วินัยการลงทุน
โพสต์แล้ว: พุธ ม.ค. 30, 2013 9:24 am
ขออนุญาติสวัสดีปีใหม่เพื่อนๆนักลงทุนทุกๆท่านนะครับ ผมไม่ได้เข้ามาใน web board นานมว้ากกก ><
ช่วงนี้ผมอ่านข่าว มีแต่คนบอกว่า ระวังน้า ดัชนี้สูงแล้ว มีแต่แมงเม่าที่ซื้อหุ้น
แล้วจริงๆในฐานะนักลงทุน เราจะทำอย่างไรเวลาที่เราเจอข่าวแบบนี้
ผมลงทุนมาได้สักพักหนึ่ง ผมลองย้อนมาดูตัวผมเองครับ
ตลาดหุ้น กับ ข่าว และความไม่แน่นอน นั้นเกิดขึ้นได้เสมอ
สิ่งหนึ่งที่ มนุษย์อย่างเรา มักจะเป็นกันก็คือ "การเปรียบเทียบ"
ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเรานั่งของเราอยู่คนเดียว อ่านหนังสือไปคนเดียว เราก็มีความสุขแล้ว
แต่พอโต๊ะข้างๆ เค้ามาเป็นกลุ่ม คุยกันเฮฮา แล้วเค้าก็ไม่ค่อยจะสนใจเราเลย เราจะเริ่มรู้สึกว่า ทำไมอ่า ทำไมเราไม่มีใครคุยด้วย
หรือยิ่งถ้าโต๊ะข้างๆเค้ามาเป็นคู่รัก คุยกันกระหนุงกระหนิง เราจะยิ่งรู้สึกแย่เเข้าไปใหญ่
หรือเวลาที่เรามองดูโทรศัพท์เครื่องเดิมของเรา เราก็ว่า มันดีแย้วน้า
แต่พอมาดูเครื่องของเพื่อน โอ้ว ทำไมกินไฟน้อยกว่า เข้า net ได้เร็วกว่า
ทำม้ายยยย มือถือฉันถึงเป็นเช่นนี้
กลับมาที่ตลาดหุ้นครับ
เรามักเปรียบเทียบเสมอกับสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไป
และตลาดหุ้นก็เป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงเสมอ
ไม่มีวันไหนที่ดัชนีเท่าเดิม
ตลาดหุ้นประกอบไปด้วย ความโลภ และความกลัวครับ
ความรู้สึกเหล่านี้ทำให้เราคิดว่า เราต้องทำอะไรสักอย่างกับหุ้น
เช่นซื้อเพิ่ม คัทลอส เปลี่ยนตัวถือ ฯลฯ
การซื้อหุ้น แล้วถือหุ้นนั้นไว้เฉยๆ แม้เป็น สุดยอดวิธีอันหนึ่ง
แต่กลับพบว่า "การกอดหุ้นดีๆทิ้งไว้" เป็นสิ่งที่ทำได้ยากมาก เมื่อเราไปแคร์ความรู้สึก ความเห็น จากคนภายนอก
โดยเฉพาะเวลาที่เราเห็น ราคาหุ้นเคลื่อนไหว เราจะรู้สึกว่า ต้องทำอะไรสักอย่าง
ผมว่า เราต้องมาทบทวน วิธีการลงทุนของเราก่อนครับ
ถ้าการลงทุนของเราคือ เคลื่อนไหวฉับไว ไวกว่า ชาวบ้านทุกคน และถ้าเราทำได้ตลอดทุกครั้ง
แน่นอนเราน่าจะได้กำไร
แต่สิ่งนี้เราทำได้ทุกครั้งไปจริงหรือ
ถ้าการลงทุนของเรา เราดูปัจจัยพื้นฐาน(Fundamental Investment) เป็นหลัก เราควรดูแต่ราคา หรือดัชนี จริงหรือ
หรือเราไม่ควรสนใจตลาดเลย
คนที่ตอบได้ดีที่สุดคือ "ตัวเราเองครับ"
การทำอะไรผิดพลาด เป็นเรื่องเกิดขึ้นได้เสมอในชีวิตประจำวันของเรา
แม้กระทั่งกับการลงทุน
