เด็กใหม่(ที่แก่แล้ว)อยากขอคำปรึกษาและคำแนะนำเพื่อนๆ และคุณคร
-
- Verified User
- โพสต์: 25
- ผู้ติดตาม: 0
เด็กใหม่(ที่แก่แล้ว)อยากขอคำปรึกษาและคำแนะนำเพื่อนๆ และคุณคร
โพสต์ที่ 1
ผมเป็นนักลงทุนมั่วๆ ที่สนใจแนวทางการลงทุนแบบ VI มากๆ แต่เนื่องด้วยภาระหน้าที่ที่ต้องทำงานประจำวันละ 12 ชม. 6 วันต่อสัปดาห์เลยไม่ค่อยมีเวลาได้ศึกษาอย่างจริงจัง แต่พักนี้งานเริ่มจะอยู่ตัวแล้วก็เลยมีเวลาว่างมากขึ้น เลยเพิ่งมาค้นคว้าเกี่ยวกับเรื่องของ VI ในโลกอินเตอร์เน็ต และเพิ่งได้กลับมาอ่านเวปนี้หลังจากที่สมัครไว้ตั้งแต่ตอนเรียนเมื่อนานมาแล้วน่ะครับ และยิ่งอ่านเข้าๆ หลายครั้งหลายคราว ผมก็ยิ่งได้พบกับคำว่า "ตะแกรงร่อนหุ้น" บ่อยเข้าๆ จนเมื่อเซิชอย่างจริงจังก็จะพบในรูปแบบของหนังสือโดยคุณวิบูลย์ และก็เห็นที่มาว่าก่อนหน้าจะเป็นหนังสือเคยเป็นกระทู้ดังของที่นี่มาก่อน แต่ผมพยายามเซิชแล้วหาตัวกระทู้ไม่เจอเลย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะว่าผมหาไม่เจอเอง หรือกระทู้ถูบลบไปเพราะเนื้อหาในกระทู้ได้ถูกตีพิมพ์ออกมาแล้วน่ะครับ
ปล. พิมพ์เกริ่นซะยาว จริงๆ นอกจากจะถามเรื่องตะแกรงร่อน ก็อยากจะลองโพสกระทู้ลงที่นี่ดูสักครั้ง ปกติตามอ่านมานานไม่ได้กล้าโพสเลย ^^"
ปล. พิมพ์เกริ่นซะยาว จริงๆ นอกจากจะถามเรื่องตะแกรงร่อน ก็อยากจะลองโพสกระทู้ลงที่นี่ดูสักครั้ง ปกติตามอ่านมานานไม่ได้กล้าโพสเลย ^^"
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 4254
- ผู้ติดตาม: 1
Re: เด็กใหม่(ที่แก่แล้ว)อยากขอคำปรึกษาและคำแนะนำเพื่อนๆ และค
โพสต์ที่ 2
// Stay Hungry, Stay Foolish.
// Stay Calm, Stay Invest.
// Price is what you pay, Value is what you get.
// Stay Calm, Stay Invest.
// Price is what you pay, Value is what you get.
-
- Verified User
- โพสต์: 667
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เด็กใหม่(ที่แก่แล้ว)อยากขอคำปรึกษาและคำแนะนำเพื่อนๆ และค
โพสต์ที่ 4
"คนทุกๆคนมีเวลา 24 ชม.เท่าๆกันครับ แต่การบริหารเวลาให้เกิดประโยชน์ของแต่ละคนไม่เหมือนกันครับ"Mars เขียน:ผมเป็นนักลงทุนมั่วๆ ที่สนใจแนวทางการลงทุนแบบ VI มากๆ แต่เนื่องด้วยภาระหน้าที่ที่ต้องทำงานประจำวันละ 12 ชม. 6 วันต่อสัปดาห์เลยไม่ค่อยมีเวลาได้ศึกษาอย่างจริงจัง แต่พักนี้งานเริ่มจะอยู่ตัวแล้วก็เลยมีเวลาว่างมากขึ้น เลยเพิ่งมาค้นคว้าเกี่ยวกับเรื่องของ VI ในโลกอินเตอร์เน็ต
ผมก็ทำงาน 12 ชม. 5 วัน ส่วนวันเสาร์ทำ 8 ชม.บางสัปดาห์มีแถมวันอาทิตย์ด้วยครับ เป็นกำลังใจให้คุณ "Mars" ศึกษาและลงทุนอย่างจริงจังต่อไปครับ....^^)
- Guiman
- Verified User
- โพสต์: 320
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เด็กใหม่(ที่แก่แล้ว)อยากขอคำปรึกษาและคำแนะนำเพื่อนๆ และค
โพสต์ที่ 5
สู้ๆครับ
VI หรือนักเล่นหุ้นแนวอื่นๆก็เหมือนนักกีฬา
ต้องซ้อม ต้องปรับปรุง
คงเคยได้ยินเรื่องปาฏิหาริย์ 10000 ชม. นะครับ คนที่ฝึกซ้อมครบหมื่นชม เท่านั้นที่จะเป็นเซียนได้ ไม่ว่าวงการไหนๆ
VI หรือนักเล่นหุ้นแนวอื่นๆก็เหมือนนักกีฬา
ต้องซ้อม ต้องปรับปรุง
คงเคยได้ยินเรื่องปาฏิหาริย์ 10000 ชม. นะครับ คนที่ฝึกซ้อมครบหมื่นชม เท่านั้นที่จะเป็นเซียนได้ ไม่ว่าวงการไหนๆ
http://guimanstock.blogspot.com/
บันทึกการลงทุน & รีวิวหนังสือ
บันทึกการลงทุน & รีวิวหนังสือ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2273
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เด็กใหม่(ที่แก่แล้ว)อยากขอคำปรึกษาและคำแนะนำเพื่อนๆ และค
โพสต์ที่ 6
ผมเคยทำงานวันละ12ชมเหมือนกัน
ผมเชื่อว่ารายได้ต้องดีพอสมควรไม่งั้นเราไม่ควรทำงานนั้นเพราะไม่คุ้มเวลาเรา
และสมควรคิดด้วยว่าคุ้มหรือไม่ที่จะทำต่อ
เรามีทางเลือกที่ดีกว่าหรือไม่
ผมมองว่ามันเป็นบันไดขั้นแรกที่ทำให้เรามีเงินเก็บมาลงทุน
ผมว่าการลงทุนที่ดีอีกอย่างคือลงทุนให้กับตัวเอง
คือการทำงานวันละ12ชมมันเหนื่อยมากแต่เราต้องอึดสู้อีกหน่อยแล้วลงทุนกับตัวเอง
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงานหรือลงทุน คิดดูว่าอะไรสำคัญกว่ากัน
เช่นเพิ่งเริ่มทำงานก็สู้งานก่อน หาความรู้เพิ่มเรื่องงานสร้างฐานการลงทุน
แต่ถ้าพอร์ตเริ่มใหญ่แล้วศึกษาเรื่องหุ้นเพิ่ม
ผมเคยทำงาน12ชมต่อวัน
เรียนโทด้วยแล้วก็ลงทุน
ตื่น6:30 ถึงที่ทำงาน 8:00 ทำงานถึง20:00 แล้วอ่านเรื่องหุ้นถึง22:00 แล้วออกจากที่ทำงาน
วันพุธทำรายงานป.โทถึงประมาณตี1ตี2
เสาร์เรียนโททั้งวันเย็นทำรายงาน
อาทิตอ่านหนังสือ หรือไปกับแฟน
ประมาณสองปีครับที่มีชีวิตนรกอย่างนี้
แล้วผมก็ออกมาจากงานด้วยความหวังว่า
จะเปลี่ยนงานโดยจะทำงานด้านที่เรียน
สุดท้ายไม่ได้อย่างที่หวังกลายเป็นนักลงทุนต็อกต๋อยอย่างทุกวันนี้ครับ
เป็นกำลังใจให้ทุกคนครับ
ผมเชื่อว่ารายได้ต้องดีพอสมควรไม่งั้นเราไม่ควรทำงานนั้นเพราะไม่คุ้มเวลาเรา
และสมควรคิดด้วยว่าคุ้มหรือไม่ที่จะทำต่อ
เรามีทางเลือกที่ดีกว่าหรือไม่
ผมมองว่ามันเป็นบันไดขั้นแรกที่ทำให้เรามีเงินเก็บมาลงทุน
ผมว่าการลงทุนที่ดีอีกอย่างคือลงทุนให้กับตัวเอง
คือการทำงานวันละ12ชมมันเหนื่อยมากแต่เราต้องอึดสู้อีกหน่อยแล้วลงทุนกับตัวเอง
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงานหรือลงทุน คิดดูว่าอะไรสำคัญกว่ากัน
เช่นเพิ่งเริ่มทำงานก็สู้งานก่อน หาความรู้เพิ่มเรื่องงานสร้างฐานการลงทุน
แต่ถ้าพอร์ตเริ่มใหญ่แล้วศึกษาเรื่องหุ้นเพิ่ม
ผมเคยทำงาน12ชมต่อวัน
เรียนโทด้วยแล้วก็ลงทุน
ตื่น6:30 ถึงที่ทำงาน 8:00 ทำงานถึง20:00 แล้วอ่านเรื่องหุ้นถึง22:00 แล้วออกจากที่ทำงาน
วันพุธทำรายงานป.โทถึงประมาณตี1ตี2
เสาร์เรียนโททั้งวันเย็นทำรายงาน
อาทิตอ่านหนังสือ หรือไปกับแฟน
ประมาณสองปีครับที่มีชีวิตนรกอย่างนี้
แล้วผมก็ออกมาจากงานด้วยความหวังว่า
จะเปลี่ยนงานโดยจะทำงานด้านที่เรียน
สุดท้ายไม่ได้อย่างที่หวังกลายเป็นนักลงทุนต็อกต๋อยอย่างทุกวันนี้ครับ
เป็นกำลังใจให้ทุกคนครับ
การลงทุนคือความเสี่ยง
แต่ความเสี่ยงสูงคือ ไม่รุ้ว่าอะไรคือจุดชี้เป็นชี้ตายของบริษัท
ความเสียงสุงที่สุด คือ ไม่รู้ว่าเลยว่าตัวเองทำอะไรอยู่
แต่ความเสี่ยงสูงคือ ไม่รุ้ว่าอะไรคือจุดชี้เป็นชี้ตายของบริษัท
ความเสียงสุงที่สุด คือ ไม่รู้ว่าเลยว่าตัวเองทำอะไรอยู่
-
- Verified User
- โพสต์: 198
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เด็กใหม่(ที่แก่แล้ว)อยากขอคำปรึกษาและคำแนะนำเพื่อนๆ และค
โพสต์ที่ 7
สำหรับเรื่องที่เรา "รัก" แล้ว ไม่มีคำว่า "ไม่มีเวลาให้"
ก็เท่านี้ละครับ
ก็เท่านี้ละครับ
"ผมไม่ได้ลงทุนในหุ้นเพียงเพราะว่าผมต้องการเงินมากมาย
แต่มันเป็นความสนุกในการค้นหาบริษัทชั้นเยี่ยม
