดลดด้วยอัตรา 20% ครับผม

เรา ศึกษา เรื่อง Mos จริง มันไม่มีอะไรแน่นอน ตายตัว ว่าเอาเท่าไหร่กันแน่

ถ้าเราเอาตาม ตำรา บอก 30%

การที่จะคิด Mos นั้น มันขึ้นอยู่กับ step การ valuation ด้วย ถ้าคุณ valuation แบบ conservative แล้ว Mos อาจจะไม่ต้องเยอะมากก็ได้

ในทางกลับกัน ถ้า valuation แบบ base case,best case ก็อีกเรื่องนึง Mos ก็อาจจะต้องมากขึ้น

เพราะฉะนั้น ถามว่า Mos เท่าไหร่กัน ไม่มีตายตัว แค่รู้ว่า mos มากๆดี น้อยๆแอบเสียว

ถ้าคุณประเมิน valuation conservative เกินไป แล้วให้ Mos เยอะ ๆอีก(30-50%) ก็มีโอกาสที่จะ missing opportunity ได้ ซึ่งเป็น risk อย่างนึง

แต่ถ้าเราศึกษา นักลงทุนทั้งไทยและเทศ warren buffet ,ดร.นิเวศน์อที่ประสบความสำเร็จจริงๆแล้ว จะพบว่า เขาไม่ได้ ให้ความสำคัญกับ Mosมากเท่าไหร่

สิ่งสำคัญที่ เค้าคิดคือเรื่อง downside risk มากกว่า โอกาสขาดทุน โอกาสแพ้มีมากแค่ไหน จะปิดประตูแพ้ได้อย่างไร แล้วค่อยมาดูเรื่อง Upside gain ทีหลังมากกว่า

watgolf เขียน: ↑

พฤหัสฯ. พ.ย. 26, 2020 4:23 am

สิ่งสำคัญที่ เค้าคิดคือเรื่อง downside risk มากกว่า โอกาสขาดทุน โอกาสแพ้มีมากแค่ไหน จะปิดประตูแพ้ได้อย่างไร แล้วค่อยมาดูเรื่อง Upside gain ทีหลังมากกว่า

ประเด็นนี้...
ผมมองว่าเป็น mos สำหรับตัวผมเองเหมือนกัน
เป็น mos ที่ไม่ใช่เชิงตัวเลข
บอกไม่ได้เหมือนกันว่าต้อง mos เท่าไหร่
ไม่เคยมีตัวเลขชัดๆ

ก่อนเคาะหุ้นทุกครั้ง
ถามตัวเองเสมอๆ ว่าเป็นการลงทุนที่ปลอดภัยหรือเปล่า

หลายครั้งก็พลาดโอกาสดีๆ ไป
แต่ทัศนะแบบนี้
ก็ช่วยให้อยู่รอดปลอดภัยมาได้เหมือนกัน

แล้วแต่ช่วงครับ เพราะกระทั่ง valuation เรายังยืดหยุ่นระหว่าง Absolute Value กับ Relative Value

Margin of safety อาจจะต้องการแค่ 25-50% แล้วแต่บริบท
แต่หลายครั้ง upside หวังได้เกินเด้งแลยครับกับพัฒนาการและกิจกรรมตามความเป็นจริง