เราเรียนรู้จากการทำผิดพลาดครับ
เพียงแต่ว่า นักลงทุนที่ดี แม้จะตำหนิตนเอง
แต่เค้าก็จะปรับปรุง แก้ไข และป้องกันไม่ให้เกิดความผิดพลาดนั้นอีก
และแม้ว่า เกิดความผิดพลาดนั้นอีก เค้าจะไม่ท้อจนลาขาดจากการลงทุนครับ
ตอนดัชนี 380 จุด เชื่อไหมว่า แทบไม่มีใครมาซื้อหุ้นเลยครับ ดัชนีแตะ 380 จุดถึง 2 ครั้งในปี 2551 แต่ตอนนั้น
มีแต่ข่าวร้ายสุดๆ
พอขึ้นมา 420 จุด หุ้นก็ตกลงไแ คนก็กลัวว่า มันจะเป็นแบบเดิมอีก
บ้านเราคงจะแย่แล้ว เทียบ crisis ในครั้งนั้น พอๆกับ คศ. 1930 เลยนะ
ผมเองเป็นคนหนึ่งที่โดนอารมณ์ตลาดเข้ามาก่อกวน
จนในที่สุดผมคิดว่า เราจะทำอย่างไรดี
จนผมคิดวิธีการลงทุนที่ผมจะทำ
สิ่งนั้นง่ายๆแต่ทำยาก เพราะมันฝืนสันชาตญานการเอาตัวรอดของเรา
นั่นคือ วินัยการลงทุนครับ
เราทำได้ไหมที่จะไม่ดูตัวเลขราคาหุ้นที่เปลี่ยนแปลงแทบจะทุกวินาที
เราทำได้ไหมที่จะนั่งอ่านงบการเงิน อ่านรายงานประจำปี หรือออกไปดูกิจการต่างๆภายนอก โดยไม่ต้องเฝ้าจอ
เราทำได้ไหมที่จะทำอย่างอื่นที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมบ้าง
แล้วปล่อยให้หุ้นที่เราลงทุน ช่วยเหลือตัวเค้าเอง
ผมขออ้างอิงจาก หนังสือ 85 idea การลงทุน ของพี่โจ๊ก นรินทร์ โอฬารกิจอนันต์นะครับ
(ผมขออนุญาติเขียนตามความเข้าใจของผมนะครับ)
เวลาเราเลือกหุ้นเพื่อลงทุน เราต้องเคร่งครัดในการเลือกเฟ้นหุ้น
ตรงนี้เราต้องค่อนข้าง serious
แต่พอลงทุนไปแล้ว เราควรปล่อยวาง
เราไม่ควรกังวลกับการเคลื่อนไหวของหุ้นมากจนเกินไป ไม่ใช่ว่า หุ้นเคลื่อนไหวไป 3 ช่องแล้ว
เราต้องทำอะไรบ้าง
หลายครั้งราคาหุ้นที่เคลื่อนไหว เกิดจากอารมณ์ในตอนนั้น
ถ้าจำได้ ล่าสุด BGH เหลือ60 กว่าบาท
จะมีคนบอกว่า เพราะว่า รพ.ศิริราช ปิยมหาการุณเปิด จนแย่งคนไข้จากเครือ รพ.กรุงเทพ
หลายครั้ง เราเผลอ หาเหตุมาใส่ผลที่เกิด
หลายครั้งเราไม่ทราบเหตุของผลนั้นชัดๆ
อาจเป็นไปได้ว่า มีคนขาย แล้วพอเห็นราคาหุ้นลงๆๆๆ เราก็รีบขายบ้าง
ตลาดหุ้นเต็มไปด้วยความกังวล
กลัวว่า ดัชนีจะลงไปอีก
กลัวว่า ดัชนี้จะขึ้นไปอีก
ในที่สุด เราไม่ทราบหรอกครับว่า ดัชนี จะไปที่เท่าไหร่
เพราะเราลืมไปว่า หุ้นที่เราซื้อนั้น เป็นกิจการที่มีอยู่จริง
ตราบใดที่กิจการยังมีอนาคตการทำกำไรที่ดี
ราคาหุ้นของบรษัทในระยะยาว ก็จะเป็นไปตามพื้นฐานของกิจการครับ
"In the short run, stock market will be voting system, but in the long run stock market will be weighting system" ครับ