เฝ้าดูมันเติบโต และทำเงินให้เรา"
"เบื้องหลังของด้านหลัง ก็คือ ด้านหน้า"
แต่มันเป็นความสนุกในการค้นหาบริษัทชั้นเยี่ยม
เฝ้าดูมันเติบโต และทำเงินให้เรา"
"เบื้องหลังของด้านหลัง ก็คือ ด้านหน้า"
-
- Verified User
- โพสต์: 25
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เด็กใหม่(ที่แก่แล้ว)อยากขอคำปรึกษาและคำแนะนำเพื่อนๆ และค
โพสต์ที่ 8
ทีแรกกลับเข้ามานึกว่าจะไม่มีใครตอบแล้ว เพราะเป็นกระทู้โชว์ง่าว (ฮา) แต่มีเพื่อนๆ มาตอบกันไม่น้อยเลยดีใจมากครับ
คุณ Guiman ครับ ผมยอมรับว่าเคยได้ยินปาฏิหาริย์ 10,000 ชม.แรกจากคุณนี่แหละครับ คุณ Guiman พอจะมีอะไรแชร์เกี่ยวกับทฤษฎีนี้มั้ยครับ
อ่านคห.คุณ Plant ก็ว่าได้กำลังใจมาเฮือกใหญ่แล้ว เจอคุณ Sunrise ผมได้อีกหลายเฮือกเลย ผมไม่คิดว่าคุณ Sunrise จะเป็นนักลงทุนต๋อกต๋อยหรอกนะครับ ผมไม่เชื่อว่าคนที่มีความขยัน ตั้งใจ มุ่งมั่นจะเป็นแค่คนต๋อกต๋อยได้หรอกครับ
ผมขอแชร์ประสบการณ์ตัวเองนะครับ ผมเริ่มเล่นหุ้นเพราะประทับใจดร.นิเวศน์ในงานสัมนาเด็ก NIP ตอนเรียนหนังสือ แล้วก็เปิดพอร์ตที่แวะดูบ้างไม่ดูบ้างมาตลอด แต่หลังจากเรียนจบ ผมก็เลือกที่จะมาทำงานกับครอบครัว ที่เป็นโรงงานเล็กๆ ทำงานใช้สมองบ้าง แรงบ้าง วันละ 12 ชม. 6 วันต่อสัปดาห์ทำให้ผมเหนื่อยมาก รู้สึกถูกดูดพลังชีวิตไปมาก จนเพิ่งจะมาเข้าที่เข้าทางก็ปาเข้าไปครึ่งปีแล้ว ผมถึงมีโอกาสได้กลับมาดูพอร์ตที่แทบจะไม่เคยเปิดดูเลยอีกทีหนึ่ง
ก่อนหน้านี้ผมศึกษาแนวทางของนักลงทุน VI มาตลอด แล้วก็คิดว่าตัวเองน่าจะพอมีอาวุธติดตัวกับเค้าบ้างแล้ว แต่พอผมมาเปิดพอร์ตอีกทีก็เจอหุ้นคดีฟ้องร้องสีแดงเถือกไปซะแล้ว เลยหมดอาลัย ไม่อยากจะเปิดมาให้ช้ำอีก กิจการที่บ้านก็ไม่อยากยุ่ง มองไม่เห็นอนาคต ท้อมากๆ จนอยากจะเลิก แต่ก็ฝืนผ่านมาได้เพราะคิดว่าที่ตัดสินใจมาทำก็ไม่ใช่เหตุผลเรื่องเงินตั้งแต่แรก ฝืนไปทำงานแต่ละวันๆแบบเบื่อๆ ท้อๆ แล้วก็กลับมาคิดถึงหุ้น กลับมาเปิดเวปนี้ เห็นความเปลี่ยนแปลงของห้องร้อยคนร้อยหุ้น แล้วก็ไปตามอ่านย้อนประเด็นที่ถกกันเรื่องค่าสมาชิก จนไปเจอคห.ของท่านหนึ่งในนั้นที่เตือนสติผม "With money you can buy a house but not a home..." (ผมจำชื่อสมาชิกท่านที่โพสไม่ได้แล้ว เพราะตอนนั้นประทับใจมากจนไปเซิชกูเกิลหาฉบับเต็มมาอ่าน)
หลังจากนั้นทำให้ผมมีแรงใจ รู้สึกฮึดขึ้นมา ทั้งในเรื่องของงาน ครอบครัว คนรัก การลงทุน เหมือนกับจำความรู้สึกสมัยที่เริ่มสนใจหุ้นใหม่ๆได้ว่า ณ วินาทีนั้น เรารู้สึกยังไง ทำไมถึงคิดอยากจะเล่นหุ้น ทำไมถึงหาหนังสือมากมายมาอ่าน ได้ไม่รู้จักเบื่อ เหมือนกลับมาหาตัวเองเจออีกครั้งหนึ่ง หนทางข้างหน้ายังอีกยาวไกล ก่อนจะไร้สาระเลยเถิดก็ขอพอ ดีกว่า เอาเวลาไปทำการบ้านต่อละครับ มัวแต่โม้เดี๋ยวจะไม่ได้เดินไปไหนซะที ขอบคุณทุกๆ คนมากครับ ^^
คุณ Guiman ครับ ผมยอมรับว่าเคยได้ยินปาฏิหาริย์ 10,000 ชม.แรกจากคุณนี่แหละครับ คุณ Guiman พอจะมีอะไรแชร์เกี่ยวกับทฤษฎีนี้มั้ยครับ
อ่านคห.คุณ Plant ก็ว่าได้กำลังใจมาเฮือกใหญ่แล้ว เจอคุณ Sunrise ผมได้อีกหลายเฮือกเลย ผมไม่คิดว่าคุณ Sunrise จะเป็นนักลงทุนต๋อกต๋อยหรอกนะครับ ผมไม่เชื่อว่าคนที่มีความขยัน ตั้งใจ มุ่งมั่นจะเป็นแค่คนต๋อกต๋อยได้หรอกครับ
ผมขอแชร์ประสบการณ์ตัวเองนะครับ ผมเริ่มเล่นหุ้นเพราะประทับใจดร.นิเวศน์ในงานสัมนาเด็ก NIP ตอนเรียนหนังสือ แล้วก็เปิดพอร์ตที่แวะดูบ้างไม่ดูบ้างมาตลอด แต่หลังจากเรียนจบ ผมก็เลือกที่จะมาทำงานกับครอบครัว ที่เป็นโรงงานเล็กๆ ทำงานใช้สมองบ้าง แรงบ้าง วันละ 12 ชม. 6 วันต่อสัปดาห์ทำให้ผมเหนื่อยมาก รู้สึกถูกดูดพลังชีวิตไปมาก จนเพิ่งจะมาเข้าที่เข้าทางก็ปาเข้าไปครึ่งปีแล้ว ผมถึงมีโอกาสได้กลับมาดูพอร์ตที่แทบจะไม่เคยเปิดดูเลยอีกทีหนึ่ง
ก่อนหน้านี้ผมศึกษาแนวทางของนักลงทุน VI มาตลอด แล้วก็คิดว่าตัวเองน่าจะพอมีอาวุธติดตัวกับเค้าบ้างแล้ว แต่พอผมมาเปิดพอร์ตอีกทีก็เจอหุ้นคดีฟ้องร้องสีแดงเถือกไปซะแล้ว เลยหมดอาลัย ไม่อยากจะเปิดมาให้ช้ำอีก กิจการที่บ้านก็ไม่อยากยุ่ง มองไม่เห็นอนาคต ท้อมากๆ จนอยากจะเลิก แต่ก็ฝืนผ่านมาได้เพราะคิดว่าที่ตัดสินใจมาทำก็ไม่ใช่เหตุผลเรื่องเงินตั้งแต่แรก ฝืนไปทำงานแต่ละวันๆแบบเบื่อๆ ท้อๆ แล้วก็กลับมาคิดถึงหุ้น กลับมาเปิดเวปนี้ เห็นความเปลี่ยนแปลงของห้องร้อยคนร้อยหุ้น แล้วก็ไปตามอ่านย้อนประเด็นที่ถกกันเรื่องค่าสมาชิก จนไปเจอคห.ของท่านหนึ่งในนั้นที่เตือนสติผม "With money you can buy a house but not a home..." (ผมจำชื่อสมาชิกท่านที่โพสไม่ได้แล้ว เพราะตอนนั้นประทับใจมากจนไปเซิชกูเกิลหาฉบับเต็มมาอ่าน)
หลังจากนั้นทำให้ผมมีแรงใจ รู้สึกฮึดขึ้นมา ทั้งในเรื่องของงาน ครอบครัว คนรัก การลงทุน เหมือนกับจำความรู้สึกสมัยที่เริ่มสนใจหุ้นใหม่ๆได้ว่า ณ วินาทีนั้น เรารู้สึกยังไง ทำไมถึงคิดอยากจะเล่นหุ้น ทำไมถึงหาหนังสือมากมายมาอ่าน ได้ไม่รู้จักเบื่อ เหมือนกลับมาหาตัวเองเจออีกครั้งหนึ่ง หนทางข้างหน้ายังอีกยาวไกล ก่อนจะไร้สาระเลยเถิดก็ขอพอ ดีกว่า เอาเวลาไปทำการบ้านต่อละครับ มัวแต่โม้เดี๋ยวจะไม่ได้เดินไปไหนซะที ขอบคุณทุกๆ คนมากครับ ^^
-
- Verified User
- โพสต์: 667
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เด็กใหม่(ที่แก่แล้ว)อยากขอคำปรึกษาและคำแนะนำเพื่อนๆ และค
โพสต์ที่ 9
ตรงนี้เหมือนผมเลยครับ แต่ผมทำงานที่บ้านมา 2ปีแล้วครับ....^^)Mars เขียน:แต่หลังจากเรียนจบ ผมก็เลือกที่จะมาทำงานกับครอบครัว ที่เป็นโรงงานเล็กๆ ทำงานใช้สมองบ้าง แรงบ้าง วันละ 12 ชม. 6 วันต่อสัปดาห์ทำให้ผมเหนื่อยมาก รู้สึกถูกดูดพลังชีวิตไปมาก จนเพิ่งจะมาเข้าที่เข้าทางก็ปาเข้าไปครึ่งปีแล้ว ผมถึงมีโอกาสได้กลับมาดูพอร์ตที่แทบจะไม่เคยเปิดดูเลยอีกทีหนึ่ง
ปัญหาธุรกิจที่บ้าน คือ เรื่องอะไรเหรอครับ?? เผื่อผมจะมีความสามารถช่วยแก้ปัญหาในเรื่องที่คุณ "Mars" เจออยู่ได้ หากไม่สะดวกโพสส่งข้อความมาคุยMars เขียน:ก่อนหน้านี้ผมศึกษาแนวทางของนักลงทุน VI มาตลอด แล้วก็คิดว่าตัวเองน่าจะพอมีอาวุธติดตัวกับเค้าบ้างแล้ว แต่พอผมมาเปิดพอร์ตอีกทีก็เจอหุ้นคดีฟ้องร้องสีแดงเถือกไปซะแล้ว เลยหมดอาลัย ไม่อยากจะเปิดมาให้ช้ำอีก กิจการที่บ้านก็ไม่อยากยุ่ง มองไม่เห็นอนาคต ท้อมากๆ จนอยากจะเลิก
กันก็ได้ครับ เพราะเริ่มแรกผมเข้ามาทำงานที่บ้านก็เจอหลายๆปัญหาเหมือนกัน แต่ตอนนี้กำลังค่อยๆแก้ทีละปัญหาจนไกล้จะอยู่ตัวแล้วครับ(แต่ยังมี
ปัญหาให้แก้อีกเยอะ555+...^^)
ปล.ด้วยความรู้สึกของคนที่คล้ายๆกันครับ...^^)
-
- Verified User
- โพสต์: 25
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เด็กใหม่(ที่แก่แล้ว)อยากขอคำปรึกษาและคำแนะนำเพื่อนๆ และค
โพสต์ที่ 10
อืม.. ยังไงดีล่ะครับ เป็นปัญหาธุรกิจก็จริง แต่ผมคิดว่าน่าจะเรียกว่าปัญหาครอบครัวซะมากกว่านะครับ 555 คือครึ่งปีก่อนผมเป็นเด็กเพิ่งเรียนจบ ไฟแรง ก็รู้สึกอยากพิสูจน์ตัวเองตามประสาเด็ก Gen นี้น่ะครับ ประกอบกับเป็นคนมีพื้นเรื่องการลงทุน แล้วก็ชอบด้านวิเคราะห์ คำนวณ ผมก็เลยนั่งกางทุกอย่างออกมาเป็นตัวเลข ทีนี้ที่บ้านก็คนจีนๆน่ะครับ ยังติดอารมณ์ในแบบกงสี/เถ้าแก่ เดิมๆมากันอยู่ก็เยอะ ทำงานไม่มีระบบ แล้วก็ไม่เน้นประสิทธิภาพงาน ผมก็ค่อนข้างจะอึดอัดใจน่ะครับ คือเหมือนกับเราตั้งใจทำงานเต็มที่ อยากพิสูจน์ตัวเอง แต่ผู้ใหญ่กลับมองว่าเราอวดเก่ง ก้าวร้าว มันก็ออกแนวท้อๆ น่ะครับ ยิ่งตัวเลขที่เอามากางมันก็มีแต่ทำร้ายตัวเอง ลงทุนมาก การแข่งขันสูง ยังจะเจอค่าแรงขึ้น ค่าน้ำมัน แล้วยังจะค่าไฟอีก (คุณ Plant น่าจะประสบปัญหาไม่ต่างกันมั้งครับ) แต่ด้วยความที่ผมเป็นลูกชายคนเดียว แล้วคนที่ต้องแบกรับภาระของบริษัทมากที่สุดก็คือคุณพ่อของผม แล้วก็ตลอดครึ่งปีผมก็ได้วางระบบอะไรหลายๆ อย่างไว้ เช่นระบบวัดผลการทำงาน ระบบการจ่ายค่าแรง คนงานที่นับถือน้ำใจกัน เชื่อใจกัน เหมือนเป็นเพื่อน พี่น้องก็มี ถ้าผมไป เค้าก็อาจทนบรรดาญาติๆ ผมไม่ได้ ผมก็เลยยิ่งรู้สึกว่าทิ้งไปไหนไม่ได้ คือพักก่อนใจผมมันลอยไปที่อื่นแล้วน่ะครับ อยากหนี อยากไปเรียนต่อบ้าง หางานทำบริษัทต่างประเทศเงินเดือนสูงๆ บ้าง คืออยากวิ่งตามความฝันของตัวเองน่ะครับ แต่สุดท้ายพออ่าน Motto "With money you can..." ผมก็ซึ้งเลยครับ คือนี่ตรูจะไปวิ่งตามอะไรฟะ นี่ถ้าวันนึงวิ่งออกมา แล้วบริษัทมันล้ม พ่อเครียดจนเป็นอะไรขึ้นมามรึงจะมีความสุขกับไอ้ฝันบ้าๆ ที่ว่าอยู่อีกรึเปล่าฟะ ว่าแล้วผมก็ล้มเลิกความคิดทุกอย่างครับ ไม่เรียนต่อไม่บ้าไม่บออะไรแล้ว อยู่ที่นี่แหละ คือผมไม่ได้เก่งขนาดคิดว่ามีผมแล้วบริษัทอยู่รอดได้หรอกนะครับ แต่ผมทนไม่ได้ที่จะเห็นมันล้มไปโดยที่ไม่ได้ทำอะไรเลย ถ้ามันจะต้องล้มสู้ให้ผมทำทุกอย่างแล้วเห็นมันล้มไปต่อหน้าต่อตาจะดีกว่า เป็นความคิดที่งี่เง่าเรื่องเหตุผลทางเศรษฐศาสตร์มากๆ แต่ในด้านของความเป็นลูกแล้วผมคิดว่าผมต้องเลือกที่จะทำหน้าที่ที่ทำอยู่ต่อไปให้ดีที่สุดครับPlant เขียน:ปัญหาธุรกิจที่บ้าน คือ เรื่องอะไรเหรอครับ?? เผื่อผมจะมีความสามารถช่วยแก้ปัญหาในเรื่องที่คุณ "Mars" เจออยู่ได้ หากไม่สะดวกโพสส่งข้อความมาคุย
กันก็ได้ครับ เพราะเริ่มแรกผมเข้ามาทำงานที่บ้านก็เจอหลายๆปัญหาเหมือนกัน แต่ตอนนี้กำลังค่อยๆแก้ทีละปัญหาจนไกล้จะอยู่ตัวแล้วครับ(แต่ยังมี
ปัญหาให้แก้อีกเยอะ555+...^^)
ปล.ด้วยความรู้สึกของคนที่คล้ายๆกันครับ...^^)
-
- Verified User
- โพสต์: 667
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เด็กใหม่(ที่แก่แล้ว)อยากขอคำปรึกษาและคำแนะนำเพื่อนๆ และค
โพสต์ที่ 11
อืม....ต้องบอกว่าคล้ายผมมากๆครับ...^^)
ผมแยกเป็นประเด็นๆนะครับ
ผมแยกเป็นประเด็นๆนะครับ
ถ้าเป็นปัญหาครอบครัวอันนี้ผมก็คงจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยไม่ได้นะครับ...^^)Mars เขียน:อืม.. ยังไงดีล่ะครับ เป็นปัญหาธุรกิจก็จริง แต่ผมคิดว่าน่าจะเรียกว่าปัญหาครอบครัวซะมากกว่านะครับ 555
-
- Verified User
- โพสต์: 667
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เด็กใหม่(ที่แก่แล้ว)อยากขอคำปรึกษาและคำแนะนำเพื่อนๆ และค
โพสต์ที่ 12
เป็นเหมือนผมตอนแรกครับ ผมก็คิดว่าตัวเองมีความรู้เรื่องบัญชี ภาษี ธุรกิจ การเงิน การบริหาร แล้วก็อยากเข้ามาปรับนู่น ปรับนี่ ไอนั่นไม่ดี ไอนี่ต้องเปลี่ยนMars เขียน: คือครึ่งปีก่อนผมเป็นเด็กเพิ่งเรียนจบ ไฟแรง ก็รู้สึกอยากพิสูจน์ตัวเองตามประสาเด็ก Gen นี้น่ะครับ ประกอบกับเป็นคนมีพื้นเรื่องการลงทุน แล้วก็ชอบด้านวิเคราะห์ คำนวณ ผมก็เลยนั่งกางทุกอย่างออกมาเป็นตัวเลข ทีนี้ที่บ้านก็คนจีนๆน่ะครับ ยังติดอารมณ์ในแบบกงสี/เถ้าแก่ เดิมๆมากันอยู่ก็เยอะ ทำงานไม่มีระบบ แล้วก็ไม่เน้นประสิทธิภาพงาน ผมก็ค่อนข้างจะอึดอัดใจน่ะครับ คือเหมือนกับเราตั้งใจทำงานเต็มที่ อยากพิสูจน์ตัวเอง แต่ผู้ใหญ่กลับมองว่าเราอวดเก่ง ก้าวร้าว มันก็ออกแนวท้อๆ น่ะครับ ยิ่งตัวเลขที่เอามากางมันก็มีแต่ทำร้ายตัวเอง ลงทุนมาก การแข่งขันสูง ยังจะเจอค่าแรงขึ้น ค่าน้ำมัน แล้วยังจะค่าไฟอีก
ผมคิดว่าเป็นเหมือนกันทุกคนครับสำหรับคนที่มีกิจการที่บ้าน แล้วตนเองต้องเข้ามาดูแล ผมไม่รู้ว่าธุรกิจที่บ้านของคุณMars เป็นรูปแบบบริษัทหรือเป็นแบบหจก.
หสม. หรือเป็นเจ้าของคนเดียว แล้วมีSize ที่ใหญ่หรือเล็ก แต่ผมเห็นที่บอกว่าวางระบบวัดผลงาน ระบบจ่ายค่าแรงต่างๆ ผมคิดว่าคุณพ่อของคุณMars คงจะไม่เห็นด้วย
ผมก็ต้องบอกตรงๆว่า "ถูกของคุณพ่อคุณMarsครับ!!!" ทำไมผมถึงบอกแบบนี้ คุณลองมองในมุมกลับกันว่าถ้าคุณเป็นพ่อแล้วมีลูกที่พึ่งจะจบมาใหม่ไฟแรงเข้ามา
เปลี่ยนนู่นนี่นั่นโดยที่ไม่เคยผ่านอะไรมาเลย ประสบการณ์ต่างๆก็ยังไม่มี แล้วจะปล่อยให้ทำแบบนั้นได้ยังไง ผมคิดว่าก่อนอื่นเราต้องพิสูจน์ให้เขาเห็นก่อนครับว่า
เรารู้เรื่องงานที่บ้านจริง!! ทำงานได้จริง!! การที่รู้ กับทำได้มันต่างกันนะครับ รู้แต่ลงมือทำไม่ได้เท่ากับยังไม่รู้ครับ
ตรงจุดนี้หลังจากที่คุณMars เข้ามาทำงานที่บ้านได้สักพักคงจะมองออกแล้วนะครับ ว่าบางสิ่งที่เราคิดว่ามันจะต้องทำอย่างนี้ๆๆๆ จริงๆแล้วมันยังไม่ใช่เรื่องสำคัญ
และไม่จำเป็นต้องทำให้เสร็จในวัน2วัน แต่ค่อยๆสร้างมันขึ้นมาก็ได้ ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดจากการสะสมครับ ไม่ใช่มาถึงอยากได้อะไรก็ลงตูมๆๆๆแล้วเสร็จทุกอย่างเพอร์เฟ็ก
ของแบบนั้นไม่มีอยู่จริงครับ....^^)
-
- Verified User
- โพสต์: 667
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เด็กใหม่(ที่แก่แล้ว)อยากขอคำปรึกษาและคำแนะนำเพื่อนๆ และค
โพสต์ที่ 13
บางครั้งเรามักจะมองว่าปัญหาที่เกิด มันเกิดจากคนอื่น เช่น จากการบริหารงานของพ่อเรา จากตัวพนักงาน จากญาติๆ หรืออื่นๆ แล้วเราก็มักจะคิดว่าMars เขียน: คือพักก่อนใจผมมันลอยไปที่อื่นแล้วน่ะครับ อยากหนี อยากไปเรียนต่อบ้าง หางานทำบริษัทต่างประเทศเงินเดือนสูงๆ บ้าง คืออยากวิ่งตามความฝันของตัวเองน่ะครับ แต่สุดท้ายพออ่าน Motto "With money you can..." ผมก็ซึ้งเลยครับ คือนี่ตรูจะไปวิ่งตามอะไรฟะ นี่ถ้าวันนึงวิ่งออกมา แล้วบริษัทมันล้ม พ่อเครียดจนเป็นอะไรขึ้นมามรึงจะมีความสุขกับไอ้ฝันบ้าๆ ที่ว่าอยู่อีกรึเปล่าฟะ ว่าแล้วผมก็ล้มเลิกความคิดทุกอย่างครับ ไม่เรียนต่อไม่บ้าไม่บออะไรแล้ว อยู่ที่นี่แหละ
ทำไมเขาไม่ทำแบบนี้ ทำแบบนั้นนะ แต่เรากลับไม่เคยมองกลับมาที่ตัวเราเลยว่า "ในเมื่อเรารู้ว่าปัญหามันคืออะไร แล้วทำไมเราไม่ลงมือแก้ไขด้วยตัวเราเองหละ?"