มีความสุขกับการลงทุน และการใช้ชีวิตประจำวันนะครับผม
ช่วงนี้ผมอ่านข่าว มีแต่คนบอกว่า ระวังน้า ดัชนี้สูงแล้ว มีแต่แมงเม่าที่ซื้อหุ้น
แล้วจริงๆในฐานะนักลงทุน เราจะทำอย่างไรเวลาที่เราเจอข่าวแบบนี้
ผมลงทุนมาได้สักพักหนึ่ง ผมลองย้อนมาดูตัวผมเองครับ
ตลาดหุ้น กับ ข่าว และความไม่แน่นอน นั้นเกิดขึ้นได้เสมอ
สิ่งหนึ่งที่ มนุษย์อย่างเรา มักจะเป็นกันก็คือ "การเปรียบเทียบ"
ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเรานั่งของเราอยู่คนเดียว อ่านหนังสือไปคนเดียว เราก็มีความสุขแล้ว
แต่พอโต๊ะข้างๆ เค้ามาเป็นกลุ่ม คุยกันเฮฮา แล้วเค้าก็ไม่ค่อยจะสนใจเราเลย เราจะเริ่มรู้สึกว่า ทำไมอ่า ทำไมเราไม่มีใครคุยด้วย
หรือยิ่งถ้าโต๊ะข้างๆเค้ามาเป็นคู่รัก คุยกันกระหนุงกระหนิง เราจะยิ่งรู้สึกแย่เเข้าไปใหญ่
หรือเวลาที่เรามองดูโทรศัพท์เครื่องเดิมของเรา เราก็ว่า มันดีแย้วน้า
แต่พอมาดูเครื่องของเพื่อน โอ้ว ทำไมกินไฟน้อยกว่า เข้า net ได้เร็วกว่า
ทำม้ายยยย มือถือฉันถึงเป็นเช่นนี้
กลับมาที่ตลาดหุ้นครับ
เรามักเปรียบเทียบเสมอกับสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไป
และตลาดหุ้นก็เป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงเสมอ
ไม่มีวันไหนที่ดัชนีเท่าเดิม
ตลาดหุ้นประกอบไปด้วย ความโลภ และความกลัวครับ
ความรู้สึกเหล่านี้ทำให้เราคิดว่า เราต้องทำอะไรสักอย่างกับหุ้น
เช่นซื้อเพิ่ม คัทลอส เปลี่ยนตัวถือ ฯลฯ
การซื้อหุ้น แล้วถือหุ้นนั้นไว้เฉยๆ แม้เป็น สุดยอดวิธีอันหนึ่ง
แต่กลับพบว่า "การกอดหุ้นดีๆทิ้งไว้" เป็นสิ่งที่ทำได้ยากมาก เมื่อเราไปแคร์ความรู้สึก ความเห็น จากคนภายนอก
โดยเฉพาะเวลาที่เราเห็น ราคาหุ้นเคลื่อนไหว เราจะรู้สึกว่า ต้องทำอะไรสักอย่าง
ผมว่า เราต้องมาทบทวน วิธีการลงทุนของเราก่อนครับ
ถ้าการลงทุนของเราคือ เคลื่อนไหวฉับไว ไวกว่า ชาวบ้านทุกคน และถ้าเราทำได้ตลอดทุกครั้ง
แน่นอนเราน่าจะได้กำไร
แต่สิ่งนี้เราทำได้ทุกครั้งไปจริงหรือ
ถ้าการลงทุนของเรา เราดูปัจจัยพื้นฐาน(Fundamental Investment) เป็นหลัก เราควรดูแต่ราคา หรือดัชนี จริงหรือ
หรือเราไม่ควรสนใจตลาดเลย
คนที่ตอบได้ดีที่สุดคือ "ตัวเราเองครับ"
การทำอะไรผิดพลาด เป็นเรื่องเกิดขึ้นได้เสมอในชีวิตประจำวันของเรา
แม้กระทั่งกับการลงทุน
เราเรียนรู้จากการทำผิดพลาดครับ
เพียงแต่ว่า นักลงทุนที่ดี แม้จะตำหนิตนเอง