การเปลี่ยนความคิด ความเชื่อ และการกระทำของคนอื่นเป็นสิ่งที่ยากครับ สิ่งที่ทำได้คือการเปลี่ยนที่ตัวเรา ทำให้เขาเห็น ให้เขาเข้าใจครับ(อันนี้มีพี่คนนึงที่ผมนับถือ
เป็นคนสอนผมมาอีกทีนึงครับ..^^) ปัญหาจริงๆมันอาจจะเกิดจากที่ตัวเราไม่ยอมทำอะไรเพื่อแก้ปัญหานั้นครับ มีพี่ที่ผมนับถืออีกคนบอกไว้ว่า "หากเราทำสิ่งเดิมๆ
แล้วยังไม่เกิดผลที่ต้องการ ให้เปลี่ยนวิธีการกระทำเป็นแบบอื่นครับ" การทำในสิ่งที่เหมือนเดิม เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ใหม่ๆเป็นไปไม่ได้ครับ...^^)
-
- Verified User
- โพสต์: 667
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เด็กใหม่(ที่แก่แล้ว)อยากขอคำปรึกษาและคำแนะนำเพื่อนๆ และค
โพสต์ที่ 14
มันไม่ใช่ความคิดที่งี่เง่าครับ ผมกลับมองว่านั่นเป็นความคิดที่ดี!!!และจริง!!!ที่สุดครับ การทำธุรกิจจริงๆไม่ได้สวยหรูเหมือนในหนังสือที่อ่าน หนังที่ดู หรือละครที่เล่นหรอกครับMars เขียน:คือผมไม่ได้เก่งขนาดคิดว่ามีผมแล้วบริษัทอยู่รอดได้หรอกนะครับ แต่ผมทนไม่ได้ที่จะเห็นมันล้มไปโดยที่ไม่ได้ทำอะไรเลย ถ้ามันจะต้องล้มสู้ให้ผมทำทุกอย่างแล้วเห็นมันล้มไปต่อหน้าต่อตาจะดีกว่า เป็นความคิดที่งี่เง่าเรื่องเหตุผลทางเศรษฐศาสตร์มากๆ แต่ในด้านของความเป็นลูกแล้วผมคิดว่าผมต้องเลือกที่จะทำหน้าที่ที่ทำอยู่ต่อไปให้ดีที่สุดครับ
มันมีอุปสรรค มีความลำบาก มีเรื่องบางเรื่องที่เราไม่อยากทำแต่ก็ต้องทำ มีสิ่งที่บางครั้งเราก็ต้องเลือกว่ามันถูกหรือผิดในสิ่งที่เราทำ ดังนั้นผมถึงมองว่ามันไม่ใช่ความคิดที่งี่เง่าเลยครับ
.....^^)
ผมขอพูดถึงเรื่องของผมบ้างนะครับ ที่บ้านผมเป็นโรงกลึงแต่จดทะเบียนในรูปของบริษัท พ่อของผมเป็นเจ้าของบริษัทโดยบริหารงานแบบเจ้าของคนเดียว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเงิน
เรื่องพนักงาน องค์กรอะไรพวกนี้ไม่ต้องพูดถึงครับ มันไม่มี!!!ครับ เพราะพ่อผมจบสายช่างมาโดยตรง และไปทำงานสายช่างมาตลอด จนมาเปิดบริษัทของตัวเอง ดังนั้นสายการ
บริหารจึงไม่มีความรู้เลยครับ(เคยถามพ่อว่าแล้วเรื่องบัญชี การเงิน ภาษีต่างๆทำยังไง พ่อผมก็บอกว่าใช้ถามจากคนรู้จักเอา...o_0) แล้วตัวผมจบบริหารมา จึงได้เข้ามาทำงาน
สิ่งแรกที่ผมมองก็คือเรื่องบัญชีที่บ้านทำผิด การเงินก็ไม่ดี กระแสเงินสดไม่คล่อง ผมก็เลยต้องเข้ามาดูแลในส่วนนี้โดยศึกษาบัญชี การเงิน ภาษีเองแล้วก็นำมาเสนอกับพ่อ
อันไหนที่พ่อผมเห็นด้วยก็ผ่าน อันไหนยังไม่เห็นด้วยก็เก็บไว้ก่อน สิ่งหนึ่งที่ผมเลือกดูแลบัญชี การเงิน ภาษี เพราะพ่อผมไม่มีความรู้ด้านนี้ ดังนั้นผมถึงมองว่าถ้าผมทำเรื่องนี้ได้ ก็
จะเป็นการพิสูจน์ตนเองว่าเราทำได้จริง และยังสามารถช่วยเติมในสิ่งที่พ่อผมขาดหรือทำไม่ได้ด้วย ผมจึงเลือกเรื่องนี้ก่อน แล้วการที่เราจะเข้าใจบัญชีเราก็ต้องเข้าใจงานบริษัทด้วย
ผมจึงลงไปศึกษาหน้างานจริง(แต่ยังไม่ได้ลงมือทำอะไรมากนัก) จนผมพอมีความรู้เรื่องตัวธุรกิจที่บ้านระดับนึงแล้ว และสามารถทำในสิ่งที่เสนอกับพ่อผมให้เกิดขึ้นจริงได้
จึงได้รับการยอมรับครับ ซึ่งตรงนี้สำเร็จไปจุดนึง อีกจุดนึงคือการทำงานที่หน้างานจริงครับ เพราะเราจะเปลี่ยนการทำงานของบริษัท บริษัทมีคน มีพนักงาน นั่นคือจริงๆแล้ว
เราจะต้องเปลี่ยนการทำงานของพนักงานครับ ซึ่งการที่จะเปลี่ยนพนักงานได้เราต้องทำให้เขายอมรับเราอีกเช่นกัน ซึ่งตอนนี้ผมก็มาทำงานที่หน้างาน ลงมือทำงานเองบ้างแล้ว
ซึ่งก็ได้รับการยอมรับจากพนักงานแล้วครับ....^^)
ปล.อีกสิ่งนึงที่ผมอยากฝากไว้ คือ ผมมองไปที่พ่อผมแล้วผมรู้สึกนับถือการบริหารของพ่อผมมากกว่าครับ ลองคิดดูครับว่าเขาไม่มีความรู้ด้านบริหารอะไรเลย ไม่ได้เรียนสายบริหารมา
แต่สามารถสร้างและรักษาบริษัทให้อยู่รอดมาได้เป็นสิบๆปี ทั้งที่บัญชี การเงิน กระแสเงินสด ภาษี อะไรต่างๆไม่รู้เลย ผมคิดว่าเขาสุดยอด!!!ครับที่ทำมาได้ถึงขนาดนี้ เพียงแต่การ
ที่บริษัทมันจะโตต่อไปได้มันต้องมีเรื่องระบบต่างๆเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ซึ่งรากฐานต่างๆคนรุ่นพ่อของเราได้ทำไว้แล้ว การต่อเติม ปรับแต่ง ให้มันแข็งแรงและเจริญก้าวหน้า
ต่อไปเป็นหน้าที่ของคนรุ่นเราที่จะต้องทำต่อยอดขึ้นไปครับ....^^)
- Guiman
- Verified User
- โพสต์: 320
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เด็กใหม่(ที่แก่แล้ว)อยากขอคำปรึกษาและคำแนะนำเพื่อนๆ และค
โพสต์ที่ 15
ผมไม่รู้เรื่องทำธุรกิจ คุยเรื่องนี้อย่างเดียวละกันกั๊บMars เขียน: คุณ Guiman ครับ ผมยอมรับว่าเคยได้ยินปาฏิหาริย์ 10,000 ชม.แรกจากคุณนี่แหละครับ คุณ Guiman พอจะมีอะไรแชร์เกี่ยวกับทฤษฎีนี้มั้ยครับ
ไอเรื่อง 10000 ชม นี่ผมรู้จักมาจากหนังสือ 2 เล่ม
1.เพราะเป็นวัยรุ่นจึงเจ็บปวด เขียนโดย อ. ที่เป็นคนเกาหลี ขายดีมากเล่มนี้ ลองหาอ่านดูครับ
เขาบอกว่าการทำสิ่งใดให้เก่งระดับเทพนั้นมันมีความลับอยู่ คือการฝึกซ้อมให้ครบหมื่นชม แต่ถ้าไม่ได้ทุ่มเทขนาดนั้น ไม่มีเวลาขนาดนั้น เขาก็แนะนำวิธีของเขาโดยใช้วิธี 1 ต่อ 1 คือ ให้ฝึกซ้อมสิ่งใดก็ตามวันละ 1 ชม เป็นเวลา 1 ปี พอครบปี จะเห็นผลน่าพอใจพอสมควร เขาเองก็ใช้วิธีนี้ในการฝึกภาษาอังกฤษเหมือนกัน
2.พิชิตเกมชีวิต winning the game of life เขียนโดย adam khoo
พูดคล้ายๆกัน โดยยกตัวอย่างจากนักกีฬาเก่งๆ เช่น ไทเกอร์ วูดส์ ที่ฝีมือระดับเทพตั้งแต่อายุ 18 เพราะเล่นกอล์ฟตั้งแต่ขวบ สองขวบ พอถึงอายุ 18 ชมการฝึกซ้อมก็เท่ากับคนอายุ 28 ซะแล้ว คนเขียนเองก็เป็นนักพูดสร้างแรงบันดาลใจที่ยอดเยี่ยม เขาบอกว่าเป็นแบบนี้ได้เพราะเขาเริ่มพูดมาตั้งแต่อายุ 15
มาเทียบดูกับตัวเองแล้ว ก็มีหลายๆเรื่องที่คล้ายกัน
ผมฝึกภาษาอังกฤษด้วยตัวเองแบบเอาจริงมา 3 ปีกว่าแล้ว แรกๆฝึกเยอะมาก วันละ 2-4 ชม หลังๆหย่อนๆหน่อย เพราะเริ่มอยู่ตัว (มาฝึกเล่นหุ้นแทน)
คิดเฉลี่ย ถ้าผมฝึกวันละ 2 ชม 3 ปี ก็เท่ากับ 2100 กว่าชม
ถ้าวันละ 3 ชม 3 ปี ก็ 3000 กว่าชม
ผลคือ ผมอ่านหนังสือภาษาอังกฤษได้ค่อนข้างคล่อง อ่านหนังสือหุ้นของฝรั่งได้แทบจะไม่มีติดขัด (แต่อ่านพวกนิยายยังติดๆขัดๆ)
ส่วนเรื่องเล่นหุ้น ผมเล่นมาปีครึ่งกว่าๆ อยู่กับมัน (อ่านหนังสือหุ้นไป 50 กว่าเล่ม ฝึกดูกราฟ ฝึกดูงบ อ่านเว็บบอร์ด) วันละ 2-3 ชม สุทธิแล้วประมาณ 1000 กว่าชม อย่างต่ำ เหลืออีก 8 พันกว่าชม (หลังเรียนจบผมคงต้องเอาจริงกว่านี้ละ อีกนานเลยตู กว่าจะเป็นเซียน T^T )
พวกเซียนหุ้นนี่ จากประวัติ ผมเห็นบางคนฝึกวันละ 7-10 ชม อย่างเสี่ยยักษ์ คุณมดแมงเม่าคลับ หยงเกิดมาเทรด หรือต้านมัดเล่ย์กรุ๊ป (คนสุดท้ายนี้มี mentor ด้วย เห็นว่าฝึกกันหนักมาก จนต้องกินยา+สะกดจิตเลย)
---------------------------------------------------------------------
ที่จริงมันก็ไม่ได้เป๊ะขนาดว่า ครบ 10000 ปุ๊บจะเป็นเซียน หรือแค่ 9พัน ยังไม่เซียน ผมว่ามันค่อยๆเป็นค่อยๆไปครับ (แต่วัดง่ายๆว่า หมื่นชม เซียนละกัน)
ส่วนกี่ปีจะเป็นเซียน คงต้องกำหนดเอง
ถ้าฝึกวันละ 4 ชม เกือบ 7 ปีเป็นเซียน
วันละ 6 ชม 4 ปีครึ่งเป็นเซียน
วันละ 8 ชม 3 ปีครึ่งเป็นเซียน
http://guimanstock.blogspot.com/
บันทึกการลงทุน & รีวิวหนังสือ
บันทึกการลงทุน & รีวิวหนังสือ
- Guiman
- Verified User
- โพสต์: 320
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เด็กใหม่(ที่แก่แล้ว)อยากขอคำปรึกษาและคำแนะนำเพื่อนๆ และค
โพสต์ที่ 16
http://guimanstock.blogspot.com/
บันทึกการลงทุน & รีวิวหนังสือ
บันทึกการลงทุน & รีวิวหนังสือ
-
- Verified User
- โพสต์: 25
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เด็กใหม่(ที่แก่แล้ว)อยากขอคำปรึกษาและคำแนะนำเพื่อนๆ และค
โพสต์ที่ 18
ตอบคุณ Plant ครับ
ขอบคุณมากครับสำหรับไอเดีย และกำลังใจมากมาย อย่างที่คุณ Plant ว่าแหละครับ คือหลายๆ อย่างที่เราเห็นว่าเป็น "ปัญหา" เราก็อยากจะเข้ามาแก้ แต่หลายๆ ครั้งคนที่ทำอยู่แต่เดิมเค้ารู้สึกว่าเค้าผ่านมันมาได้โดยที่ไม่จำเป็นจะต้องแก้ หรือคิดว่ามันเป็นปัญหาด้วยซ้ำ (ฮาา) ส่วนเรื่องที่ผมอึดอัดใจจริงๆ แล้วส่วนมากจะมาจากญาติๆน่ะครับ ผมแจงเป็นข้อๆ อย่างนี้แล้วกันนะครับ
1. ญาติๆ ของผมเป็นผู้ถือหุ้นก็จริง แต่ไม่ใช่ผู้บริหาร ถ้ามีสายงานชัด เค้าจะลำบาก เพราะเค้าจะก้าวก่ายกิจการไม่ได้ตามใจตัวเองเหมือนก่อน
2. ญาติๆ ผมไม่ชอบการให้อำนาจคนอื่นทำงานน่ะครับ ไม่ไว้ใจลูกน้อง ไม่ดูผลงาน มีแต่ต้องใช้ให้คุ้ม ใช้ให้หนัก เห็นคนว่าง คนพัก เป็นไม่ได้ (ซึ่งตรงนี้ผมที่เป็นคนปกป้องพนักงานตลอด จะถูกญาติๆต่อว่า เคยว่าจนพนักงานร้องไห้เกือบจะลาออกไปก็มี)
ความน้อยเนื้อต่ำใจมันมาจากการที่เราทุ่มเทให้องค์กร มองประโยชน์ขององค์กรเป็นหลักกลับถูกมองด้วยสายตาไม่ดี จากคนที่ไม่ได้ทำงาน คือผมก็เข้าใจคนอื่นๆนะครับว่าเค้าต้องการ Self esteem ในด้านอื่นๆ ที่ไม่ใช่เรื่องของความประสบความสำเร็จขององค์กรมากกว่า คือเค้าอยากให้ผมเคารพ ทำตัวเป็นหลานที่ดี อยู่ในโอวาท มากกว่าที่จะเป็นผู้บริหารที่มองประโยชน์ขององค์กรเป็นหลัก
พูดๆไปส่วนใหญ่ก็เหมือนจะฝอยแล้วครับ (ฮา) คือพอคิดได้ ผ่านช่วงนั้นมาได้ก็รู้สึกดีน่ะครับ คือว่าก็ว่าไป ไม่มีใครทำก็ช่าง อะไรที่เราลงมือทำได้ก็ทำมันซะเอง (เหมือนที่คุณ Plant ว่า) ส่วนปัญหาอะไรที่เราเข้าไปจัดการมันไม่ได้ก็อย่าไปคิดว่ามันเป็นปัญหา ก็สบายขึ้นเยอะครับ งานก็ไม่หนักไม่เครียดเท่าแต่ก่อน มีเวลาเหลือมาดูหุ้นซะอีก ทัศนคติเปลี่ยนชีวิตก็สบายขึ้นเป็นกองครับ ^^
ขอบคุณมากครับสำหรับไอเดีย และกำลังใจมากมาย อย่างที่คุณ Plant ว่าแหละครับ คือหลายๆ อย่างที่เราเห็นว่าเป็น "ปัญหา" เราก็อยากจะเข้ามาแก้ แต่หลายๆ ครั้งคนที่ทำอยู่แต่เดิมเค้ารู้สึกว่าเค้าผ่านมันมาได้โดยที่ไม่จำเป็นจะต้องแก้ หรือคิดว่ามันเป็นปัญหาด้วยซ้ำ (ฮาา) ส่วนเรื่องที่ผมอึดอัดใจจริงๆ แล้วส่วนมากจะมาจากญาติๆน่ะครับ ผมแจงเป็นข้อๆ อย่างนี้แล้วกันนะครับ
1. ญาติๆ ของผมเป็นผู้ถือหุ้นก็จริง แต่ไม่ใช่ผู้บริหาร ถ้ามีสายงานชัด เค้าจะลำบาก เพราะเค้าจะก้าวก่ายกิจการไม่ได้ตามใจตัวเองเหมือนก่อน
2. ญาติๆ ผมไม่ชอบการให้อำนาจคนอื่นทำงานน่ะครับ ไม่ไว้ใจลูกน้อง ไม่ดูผลงาน มีแต่ต้องใช้ให้คุ้ม ใช้ให้หนัก เห็นคนว่าง คนพัก เป็นไม่ได้ (ซึ่งตรงนี้ผมที่เป็นคนปกป้องพนักงานตลอด จะถูกญาติๆต่อว่า เคยว่าจนพนักงานร้องไห้เกือบจะลาออกไปก็มี)
ความน้อยเนื้อต่ำใจมันมาจากการที่เราทุ่มเทให้องค์กร มองประโยชน์ขององค์กรเป็นหลักกลับถูกมองด้วยสายตาไม่ดี จากคนที่ไม่ได้ทำงาน คือผมก็เข้าใจคนอื่นๆนะครับว่าเค้าต้องการ Self esteem ในด้านอื่นๆ ที่ไม่ใช่เรื่องของความประสบความสำเร็จขององค์กรมากกว่า คือเค้าอยากให้ผมเคารพ ทำตัวเป็นหลานที่ดี อยู่ในโอวาท มากกว่าที่จะเป็นผู้บริหารที่มองประโยชน์ขององค์กรเป็นหลัก
พูดๆไปส่วนใหญ่ก็เหมือนจะฝอยแล้วครับ (ฮา) คือพอคิดได้ ผ่านช่วงนั้นมาได้ก็รู้สึกดีน่ะครับ คือว่าก็ว่าไป ไม่มีใครทำก็ช่าง อะไรที่เราลงมือทำได้ก็ทำมันซะเอง (เหมือนที่คุณ Plant ว่า) ส่วนปัญหาอะไรที่เราเข้าไปจัดการมันไม่ได้ก็อย่าไปคิดว่ามันเป็นปัญหา ก็สบายขึ้นเยอะครับ งานก็ไม่หนักไม่เครียดเท่าแต่ก่อน มีเวลาเหลือมาดูหุ้นซะอีก ทัศนคติเปลี่ยนชีวิตก็สบายขึ้นเป็นกองครับ ^^
-
- Verified User
- โพสต์: 25
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เด็กใหม่(ที่แก่แล้ว)อยากขอคำปรึกษาและคำแนะนำเพื่อนๆ และค
โพสต์ที่ 19
ฟังดูแล้วคล้ายทฤษฎีกฎ 80/20 หรือพวก Rule of thumb นะครับ ตัวเลขที่ไม่เข้าใจ หาเหตุผลที่มาไม่ได้ กลับเป็น magic number ของผู้ที่ประสบความสำเร็จหลายๆคน น่าสนใจครับ ผมก็มองเรื่องหุ้นกับเรื่องภาษาเป็นจุดอ่อนสำคัญ ต้องบริหารเวลาว่างตัวเองเพิ่มซะแล้ว ^^"Guiman เขียน:ผมไม่รู้เรื่องทำธุรกิจ คุยเรื่องนี้อย่างเดียวละกันกั๊บMars เขียน: คุณ Guiman ครับ ผมยอมรับว่าเคยได้ยินปาฏิหาริย์ 10,000 ชม.แรกจากคุณนี่แหละครับ คุณ Guiman พอจะมีอะไรแชร์เกี่ยวกับทฤษฎีนี้มั้ยครับ
ไอเรื่อง 10000 ชม นี่ผมรู้จักมาจากหนังสือ 2 เล่ม
1.เพราะเป็นวัยรุ่นจึงเจ็บปวด เขียนโดย อ. ที่เป็นคนเกาหลี ขายดีมากเล่มนี้ ลองหาอ่านดูครับ
เขาบอกว่าการทำสิ่งใดให้เก่งระดับเทพนั้นมันมีความลับอยู่ คือการฝึกซ้อมให้ครบหมื่นชม แต่ถ้าไม่ได้ทุ่มเทขนาดนั้น ไม่มีเวลาขนาดนั้น เขาก็แนะนำวิธีของเขาโดยใช้วิธี 1 ต่อ 1 คือ ให้ฝึกซ้อมสิ่งใดก็ตามวันละ 1 ชม เป็นเวลา 1 ปี พอครบปี จะเห็นผลน่าพอใจพอสมควร เขาเองก็ใช้วิธีนี้ในการฝึกภาษาอังกฤษเหมือนกัน
2.พิชิตเกมชีวิต winning the game of life เขียนโดย adam khoo
พูดคล้ายๆกัน โดยยกตัวอย่างจากนักกีฬาเก่งๆ เช่น ไทเกอร์ วูดส์ ที่ฝีมือระดับเทพตั้งแต่อายุ 18 เพราะเล่นกอล์ฟตั้งแต่ขวบ สองขวบ พอถึงอายุ 18 ชมการฝึกซ้อมก็เท่ากับคนอายุ 28 ซะแล้ว คนเขียนเองก็เป็นนักพูดสร้างแรงบันดาลใจที่ยอดเยี่ยม เขาบอกว่าเป็นแบบนี้ได้เพราะเขาเริ่มพูดมาตั้งแต่อายุ 15
มาเทียบดูกับตัวเองแล้ว ก็มีหลายๆเรื่องที่คล้ายกัน
ผมฝึกภาษาอังกฤษด้วยตัวเองแบบเอาจริงมา 3 ปีกว่าแล้ว แรกๆฝึกเยอะมาก วันละ 2-4 ชม หลังๆหย่อนๆหน่อย เพราะเริ่มอยู่ตัว (มาฝึกเล่นหุ้นแทน)
คิดเฉลี่ย ถ้าผมฝึกวันละ 2 ชม 3 ปี ก็เท่ากับ 2100 กว่าชม
ถ้าวันละ 3 ชม 3 ปี ก็ 3000 กว่าชม
ผลคือ ผมอ่านหนังสือภาษาอังกฤษได้ค่อนข้างคล่อง อ่านหนังสือหุ้นของฝรั่งได้แทบจะไม่มีติดขัด (แต่อ่านพวกนิยายยังติดๆขัดๆ)
ส่วนเรื่องเล่นหุ้น ผมเล่นมาปีครึ่งกว่าๆ อยู่กับมัน (อ่านหนังสือหุ้นไป 50 กว่าเล่ม ฝึกดูกราฟ ฝึกดูงบ อ่านเว็บบอร์ด) วันละ 2-3 ชม สุทธิแล้วประมาณ 1000 กว่าชม อย่างต่ำ เหลืออีก 8 พันกว่าชม (หลังเรียนจบผมคงต้องเอาจริงกว่านี้ละ อีกนานเลยตู กว่าจะเป็นเซียน T^T )
พวกเซียนหุ้นนี่ จากประวัติ ผมเห็นบางคนฝึกวันละ 7-10 ชม อย่างเสี่ยยักษ์ คุณมดแมงเม่าคลับ หยงเกิดมาเทรด หรือต้านมัดเล่ย์กรุ๊ป (คนสุดท้ายนี้มี mentor ด้วย เห็นว่าฝึกกันหนักมาก จนต้องกินยา+สะกดจิตเลย)
---------------------------------------------------------------------
ที่จริงมันก็ไม่ได้เป๊ะขนาดว่า ครบ 10000 ปุ๊บจะเป็นเซียน หรือแค่ 9พัน ยังไม่เซียน ผมว่ามันค่อยๆเป็นค่อยๆไปครับ (แต่วัดง่ายๆว่า หมื่นชม เซียนละกัน)
ส่วนกี่ปีจะเป็นเซียน คงต้องกำหนดเอง
ถ้าฝึกวันละ 4 ชม เกือบ 7 ปีเป็นเซียน
วันละ 6 ชม 4 ปีครึ่งเป็นเซียน
วันละ 8 ชม 3 ปีครึ่งเป็นเซียน
-
- Verified User
- โพสต์: 25
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เด็กใหม่(ที่แก่แล้ว)อยากขอคำปรึกษาและคำแนะนำเพื่อนๆ และค
โพสต์ที่ 20