แต่เค้าก็จะปรับปรุง แก้ไข และป้องกันไม่ให้เกิดความผิดพลาดนั้นอีก
และแม้ว่า เกิดความผิดพลาดนั้นอีก เค้าจะไม่ท้อจนลาขาดจากการลงทุนครับ
ตอนดัชนี 380 จุด เชื่อไหมว่า แทบไม่มีใครมาซื้อหุ้นเลยครับ ดัชนีแตะ 380 จุดถึง 2 ครั้งในปี 2551 แต่ตอนนั้น
มีแต่ข่าวร้ายสุดๆ
พอขึ้นมา 420 จุด หุ้นก็ตกลงไแ คนก็กลัวว่า มันจะเป็นแบบเดิมอีก
บ้านเราคงจะแย่แล้ว เทียบ crisis ในครั้งนั้น พอๆกับ คศ. 1930 เลยนะ
ผมเองเป็นคนหนึ่งที่โดนอารมณ์ตลาดเข้ามาก่อกวน
จนในที่สุดผมคิดว่า เราจะทำอย่างไรดี
จนผมคิดวิธีการลงทุนที่ผมจะทำ
สิ่งนั้นง่ายๆแต่ทำยาก เพราะมันฝืนสันชาตญานการเอาตัวรอดของเรา
นั่นคือ วินัยการลงทุนครับ
เราทำได้ไหมที่จะไม่ดูตัวเลขราคาหุ้นที่เปลี่ยนแปลงแทบจะทุกวินาที
เราทำได้ไหมที่จะนั่งอ่านงบการเงิน อ่านรายงานประจำปี หรือออกไปดูกิจการต่างๆภายนอก โดยไม่ต้องเฝ้าจอ
เราทำได้ไหมที่จะทำอย่างอื่นที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมบ้าง
แล้วปล่อยให้หุ้นที่เราลงทุน ช่วยเหลือตัวเค้าเอง
ผมขออ้างอิงจาก หนังสือ 85 idea การลงทุน ของพี่โจ๊ก นรินทร์ โอฬารกิจอนันต์นะครับ
(ผมขออนุญาติเขียนตามความเข้าใจของผมนะครับ)
เวลาเราเลือกหุ้นเพื่อลงทุน เราต้องเคร่งครัดในการเลือกเฟ้นหุ้น
ตรงนี้เราต้องค่อนข้าง serious
แต่พอลงทุนไปแล้ว เราควรปล่อยวาง
เราไม่ควรกังวลกับการเคลื่อนไหวของหุ้นมากจนเกินไป ไม่ใช่ว่า หุ้นเคลื่อนไหวไป 3 ช่องแล้ว
เราต้องทำอะไรบ้าง
หลายครั้งราคาหุ้นที่เคลื่อนไหว เกิดจากอารมณ์ในตอนนั้น
ถ้าจำได้ ล่าสุด BGH เหลือ60 กว่าบาท
จะมีคนบอกว่า เพราะว่า รพ.ศิริราช ปิยมหาการุณเปิด จนแย่งคนไข้จากเครือ รพ.กรุงเทพ
หลายครั้ง เราเผลอ หาเหตุมาใส่ผลที่เกิด
หลายครั้งเราไม่ทราบเหตุของผลนั้นชัดๆ
อาจเป็นไปได้ว่า มีคนขาย แล้วพอเห็นราคาหุ้นลงๆๆๆ เราก็รีบขายบ้าง
ตลาดหุ้นเต็มไปด้วยความกังวล
กลัวว่า ดัชนีจะลงไปอีก
กลัวว่า ดัชนี้จะขึ้นไปอีก
ในที่สุด เราไม่ทราบหรอกครับว่า ดัชนี จะไปที่เท่าไหร่
เพราะเราลืมไปว่า หุ้นที่เราซื้อนั้น เป็นกิจการที่มีอยู่จริง
ตราบใดที่กิจการยังมีอนาคตการทำกำไรที่ดี
ราคาหุ้นของบรษัทในระยะยาว ก็จะเป็นไปตามพื้นฐานของกิจการครับ
"In the short run, stock market will be voting system, but in the long run stock market will be weighting system" ครับ
มีความสุขกับการลงทุน และการใช้ชีวิตประจำวันนะครับผม