ไม่รู้ว่าผมนิ่งไปรึเปล่่าครับ เพราะก่อนหน้านี้ถือ STA กับ BANPU เพราะนึกว่าตัวเองทำการบ้านมาดีแล้ว (เอาเข้าจริงพอได้อ่านกระทู้ตะแกรงหุ้นแล้วถึงได้รู้ว่าไม่เลย....) ผมนิ่งขนาดว่าข่าวมายังไง แดงยังไงก็ไม่เคยเข้าไปเปิดพอร์ตเลยครับ ยิ่งช่วงก่อนวุ่นๆ บางทีก็ไม่มีเวลาตาม มาถึงตอนนี้ซึ้งครับ สงสัยเราจะนิ่งมากไป ทำการบ้านมาไม่ดีแต่ดันใจนิ่ง 555 โชคดีที่ผมซื้อหุ้น 4-5 ตัวตั้งแต่ตอนมีม็อบเสื้อแดง พอร์ตโดยรวมเลยยังทะลึ่งเขียวอยู่ แต่รอบนี้กะว่าจะล้างพอร์ตสักครึ่งนึงแล้วครับ กลับมาคิดดูดีๆ ผมไม่ได้เข้าใจในธุรกิจพลังงานมากพอเลย ถึงจะขาดทุนก็ยอมครับ สู้อยู่กับสิ่งที่เราเข้าใจ เราถนัดจริงดีกว่า แต่ที่สำคัญคือต้องทำการบ้านให้เยอะแล้วครับkasam เขียน:แนวการลงทุนแบบ VI ไม่ยากเลยครับ
แต่ที่อยากที่สุดก็บริหาร "วินัย" และ "จิตใจ" ผมมักจะรวมเป็นเรื่องเดียวกันคือ "ความโลภ"
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 301
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เด็กใหม่(ที่แก่แล้ว)อยากขอคำปรึกษาและคำแนะนำเพื่อนๆ และค
โพสต์ที่ 21
เป็นกระทู้ที่ให้แรงบันดาลใจจริงๆครับ ปัญหาของคุณMarsคล้ายกับผมเลยครับ แรกๆเป็นเหมือนกับของคุณMarsและของคุณPlant ตอนนี้ทำธุรกิจมาได้5-6ปีแล้ว ก็เริ่มอยู่ตัวและพิสูจน์ตัวเองกับพ่อได้แล้ว แต่ก็ยังเหนื่อยมากๆอยู่ครับจันทร์ถึงศุกร์ทำงานร้านค้าปลีกขายสังฆภัณฑ์กับวัสดุเครื่องมือช่าง 7.00-19.00 น. และอ่านหนังสือลงทุนวันละ2-3ชม. เสาร์อาทิตย์ เรียนป.โทMBA 2ปี พอจบแล้วด้วยเหตุผลจำเป็น (ไม่ใช่อยากนะครับ)ทำให้ต้องเรียนต่อนิติศาสตร์ เสาร์อาทิตย์อีก ตอนนี้ผ่านมาได้80เปอเซนต์แล้วอีก20เปอเซนต์ก็จะจบ บ่นมาซะยาว
สรุปคือ ตอนนี้ผมทำงานหนัก อ่านหนังสือเยอะ เรียนหนัก และเหนื่อยมาก กระทู้นี้ทำให้ผมมีแรงฮึดครับ
ปล. ผมชอบแนวคิดและคำพูดของคุณ Plant คุณ Mars และเรื่อง10000ชม.ของคุณGuiman มากๆครับ
สรุปคือ ตอนนี้ผมทำงานหนัก อ่านหนังสือเยอะ เรียนหนัก และเหนื่อยมาก กระทู้นี้ทำให้ผมมีแรงฮึดครับ
ปล. ผมชอบแนวคิดและคำพูดของคุณ Plant คุณ Mars และเรื่อง10000ชม.ของคุณGuiman มากๆครับ
อย่า...วัดความลึกของแม่น้ำด้วยขาทั้ง2ข้าง
-
- Verified User
- โพสต์: 25
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เด็กใหม่(ที่แก่แล้ว)อยากขอคำปรึกษาและคำแนะนำเพื่อนๆ และค
โพสต์ที่ 22
ผมเป็นคนขี้เกียจแล้วก็ใจร้อนครับ ในชีวิตเลยชอบหาทางลัดเสมอ เล่นหุ้นก็ศึกษาแต่ทฤษฎีของคนที่ success มากๆแล้ว แล้วก็เชื่อแต่คำของคนเหล่านั้น (ผมเชื่อใน STA เพราะคำให้สัมภาษณ์ของเจ้าสัวธนินทร์ ที่มั่นใจว่ายางจะดีไปอีก 10-20 ปี โดยที่ไม่เคยคิดเลยว่าเรารู้จักอะไรบ้างเกี่ยวกับตัวองค์กรของ STA!?) พอกำไรหุ้นหลายสิบ % เข้าหน่อยก็คิดว่านี่คือทางลัดที่จะทำให้ประสบความสำเร็จในชีวิต แล้วก็เริ่มทำการบ้านน้อยลงไปอีก (คิดว่าอยู่นิ่งๆ ถือทิ้งไว้ยาวๆ ก็คงจะดีเอง) แต่ตอนนี้ผมรู้แล้วครับว่าชีวิตของคนประสบความสำเร็จจริงไม่เคยผ่านทางลัด ทุกๆ ท่านผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากมาแล้วทั้งนั้น
ก่อนหน้านี้นอกจากไม่มีเวลาแล้ว ผมก็ไม่อยากจะเปิดพอร์ตมาเจอสีแดงด้วย รู้สึกเหมือนชีวิตมันไม่ success ตามที่คิดเอาซะเลย แต่ตอนนี้ผมรู้สึกดีมากๆ ที่มีหุ้นตัวแดงอยู่ในพอร์ต เพราะถ้าไม่มีผมก็คงไม่คิดได้ว่าตัวเองยังโง่เหลือเกิน ทำการบ้านมาน้อยเหลือเกิน
สุดท้ายผมตั้งใจจะเอาอย่างหนึ่งในตัวละครในดวงใจชื่อว่า "สุมาอี้" ในการ์ตูนชื่อ "หงสาจอมราชันย์" ครับ (ไม่ใช่ user name นะครับ ^^") หงสาฯ เป็นการ์ตูนสามก๊ก ที่มีมุมมองแปลกๆน่ะครับ เพราะเลือกที่จะให้สุมาอี้ซึ่งมีบทบาทน้อยมากๆ ในนิยายสามก๊กเรื่องอื่นๆ เป็นตัวเอง เพราะผู้แต่งมองว่า สุมาอี้ คือผู้ที่ชนะ ขงเบ้ง ในท้ายที่สุด และเป็นผู้ที่สามารถรวม 3 แผ่นดินให้เป็น 1 ได้ สุมาอี้ในหงสาฯ นอกจากเฉลียวฉลาดแล้ว นิสัยอย่างหนึ่งที่เป็นสุดยอดในเรื่องคือ "ความอดทน" ครับ เพราะสุมาอี้เลือกที่จะอยู่ใต้โจโฉ (ผู้ที่สั่งฆ่าล้างตระกูลสุมาอี้เอง) เพื่อรอวันที่จะอยู่เหนือโจโฉในท้ายที่สุดครับ
โม้มาเป็นเวลานานมากแล้ว ขอตัวไปทำการบ้านก่อนนะครับ (ตั้งเป้าจะอ่านตะแกรงร่อนวันละ 2 หน้าครับ ^^)
ก่อนหน้านี้นอกจากไม่มีเวลาแล้ว ผมก็ไม่อยากจะเปิดพอร์ตมาเจอสีแดงด้วย รู้สึกเหมือนชีวิตมันไม่ success ตามที่คิดเอาซะเลย แต่ตอนนี้ผมรู้สึกดีมากๆ ที่มีหุ้นตัวแดงอยู่ในพอร์ต เพราะถ้าไม่มีผมก็คงไม่คิดได้ว่าตัวเองยังโง่เหลือเกิน ทำการบ้านมาน้อยเหลือเกิน
สุดท้ายผมตั้งใจจะเอาอย่างหนึ่งในตัวละครในดวงใจชื่อว่า "สุมาอี้" ในการ์ตูนชื่อ "หงสาจอมราชันย์" ครับ (ไม่ใช่ user name นะครับ ^^") หงสาฯ เป็นการ์ตูนสามก๊ก ที่มีมุมมองแปลกๆน่ะครับ เพราะเลือกที่จะให้สุมาอี้ซึ่งมีบทบาทน้อยมากๆ ในนิยายสามก๊กเรื่องอื่นๆ เป็นตัวเอง เพราะผู้แต่งมองว่า สุมาอี้ คือผู้ที่ชนะ ขงเบ้ง ในท้ายที่สุด และเป็นผู้ที่สามารถรวม 3 แผ่นดินให้เป็น 1 ได้ สุมาอี้ในหงสาฯ นอกจากเฉลียวฉลาดแล้ว นิสัยอย่างหนึ่งที่เป็นสุดยอดในเรื่องคือ "ความอดทน" ครับ เพราะสุมาอี้เลือกที่จะอยู่ใต้โจโฉ (ผู้ที่สั่งฆ่าล้างตระกูลสุมาอี้เอง) เพื่อรอวันที่จะอยู่เหนือโจโฉในท้ายที่สุดครับ
โม้มาเป็นเวลานานมากแล้ว ขอตัวไปทำการบ้านก่อนนะครับ (ตั้งเป้าจะอ่านตะแกรงร่อนวันละ 2 หน้าครับ ^^)
-
- Verified User
- โพสต์: 25
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เด็กใหม่(ที่แก่แล้ว)อยากขอคำปรึกษาและคำแนะนำเพื่อนๆ และค
โพสต์ที่ 23
สงสัยกระทู้นี้จะเป็นกระทู้รวมตัวคนทำงานหนักครับ ฮ่าๆๆ ขอถามคุณ porzilla หน่อยนะครับ คือผมก็สนใจจะเรียนต่อโทแบบเหนื่อยเอาโล่อยู่ อยากถามว่าในประสบการณ์ของคุณ porzilla แล้ว ความเหนื่อยกับค่าใช้จ่าย (ทั้งค่าเทอม ค่าเดินทาง ค่าเสียเวลา) กับประสบการณ์ที่ได้จาก MBA ตลอด 2 ปีที่ผ่านมา คุ้มค่ามั้ยครับ คือผมมองอนาคตตัวเองแล้ววุฒิน่าจะไม่ใช่ของที่ผมต้องการ ก็เลยขออนุญาตถามประสบการณ์ชีวิตหน่อยน่ะนะครับ ถ้าละลาบละล้วงก็ต้องขอโทษด้วยครับ ขอบคุณครับporzilla เขียน:เป็นกระทู้ที่ให้แรงบันดาลใจจริงๆครับ ปัญหาของคุณMarsคล้ายกับผมเลยครับ แรกๆเป็นเหมือนกับของคุณMarsและของคุณPlant ตอนนี้ทำธุรกิจมาได้5-6ปีแล้ว ก็เริ่มอยู่ตัวและพิสูจน์ตัวเองกับพ่อได้แล้ว แต่ก็ยังเหนื่อยมากๆอยู่ครับจันทร์ถึงศุกร์ทำงานร้านค้าปลีกขายสังฆภัณฑ์กับวัสดุเครื่องมือช่าง 7.00-19.00 น. และอ่านหนังสือลงทุนวันละ2-3ชม. เสาร์อาทิตย์ เรียนป.โทMBA 2ปี พอจบแล้วด้วยเหตุผลจำเป็น (ไม่ใช่อยากนะครับ)ทำให้ต้องเรียนต่อนิติศาสตร์ เสาร์อาทิตย์อีก ตอนนี้ผ่านมาได้80เปอเซนต์แล้วอีก20เปอเซนต์ก็จะจบ บ่นมาซะยาว
สรุปคือ ตอนนี้ผมทำงานหนัก อ่านหนังสือเยอะ เรียนหนัก และเหนื่อยมาก กระทู้นี้ทำให้ผมมีแรงฮึดครับ
ปล. ผมชอบแนวคิดและคำพูดของคุณ Plant คุณ Mars และเรื่อง10000ชม.ของคุณGuiman มากๆครับ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 301
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เด็กใหม่(ที่แก่แล้ว)อยากขอคำปรึกษาและคำแนะนำเพื่อนๆ และค
โพสต์ที่ 24
ยินดีแชร์แนวคิดครับ ป.ตรีผมจบบริหารการตลาดมา คิดว่าตัวเองก็พอรู้อะไรๆในธุรกิจ กลยุทธ์การตลาด การจัดการองค์การ ต่างๆพอตัว แต่พอเรียนMBAแล้วถึงรู้ว่าเรารู้มาน้อยมาก มันทำให้เข้าใจในธุรกิจมากขึ้น จริงๆไม่เรียนโทก็ได้นะครับซื้อหนังสือมาอ่านเอง ถ้าอ่านหนังสือจบก็ได้ความรู้เหมือนกัน แต่การเรียนโทมันบังคับให้เราต้องรู้ภายในระยะเวลาเท่านั้นเท่านี้ก่อนที่จะสอบ มีคำถามอะไรก็ถามอาจารย์ผู้สอนได้ แล้วเอามาใช้ในธุรกิจของเราได้ด้วยครับ และที่สำคัญกว่าเอามาใช้ในการเลือกหุ้นได้มากกว่าเสียอีก 2ปีของป.โทอ่านหนังสือหุ้นน้อยลงมากครับ แต่กลับกันอ่านหนังสือธุรกิจ กลยุทธ์ต่างๆ การตลาด การบริหารทรัพยากรมนุษย์ ความยืดหยุ่นของการจัดโครงสร้างองค์การและอื่นๆแทนครับ เพราะเรียนโท.เลยจำเป็นต้องอ่านเพื่อจะได้มีไอเดียในการทำข้อสอบครับ
ค่าใช้จ่าย ของผมประมาณแสนหก-แสนเจ็ดครับ เรียนรามคำแหงครับ ขับไปมหาลัย100กิโลครับ นอนโรงแรม1คืน คืนละ500
ใบปริญญาก็ไม่มีความหมายกับผมเหมือนกันครับ เพราะไม่เคยทำงานออฟฟิสเลย แต่คิดว่าปัจจุบันอายุ30 และจะลงทุนตลอดชีวิต ต้องลงทุนไปอีกหลายๆสิบปี คิดว่าตัวเองจำเป็นต้องมีอาวุธคือความรู้ ในการลงทุนในตลาดหุ้นครับ
สรุป ความคิดผมแนะนำให้เรียนนะครับ คุ้มค่าแน่นอนครับ ถ้าไม่มีมหาลัยในใจ แนะนำรามคำแหงครับ
ค่าใช้จ่าย ของผมประมาณแสนหก-แสนเจ็ดครับ เรียนรามคำแหงครับ ขับไปมหาลัย100กิโลครับ นอนโรงแรม1คืน คืนละ500
ใบปริญญาก็ไม่มีความหมายกับผมเหมือนกันครับ เพราะไม่เคยทำงานออฟฟิสเลย แต่คิดว่าปัจจุบันอายุ30 และจะลงทุนตลอดชีวิต ต้องลงทุนไปอีกหลายๆสิบปี คิดว่าตัวเองจำเป็นต้องมีอาวุธคือความรู้ ในการลงทุนในตลาดหุ้นครับ
สรุป ความคิดผมแนะนำให้เรียนนะครับ คุ้มค่าแน่นอนครับ ถ้าไม่มีมหาลัยในใจ แนะนำรามคำแหงครับ
อย่า...วัดความลึกของแม่น้ำด้วยขาทั้ง2ข้าง
-
- Verified User
- โพสต์: 667
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เด็กใหม่(ที่แก่แล้ว)อยากขอคำปรึกษาและคำแนะนำเพื่อนๆ และค
โพสต์ที่ 25
.....^^)Mars เขียน:ตอบคุณ Plant ครับ
ขอบคุณมากครับสำหรับไอเดีย และกำลังใจมากมาย อย่างที่คุณ Plant ว่าแหละครับ คือหลายๆ อย่างที่เราเห็นว่าเป็น "ปัญหา" เราก็อยากจะเข้ามาแก้ แต่หลายๆ ครั้งคนที่ทำอยู่แต่เดิมเค้ารู้สึกว่าเค้าผ่านมันมาได้โดยที่ไม่จำเป็นจะต้องแก้ หรือคิดว่ามันเป็นปัญหาด้วยซ้ำ (ฮาา) ส่วนเรื่องที่ผมอึดอัดใจจริงๆ แล้วส่วนมากจะมาจากญาติๆน่ะครับ ผมแจงเป็นข้อๆ อย่างนี้แล้วกันนะครับ
1. ญาติๆ ของผมเป็นผู้ถือหุ้นก็จริง แต่ไม่ใช่ผู้บริหาร ถ้ามีสายงานชัด เค้าจะลำบาก เพราะเค้าจะก้าวก่ายกิจการไม่ได้ตามใจตัวเองเหมือนก่อน
2. ญาติๆ ผมไม่ชอบการให้อำนาจคนอื่นทำงานน่ะครับ ไม่ไว้ใจลูกน้อง ไม่ดูผลงาน มีแต่ต้องใช้ให้คุ้ม ใช้ให้หนัก เห็นคนว่าง คนพัก เป็นไม่ได้ (ซึ่งตรงนี้ผมที่เป็นคนปกป้องพนักงานตลอด จะถูกญาติๆต่อว่า เคยว่าจนพนักงานร้องไห้เกือบจะลาออกไปก็มี)
ความน้อยเนื้อต่ำใจมันมาจากการที่เราทุ่มเทให้องค์กร มองประโยชน์ขององค์กรเป็นหลักกลับถูกมองด้วยสายตาไม่ดี จากคนที่ไม่ได้ทำงาน คือผมก็เข้าใจคนอื่นๆนะครับว่าเค้าต้องการ Self esteem ในด้านอื่นๆ ที่ไม่ใช่เรื่องของความประสบความสำเร็จขององค์กรมากกว่า คือเค้าอยากให้ผมเคารพ ทำตัวเป็นหลานที่ดี อยู่ในโอวาท มากกว่าที่จะเป็นผู้บริหารที่มองประโยชน์ขององค์กรเป็นหลัก
พูดๆไปส่วนใหญ่ก็เหมือนจะฝอยแล้วครับ (ฮา) คือพอคิดได้ ผ่านช่วงนั้นมาได้ก็รู้สึกดีน่ะครับ คือว่าก็ว่าไป ไม่มีใครทำก็ช่าง อะไรที่เราลงมือทำได้ก็ทำมันซะเอง (เหมือนที่คุณ Plant ว่า) ส่วนปัญหาอะไรที่เราเข้าไปจัดการมันไม่ได้ก็อย่าไปคิดว่ามันเป็นปัญหา ก็สบายขึ้นเยอะครับ งานก็ไม่หนักไม่เครียดเท่าแต่ก่อน มีเวลาเหลือมาดูหุ้นซะอีก ทัศนคติเปลี่ยนชีวิตก็สบายขึ้นเป็นกองครับ ^^
-
- Verified User
- โพสต์: 667
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เด็กใหม่(ที่แก่แล้ว)อยากขอคำปรึกษาและคำแนะนำเพื่อนๆ และค
โพสต์ที่ 26
....^^)porzilla เขียน:เป็นกระทู้ที่ให้แรงบันดาลใจจริงๆครับ ปัญหาของคุณMarsคล้ายกับผมเลยครับ แรกๆเป็นเหมือนกับของคุณMarsและของคุณPlant ตอนนี้ทำธุรกิจมาได้5-6ปีแล้ว ก็เริ่มอยู่ตัวและพิสูจน์ตัวเองกับพ่อได้แล้ว แต่ก็ยังเหนื่อยมากๆอยู่ครับจันทร์ถึงศุกร์ทำงานร้านค้าปลีกขายสังฆภัณฑ์กับวัสดุเครื่องมือช่าง 7.00-19.00 น. และอ่านหนังสือลงทุนวันละ2-3ชม. เสาร์อาทิตย์ เรียนป.โทMBA 2ปี พอจบแล้วด้วยเหตุผลจำเป็น (ไม่ใช่อยากนะครับ)ทำให้ต้องเรียนต่อนิติศาสตร์ เสาร์อาทิตย์อีก ตอนนี้ผ่านมาได้80เปอเซนต์แล้วอีก20เปอเซนต์ก็จะจบ บ่นมาซะยาว
สรุปคือ ตอนนี้ผมทำงานหนัก อ่านหนังสือเยอะ เรียนหนัก และเหนื่อยมาก กระทู้นี้ทำให้ผมมีแรงฮึดครับ
ปล. ผมชอบแนวคิดและคำพูดของคุณ Plant คุณ Mars และเรื่อง10000ชม.ของคุณGuiman มากๆครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 25
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เด็กใหม่(ที่แก่แล้ว)อยากขอคำปรึกษาและคำแนะนำเพื่อนๆ และค
โพสต์ที่ 27
ขอบคุณพี่ porzilla มากครับ สงสัยต้องบริหารเวลาดีๆ หาเรียนเพิ่มซะแล้ว แต่ตอนนี้ขอขะมักขะเม่นศึกษาแนวทางการลงทุนในธุรกิจของตัวเองต่อไปครับ ^^porzilla เขียน:ยินดีแชร์แนวคิดครับ ป.ตรีผมจบบริหารการตลาดมา คิดว่าตัวเองก็พอรู้อะไรๆในธุรกิจ กลยุทธ์การตลาด การจัดการองค์การ ต่างๆพอตัว แต่พอเรียนMBAแล้วถึงรู้ว่าเรารู้มาน้อยมาก มันทำให้เข้าใจในธุรกิจมากขึ้น จริงๆไม่เรียนโทก็ได้นะครับซื้อหนังสือมาอ่านเอง ถ้าอ่านหนังสือจบก็ได้ความรู้เหมือนกัน แต่การเรียนโทมันบังคับให้เราต้องรู้ภายในระยะเวลาเท่านั้นเท่านี้ก่อนที่จะสอบ มีคำถามอะไรก็ถามอาจารย์ผู้สอนได้ แล้วเอามาใช้ในธุรกิจของเราได้ด้วยครับ และที่สำคัญกว่าเอามาใช้ในการเลือกหุ้นได้มากกว่าเสียอีก 2ปีของป.โทอ่านหนังสือหุ้นน้อยลงมากครับ แต่กลับกันอ่านหนังสือธุรกิจ กลยุทธ์ต่างๆ การตลาด การบริหารทรัพยากรมนุษย์ ความยืดหยุ่นของการจัดโครงสร้างองค์การและอื่นๆแทนครับ เพราะเรียนโท.เลยจำเป็นต้องอ่านเพื่อจะได้มีไอเดียในการทำข้อสอบครับ
ค่าใช้จ่าย ของผมประมาณแสนหก-แสนเจ็ดครับ เรียนรามคำแหงครับ ขับไปมหาลัย100กิโลครับ นอนโรงแรม1คืน คืนละ500
ใบปริญญาก็ไม่มีความหมายกับผมเหมือนกันครับ เพราะไม่เคยทำงานออฟฟิสเลย แต่คิดว่าปัจจุบันอายุ30 และจะลงทุนตลอดชีวิต ต้องลงทุนไปอีกหลายๆสิบปี คิดว่าตัวเองจำเป็นต้องมีอาวุธคือความรู้ ในการลงทุนในตลาดหุ้นครับ
สรุป ความคิดผมแนะนำให้เรียนนะครับ คุ้มค่าแน่นอนครับ ถ้าไม่มีมหาลัยในใจ แนะนำรามคำแหงครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 25
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เด็กใหม่(ที่แก่แล้ว)อยากขอคำปรึกษาและคำแนะนำเพื่อนๆ และค
โพสต์ที่ 28
ผมรบกวนถามพี่ๆอีกนิดนึงนะครับ (ขอเรียกทุกท่านว่าพี่ๆ ไม่แน่ใจว่าอายุมากกว่าน้อยกว่า แต่นับตามอาวุโสในสำนัก VI ผมคงจะเป็นศิษย์รุ่นเล็ก) คือผมอ่านกระทู้ตะแกรงร่อนหุ้นแล้ว ได้แนวคิดมากๆ แต่ผมรุ้สึกว่ายังขาดในแง่มุมของการปฏิบัติอีกมากน่ะครับ (ถึงพี่วิบูลย์จะบอกว่าเป็นแค่ 10% ก็เถอะ) คือผมค่อนข้างจะเข้าใจแนวทางการลงทุนของตัวเองแล้ว แต่ผมยังขาดเครื่องมือน่ะครับ เกริ่นซะมาก สรุปคือผมอ่านงบไม่เป็นครับ (ฮา)
คือตามที่ผมเข้าใจ แนวคิดของ VI คือการลงทุนในธุรกิจ และเป้าหมายก็เพื่อผลตอบแทน"ในระยะยาว" ซึ่งงบการเงินก็เสมือนสุขภาพของบริษัท เพราะฉะนั้นจริงๆแล้วเราควรจะเข้าใจแทบจะทั้งหมดของงบ (เพราะทุกส่วนก็คืออวัยวะในร่างกาย) แต่สำหรับผมที่อ่อนด้อยเรื่องพื้นฐานทางบัญชีอยากจะให้พี่ๆช่วยแนะนำหนังสือการอ่านงบที่เน้นในจุดที่สำคัญๆ ถ้าเปรียบกับอวัยวะก็เหมือนเป็นหัวใจ ปอด ดวงตา ฯลฯ ก่อนน่ะครับ บอกตามตรงคือผมเปิดงบแล้วแทบจะหมดกำลังใจ ไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหนดีเลยครับ ^^"
คือตามที่ผมเข้าใจ แนวคิดของ VI คือการลงทุนในธุรกิจ และเป้าหมายก็เพื่อผลตอบแทน"ในระยะยาว" ซึ่งงบการเงินก็เสมือนสุขภาพของบริษัท เพราะฉะนั้นจริงๆแล้วเราควรจะเข้าใจแทบจะทั้งหมดของงบ (เพราะทุกส่วนก็คืออวัยวะในร่างกาย) แต่สำหรับผมที่อ่อนด้อยเรื่องพื้นฐานทางบัญชีอยากจะให้พี่ๆช่วยแนะนำหนังสือการอ่านงบที่เน้นในจุดที่สำคัญๆ ถ้าเปรียบกับอวัยวะก็เหมือนเป็นหัวใจ ปอด ดวงตา ฯลฯ ก่อนน่ะครับ บอกตามตรงคือผมเปิดงบแล้วแทบจะหมดกำลังใจ ไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหนดีเลยครับ ^^"
-
- Verified User
- โพสต์: 314
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เด็กใหม่(ที่แก่แล้ว)อยากขอคำปรึกษาและคำแนะนำเพื่อนๆ และค
โพสต์ที่ 29
แนะนำ "warren buffett and the interpretation of financial statements" ครับ ผมว่ามือใหม่อ่านง่ายเข้าใจได้เป็นรายบรรทัด ส่วนที่เหลือคงต้องฝึกฝนครับ ผมว่างบการเงินสำคัญมาก เป็นเสมือนภาษาทางธุรกิจ ถ้าเราสื่อสารไม่ได้ ก็เสมือนอยู่ในแดนสนธยา .. เดินดุ่มๆใช้ sense ไปเรื่อยๆอาจไปตกกับดีกหลุมพรางทางการเงินจนฟื้นไม่ได้ (ผมก็ไม่ได้เก่งหรอกนะครับ แค่คิดว่าน่าจะ concept ประมาณนี้)
http://www.se-ed.com/eshop/Products/Det ... goryId=364
http://www.se-ed.com/eshop/Products/Det ... goryId=364
Invincible MOS is knowing what you're doing
-
- Verified User
- โพสต์: 314
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เด็กใหม่(ที่แก่แล้ว)อยากขอคำปรึกษาและคำแนะนำเพื่อนๆ และค
โพสต์ที่ 30
ส่วนเรื่องชีวิตผมว่าสู้ๆครับ .. "เพราะคนที่ไม่เคยล้มเหลว คือ คนที่ไม่เคยทำอะไรเลย" .. ผมก็เกิดมาในครอบครัวที่ไม่มีทรัพย์สินอะไรเลย นอกจากส่งผมเรียน (ครอบครัวข้าราชการ) ความสัมพันธ์ทางบ้านก็ไม่ค่อยดี กิจการทางบ้านก็ไม่มี ตอนเด็กๆ จะไปเที่ยวไกลๆ ดูหนังโรง เล่นเครื่องเล่น ซื้ออุปกรณ์บันเทิงไม่มีหรอกครับ เป๊ปซี่ยังไม่ค่อยซื้อกินเลย มันแพงกว่าน้ำเปล่าแถมไม่มีประโยชน์ต่อร่างกาย (value investing 55 ) .. รู้อย่างเดียว คือ เรียนจบแล้วถ้าไม่ทำงานก็อดตายครับ ระหว่างเรียนก็ลองหมดครับที่จะหาเงินได้ ไปเก็บจาน รับจ้างเป็น organizer รายวัน ไปขายตรง เปิดบริษัท รับทำ website ฯลฯ .. พอจบมาก็ทำงานบริษัท .. จะบอกว่าการทำงานบริษัท ชีวิตก็ไม่ได้สวยหรูนะครับ ผมคงไม่เข้าใจคนที่ทำกิจการที่บ้านอย่างลึกซึ้งหรอกนะ แต่ผม (คิดเอาเอง) ว่าอย่างน้อยที่สุดกิจการที่บ้านโดนอาเตี่ยด่าบ้าง ดูถูกบ้าง .. เขาคงไม่เอาเราตายครับ สุดท้ายก็สายเลือด เขาก็รักแล้วก็พร้อมจะอยู่ข้างหลังเราอยู่ดี (แม้บางครั้งอาจไม่ได้ออกมาทางคำพูด) ... แต่เป็นลูกจ้างคนอื่น เขาด่าจริง เจ็บจริง เอาเราตายจริง ไล่ออกจริง ไม่มีตังค์จะกินวันต่อไปจริงๆครับ .. ตอนนี้ก็เหนื่อยมาก แต่พอเห็นแม่ เห็นแฟน แล้วก็ท้อไม่ได้ครับ ถ้าเราไม่ทำ แล้วเขาจะอยู่อย่างไร ใครจะผ่อนบ้านต่อ แล้ววันพรุ่งนี้จะไปนอนที่ไหน (ผมบอกเลยนะครับ ใครที่พ่อแม่แค่มีบ้านให้อยู่อาศัย กลับไปกราบท่านหลายๆทีนะครับ .. สำหรับคนที่ไม่มีที่อยู่อาศัย แล้วต้องหาเงินเพื่อให้มีที่อยู่อาศัยทั้งกับตัวเอง พ่อแม่ แฟนและคนที่บ้านแล้ว ... ... "เหนื่อยมว๊ากกก" เฮ้ย เฮ้ย)
ชีวิตเหมือนทุบหม้อข้าวครับ (ไม่มีทางเลือก) หันหลังกลับไม่ได้ ไม่มีแผนสำรอง ต้องวิ่งไปข้างหน้าอย่างเดียว .. สำหรับหุ้นแล้ว มันเหมือนแสงสว่างของมนุษย์เงินเดือนครับ สำหรับคนที่ครอบครัวไม่มีประสบการณ์ทางธุรกิจ เคยลองพยายามทำธุรกิจเองก็ล้มเหลวเพราะเราไม่ใช่มืออาชีพ .. พอมีโอกาสได้ร่ำเรียนวิชาจากครูอาจารย์ที่ถูกต้อง (ผมจบป.โทจาก NIDA ก็ได้ร่ำเรียนมาจากอ.นิเวศน์ อ.ไพบูลย์ และคณาจารย์ท่านอื่นๆก็เก่งมากนะครับ) จึงพบว่ามันมีทางออกที่สมเหตุสมผล และเราสามารถลงทุนได้ แม้ทำงานไปด้วยและมีเงินไม่มาก ต้องยอมรับว่าที่อดทนทำงานจนวิญญาณจะหลุดจากร่างทุกวันนี้ สิ่งที่เป็นความหวังก็ คือ การลงทุนในหุ้นที่สักวันเราจะมีอิสรภาพทางการเงินได้และคงได้หายใจเต็มปอดได้ในทุกๆวันกับเขาบ้าง .. ถ้าไม่มีตรงนี้และลำพังเป็นลูกจ้าง บอกเลยว่าผมไม่กล้าฝันหรอกครับถึงอิสรภาพทางการเงิน ลองเอาสูตรทางการเงินแบบไหนๆมาคำนวณแล้วก็จะพบว่าลำพังเงินเดือนอย่างเดียวมันเป็นไปได้ยากมากครับ .. อันจะไต่ไปเป็นผู้บริหารระดับสูงกับเขามันก็ไม่ใช่ง่าย เบื้องหลังเบื้องลึกมันมีอะไรมากกว่าแค่ขยัน เก่ง และตั้งใจทำงานนะครับ (ไม่พูดต่อละ จบแค่นี้ )
สรุป ขอบคุณพ่อแม่ที่ให้กำเนิด ขอบคุณความยากจนในอดีตที่ทำให้รู้ว่าเงินแต่ละบาทมันมีค่ามากแค่ไหน ขอบคุณแฟนที่เป็นกำลังใจในวันท้อๆ ขอบคุณบริษัทที่ให้โอกาสมีงาน มีเงินกิน มีเงินทุนที่จะเป็นบันไดในการสานฝันต่อไปได้ และขอบคุณตลาดหุ้นที่เปิดโอกาสให้คนเดินดินธรรมดาสามารถกลายเป็นมหาเศรษฐีนะ หวังว่า (และก็ทำให้เศรษฐีกลายเป็นคนธรรมดาได้เช่นกัน จึงต้องคอยเตือนสติตัวเองว่า อย่าเหลิง) ... ขอโทษเพื่อนๆที่บ่นไปเรื่อยครับ
ชีวิตเหมือนทุบหม้อข้าวครับ (ไม่มีทางเลือก) หันหลังกลับไม่ได้ ไม่มีแผนสำรอง ต้องวิ่งไปข้างหน้าอย่างเดียว .. สำหรับหุ้นแล้ว มันเหมือนแสงสว่างของมนุษย์เงินเดือนครับ สำหรับคนที่ครอบครัวไม่มีประสบการณ์ทางธุรกิจ เคยลองพยายามทำธุรกิจเองก็ล้มเหลวเพราะเราไม่ใช่มืออาชีพ .. พอมีโอกาสได้ร่ำเรียนวิชาจากครูอาจารย์ที่ถูกต้อง (ผมจบป.โทจาก NIDA ก็ได้ร่ำเรียนมาจากอ.นิเวศน์ อ.ไพบูลย์ และคณาจารย์ท่านอื่นๆก็เก่งมากนะครับ) จึงพบว่ามันมีทางออกที่สมเหตุสมผล และเราสามารถลงทุนได้ แม้ทำงานไปด้วยและมีเงินไม่มาก ต้องยอมรับว่าที่อดทนทำงานจนวิญญาณจะหลุดจากร่างทุกวันนี้ สิ่งที่เป็นความหวังก็ คือ การลงทุนในหุ้นที่สักวันเราจะมีอิสรภาพทางการเงินได้และคงได้หายใจเต็มปอดได้ในทุกๆวันกับเขาบ้าง .. ถ้าไม่มีตรงนี้และลำพังเป็นลูกจ้าง บอกเลยว่าผมไม่กล้าฝันหรอกครับถึงอิสรภาพทางการเงิน ลองเอาสูตรทางการเงินแบบไหนๆมาคำนวณแล้วก็จะพบว่าลำพังเงินเดือนอย่างเดียวมันเป็นไปได้ยากมากครับ .. อันจะไต่ไปเป็นผู้บริหารระดับสูงกับเขามันก็ไม่ใช่ง่าย เบื้องหลังเบื้องลึกมันมีอะไรมากกว่าแค่ขยัน เก่ง และตั้งใจทำงานนะครับ (ไม่พูดต่อละ จบแค่นี้ )
สรุป ขอบคุณพ่อแม่ที่ให้กำเนิด ขอบคุณความยากจนในอดีตที่ทำให้รู้ว่าเงินแต่ละบาทมันมีค่ามากแค่ไหน ขอบคุณแฟนที่เป็นกำลังใจในวันท้อๆ ขอบคุณบริษัทที่ให้โอกาสมีงาน มีเงินกิน มีเงินทุนที่จะเป็นบันไดในการสานฝันต่อไปได้ และขอบคุณตลาดหุ้นที่เปิดโอกาสให้คนเดินดินธรรมดาสามารถกลายเป็นมหาเศรษฐีนะ หวังว่า (และก็ทำให้เศรษฐีกลายเป็นคนธรรมดาได้เช่นกัน จึงต้องคอยเตือนสติตัวเองว่า อย่าเหลิง) ... ขอโทษเพื่อนๆที่บ่นไปเรื่อยครับ
Invincible MOS is knowing what you're doing